เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



ผู้เขียน หัวข้อ: มุนีนาถทีปนี การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โดย พระพรหมโมลี วิลาศ ญาณวโร  (อ่าน 56714 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
ปนามพจน์
นมตฺถุ  รตนตฺตยสฺส
            ข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการแด่องค์
สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์  พระองค์
ผู้ทรงมีพระมหากรุณาแผ่ไปในไตรภพ
          และพระนพโลกุตรธรรมอันล้ำเลิศ  กับ
ทั้งพระอริยสงฆ์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
ด้วยเศียรเกล้าแล้ว  จักขออภิวาทนบไหว้
ซึ่งท่านบุรพาจารย์ทั้งหลาย  ผู้ทรงไว้ซึ่ง
ญาณและพระคุณอันบริสุทธิ์ด้วยคารวะ
เป็นอย่างยิ่งแล้ว  จักรจนาเรียบเรียงกถา
ซึ่งตั้งชื่อว่า “ มุนีนารถทีปนี ” เพื่อแสดงถึง
เรื่องของพระองค์ผู้ทรงเป็นนาถะที่พึ่ง
อย่างประเสริฐสุดแห่งประชาสัตว์ในไตรโลก
กล่าวคือ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จอมมุนี  โดยประสงค์จะสดุดีสรรเสริญซึ่ง
พระพุทธคุณเป็นสำคัญ  ฉะนั้นขอมวลชน
คนดีมีปัญญาทั้งหลาย  จงตั้งใจสดับกถา
ของข้าพเจ้า  ซึ่งจักกล่าวในโอกาสต่อไป
นี้ด้วยดีเทอญ.

บัดนี้  จักขอถือชี้แจงแก่ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งปวงว่า   บรรดาเราท่านทั้งหลายที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา  พร้อมกับมีศรัทธาเสื่อมใสและมีใจประกอบด้วยสัมมาทิฐิ  น้อมนำเอาพระบวรพุทธศาสนามาเป็นศาสนาประจำชีวิตตน  เช่นที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น  ถ้าจะถือกันว่าเป็นโชค  เวลานี้เรากำลังได้ประสบโชคอย่างมหาศาล  ซึ่งไม่มีโชคอื่นใดจะเปรียบปาน   ถ้าจะถือกันว่าเป็นลาภ    เวลานี้เราก็กำลังได้รับลาภอย่างประเสริฐสุดขนาดเป็นบรมลาภทีเดียว  ซึ่งจักหาลาภอื่นใดในโลกนี้มาเปรียบเทียบอีกไม่ได้เลย
ที่กล่าวมานี้  ไม่ใช่กล่าวไปด้วยอำนาจความคล่องปาก  หรือมีใจอยากยกย่องพระพุทธศาสนาจนเกินไป  ไม่ใช่อย่างนั้น  อันที่จริงการที่สัตว์โลกทั้งหลายซึ่งยังต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร  จักได้มีโอกาสเกิดมาพบพระบวรพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระศาสดาบรมไตรโลกนาถ  แต่ละชาติแต่ละหนนั้น  อย่าได้สำคัญผิดคิดอย่างผิวเผินเป็นอันขาดว่า  เป็นสภาพที่เป็นไปได้อย่างง่ายๆ  ความจริงไม่ใช่  เพราะว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากเย็นแสนเข็ญนักหนา  ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย  จงมาพิจารณาใคร่ครวญถึงมหาวิบัติ  คือความฉิบหายของสัตว์โลกอย่างใหญ่หลวง  ตามที่จะพรรณนาต่อไปนี้เถิด  แล้วก็จะแลเห็นเองว่าการที่เราเกิดมาในชาตินี้ได้เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา  จัดว่าได้รับโชคลาภอย่างประเสริฐเพริศพริ้งเพียงไร


มหาวิบัติ

ขึ้นชื่อว่าความวิบัติทั้งหลายที่มนุษย์เราต้องประสบกันอยู่เสมอในโลกนี้  ความวิบัติอื่นใดก็จงยกไว้ก่อนเถิด  เพราะมิสู้จะสำคัญ  แต่ความวิบัติหนึ่งนั้น  เป็นความวิบัติอย่างใหญ่หลวงของสามัญสัตว์  ซึ่งจัดว่าเป็นยอดแห่งความวิบัติจริงๆ  มีอยู่  ๖  ประการ  คือ

๑. วิบัติกาล

   วิบัติกาลนี้  ได้แก่วิบัติเพราะกาลว่างจากพระพุทธศาสนา ! หมายความว่าในโลกมนุษย์ที่เราเกิดอยู่นี้  ใช่ว่าจะปรากฏมีพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นประจำจนชั่วฟ้าดินสลายนั้นหามิได้  โดยที่แท้  บางกาลก็มีพระพุทธศาสนา  แต่บางเวลาก็ไม่มี  เพราะไม่ใช่คราวที่สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก  ก็ในระหว่างกาลที่พระพุทธศาสนากับไม่มีนี้  ปรากฏกาลที่ไม่มีพระพุทธศาสนานั่นแหละ  มีปริมาณมากกว่ากาลที่มีพระพุทธศาสนามากมายนัก  ซึ่งก็หมายความว่า  ในโลกนี้  นานๆจึงจะมีพุทธกาลเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง  ทีนี้  สมมติว่าตัวเราเกิดมาในเวลาที่มิใช่พุทธกาล  เป็นกาลว่างเปล่า  ไม่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก  เราก็หมดโอกาสที่จะรู้จักพระพุทธศาสนา  มิได้รับรสพระสัทธรรมเทศนา   การเกิดของเราในกาลที่ว่างเปล่าจากพระพุทธศานาก็เท่ากับว่าเกิดมาเปล่าประโยชน์   หาสาระแก่นสารแห่งชีวิตอันแท้จริงมิได้    เกิดมาเปล่าแล้วก็ตายไปเปล่าตามธรรมดาของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารเท่านั้นเอง   สภาพการณ์เช่นว่ามานี้  เรียกว่าวิบัติกาล  ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต  เพราะเกิดผิดกาลเวลา  นับว่าเป็นมหาวิบัติประการหนึ่ง.

๒. วิบัติคติ
   วิบัติคตินี้  ได้แก่วิบัติเพราะไม่ได้คติที่ดี  หมายความว่าแม้ว่ากาลเวลาจะถึงพร้อมแล้ว  คือมีสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ทรงประกาศพระสัทธรรมเทศนายังประชาสัตว์ให้ได้ดื่มอมตรส ทรงโปรดสัตว์รื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสาร ให้ลุล่วงถึงพระนิพพาน ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้ปรากฎอยู่ในโลก เช่นในปัจจุบันทุกวันนี้ แต่ทีนี้สมมติว่า ตัวเราเป็นคนอาภัพอับโชคมีบุญน้อยด้อยวาสนา ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างเวลานี้ เพราะค่าที่เป็นผู้มีคติวิบัติ พลัดไปในเกิดในภูมิอื่นโลกอื่นเสียอย่างเพลิดเพลิน เช่นกำลังไปเกิดอยู่ในนิรยภูมิถือกำเนิดเป็นสัตว์นรกเสียก็ตาม กำลังไปเกิดอยู่ในเปตวิสัยภูมิ ถือกำเนิดเป็นเปรตอดอยากอยู่ก็ตาม กำลังไปเกิดอยู่ในอสุรกายภูมิ ถือกำเนิดเป็นอสุรกายมีความหิวกระหายอย่างแสนสาหัสอยู่ก็ตาม หรือกำลังไปเกิดอยู่ในติรัจฉานภูมิ ถือกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่เสีย ก็เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะมีโอกาสได้มาพบพระบวรพุทธศาสนากระไรได้ เพราะสัตว์ในอบายภูมิทั้งหลายเหล่านั้น ทุกวันเวลามีแต่จะมะงุมมะงาหราเสวยทุกข์โทษจนหน้าดำหน้าแดง มีชีวิตอยู่อย่างหดหู่เหี่ยวแห้งน่าสมเพชเวทนา ก้มหน้าก้มตารับผลกรรมชั่วของตน จนหน้ามืดตามัว ไม่มีเวลาหยุดว่างเว้น สภาพการณ์เช่นว่ามานี้ เรีกชื่อว่า วิบัติคติ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต เพราะไปเกิดผิดภูมิผิดโลก จึงโชคร้ายนักหนา นับว่าเป็นมหาวิบัติประการที่สอง

๓. วิบัติประเทศ

วิบัติประเทศนี้ ได้แก่วิบัติเพราะเป็นประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา!

หมายความว่า ถึงแม้จะพ้นจากวิบัติที่กล่าวมาแล้ว คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารย์เจ้า ก็ทรงมาอุบัติตรัสในโลกแล้ว และตัวเราก็พ้นจากคติวิบัติ มาอุบัติเกิดเป็นมนุษย์ในมนุษย์โลกนี้แล้ว ก็แต่ว่าโลกนี้เป็นพื้นแผ่นปฐพีอันกว้างขวางใหญ่โตนักหนา เป็นที่สถิตแห่งนานาประเทศ มีจำนวนมากมายหลายประเทศนัก พระพุทธศาสนาไม่สามารถจักแผ่ไปถึงทั่วประเทศทั้งสิ้นทั้งปวงได้ ประเทศใด พระพุทธศาสนาแผ่ไปไม่ถึง ประเทศนั้น ก็ไม่รู้จักคุณค่าของพระบวรพุทธศาสนา ไม่ทราบเลยว่า ศาสนาคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นนิยานิกธรรม สามารถนำสัตว์โลกออกจากกองทุกข์ได้อย่างแท้จริงโดยไม่ต้องสงสัย ทีนี้สมมติว่า ตัวเราไปเกิดในประเทศนั้น ก็ไม่มีวันที่จะได้รู้จักพระพุทธศาสนาเลย เมื่อไม่รู้จักก็ย่อมไม่เห็นคุณค่าของพระศาสนาอันมีอยู่โดยวิเศษเป็นธรรมดา เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ก็จักมีโอกาสเป็นพุทธศาสนิกชนคนนับถือพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ย่อมจะมีชีวิตอยู่ในชาติหนึ่งอย่างไร้แก่นสาร น่าเศร้า เข้าทำนองเกิดมาเปล่าแล้วก็ตายไปเปล่าเท่านั้นเอง สภาพการณ์เช่นว่ามานี้ เรียกชื่อว่าวิบัติประเทศ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชาติ เพราะไปเกิดผิดประเทศ จึงต้องโชคร้ายนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติสำคัญประการที่สาม

๔. วิบัติตระกูล


วิบัติตระกูลนี้ ได้แก่วิบัติเพราะตระกูลที่ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ!

