๘. สมเด็จพระปุทมะอุบัติ
กาลเมื่อศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมด สิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานาน นับได้พุทธันดรหนึ่ง แล้วจึงปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกพระองค์ หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ ปทุมะ สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมโลกนายก ทรงพระยศและท่านหาที่สุดมิได้ ทรงนำสัตว์ทั้งหลายให้บรรลุถึงความเกษมสวัสดีเป็นอันมากแล้ว
กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าสืบปฏิสนธิถือกำเนิดในดิรัจฉานภูมิ ด้วยอำนาจวัฏสงสารความเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะชักพาให้องค์พระโพธิสัตว์เกิด เป็นพญาไกรสรสีหราช อยู่ในอรัญญประเทศ วันหนึ่งได้พบสมเด็จพระปทุมะสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมกับพระสงฆ์บริษัท กำลังทรงนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ณ รุกขมูลโคนต้นไม้ใหญ่
พญาไกรสรสีหราช ได้เห็นภาพ อันควรแก่การเลื่อมใสที่ใครๆ จะมีโอกาสเห้นได้โดยยากเช่นนั้นแล้ว ก็มีจิตชื่นบานคิดว่า
เราจักทำการพิทักษ์รักษาพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระอริยสงฆ์เหล่านี้ แม้จะสิ้นชีวีไปก็ตามที
แล้ว ก็กระทำประทักษิณบริรักษ์เดินเวียนไปมาเฝ้าดูอยู่ หวังใจให้พระบรมครูกับพระอริยสงฆ์ปลอดอันตราย จนสรีระกายอิดโรยอ่อนเพลียนักหนา เพราะมิได้ขวนขวายแสวงหาภักษาหารตลอดกาลหนึ่งสัปดาห์
ครั้นสมเด็จพระปทุมะสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเสด็จยับยั้งเสวยวิมุติสุขอยู่ในนิโรธสมาบัติครบ ๗ วันแล้ว จึงทรงออกจากสมาบัติ ได้ทรงเห็นพญาสัตว์ไกรสรสีหราชกระทำอธิการ คือผู้สละชีวิตเฝ้าบริรักษ์อยู่เช่นนั้น จึงทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
พญา ไกรสรสีหราชนี้ นานไปในอนาคตกำหนดพอสิ้นอสงไขยนี้กับอีกแสนมหากัป จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปอันจักมี ณ ที่สุดแห่งอสงไขยกับอีกแสนมหากัป
เมื่อ สมเด็จพระปทุมะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำพุทธพยากรณ์ดังนี้แล้ว ก็พาพระภิกษุสงฆ์ออกจากอรัญราวป่าไป เพื่อทรงทำพุทธกิจเกื้อกูลพุทธเวไนย ถึงอวสานกาลแล้ว ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป ฝ่ายพญาไกรสรสีหาชนั้น ครั้นสิ้นชีวิตกาลก็ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริฐเสวยทิพยสัมบัติเป็น สุขอยู่ ณ เทวโลก แดนสุขาวดี
๙. สมเด็จพระนารทะอุบัติ
กาลเมื่อศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎปทุมะพระพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมดสิ้นไป แล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลาช้านาน สิ้นกาลนับได้พุทธันดรหนึ่งแล้ว จึงปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าสมเด็จพระมิ่งมงกุฎนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมโลกนาย ทรงพระยศและท่านหาที่สุดมิได้ ทรงนำสัตว์ทั้งหลายให้ลุถึงความเกษมสวัสดีเป็นอันมากแล้ว
กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ หวังความบริสุทธิ์แห่งขันธสันดานจึงได้ไปสร้างอาศรมอยู่ในป่าใหย่ ออกบวชเป็นฤาษี มีวิริยะบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ จนได้สำเร็จฌานสมาบัติและอภิญญาอันแกล้วกล้าชำนาญ วันหนึ่ง สมเด็จพระพุทธนารทะบรมครูแวดล้อมด้วยพระอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณวิเศษชั้นพระ อรหันต์และพระอนาคามีบุคคล กับอุบาสกอีกมากมายหลายท่าน ได้พากันเข้าไปในที่ใกล้อาศรมฤาษี คราที่นั้น องค์พระมหาฤาษีโพธิสัตว์ผู้ทรงอภิญญาได้ทอดทัศนาเห็น ก็ให้บังเกิดความเลื่อมใสจึงได้เนรมิตอาศรมมากมายให้มีจำนวนเพียงพอกับพระ บรมครูเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย ถวายให้นั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สมัยนั้น สมเด็จพระภควันต์นารทะศาสดาจารย์เจ้า จึงแสดงพระธรรมเทศนานิวาสนานุโมทนา และอานิสงส์แห่งการเจริญพระพุทธานุสติ ด้วยมธุรสวาทีของสมเด็จพระชินสีห์สัพพัญู ฤาษีโพธิสัตว์ได้สดับมีความปรีดาปราโมทย์เป็นที่สุด ในวันรุ่งขึ้น จึงเหาะไปยังอุตตรกุรุทวีปด้วยอำนาจฌานวิสัย เพื่อนำเอาภัตตาหารมาถวายพระพุทธองค์และพระอริยสงฆ์ พร้อมกับอุบาสกทั้งหมดอย่างพอเพียง กระทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานถึงหนึ่งสัปดาห์ ในวันสุดท้าย ได้ทำพุทธบูชาสักการะด้วยแก่นจันทร์แดงอันมีค่าสูง ด้วยความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
จึงในครั้งนั้น สมเด็จพระสรรเพชญนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพระพุทธฎีกา ดำรัสพยากรณ์ว่า
มหา ฤาษีผู้มีมหานุภาพนี้ นานไปในอนาคตกำหนดแต่นี้ไปในที่สุด ๑ อสงไขย แสนมหากัป จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม อย่างแม่นมั่น ในที่สุดแห่ง ๑ อสงไขยแสนมหากัปนั้น
ครั้น ได้สดับพระพุทธพยากรณ์จากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระชินสีห์เจ้าฉะนี้ ท่านมหาฤษีโพธิสัตว์ผู้ทรงอภิญญาก็มีจิตปลาบปลื้มปราโมทย์นักหนา อุตสาหะบำเพ็ญพระพุทธบารมีเมื่อถึงแก่ชีพิตักษัยแล้ว ก็ไปอุบัติบังเกิดเป็นพระพรหมวิเศษ ณ พรหมโลก
ท่าน ผู้มีปัญญาทั้งหลาย สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสมณโคดมบรมครูเจ้าของเราท่านทุกวันนี้ พระองค์ได้ทรงสร้างพระบารมีในตอนปลายเป็นนิยตโพธิสัตว์เที่ยงแท้ที่จะได้ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักของพระพุทธเจ้าเป็นลำดับมาทุกๆ พระองค์ นับตั้งแต่พระองค์ที่หนึ่ง คือสมเด็จพระมิ่งมงกุฎ ทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า จนถึงสมเด็จพระมิ่งมงกุฎนารทะสัมพุทธเจ้า ที่เรากำลังกล่าวถึงกันอยู่ในบัดนี้ นับไปได้กี่พระองค์แล้วเล่า?
"...อ๋อ ก็จะไปยากอะไร นับได้ทั้งหมดด้วยกัน รวม ๙ พระองค์ ใช่หรือไม่?"
"ถูกต้องแล้ว..."
"...อ้าว ก็ในเมื่อถูกต้องแล้ว ไฉนจึงมาเฉไฉให้เสียเวลาไปเปล่าๆ สะดดุหยุดเสียกลางคันเช่นนี้ มีเหตุผลอะไรรึ... หรือว่าพระองค์สร้างพระบารมีมาเพียงแค่นี้?"