หมายความว่า ถึงแม้จะได้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แล้ว และเราก็ได้มีโอกาสมาเป็นมนุษย์ เป็นคน ในประเทศที่นับถือพระบวรพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว ก็แต่ว่าในประเทศนี้ย่อมมีวงศ์ตระกูลของหมูมนุษย์อยู่มากมายหลายตระกูลนัก ตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิ เคารพนับถือพระพุทธศาสนาก็มี ตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่มีความเลื่อมใส ไม่เคารพนับถือในพระพุทธศาสนาก็มี ทีนี้ สมมติว่าตัวเราบังเอิญไปเกิดในตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฐิเสีย บิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งเป็นบรรพชนต้นโคตร ต้นวงศ์ของเรา ท่านไม่รู้จักพระบวรพุทธศาสนา ไม่เห็นคุณค่า ไม่มีศรัทธาเคารพเลื่อมใสในพระธรรมคำสั่งสอน แห่งองค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาเสียเลย เราก็จะต้องมีความเห็นหรือมีทิฐิไปตามโคตร ตามวงศ์ คือจักไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เห็นคุณค่า อาจมองพระบวรพุทธศาสนาไปในแง่ว่าไม่ถูกต้องก็ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ชีวิตของเราถึงแม้จะได้รับความสมบูรณ์ พูนสุขอย่างไร ก็นับเข้าในจำพวกที่อับโชค เกิดมาในโลกกับเขาครั้งหนึ่ง แต่หาที่พึ่งอันแท้จริงเป็นแก่นสารมิได้ เกิดมาเปล่าแล้วก็ตายเปล่าอีกเหมือนกัน สภาพการณ์เช่นว่ามานี้ เรียกว่าวิบัติตระกูล ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชาติ เพราะไปเกิดผิดตระกูลจึงต้องโชคร้ายหนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติสำคัญประการที่สี่

๕. วิบัติอุปธิ

วิบัติอุปธิ นี้ ได้แก่วิบัติอุปธิ คือร่างกาย!

หมายความว่า ถึงแม้จะได้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ และทรงประกาศพระพุทธศาสนาให้ตั้งมั่นในโลกอย่างปัจจุบันทุกวันนี้แล้ว และเาก็ได้มีโอกาสเกิดมาในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิเคารพเลื่อมใสในพระบวรพุทธ ศาสนาอยู่แล้วก็ตามที แต่ที่นี้ สมมติว่า ตัวเราเป็นคนอาภัพอับวาสนา องคาพยพไม่สมบูรณ์เป็นคนมีอุปธิวิบัติ คือร่างกายไม่สมประกอบ เหมือนคนธรรมดาสามัญทั้งหลาย กลายเป็นบ้า เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เสียจริต จิตวิปลาสไปเสีย เช่นนี้ก็ไม่สามารถมีปัญญามองเห็นคุณค่าพระบวรพุทธศาสนา ไม่มีโอกาสจะรู้ว่าศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าทรงไว้ซึ่งความประเสริฐล้ำเลิศเพียงไรอย่างนี้แม้จะได้เกิดมากับเขาชาติ หนึ่ง ก็ถึงการนับได้ว่าเกิดมาเปล่าๆ เป็นชีวิตที่ไร้ค่า เท่ากับว่าไม่ได้เกิดมานี้เอง สภาพการณ์เช่นว่ามานี้เรียกชื่อว่าอุปธิวิบัติ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต เพราะความวิปริตของกายตน จึงต้องเป็นคนโชคร้ายนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติสำคัญประการที่ห้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 23, 2013, 07:11:34 PM โดย Webmaster »

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
๖. วิบัติทิฐิ

วิบัติทิฐินี้ ได้แก่วิบัติ เพราะทิฐิแห่งตน!

หมายความว่าถึงแม้จะได้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ และทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนาให้ตั้งมั่นในโลกเช่นปัจจุบันทุกวันนี้แล้ว และตัวเราก็หลบพ้นจากมหาวิบัติต่างๆ ได้มีโอกาสมาเกิดในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิ มีอุปธิร่างกายเป็นปกติ มิใช่เป็นคนหูหนวก ตาบอด คนบ้า คนใบ้ แต่ประการใดเลย คราวนี้สมมติว่า ตัวเราเองนี่กลายเป็นคนมีทิฐิวบัติ คือมีความเห็นผิดมักบูชาความคิดความเห็นของตนอันไม่ถูกต้อง จะเป็นเพราะว่าไปซ่องเสพสมาคมกับชนมิจฉาทิฐิเข้า หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุอื่นใดก็ตาม แล้วก็ให้มีอันเป็นเกิดความคิดเห็นวิปริตไปโดยนัย เป็นต้นว่า

"สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี! พระธรรมที่พร่ำสอนกัน ก็ไม่เป็นนิยานิกธรรม นำสัตว์ให้พ้นทุกข์ไม่ได้ แม้พระอริยสงฆ์นั้นไซร็ ก็หาได้มีคุณวิเศษยิ่งไปกว่าตัวเรานี่ไม่ มรรค ผล นิพพาน บุญบาป เป็นสภาพที่เพ้อฝันกันไปอย่างนั้นเอง ความจริงหามีไม่ คำสอนในศาสนาไม่มีคุณ่าควรแก่การปฏิบัติตาม"

เกิดความเห็นไม่เข้าท่าไปทำนองนี้ ก็เลยไม่มีศรัทธาจิตคิดเลื่อมใส ไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติตามกระแสพระพุทธฎีกาอันหาได้ยากในโลก เมื่อไม่ปฏิบัติตาม ก็ย่อมไม่ได้พบความวิเศษสุดของพระบวรพุทธศาสนา เมื่อเป็นอย่างนี้ เกิดมาก็นับว่าเสียชาติเกิดไปเปล่าๆ ได้มาพบศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าอันแสนประเสริฐแล้ว แต่จักษุกลับไม่มีแวว เป็นคนตาบอด ตาใส มองเห็นเป็นของต่ำทรามไม่มีค่า ไม่ช้าก็ถึงกาลกิริยาตายไปโดยไม่มีที่พึ่ง เพราะมีทิฐิดึงดันดื้อรั้นยิ่งนัก ไม่รู้จักเชื่อฟังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าทำนองที่ว่า เกิดมาเปล่าแล้วก็ตายไปเปล่าอีกตามเดิม สภาพการณ์เช่นว่ามานี้เรียกชื่อว่าวิบัติทิฐิ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต เพราะความเห็นผิดของคน จึงต้องเป็นคนโชคร้ายนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติประการสุดท้าย

บัดนี้ ลองหันมาตรวจดูที่ตัวเราท่านทั้งหลายนี้ดูเถิด เราเกิดมาในชาตินี้จะได้รู้เกิดมาก่อนก็หาไม่ แต่ก็ให้บังเอิญเกิดมาพบพระบวรพุทธศาสนา แม้ว่าสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม แต่ศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ยังปรากฎอยู่ ก็เท่ากับว่าเราเกิดมาทันพุทธกาลเหมือนกัน นอกจากนั้นยังได้มีจิตใจเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ปฏิญาณตนเป็นพุทธศาสนิกชน น้อมรับเอาพระพุทธศาสนาอันทรงคุณค่าประเสริฐสุดมาเป็นสรณะที่พึ่งของตน ก็เป็นอันว่าพ้นแล้วจากมหาวิบัติความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงทั้ง ๖ ประการ ตามที่พรรณามาแล้วนั้นใช่ไหมเล่า? อย่างนี้แล้ว จะไม่ให้กล่าวว่า เราเกิดมาในชาตินี้ กำลังได้รับโชคลาภอย่างมหาศาลอยู่แล้วได้อย่างไร?

ในบรรดามหาวิบัติทั้งหลายนั้น หากจะพิจารณากันให้ดีก็จะเห็นได้ว่า มหาวิบัติข้อแรก คือ วิบัติกาล นับว่าสำคัญกว่าข้ออื่น เพราะเกี่ยวกับการอุบัติบังเกิดขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดย ตรง ถ้าลงว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นในโลกแล้ว ถึงแม้ว่าเราท่านทั้งหลายจะเพียบพร้อมอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสมบัติอื่นใดก็ตาม ก็ถือว่าไม่พ้นจากความวิบัติเหล่านี้ไปได้ฉะนั้น การเสด็จอุบัติขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นอุบัติกาลที่สัตว์โลกพากันถือว่าสำคัญที่สุด อย่าว่าแต่มนุษย์เรานี่เลย แม้แต่ปวงเทพเจ้าเหล่าอมร อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ผู้ทรงไว้ซึ่งมเหศักดิ์มีปัญญาต่างก็ปรารถนากาลเป็นที่เสด็จอุบัติขึ้นแห่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันทุกถ้วนหน้า

ในกรณีนี้ พึงทราบว่า การเสด็จอุบัติขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จักมีปรากฎขึ้นได้ในโลกแต่ละครั้งแต่ละหน ย่อมเป็นสภาพที่เป็นไปโดยยากยิ่งนัก ต่อกาลนานนักหนา จึงจะมีสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้าเสด็จมาตรัสสักพระองค์หนึ่ง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าท่านที่จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้านั้น
จะต้องเป็นบุคคลสำคัญที่เรียกว่าวิสิฏฐบุคคล คือเป็นบุคคลพิเศษจริงๆ ได้สร้างสมอบรมพระบารมีมาเพื่อปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ กล่าวคือเพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ และพระบารมีที่ว่านั้น ได้ถูกบ่มมาเป็นเวลานานนับด้วยจำนวนมากมายหลายมหากัปทีเดียว จนถึงความแก่รอบสมบูรณ์แล้วทุกประการ ท่านผู้มีโพธิสมภารเป็นวิสิฏฐบุคคลนั้นจึงจะพลันมาอุบัติ ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมโลกุตตมจารย์ แล้วจึงทรงประทานประโยชน์มหาศาลให้แก่ชาวโลก ด้วยการแนะนำให้รู้จักทางหลีกพ้นจากโอฆสงสาร อันมีภัยใหญ่น่ากลัวนักหนา แต่ว่าประชาสัตว์ถูกอวิชาเข้าครอบงำ จึงทำให้ไม่รู้สึกว่า ตนกำลังเวียนว่ายอยู่ในโอฆสงสารอันมีภัยใหญ่แลน่าเกรงกลัวเป็นที่สุดนั้นได้ ครั้นพอมาถูกแนะนำเข้าแล้ว ก็รู้สึกตนหวั่นเกรงภัย พยายามปฏิบัติไปตามกระแสพระพุทธฎีกา ก็พาตนพ้นภัยใหญ่ เข้าไปสู่พระนิพพานอันเป็นแดนเกษมสานติ์มากต่อมากเหลือคณนา ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า บรรดาผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่ชาวโลกทั่วไปในไตรภพแล้ว ผู้ที่จะสามารถทำได้เท่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไม่มี ก็ท่านผู้ที่ทำประโยชน์อย่างมหาศาลและแท้จริงอย่างนี้ จะหาได้ง่ายๆ ที่ไหนเล่า

ก็เพราะความที่สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า จะปรากฏอุบัติขึ้นในโลกแต่ละพระองค์เป็นการยากนักหนา ตามที่พรรณนามานี้ สมเด็จพระชินสีห์บรมโลกเชษฐเจ้าแห่งเราชาวพุทธทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงมีพระกมลหฤทัยประกอบไปด้วยพระมหากรุณาและแสนจะบริสุทธิ์ซื่อ ตรง จึงทรงมีพระบรมพุทโธวาทตักเตือนอยู่เสมอว่า

" การอุบัติบังเกิดขึ้น แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก"

พระพุทธฎีกานี้ ถ้ามีความสนใจน้อย ฟังดูแต่เพียงคร่าวๆ พอผ่านไป ก็จะไม่เกิดความรู้สึกอะไรนัก มักให้เห็นแต่เพียงว่าเป็นพระพุทธพจน์บทหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ความจริงแล้ว ทรงไว้ซึ่งความสำคัญและความจริงเป็นที่สุด เพราะปรากฎว่าพระพุทธฎีกาบทนี้มิใช่จะตรัสแต่เพียงหนหนึ่งครั้งเดียวโดยที่ แท้ สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสอยู่เนื่องๆ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติเหล่าชาวพุทธบริษัท ด้วยความกรุณาและห่วงใยอันปรากฎเต็มเปี่ยมอยู่ในดวงหฤทัยแห่งองค์สมเด็จพระ ชินสีห์ โดยมีหลักฐานที่ท่านพรรณาไว้ ดังต่อไปนี้

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
อนุสาสนีประจำวัน

กาลเมื่อ องค์สมด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น ทุกวันพอได้เวลาอรุณสมัยรุ่งเช้า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงพาพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จออกไปเพื่อบิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์ เหล่าชนผู้ใดได้ทอดทัศนาการเห็น ย่อมบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสนั้นในดวงใจนักหนาเพราะสมเด็จพระมหากรุณาเจ้าทรง มีพระวรกายอันรุ่งเรืองไปด้วยถ่องแถวแห่งพระฉัพพัณณรังสี มีพระสรีระครบบริบูรณ์ด้วยพระทวัตติงสะมหาปุริสลักษณะและพระอสีตยานุพยัญชนะ อันวิจิตร ตั้งแต่พระอุณหิสตลอดลงมาถึงพื้นฝ่าพระบาทไพโรจน์ด้วยพระพุทธสิริวิลาสหาที่ จะเปรียบได้ ด้วยว่า องค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้นไซร้ ทรงมีเส้นพระเกษาอันอ่อน และวงเวียนเป็นทักษิณาวัฏ มีสีดำสนิททุกเส้นเป็นอันดี และทรงมีพระนลาตงามเลิศบริสุทธิ์ ประดุจสุริยมณฑลอันปราศจากเมฆมลทิน และพระนาสิกของพระชินสีห์นั้น ก็มีสัณฐานยาวงามยิ่งนัก รุ่งเรืองไปด้วยพระรัศมีพรรโณภาส พระองค์ทรงเป็นนรสีห์ราชบุรุษมนุษย์สุดประเสริฐ งามเลิศตลอดทั้งพระวรกายแม้ภายใต้พื้นพระยุคลบาท ก็มีพรรณอันแดงประดับไปด้วยพระลายลักษณวงกงจักร์ และรอยรูปมหามงคลร้อยแปดประการเป็นอัศจรรย์

สมเด็จพระบรมโลกนาถเสด็จไปในกาลนั้น เพื่อทรงทำประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งผอง ด้วยพระพักตร์มีพรรณผ่องเพียงศศิธรมณฑลอันเต็มดวงในวันปุณณมีดิถีและพระพุทธ กิริยาที่ทรงดำเนินไป ก็งามเหมือนประดุจดังลีลาแห่งพญาไกรสรสีหราช มฤคินทร์ สมควรที่อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เทพยดาหมู่อมรและมนุษย์นิกร จักอ่อนน้อมอภิวาทพระบวรพุทธบาท เสด็จยุรยาตรไปในท่ามกลางพระอริยสงฆ์สาวกทั้งปวง แลดูประหนึ่งดวงจันทร์อันแวดล้อมด้วยหมู่ดารากำลังลีลาไปในอัมพรประเทศ สมเด็จพระโลกเชษฐ์ผู้ทรงพระคุณหาที่เปรียบมิได้ ย่อมเสด็จบทจรไปเพื่อบิณฑบาต ตามลำดับตรอกลำดับเรือนแห่งมหาชนชาวประชา ไม่ทรงเลือกหน้าว่าไพร่ผู้ดี พระพุทธจริยานี้แลเป็นพระอริยวงศ์ประเพณีแห่งองค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมา สัมพุทธเจ้าแต่ปางก่อนสืบมา

ครั้นว่าเสด็จกลับจากบิณฑบาต ทรงกระทำภัตกิจแล้วเมื่อตอนสายแห่งทิว่า บรรดาพระภิกษุสงฆ์องค์สาวกทั้งหลายต่างก็มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่ใกล้พระคันธกุฎีที่ประทับ ด้วยมีใจมุ่งหมายจักสดับพระบรมพุทโธวาทประจำวัน และพระสงฆ์สาวกบางองค์นั้น ก็มีความประสงค์จะทูลขอบทพระกรรมฐานในกาลหลังจากที่ทรงประทานพระบรมพุทโธวาท จบลงแล้วด้วยเหตุนี้ จึงปรากฎมีพระภิกษุสงฆ์สาวกพากันมารอคอยการเสด็จออกของพระบรมโลกุตมาจารย์ อยู่ในขณะนี้มากมาย

ครั้นได้เวลา สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย ก็เสด็จออกมาจากพระคันธกุฎีด้วยพระพุทธลีลางดงามหาที่เปรียบมิได้แล้ว ประทับนั่งห้อยพระบาทเหนือพระแท่นที่ตั้งไว้ในที่นั้น เพื่อจักทรงล้างพระยุคลบาทให้บริสุทธิ์ สะอาดปราศจากละอองธุลี เสร็จแล้วก็ทรงยืนขึ้นทอดพระเนตรดูหมู่พระสงฆ์สาวกที่พากันมาเฝ้า และกำลังน้อมเกล้าประนมกรอยู่ทุกถ้วนหน้า ด้วยพระพุทธนัยนาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาเป็นยิ่งนัก และแล้วในขณะนั้น และ ณ ที่นั่นเอง พระองค์ก็ทรงเปล่งพระกระแสพุทธฎีกาเป็นโอวาทนุสาสนีแก่พระองค์สาวกทั้งปวง ว่า

ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ขอเธอทั้งหลายจงตกแต่งรักษาซึ่งตนให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด ด้วยว่า เวลาที่จะได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้นในโลกเป็นสิ่งที่หาได้โดย ยากนักหนา การที่จะได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่หาได้โดยยาก การที่เป็นมนุษย์แล้วจะถึงพร้อมด้วยศรัทธาก็เป็นสิ่งหาได้โดยยาก การที่ผู้มีศรัทธาจะได้มีโอกาสบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาก็เป็นสิ่งที่ทำ ได้โดยยาก และการที่จะได้มีโอกาสสดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้านั้นเล่า ก็เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก

ครั้นทรงประทานโอวาทานุสาสนีดังนี้แล้ว สมเด็จองค์ประทีปแก้วพระมหากรุณาเจ้าจึงประทับนั่งลง ณ พระบวรพุทธอาสน์ แล้วจึงทรงเริ่มประทานพระบรมพุทโธวาทอย่างอื่นหรือทรงประทานบทพระกรรมฐาน เพิ่มเติมให้แก่พระสงฆ์สาวกที่ต้องการจะนำไปปฏิบัติต่อไป เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่เป็นปกติทุกวันโดยมาก ในสมัยที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่

เราท่านทั้งปวง ผู้เป็นสาวกของพระพุทองค์ท่านในกาลบัดนี้เป็นปัจฉิมชนคนมีวาสนาน้อย เกิดมาในกาลสุดท้ายภายหลัง ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสได้พบประสบการณ์เช่นที่ว่ามานี้ แต่จะอย่างไรก็ดี พระอนุสาสนีนี้ก็ยังปรากฎก้องอยู่ คล้ายกับจะเป็นองค์สมเด็จพระบรมครูเจ้าคอยเฝ้าเตือนจิต ด้วยเหตุนี้ขอจงเร่งคิดเร่งอนุสรณ์ถึงพระอนุสาสนีประจำวันนี้ให้จงมากเถิด จะได้เกิดความไม่ประทาทในวัยและชีวติของตน เพื่อผลกล่าวคือความได้สาระแก่นสารอย่างแท้จริง อันเนื่องมาจากการเกิดมาพบพระบวรพุทธศาสนาของตัวเราในชาตินี้ อย่าให้พลาดท่าเสียทีได้

ต่อจากนี้ไป จักได้อัญเชิญเอาพระอนุสาสนีประจำประการแรกคือข้อที่ว่า

ทุลฺลโก พุทฺธูปฺปาโท โลกสฺมึ

ซึ่งแปลว่า เวลาที่จะได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาบังเกิดขึ้นในโลก เป็นสิ่งที่ทำได้โดยยาก อัญเชิญเอาพระอนุสาสนีข้อนี้มาเป็นต้นเค้า แล้วจักเล่าเรื่องราวอันเกี่ยวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ต่อจากนั้น ก็ตั้งใจไว้ว่าจักพรรณาถึงการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณของ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ คือ พระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคตมบรมครูเจ้าแห่งเราท่านทั้งหลายในขณะนี้ กับทั้งจักพรรณนาถึงความพระองค์ทรงเป็นนาถะ คือเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงของพวกเราทั้งหลาย โดยให้ชื่อเรื่องว่า มุนีนาาถทีปนี หรือศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งหมายถึงการชี้แจงแสดงเรื่องพระองค์ผู้ทรงเป็นนาถะที่พึ่ง คือสมเด็จพระสัมมามาพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนี ทรงมีพระปัญญาลึกล้ำสามารถนำสัตว์ออกจากวัฏสงสารได้ ทั้งนี้ ก็ด้วยมีเจตจำนงใคร่จะสดุดีพระคุณแห่งพระองค์เป็นประการสำคัญ

ฉะนั้น ขอมวลท่านพุทธศาสนิกชนผู้สนใจในความเป็นไปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กล่าวมานี้ จงมีมนัสมั่นอุตสาห์พยายามติดตามศึกษาต่อไป ตามสมควรแห่งอัธยาศัยแห่งตนเถิด.

บทที่ ๑

พระพุทธาธิการ


บัดนี้  จักกล่าวถึงพระพุทธาธิการ คือการกระทำอันยิ่งใหญ่เพื่อให้ได้พระปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแห่งสมเด็จ พระบรมศาสดาจารย์ผู้ทรงเป็นจอมมุนีทั้งหลาย ก็องค์พระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เราท่านทั้งหลายก็คงจะทราบกันได้ดีแล้วว่า มิใช่จะมีปรากฏในโลกแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น โดยที่แท้ ในอดีตกาล ก็มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกหลายพระองค์ล่วงมาแล้ว และในอนาคตกาล พอสิ้นสูญศาสนาองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคดมบรมโลกนายก ที่เราเคารพบูชาอยู่ทุกวันนี้แล้ว ก็จักมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใหม่เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้อีก แต่ว่ามาตรัสเป็นครั้งเป็นคราว ไม่เป็นระยะเวลาติดต่อรับช่วงกัน โดยที่บางทีพอสิ้นศาสนาพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งแล้ว โลกก็ว่างจากพระพุทธศาสนาอยู่ไม่นานนักเพียงในกัปเดียวกันนั่นเอง ก็มีศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่อุบัติขึ้น แต่บางทีนั้น พอสิ้นศาสนาสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งแล้ว โลกเรานี้ต้องว่างจากพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานแสนนานนับเป็นสิบๆ มหากัปทีเดียว จึงจะมีศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ปรากฎขึ้นมา

และเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นในโลกคราวใด คราวนั้นพระองค์ท่านย่อมตรัสพระสัทธรรมเทศนาแสดงปฏิปทาข้อปฏิบัติให้ถึงความ พ้นทุกข์ในวัฏสงสารประทานอมตธรรม นำสัตว์โลกให้ได้บรรลุถึงพระนิพพานสมบัติ เหล่าสัตว์ผู้มีวาสนาบารมี แต่พอได้สดับพระโอวาทานุสสนีขององค์พระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ย่อมได้บรรลุมรรคผลนิพพานตามสมควรแก่อุปนิสัยวาสนาบารมี แห่งตนๆ เป็นอันพ้นจากทุกข์ภัยในสงสารได้เป็นอันมาก แล้วศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็จะพลันเสื่อมถอยลงๆ จนกระทั่งหายสาปสูญไปจากโลกนี้ในคราวหนึ่งๆ ในระยะกาลเวลาที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนานี้ โลกก็จะมีสภาวะเป็นโลกมืดมนมืดบอดจากมรรคผลนิพพาน เพราะไม่มีแสงประทีปกล่าวคือ พระสัทธรรมอันแสดงหนทางให้ถึงธรรมวิเศษนี้ได้ สัตว์ที่เกิดมาในระยะนี้ ก็ชื่อว่าเกิดมาเปล่าและก็ตายไปเปล่า หาสาระแก่นสารอันใดมิได้ ต่อเมื่อใด ปรากฎมีสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ เสด็จมาประกาศพระพุทธศาสนาขึ้นอีกนั่นแหละ โลกจึงจะลุกโพลงขึ้นด้วยแสงประทีปอันประเสริฐ คือพระสัทธรรมนำสัตว์ให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพานเสียอีกคราวหนึ่ง จึงเป็นว่าโลกเรานี้ บางทีก็ว่างจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่ในนานเท่าใด แต่บางสมัยนั้นโลกต้องว่างจากพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานนัก

มีปัญหาว่า เหตุไฉน สมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงไม่ผลัดกันมาตรัสในโลกเรานี้ให้เสมอติดต่อกัน ไปโดยไม่ขาดสาย จะปล่อยให้โลกว่างจากพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานๆ ทำไมกัน? จะมาตรัสให้ติดต่อกันไป เช่น พอสิ้นศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์เก่าแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ ก็มาประกาศพระศาสนาแทนต่อไปอีก โดยมิให้โลกต้องว่างจากพระพุทธศาสนาเลยทีเดียวมิได้หรือ? ในกรณีนี้เห็นทีจะขัดสน ทั้งนี้ ก็เพราะว่าการที่โลกเรานี้ จักได้มีโอกาสต้อนรับการอุบัติขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสัก พระองค์หนึ่งนั้น เป็นการลำบากยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุอะไร ก็เพราะว่า จะหาผู้ที่มาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแต่ละท่านนั้น หากันมิค่อยจะได้เลย

ก็การที่จะได้ตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ดำรงฐานะเป็นเอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆ เมื่ไหร่เล่า โดยที่แท้ เป็นได้โดยยากนักหนา ความยากอย่างยิ่งจะขอยกไว้ในตอนเบื้องต้นนี้ จักกล่าวถึงน้ำใจก่อนท่านที่จักตรัสเป็นพระพุทธเจ้าคือได้บรรลุถึงพระพุทธ ภูมินั้นต้องเป็นท่านที่มีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวขนาดเป็นมหาวีรบุรุษที เดียว ในข้อนี้พึงทราบอุปมากถาที่ท่านพรรณาไว้ ดังต่อไปนี้

น้ำใจพระโพธิสัตว์


กาลเมื่อโลกจักรวาล อันมีเนื้อที่กว้างใหญ่สุดประมาณนี้มีถ่านเพลิงซึ่งร้อนรุ่มสุมคุ ระอุ จนเต็มไปหมด ผู้ใดมีน้ำใจองอาจเพื่อจะเดินฝ่าบุกไปโดยเท้าเปล่าๆ ไปจนสุดหมื่นโลกจักวาลก็ดี



ในเมื่อโลกจักรวาล อันมีเนื้อที่กว้างใหญ่สุดประมาณนี้มีเปลวไฟลุกแดงเป็นพืดยาวเต็มไปหมด ผู้ใดมีน้ำใจองอาจเพื่อจะเดินฝ่าบุกไปโดยเท้าเปล่าๆ ไปจนสุดหมื่นโลกจักรวาลก็ดี



ท่านผู้มีน้ำใจองอาจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเห็นปานฉะนั้ จึงควรที่จะปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างพระบารมีเพื่อจะได้ตรัสรู้พระปรมาภิเษกสมโพธิญาณได้ เห็นไหมเล่า ว่าท่านผู้มีปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น จะต้องเป็นผู้มีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเพียงใด ถ้ามีน้ำใจอ่อนแอมีความกลัวตายมากกว่าพระโพธิญาณแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย ก็ผู้ที่มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเช่นว่ามานั้น หากันได้ง่ายๆ ในโลกที่ไหนเล่า