"เปล่า! ที่หยุดลงนี่ ไม่ใช่คิดจะกล่าวออกไปนอกเรื่องหรือว่าพระองค์สร้างพีระบารมีเพียงแค่นี้ ไม่ใช่ทั้งสิ้น แต่ต้องการที่จะบอกให้ทราบว่า บัดนี้ กาลเวลาก็ได้ล่วงเลยมาแล้ว..."
"กาลเวลาอะไรกัน แล้วมันเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างไร?"
"อ้าว...ก็ กาลเวลาที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของทรงใช้ในการสร้างพระบารมีตอนปลายนี้นะซี นับตั้งแต่ได้พบพระพุทธทีปังกรองค์ที่ ๑ เป็นต้นมา จนถึงพระพุทธนารทะองค์ที่ ๙ นี้นับเป็นเวลาได้ ๔ อสงไขยแล้ว ทีนี้ สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเรา ก็ทรงเป็นพระพุทธเจ้าประเภทที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ ทรงเป็นพระพุทธเจ้าประเภท ปัญญาธิกะ ก็อันว่าพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะนี้ ต้องทรงสร้างพระพุทธบารมีตอนปลายเป็นเวลานานถึง ๔ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องหยุดเรื่องการพรรณนาเรื่องไว้เสียสักนิดก่อนในตอนนี้ แล้วบอกให้ทราบว่า ในระยะเวลายาวนานถึง ๔ อสงไขยนี้ พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราทรงได้มีโอกาสพบพระพุทธเจ้า เพียง ๙ พระองค์เท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือเศษอีกหนึ่งแสนมหากัปนั้น พระบรมโพธิสัตว์จะมีโอกาสพบพระพุทธเจ้าอีกกี่พระองค์ และทรงเสวยพระชาติเป็นอะไรบ้าง ก็จะได้พรรณาให้ฟังในกาลบัดนี้ ขอจงตั้งอกตั้งใจสดับด้วยดีต่อไปเถิด
๑๐. พระปทุมมุตระอุบัติ
บัด นี้ จะขอกล่าวกลับจับความ จำเดิมเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์คือ พระอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จมาอุบัติและทรงกระทำพุทธพยากรณ์ ทำนายพระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเรา โดยทรงพยากรณ์เรียงกันตามลำดับในวรกับดังกล่าวมาแล้ว กาลต่อมา เมื่อสิ้นศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกเรานี้ก็ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนาอยู่นานจนสิ้นวรกัปนั้น ครั้นสิ้นวรกัปนั้นแล้วขึ้นกัปใหม่ต่อมา ก็น่าอนาถ เพราะขาดผู้ทรงคุณพิเศษ ไม่มีสมเด็จพระพุทธเจ้ามาเสด็จอุบัติสักพระองค์เดียว เลยกลายเป็นสุญกัป คือกัปทีสูญเปล่าจากพระพุทธเจ้าไป ทำให้โลกว่างเว้นจากพุทธกาลมาช้านานนักหนา คราที่นั้น จึงมีสารกัปหนึ่ง บังเกิดขึ้นปรากฎมีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก นี้พระองค์หนึ่ง พระนามว่า สมเด็จมิ่งมงกุฎปทุมุตระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คราว นั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นนายบ้านชื่อ ชฎิล ต่อมาได้ทรงเพศเป็นดาบส ปรากฎด้วยตบะเดชะมีฌานธรรมอันเชี่ยวชาญ วันหนึ่ง ได้มีโอกาสพบสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วมีน้ำใจประกอบไปด้วยความเลื่อมใสเป็นอันมาก จึงได้ตกแต่งจีวรทานถวายพระอริยสงฆ์ซึ่งมีองค์สมเด็จพระปทุมมุตระพุทธเจ้า เป็นประธาน