อนึ่ง ผู้ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น ย่อมบำเพ็ญธรรมหนักแน่นด้วยน้ำใจเด็ดเดี่ยวมั่นคง ไม่ว่าจักเสวยพระชาติคือถือกำเนิดเป็นอะไรก็ตาม ย่อมจะมีน้ำใจสมาทานมั่นคง จะได้ย่อหย่อนเบื่อหน่ายส่ายพักตร์เป็นไม่มีเลย สมณพราหมณ์ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งมีจิตคิดจะทดลองด้วยอุบาย มุ่งหมายจะให้พระโพธิสัตว์ละเสียซึ่งกุศลสมาทาน ก็มิอาจจะทำได้สำเร็จเลย กิริยาที่พระโพธิสัตว์ประกอบด้วยกุศาลสมาทานมั่นคงนี้ ในชาติที่พระองค์ถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์จะขอยกไว้ ในที่นี้ ใคร่จะขอเล่าแต่เพียงชาติที่พระองค์ทรงเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ก็ยังมีพระบวรสันอานประกอบไปด้วยกุศลสมาทานมั่นคง มีน้ำใจตรงแน่วไม่หวั่นไหว ตามเรื่องที่ปรากฎมีในพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้

กระแตผู้โพธิสัตว์

กาลเมื่อ สมเด็จพระจอมมุนี ยังสร้างสมบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งต้องทรงท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนั้น ปรากฎว่าครั้งหนึ่ง พระองค์อุบัติในดิรัจฉานภูมิเสวยพระชาติเป็นกระแตสัตว์เดียรฉานมีนิวาสสถาน อยู่ ณ ที่ใกล้มหาสมุทรทะเลใหญ่

อยู่มาวันหนึ่ง เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมมาเป็นอันมาก กระแสน้ำซึ่งมีกำลังเชี่ยวกรากดุดัน พัดผันพาเอารังพร้อมทั้งลูกของพระโพธิสัตว์ลงไปสู่มหาสมุทรทะเลหลวงหายไป ฝ่ายพระโพธิสัตว์ เมื่อได้รับอุปัทวเหตุเช่นนี้ ก็มีใจเศร้าเฝ้าคิดสงสารลูกของตนเป็นหนักหนา เสวยทุกขเวทนาดั่งว่าจะขาดใจตายไปตามบุตร สุดที่จะคิดถึงเหตุผลประการใด มีใจมุ่งหมายครุ่นคิดอยู่แต่ว่า


"เราจะกระทำความเพียร วิดน้ำในมหาสมุทรนี้ให้แห้งแล้วจะค้นหาลูกของเราจนพบให้จงได้"

ครั้นคิดมุมานะฉะนั้นแล้ว ก็เริ่มกระทำความเพียรเอาหางของตนจุ่มลงไปปในน้ำพอเปียกชุ่มแล้วก็วิ่งขึ้น ไปสลัดน้ำลงบนที่ดอน แล้วก็ย้อนกลับมาเอาหางจุ่มน้ำ และวิ่งไปสลัดน้ำลงบนที่ดอนอีก แต่พระโพธิสัตว์เจ้าเฝ้าวิดน้ำในมหาสมุทรด้วยหางแห่งตนอยู่อย่างนี้ จนสรีระร่างกายได้รับความบอบช้ำเหน็ดเหนื่อยนักหนา เป็นเวลาถึง ๕-๖ วัน น้ำนั้นจะได้พร่อมไปสักนิดหนึ่งก็หามิได้ ก็มันจะพร่องไปได้อย่างไรเล่า เพราะว่าไม่ใช้น้ำในตุ่มในไห แต่เป็นน้ำในมหาสมุทรใหญ่ทะเลหลวง ซึ่งมีมากมายเหลือคณนา แม้ว่าจะเป็นอย่างนี้ สัตว์ผู้มีใจเด็ดคือกระแตโพธิสัตว์นั้น ก็มีใจมั่นคง จะได้ย่อท้อหย่อนจากความเพียรเสียก็หามิได้ กลับตั้งใจมีมานะพยายามวิดน้ำในมหาสมุทรนั้นต่อไปอีกอย่างไม่ลดละ

ด้วยเดชะวิริยบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ ซึ่งตั้งใจกระทำอย่างผิดธรรมดาในครานั้น ก็บันดาลให้บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ขององค์สมเด็จพระอมรินทราธิราช ผู้ทรงเป็นจอมเทพยดาเจ้าเบื้องสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ถึงอาการแข็งกระด้างเป็น อัศจรรย์! ครั้นองค์มัฆวานทรงส่องทิพยเนตรทราบประพฤติเหตุนั้นแล้ว จึงเสด็จลงมาจากเทวโลกในวันที่ ๗ แปลงเพศเข้าไปหากระแตโพธิสัตว์เจ้า ซึ่งกำลังเอาหางวิดน้ำในมหาสมุทรอยู่อย่างอุตลุดแล้วทรงมีเทววาทีเอ่ยถาม ขึ้นว่า


"ดูกร ท่านผู้เป็นกลันทกชาติ คือกระแต! ท่านมาทำอะไรพิกลอยู่ที่นี่?"


"เรากำลังทำการวิดน้ำในมหาสมุทร" พระโพธิสัตว์ตอบ


"ท่านมีความประสงค์สิ่งใดๆ จึงถึงกับต้องวิดน้ำทั้งมหาสมุทรทีเดียว?"


"เรากระทำความเพียรในครั้งนี้เพื่อหวังจะให้น้ำในมหาสมุทรนี่แห้ง แล้วจะค้นหาบุตรของเราที่ถูกน้ำพัดพามาจมลงที่มหาสมุทรนี่ให้พบ"

สมเด็จพระอมรินทราธิราช จึงตรัสว่า

"การที่ท่านจะวิดน้ำในมหาสมุทรนี่ให้แห้งนั้น เห็นทีจะขัดสนนัก คือ ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านจักต้องตายเสียเปล่าเป็นแน่แท้! ท่านมิแลดูดอกหรือว่า น้ำในมหาสมุทรนี้มากมายนัก สุดวิสัยที่ผู้ใดผู้หนึ่งจักวิดให้แห้งได้ ไฉนท่านจึงมากระทำการอันสำแดงความโง่ออกมาให่ปรากฎเห็นปานฉะนี้ หยุดเสียเถิด อย่าได้พยายามต่อไปเลย จะตายเสียเปล่าๆ"

"ท่านนั่นแหละ โง่! " พระโพธิสัตว์ผู้เป็นกลันทกชาติกล่าวตอบ แล้วจึงพูดต่อไปตามประสาแห่งตนว่า "ตัวท่านเป็นคนโง่ เพราะเป็นผู้มีใจเกียจคร้านหาความเพียรมิได้ ขึ้นชื่อว่าคนเกียจคร้านเหมือนเช่นตัวท่านนี้ หาควรที่เราจะเจรจาด้วยไม่ ตั้งแต่ท่านมาชักชวนเจรจาอยู่นี่ ก็เป็นการเสียเวลาเราอยู่เป็นอันมาก เราเสียดายเวลานัก ท่านจงไปเสียให้พ้นเถิด อย่ายืนอยู่ที่นี้เลย อ้าว...ว่าอย่างไรเล่า บอกว่าไปให้พ้น..."


พระโพธิสัตว์ตวาดไล่พระอินทร์ดังนี้แล้ว ก็ก้มหน้าก้มตาวิดน้ำในมหาสมุทรด้วยหางของตนต่อไปอย่างขะมักเขม้น โดยไม่ยอมพักผ่อนหยุดยั้ง ข้างฝ่ายสมเด็จพระอมรินทราธิราช เมื่อถูกตวาดเช่นนั้น จึงทรงพระดำริว่า แท้จริงธรรมดาว่า สัตว์ผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูรนี้ ย่อมมีความเพียรใหญ่ประจำอยู่ในสันดานอย่างเอกอุ ดูเอาเถิดในกาลบัดนี้ ถึงแม้จะกระทำสิ่งที่เหลือวิสัย เราลองน้ำใจบอกให้เลิกละเสียด้วยเหตุผลอันสมควรนักหนาก็หาได้ละทิ้งความ ตั้งใจเดิมเสียไม่ ช่างมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวอาจหาญน่าสรรเสริญนัก เมื่อมีเทวดำริเช่นนี้แล้ว จึงทรงไปนำเอาลูกกระแตซึ่งยังไม่ตายมากมอบให้แก่พระโพธิสัตว์ด้วยเทวานุภาพ แล้วก็สำแดงองค์ให้ทราบว่า พระองค์เป็นจอมเทพเบื้องสรวงสวรรค์ เปล่งรัศมีมีพรรณรุ่งเรืองโอภาส เสด็จกลับไปสู่ไพชยนตปราสาท อันเป็นเทวสถานพิมานที่ประทับอยู่แห่งพระองค์


เรื่องที่เล่ามานี้ ย่อมจะชี้ให้เห็นว่าพระโพธิสัตว์คือท่านผู้ปรารถนาเพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นสม เด้จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลนั้น ย่อมจะมีมนัสมั่นคงนักหนา ถึงแม้ว่าจะพลาดพลั้งไปถือกำเนิดเป็นสัตว์เดียรฉานก็ดี ก็ย่อมมีน้ำใจมั่นคงเด็ดเดี่ยวเต็มไปด้วยวิริยะอุตสาหะเป็นยอดเยี่ยม ถ้าลงได้ตั้งใจกระทำสิ่งใดแล้ว แม้จักยากแสนยากเพียงใดก็ตาม การที่จะมีความเพียรอันย่อหย่อนหรือเลิกล้มความตั้งใจเสียกลางคันนั้นเป็น อันไม่มีอย่างเด็ดขาด นี่แหละท่านทั้งหลาย คือความมั่นคงเด็ดเดี่ยวแห่งน้ำใจ ของพระมหาบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้เฝ้าปรารถนาเพื่อจักได้ตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
พระพุทธเจ้า ๓ ประเภท