เมื่อองค์สมเด็จพระปทุมุตระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสวยภัตตาหารและทรงแสดงอนุโมทนากถาจบลงแล้ว จึงทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
ชฎิล ดาบสผู้นี้ นานไปในอนาคต จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัป อันจักมีในที่สุดหนึ่งแสนมหากัป
ครั้น ได้สดับพระพุทธฎีกาทรงพยากรณ์ฉะนี้ ชฎิลดาบสก็ปลาบปลื้มยินดีเป็นล้นพ้น มีดวงกมลกระหยิ่มอยู่ ดูประหนึ่งว่าตนจักได้สำเร็จแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณในวันในพรุ่ง จึงมีวิริยะอุตสาหกรรมสร้างพระบารมีให้ยิ่งขึ้นไป ไม่ช้านาน ไปในเบื้องต้น
๑๑. สมเด็จพระสุเมธะอุบัติ
เมื่อ ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎปทุมุตระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญไปแล้ว โลกก็ว่างจากพระบวรพุทธศาสนาจนสิ้นสารกัปนั้น ครั้นขึ้นมหากัปใหม่ต่อมา ก็เป็นเวลาที่เรียกว่าเป็น สุญกัป คือเป็นกัปที่สูญเปล่าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัส เป็นสุญกัปอยู่อย่างนี้ สิ้นกาลช้านานจำนวน ๓๐,๐๐๐ มหากัปทีเดียว ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายคงจะเข้าใจกันดีแล้วว่า มหากัปหนึ่งนั้นเป็นเวลานานเท่าใด ทีนี้ ก็จงใช้วิจารณปัญญาพิจารณาดูเถิดว่า ในระยะนี้ไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสในโลกถึง ๓๐,๐๐๐ มหากัป อย่างนี้แล้ว โลกเราจะมืดบอดจากพระสัทธรรมเป็นเวลาช้านานเพียงไร
เมื่อ ๓๐,๐๐๐ สุญกัปล่วงไปโดยลำดับแล้ว คราที่นั้นจึงมีมัณฑกัปหนึ่งบังเกิดขึ้น มัณฑกัป นี้เป็นกัปที่มีสมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติตรัสในโลก ๒ พระองค์ คือ
๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระสุเมธพุทธเจ้า
๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระสุชาตะพุทธเจ้า
ก็ ในกาลเมื่อสมเด็จพระมิ่งมงกุฎ พระสุเมธะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นในโลก พระองค์ทรงบำเพ็ญพระพุทธจริยา ประกาศศาสนธรรมคำสอน ยังประชากรทั้งเทพยดาแลมนุษย์ให้ได้ดื่มอมตรส นำความสว่างไสวให้ปรากฎในดวงหทัยของชาวโลกเป็นอันมาก พระองค์ทรงเป็นพระบรมโลกุตตมาจารย์ของประชาสัตว์ ซึ่งไม่มีศาสดาองค์ใดจะเทียมเหมือน ดำรงพระยศและท่านหาที่สุดมิได้ เป็นที่สุดเคารพเลื่อมใสแห่งดวงใจของชาวโลกทั้งผอง
กาล ครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์ของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นมนุษย์หนุ่มมีนาม อุตตรมาณพ มีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลประกอบด้วยข้าทาสบริวารเป็นอันมาก วันหนึ่งได้มีโอกาสพบพระบรมศาสดา ได้สดับพระธรรมเทศนาแล้ว ก็มีกมลเปี่ยมล้นไปด้วยความเลื่อมใสจึงให้บริวารขุดขนทรัพย์สมบัติสำหรับ ตระกูลขึ้นจากภูมิภาคปฐพี มีประมาณแปดสิบโกฎิ ออกบำเพ็ญทานอันยิ่งใหญ่แด่พระอริยสงฆ์มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ครั้นได้สดับอนุโมนากถาในวาระสุดท้าย จึงละเพศฆราวาสวิสัย มิได้อาลัยในทรัพย์สมบัติ ออกบวชเป็นภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา
คราที่นั้น จึงองค์สมเด็จพระภควันต์สุเมธมุนีนาถ ได้ทรงมีพระพุทธฎีกาพยากรณ์ว่า
อุ ตตรภิกขุนี้ นานไปเบื้องหน้าในอนาคตจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนี โคดมในภัทรกัปอันจักมีในอนาคตกาล
ครั้น ได้สดับพระพุทธพยากรณ์ฉะนี้ หน่อพระชินสีห์อุตตรภิกขุผู้มีบารมี ก็เกิดปรีดาปราโมทย์ด้วยมีหฤทัยมุ่งมั่นพระโพธิญาณมาช้านานนักหนา จึงสู้อุตสาหะบำเพ็ญบารมีเป็นที่ยิ่งสิ่งประเสริฐอื่นใด ไม่ว่จะเป็นมนุษย์สมบัติ เทวสมบัติ หรือแม้แต่พรหมสมบัติอันวิเศษ ก็ไม่มีเจตจำนงที่จะต้องการ หวังแต่พระสัมโพธิญาณอยู่อย่างเดียวเป็นสำคัญ ครั้นดับขันธ์ถึงแก่ชีพิตักษัยในชาตินั้นแล้ว ก็มีสุคติภพเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
๑๒. สมเด็จพระสุชาตะอุบัติ
เมื่อ ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุเมธะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมดสิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนา นับเป็นเวลาช้านานได้พุทธันดรหนึ่ง แล้วจึงมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นในโลกอีกพระองค์ หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ สุชาตะ สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ สามารถนำโลกทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ในวัฎสงสาร ประทานอมตธรรมให้แก่พุทธเวไนยเป็นอันมากแล้ว
กาล ครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็น สมเด็จพระบรมจักรพรรดิราชเจ้า ทรงมหิทธิอำนาจแผ่ไปในทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร วันหนึ่งได้ทรงสดับข่าวสารว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สุชาตะมหามุนีนาถทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ก็ทรงมีพระกมลผ่องแผ้วปรีดาปราโมทย์ เสด็จพาบริวารเข้ไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นได้ทรงสดับมธุรธรรมีกถาก็ยิ่งทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใส ทรงกระทำสักการะบูชาซึ่งพระรัตนตรัยด้วยมหาจักรพรรดิสมบัติอันไพบูลย์ด้วย สัตตพิธรัตนสารแก้วเจ็ดประการ แล้วทรงบำเพ็ญวรามิสมหาทานอันเลิศแด่พระอริยสงฆ์มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า เป็นประธาน ทรงสละฆราวาสวิสัยออกบรรพชาในสำนัก แห่งสมเด็จพระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เพื่อเพิ่มพูนพระเนกขัมมบารมี
ครั้ง นั้น ชาวชมพูทวีปทั้งหลาย ต่างก็นำเอาแก้วแหวนเงินทองซึ่งเคยเป็นเครื่องราชบรรณาการสมเด็จพระเจ้า จักรพรรดิราชนั้น มารวมกันเป็นทุนสร้างพระอารามใหญ่แห่งหนึ่งถวายเป็นของสงฆ์ ครั้นเสด็จแล้วก็ทำการฉลองพากันถวายทานตรั้งมโหฬารแด่พระสงฆ์ ซึ่งมีองค์สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์เป็นประธาน กาลครั้งนั้น องค์สมเด็จพระโลกเชษฐสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงอนุโมทนา จึงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
พระ บรมจักรพรรดิภิกษุนี้ นานไปในกาลอนาคตภายหน้าจักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปที่จักมีปรากฎในอนาคตกาล
ครั้น ได้สดับพระพุทธฎีกาพยากรณ์ฉะนี้ หน่อพระชินสีห์บรมจักพรรดิภิกษุโพธิสัตว์ผู้ทรงพุทธบารมี ก็มีจิตยินดีปลาบปลื้ม สู้อุตสาหะตั้งหน้าศึกษาคันธะธุระ พระปริยัติธรรม และบำเพ็ญพระสมถกรรมฐาน ไม่นานก็ถึงแก่ชีพิตักษัย ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริฐในสุคติภูมิแดนสุขาวดี
๑๓. สมเด็จพระปิยทัสสีอุบัติ
ครั้นศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุชาตะสัมพุทธเจ้าล่วงไปนานแล้ว จึงสิ้นกาลแห่งมัณฑกัปนั้น ครั้นสิ้นกาลปัณฑกัป ที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสสองพระองค์ดังกล่าวแล้ว เมื่อขึ้นกัปใหม่ต่อมา ก็น่าอนาถนักหนา เพราะว่าเป็นสุญกัปเสียทั้งสิ้น ไม่มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเลยสักพระองค์เดียว นับเป็นเวลานานยืดยาวเป็นที่สุด ถึง ๖๐,๐๐๐ กว่ามหากัป นับว่าโลกเรานี้ว่างเว้นจากพุทธกาลมานานมิใช่น้อย ทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องพลอยประลัยจากมรรคผล ไม่มีบุคคลใดใครผู้หนึ่งสามารถลุถึงธรรมวิเศษ คือ อมตมหานฤพานในกาลอันยาวนานนี้ได้ คราวนี้ จึงมี วรกัปหนึ่ง บังเกิดขึ้น ปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตรัสเรียงลำดับกันจำนวน ๓ พระองค์คือ
๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปิยทัสสีพุทธเจ้า
๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎอัตถทัสสีพุทธเจ้า
๓. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎธรรมทัสสีพุทธเจ้า
ในกาลเมื่อสมเด็จพระมิ่งมงกุฎ ปิยทัสสี สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนั้น พระองค์ทรงบำเพ็ญพระพุทธจริยา ประกาศศาสนธรรมคำสอน ยังประชากรทั้งหลายให้ได้ดื่มอมตรส ให้บรรลุธรรมวิเศษเป็นอันมากแล้ว
กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่า กัสสปะมาณพ ได้ศึกษาเล่าเรียนจบไตรเพทางคศาสตร์ศิลป์อยู่เป็นสุข กาลวันหนึ่ง กัสสปะมาณพหนุ่มผู้ได้มีโอกาสไปสู่สำนักขององค์สมเด็จพระปิยทัสสีบรมศาสดา ได้สดับมธุรธรรมมีกถา ก็มีดวงกมลกอปรด้วยศรัทธาปราโมทย์ จึงกลับไปยังเรือนตน ให้ขนเอาทรัพย์สมบัติออกมาหลายโกฎิ แล้วให้สร้างอารามแห่งหนึ่งอุทิศถวายแด่พระอริยสงฆ์ ซึ่งมีองค์สมเด็จพระบรมศาสดาเป็นประธาน ด้วยดวงจิตอาจหาญในกุศลสัมมาปฏิบัติ
บัดนั้น องค์สมเด็จพระโลกเชษฐ์ปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงอนุโมทนาจึงมีพระพุทธฎีกาพยากรณ์ว่า
"กัส สปะมาณพผู้นี้ นานไปในอนาคตกาล จักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมในภัทรกัปหนึ่ง อันจักปรากฎมีในอนาคตกาล"
สม เด็จพระปิยทัสสีศาสดาจารย์ ครั้นดำรัสพระพุทธพยากรณ์ ฉะนี้แล้ว ก็ทรงกระทำพุทธกิจโปรดเวไนยสัตว์อยู่จนถึงอวสานกาลแล้ว ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป ฝ่ายกัสสปมาณพก็อุตสาหะอบรมบ่มบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ เมื่อสิ้นอายุกษัยกาลก็มีสุคตเป็นที่ไปในเบื้องหน้า