เมื่อได้ชี้แจงให้ทราบถึงน้ำใจพระโพธิสัตว์ ผู้ปรารถนาพระพุทธภูมิเป็นเบื้องแรกดังกล่าวมาแล้ว บัดนี้ เพื่อความเข้าใจในเรื่องราวตามลำดับ จักขอกลับมากล่าวถึงประเภทแห่งสมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสีย ก่อน ก็สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เมื่อจะแบ่งเป็นประเภท ก็ได้ ๓ ประเภท ตามพระบารมีที่ได้ทรงสร้างสมอบรมมา คือ พระปัญญาธิกะพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง พระสัทธาธิกะพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง พระวิริยาธิกะพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง ซึ่งมีอรรถาธิบายตามที่ท่านพรรณนาไว้ ดังต่อไปนี้

พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า


สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะนี้ พระองค์ทรงสร้างพระบารมีชนิดปัญญาแก่กล้า คือทรงมีพระปัญญามาก แต่มีพระศรัทธาน้อย จึงทรงสร้างพระบารมีน้อยกว่าพระพุทธเจ้าในประเภทอื่น เมื่อจะนับเวลาที่ทรงสร้างพระบารมีตั้งแต่ต้น จนกระทั่งได้ตรสพระปรมาภิเษกสมโพธิญาณ เป็นเวลายาวนาน ดังนี้
ก. เริ่มแรกตั้งแต่ทรงดำริในพระทัยที่ว่า "เราจักเป็นพระพุทธเจ้าสักองค์หนึ่ง" ได้ทรงนึกอย่างนี้อย่างเดียว มิได้ออกโอษฐออกพระวาจาแต่ประการใด ก็นับเป็นเวลานานถึง ๗ อสงไขย
ข. ต่อจากนั้น จึงออกโอษฐปรารถนาว่า "เราจักตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้าให้จงได้" แล้วก็ทรงสร้างพระบารมีเพื่อพระโพธิญาณเรื่อยไป พร้อมกับออกโอษฐปรารถนาอยู่อย่างนั้น นับเป็นเวลานานได้ ๙ อสงไขย
ค. ต่อจากนั้น จึงจะได้รับลัทธาเทศ คือ คำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งว่า "จักได้ตรัสรู้เป็นองค์พระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน" ครั้นได้รับลัทธาเทศบาลดังนี้แล้ว ก็ต้องสร้างพระบารมีอยู่อีกนานหนักหนา นับเป็นเวลาได้ ๔ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป
จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะนี้ ต้องทรงสร้างพระบารมีมาตั้งแต่เริ่มแรก จนกว่าจะได้ตรัสรู้นั้นนับเป็นเวลานานถึง ๒๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัปพอดีและมีข้อควรทราบไว้ในที่นี้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ

สมเด็จพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะนี้ หลังจากพระองค์ได้ทรงสร้างพระบารมีมานานแล้ว และเมื่อจะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าว่า "จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน" เป็นครั้งแรกนั้น ในขณะนี้ หากพระองค์ท่านจะละความปรารถนาดั้งเดิมที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเสีย แล้วกลับมามีพระทัยน้อมไปในทางสาวกโพธิญาณ คือปรารถนาที่จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานในชาตินั้น พูดอีกทีก็ว่าพระองค์ทรงกลับใจไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้า เพราะทรงคิดเห็นว่า

"การที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ต้องสร้างพระบารมี อีกนานนัก เราสมัครเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่จะทรงพยากรณ์ในขณะนี้ดีกว่า"

เมื่อเป็นแต่เพียงกลับใจดังนี้ แล้วตั้งใจสดับพระธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์มณฑลแห่งสมเด็จพระทศพลพระองค์นั้น พอสดับพระธรรมเทศนาบาทพระคาถาที่ ๓ ยังมิทันจะจบลง พระองค์ท่านก็จักได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายทันที ทั้งนี้ก็เพราะมีพระบารมีญาณแก่กล้าอยู่ในขันธสันดานแล้ว

แต่การที่ไม่ทรงรีบคว้าเอามรรค ผลนิพพาน อันอยู่ใกล้แค่พระหัตถ์เอื้อมในครั้งกระนั้น ก็เพราะทรงมีพระมนัสมั่นมุ่งหมายเอาพระพุทธโพธญาณ ทั้งนี้น้ำพระทัยอาจหาญเด็ดเดี่ยวปรารถนาเพื่อจักได้บรรลุถึงพระสัมมา สัมพุทธเจ้าอย่างเดียว จึงสู้ทนทรมาณสร้างพระพุทธบารมีด้วยพระวิริยะอุตสาหะไปอีกนานนักหนา นับเป็นเวลาถึง ๔ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป

พระสัทธาธิกะพุทธเจ้า


สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะพุทธเจ้านี้ พระองค์ทรงสร้างพระบารมีประเภทศรัทธาแก่กล้า คือทรงมีพระศรัทธามากยิ่ง จึงทรงสร้างพระบารมีประเภทปานกลาง เมื่อจะนับเวลาที่ทรงสร้างพระบารมีมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งได้ตรัสพระ ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ก็เป็นเวลายาวนาน ดังนี้
ก. เริ่มแรกแต่ทรงดำริในพระทัยไปจนกว่าจะถึงเวลาออกพระโอษฐปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้น นับเป็นเวลานานถึง ๑๔ อสงไขย
ข. นับจำเดิมแต่ออกพระโอษฐ ปรารถนาเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นต้นไป กว่าจะได้ลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์ หนึ่งนั้น นับเป็นเวลาถึง ๑๘ อสงไขย
ค. นับจำเดิมแต่ได้รับลัทธาเทศคำพยากรณ์ครั้งแรกเป็นต้นไป กว่าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกเป็นเอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติ สุดท้ายนั้น นับเป็นเวลานานถึง ๘ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป
จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะนี้ ต้องทรงสร้างพระบารมีมาตั้งแต่แรกเริ่ม จนกว่าจะได้ตรัสรู้นั้น นับเป็นเวลารวมทั้งสิ้นได้นานถึง ๔๐ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป และมีข้อที่ควรทราบไว้ในที่นี้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือว่า

สมเด็จพระพุทธเจ้าสัทธาธิกะนี้ ในขณะที่ทรงได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าว่า "จักได้ตรัสเป็นองค์พระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน" เป็นครั้งแรกนั้น หากพระองค์ท่านจะกลับใจไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่เอาพระสัมมาสัมโพธิญาณอันประเสริฐสุด รีบรุดประสงค์สาวกโพธิญาณ กล่าวคือปรารถนาเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ที่พยากรณ์ตนแล้วตั้งใจ สดับพระสัทธรรมเทศนาในขณะนั้น แต่พอสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าทรงเทศนาบาทพระคาถาที่ ๔ ยังมิทันที่จะจบลง ก็จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายทันที ทั้งนี้ ก็เพราะมีพระบารมีญาณเต็มเปี่ยมอยู่ในขันธสันดานแล้ว

พระวิริยาธิกะพุทธเจ้า


สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะพุทธเจ้านี้ พระองค์ทรงสร้างพระบารมีประเภทมีความเพียรแก่กล้า คือทรงมีพระวิริยะมากยิ่ง จึงต้องการสร้างพระบารมีมากมาย นับเป็นเวลาช้านานกว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าประเภทอื่นทั้งหมด เมื่อจะนับเวลาที่จะสร้างพระบารมีมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งได้ตรัสพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณก้นับเป็นเวลายาวนาน ดังนี้
ก. เริ่มแรกแต่ทรงดำริในพระทัย ไปจนกว่าจะถึงเวลาออกโอษฐปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้น ก็นับเป็นเวลานานถึง ๒๘ อสงไขย
ข. นับจำเดิมแต่ออกโอษฐ ปรารถนาเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นต้นไป กว่าจะได้ลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ก็นับว่าเป็นเวลานานถึง ๓๖ อสงไขย
ค. นับจำเดิมแต่ได้รับลัทธยาเทศ คำพยากรณ์ครั้งแรกเป็นต้นไปกว่าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกเป็นเอกองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายนั้น ก็นับเป็นเวลานานถึง ๑๖ อสงไขยกับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป
จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะนี้ ต้องทรงสร้างพระบารมีตั้งแต่เริ่มแรกที่สุดจนกระทั่งได้ตรัสรู้นั้น นับเป็นเวลายาวนานรวมทั้งสิ้น ๘๐ อสงไขยกับเศษหนึ่งแสนมหากัปพอดี และมีข้อที่ควรทราบไว้ในที่นี้อีกอย่างหนี่งก็คือว่า

สมเด็จพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะนี้ ในขณะที่จะทรงได้รับลัทธยาเทศคือ คำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกนั้น หากพระองค์ท่านจะทรงกลับใจไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า คือ ไม่เอาพระสัมมาสัมโพธิญาณอันประเสริฐสุด รีบรุดเร่งประสงค์เพียงแค่สาวกโพธิญาณแล้วไซร้ ตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนาในขณะนั้น ครั้นสดับอรรถาธิบายพระคาถา ๔ บาท ที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ ทรงจำแนกแจกแจงอรรถออกโดยพิศดาร แต่เพียงจบลงเท่านั้น ก็จะพลันได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายทันที ทั้งนี้ก็เพราะมีพระบารมีญาณเต็มเปี่ยมอยู่ในขันธสันดานแล้ว จึงอาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์และบรรลุถึงพระนิพพานในชาตินั้นได้

เรื่องอสงไขย


กาลเวลาที่นับเป็นจำนวนอสงไขยและเป็นจำนวนมหากัปที่ว่าเรื่อยมานั้น ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้ ฟังเรื่อยๆ ไปแต่เพียงผิวเผินก็ย่อมเป็นสักแต่ว่าอย่างนั้นเอง... คือ คล้ายๆ กะว่าพูดเพื่อให้เกิดความระรื่นหู ผู้ที่ไม่รู้อาจจะคิดด่วนสรุปความเอาเองง่ายๆ ตามประสาของผู้มีปัญญามักจะแล่นไปข้างหน้าว่า คงเป็นเวลาที่ไม่นานเท่าไหร่กระมัง? อย่าด่วนคิดเอาเองดังนั้น เพราะความจริงไม่ใช่ ด้วยว่า กาลเวลาที่นับเป็นอสงไขยและเป็นมหากัปนั้น มันเป็นเวลาที่ยาวนานนักหนา พึงทรงทราบอรรถาธิบายที่ท่านพรรณนาไว้ ดังต่อไปนี้

กาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย นั้น ท่านกำหนดเอากาลเวลาที่มากมายยาวนานเหลือที่จะนับจะประมาณได้ เพราะคำว่า อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ คืออย่านับดีกว่า โดยมีคำอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า
ฝนตกใหญ่มโหฬารทั้งกลางวันกลางคืนเป็นเวลานานถึง ๓ ปีติดต่อกันมิได้หยุด มิได้ขาดสายเม็ดฝน จนน้ำฝนเจิ่งนองท่วมท้นเต็มขอบเขาจักรวาล อันมีระดับความสูงได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ทีนี้ ถ้าสามารถนับเม็ดฝน และหยาดแห่งเม็ดฝนที่กระจายเป็นฟองฝอยใหญ่น้อย ในขณะที่ฝนตกใหญ่ ๓ ปีติดต่อกันนั้น นับได้จำนวนเท่าใด อสงไขยหนึ่งเป็นจำนวนปีเท่ากับเม็ดฝนและหยาดแห่งเม็ดฝนที่นับได้นั้น
อุปมานี้เป็นอุปมากาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย ท่านทั้งหลายที่รู้สึกว่าเข้าใจยากในข้อความที่ว่ามานี้ ต้องอ่านทบทวนดูอีกทีแล้ว คงจะเข้าใจดีขึ้น และแล้วก็คงจะเห็นเองว่าเวลาที่อสงไขยๆ นั้น เป็นเวลานานหนักหนาเพียงไร

สมเด็จพระจอมมุนี สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย แต่ละพระองค์แต่ละประเภทต้องทรงสร้างพระบารมีมาจำนวนหลายๆ อสงไขย จึงนับได้ว่า พระองค์ต้องการมีน้ำพระทัยประกอบไปด้วยวิริยะอุตสาหะน่าสรรเสริญเป็นนักหนา ยิ่งกว่านั้น ยังยืดเวลาที่เป็นเศษนับเป็นแสนมหากัปอีกด้วย ก็เวลาที่นับเป็นกัปหรือมหากัปนี่ ก็หาใช่เวลาเล็กน้อยไม่ พึงทราบอรรถาธิบายในเรื่องมหากัป ดังต่อไปนี้

เรื่องมหากัป


ยังมีจอมบรรพตภูเขาใหญ่หนึ่ง ซึ่งตั้งตระหง่านเงื้อมทะมึนอยู่ เมื่อทำการวัดภูเขานั้นโดยรอบ ย่อมได้ปริมาณความกว้างใหญ่และส่วนสูงได้ ๑ โยชน์พอดี ทีนี้ พอถึงกำหนด ๑๐๐ ปี มีเทพยดาผู้วิเศษองค์หนึ่งมีหัตถ์ถือเอาผ้าทิพย์ซึ่งมีเนื้อละเอียดอ่อน ประดุจควันไฟลงาจากเบื้องสวรรค์เทวโลก ครั้นพอมาถึง ก็ลงมือเช็ดถูบนยอดภูเขาใหญ่ด้วยผ้าทิพย์นั้นหนหนึ่งแล้วกลับไปเสวยทิพย สมบัติอยู่ ณ วิมานอันแสนสุขแห่งตนบนเทวโลกตามเดิม พอครบกำหนด ๑๐๐ ปีอีกแล้วจึงถือเอาผ้าทิพย์มาเช็ดถูยอดภูเขานั้นอีกหนหนึ่ง เทพยดาผู้วิเศษนั้นเฝ้าเช็ดถูยอดภูผาตามวาระอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ร้อยปีเช็ดถูทีหนึ่งๆ จนกระทั่งภูเขาใหญ่ที่สูงได้ ๑ โยชน์น้น สึกเกรียนเหี้ยนลงมาราบเป็นหน้ากลองเสมอพื้นดินแล้วเมื่อใด ตลอดเวลาเท่านั้นแหละจึงกำหนดได้ว่าเป็นหนึ่งมหากัป
อีกอุปมาหนึ่งว่า ยังมีกำแพงแห่งหนึ่ง ซึ่งใหญ่มหึมาเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส มีความกว้างและความลึกวัดได้ ๑ โยชน์พอดี ทีนี้ พอถึงกำหนด ๑๐๐ ปี ปรากฎมีเทพยดาองค์หนึ่งมีหัตถ์ถือเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาหยอดใส่กำแพงสี่ เหลี่ยมที่ว่านี้เมล็ดหนึ่ง แล้วกลับไปเสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ วิมานอันแสนสุขแห่งตนบนเทวโลก ครั้นครบกำหนด ๑๐๐ ปีอีกแล้ว จึงนำเอาเมล็ดพันธุ์ผผักกาดมาใส่เพิ่มเติม ลงมาในกำแพงสี่เหลี่ยมนั้นอีกเมล็ดหนึ่ง แต่เทพยดาผู้วิเศษนั้น เฝ้าเวียนมาหยอดใส่เมล็ดพันธุ์ผักกาดด้วยอาการอย่างนี้ ร้อยปีหยอดใส่ลงไปเมล็ดหนึ่งๆ จนกระทั่งเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้น เต็มเสมอขอบปากกำแพงอันกว้างใหญ่ได้โยชน์หนึ่งนั้นแล้วเมื่อใด ตลอดเวลาเท่าที่อุปมาเปรียบเทียบมานี้ จึงจะกำหนดนับได้ว่าเป็นหนึ่งมหากัป
ตามที่กล่าวมานี้ เป็นการชี้ให้เห็นความยาวนานแห่งเวลาที่เรียกว่า มหากัป ด้วยการกล่าวอุปมา หากจะนับเป็นเวลาให้ทราบกันเป็นระยะๆ ก็พอจะมีทางนับได้ ดังต่อไปนี้

อันตรกัป


สมัยเริ่มแรกแต่ดึกดำบรรพ์นั้น บรรดามนุษย์คือว่าคนเรานี้ ไม่ใช่ว่าจะมีอายุน้อยนิดเดียว เกิดมาในโลกแต่เพียง ๗๐-๘๐ ปีมาแล้ว ก็ให้มีอันเป็นถึงแก่กาลกิริยาได้แก่ต้องตายไปตามๆ กันเป็นส่วนมาก ตามที่รู้เห็นกันในปัจจุบันทุกวันนี้ก็หามิได้เลย โดยที่แท้มนุษย์ในสมัยเริ่มแรกนั้น มีอายุยืนนานมากคือ มีอายุถึงอสงไขยปี

ก็จำนวนที่เรียกอสงไขยนั้น ก็คือจำนวนปีที่มีเลขหนึ่งขึ้นหน้าแล้วมีเลขศูนย์ตามหลังอีก ๑๔๐ เลขศูนย์ หรือจะว่าเป็นจำนวนที่นับด้วยตัวเลข ๑๔๐ หลักก็ได้ ถ้าอยากจะทราบว่ามันเป็นจำนวนเท่าใด? ได้ตัวเลขรูปร่างเป็นอย่างไร? จะลองทำดูก็ได้ คือ ตั้งเลข ๑ เข้าแล้วต่อเติมเลขศูนย์เข้าข้างท้ายต่อเติมไปให้ได้ ๑๔๐ เลขศูนย์ จำนวนเท่าที่ได้นั้นนับเป็นอสงไขยปี

อสงไขยปีนี้เอง เป็นอายุของมนุษย์เราโดยอนุมานในสมัยเริ่มแรก แล้วอายุอันมีจำนวนมากมายมหาศาลนั้นก็ค่อยๆ ลดลงมา โดยร้อยปีลดลงปีหนึ่งๆ ลดลงมาๆ (อาการที่อายุลดลงมานี้ พึงเห็นตัวอย่างเช่น ในสมัยที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น อายุของมนุษย์มี ๑๐๐ ปีเป็นประมาณ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลนั้น ตราบเท่ามาถึงปัจจุบันนี้ล่วงแล้วได้ ๒๕๐๐ กว่าพรรษา เอาเป็นว่า ๒๕๐๐ พรรษาก็แล้วกัน ในจำนวน ๒๕๐๐ นี้ หนึ่งร้อยปีหักออกเสียหนึ่งปี ก็คงเป็นหักออก ๒๕ ปี เมื่อ ๑๐๐ ปี หักออกเสีย ๒๕ ปี ก็คงเหลือ ๗๕ ปี จึงเป็นอันยุติได้ว่า อายุของมนุษย์เรา ในสมัยปัจจุบันนี้ประมาณ ๗๕ ปี เป็นเกณฑ์โดยมาก) อายุของมนุษย์ก็ค่อยๆ ลดลงด้วยอาการอย่างนี้จนกระทั่งเหลือเพียง ๑๐ ปี เมื่อเหลือเพียง ๑๐ ปีแล้ว ทีนี้ไม่ลดต่อไปอีกละ แต่จะเพิ่มขึ้นคือค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ร้อยปีเพิ่มขึ้นปีหนึ่ง ๆ เช่นเดียวกับตอนที่ลดลงมานั่นเอง เพิ่มขึ้นๆ เรื่อยไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งมนุษย์มีอายุยืนนานถึงอสงไขยปีอีกตามเดิม เวลาหนึ่งรอบอสงไขยนี้ เรียกว่าเป็นหนึ่งอันตรกัป

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
อสงไขยกัป


เมื่อนับจำนวนอันตรกัปที่กล่าวมาแล้วนั้น จนครบ ๖๔ อันตรกัปแล้ว จึงเรียกว่าเป็นหนึ่งอสงไขยกัป
ก็อสงไขยกัปนี้ มีอยู่ ๔ อสงไขยกัปด้วยกัน โดยแบ่งเป็นตอนๆ ดังนี้
๑. สังวัฏฏอสงไขยกัป... เป็นอสงไขยกัปปรากฎในตอนที่โลกถูกทำลาย ซึ่งได้แก่คำว่า สงวฏฏตีติ สงวฏโฏ = กัปที่กำลังพินาศอยู่ เรียกว่าสังวัฏฏอสงไขยกัป
๒. สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป...เป็นอสงไขยกัปปรากฎในตอนที่โลกถูกทำลายเสร็จเรียบ ร้อยแล้ว ซึ่งได้แก่คำว่า สงวฏโฏ หุตวา ติฏฐตีติ สงวฏฏฐยี = กัปที่มีแต่ความพินาศตั้งอยู่เรียกชื่อว่า สังวัฏฏฐายิอสงไขยกัป
๓. วิวัฏกอสงไขยกัป... เป็นอสงไขยกัป ปรากฎในตอนที่โลกกำลังจะเริ่มพัฒนาเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งได้แก่คำว่า วิวฏฏตีติ วิวฏโฏ = กัปที่กำลังเริ่มเจริญขึ้น เรียกชื่อว่า วิวัฏฏอสงไขยกัป
๔. วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป... เป็นอสงไขยกัปปรากฎในตอนที่โลกเจริญขึ้น พัฒนาเรียบร้อยเป็นปกติตามเดิมแล้ว ซึ่งได้แก่คำว่า วิวฏโฏ หุตฺวา ติฏฐตีติ วิวฏฏฐายี = กัปที่เจริญขึ้นพร้อมแล้วทุกอย่างตั้งอยู่ตามปกติ เรียกชื่อ่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป
มีข้อที่ควรทราบไว้ในที่นี้ ก็คือว่า สัตว์โลกทั้งหลายเช่น มนุษย์แลเดียรฉานเป็นต้น จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ก็เฉพาะตอนอสงไขยกัปสุดท้าย คือ วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัปเท่านั้น ส่วนในตอน ๓ อสงไขยกัปข้างต้น ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในโลกนี้เลย เป็นตอนที่โลกกำลังถูกทำลายพังพินาศและผลแห่งการทำลายก็ยังคุกรุ่นอยู่ มาเป็นปกติเอาก็เมื่อตอนอสงไขยกัปสุดท้ายนี่เอง

อสงไขยกัปหนึ่งๆ นั้น นับเป็นเวลานานมาก ดังกล่าวแล้ว คือ
๑. สังวัฏฏอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
๒. สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
๓. วิวัฏฏอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
๔. วิวัฏฐายีอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
รวม ๕ อสงไขยกัป ก็เป็น ๒๕๖ อันตรกัป

มหากัป
เมื่อนับจำนวนทั้ง ๔ อสงไขยกัป หรือ ๒๕๖ อันตรกัป ตามที่กล่าวมาแล้วจนครบ จึงเป็นหนึ่งมหากัป

ฉะนั้น กาลเวลาที่เรียกชื่อว่า มหากัป นี้จึงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานนักหนา ตามที่กล่าวมานี้ รู้สึกว่าจะฟังยากอยู่สักหน่อย จึงขอสรุปความซ้ำ เพื่อให้จำได้ง่ายอีกทีหนึ่ง ดังนี้
๑ รอบอสงไขยปี เป็น ๑ อันตรกัป
๖๔ อันตรกัป เป็น ๑ อสงไขยกัป
๔ อสงไขยกัป เป็น ๑ มหากัป
กาลเวลาที่นับเป็นมหากัป เป็นอสงไขย หวังว่าคงจะเป็นที่เข้าใจกันบ้างแล้ว ทีนี้ เราจะหวนกลับพูดกันเรื่องเดิม คือการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกแห่งเอกองค์พระจอมมุนีชินสีห์เจ้าทั้ง ปวงกันต่อไป ได้กล่าวไว้แล้วว่า สมัยพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งปวงนั้น ต้องทรงสร้างพระบารมีตั้งแต่เริ่มแรกจนกระทั่งได้ตรัสรู้นับเป็นเวลานานตาม ประเภทของพระพุทธเจ้า คือ

๑. สมเด็จพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ต้องทรงสร้างพระบารมีรวมทั้งหมดเป็นเวลา ๒๐ อสงไขย กับเศษเวลาอีกหนึ่งแสนมหากัป
๒. สมเด็จพระพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะ ต้องทรงสร้างพระบารมีรวมทั้งหมดเป็นเวลา ๔๐ อสงไขย กับเศษเวลาอีกหนึ่งแสนมหากัป
๓. สมเด็จพระพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะ ต้องทรงสร้างพระบารมีรวมทั้งหมดเป็นเวลา ๘๐ อสงไขย กับเศษเวลาอีกหนึ่งแสนมหากัป

บัดนี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงใคร่ครวญพิจารณาดูเถิดว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์กว่าจะได้ทรงมีโอกาสเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก นี้ ต้องทรงสร้างสมอบรมพระบารมีมานานนักหนาเพียงใด ถ้าจะว่าสร้างพระบารมีเพื่อปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ เป็นการทำงานชนิดหนึ่งแล้ว ก็ต้องนับว่าเป็นการทำงานที่ต้องใช้ระยะยาวนานที่สุด ซึ่งไม่มีงานอื่นใดในโลกจะมาเทียบเทียมได้ และผู้ที่จะทำงานนี้ได้นั้นก็ต้องเป็นท่านผู้มีใจเพชรเด็ดขาดขนาดมหา วีรบุรุษ จึงจะสามารถมีความอดทนทำงานใหญ่ ซึ่งต้องใช้เวลานับชาติที่เกิดไม่ถ้วนนี้ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้

และมีกฎตายตัวอยู่ว่า สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาเป็นเอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านัน หากว่าพระองค์ท่านยังสร้างพระบารมีไม่ครบกำหนด คือยังไม่ถึง ๒๐ อสงไขยแสนมหากัปก็ดี ยังไม่ถึง ๔๐ อสงไขยแสนมหากัปก็ดี และยังไม่ถึง ๘๐ อสงไขยแสนมหากัปก็ดี ตามประเภทการสร้างพระบารมีแห่งพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมจะไม่มีโอกาสได้ตรัสรู้ก่อนกำหนดเวลาเหล่านี้เลยเป็นอันขาด ถึงแม้จะสามารถสร้างพระบารมี เช่น ให้ทานกันอย่างขนานใหญ่ดุจพระเวสสันดรทุกวันก็ดี หรือจะบำเพ็ญพระบารมีอันยิ่งใหญ่อื่นๆ เป็นนักหนาก็ดี การที่จะได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเร็ว ๆ ก่อนกาลกำหนดที่กล่าวมาแล้วนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะเหตุว่า วาสนาบารมีและปัญญาของพระองค์ ยังไม่ถึงซึ่งความบริบูรณ์และแก่กล้า

ถ้าจะเปรียบ ก็มีอุปมาดุจข้าวกล้าที่ชาวนาปลูกดำลงในนา ตามธรรมดากว่าจะออกเป็นเมล็ด สำเร็จเป็นรวงทองสุกเหลืองพอที่จะเก็บเกี่ยวได้ ก็ต้องใช้เวลา ๔-๕ เดือน ถ้ายังไม่ถึงกำหนดนี้ ต่อให้ชาวนาหมั่นพรวนดินวันละแสนหน หมั่นรดน้ำวันละแสนครั้ง ด้วยตั้งใจว่าจะให้ข้าวกล้านั้น มันออกเป็นเมล็ดเป็นรวงเร็วกว่ากำหนดเวลาตามธรรมชาติแห่งข้าวกล้านั้น ย่อมจะไม่มีวันสำเร็จได้ อุปมาข้อนี้ฉันใด สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ซึ่งทรงสร้างพระบารมีมุ่งหมายพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณนั้น การที่จะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าก่อนกำหนด คือยังไม่ถึงกาลแก่กล้าแห่งวาสนาบารมีย่อมจะเป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้น เราท่านทั้งหลายที่ได้มีโชคดี เกิดมาในระยะที่โลกยังมีพระศาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ยิ่งด้วยพระบารมี ควรจะมีจิตยินดีและเลื่อมใสในพระคุณของพระองค์ผู้ทรงประกอบด้วยพระวิริยะ อุตสาหะ ซึ่งไม่มีผู้ใดในโลกจะเทียมเหมือน

ธรรมสโมธาน

นอกจากจะทรงมีพระวิริยะอุตสาหะเป็นยอดเยี่ยมในการสร้างสมอบรมพระบารมีเป็น เวลานานนักหนา นับเวลาเป็นจำนวนอสงไขย เป็นจำนวนมหากัปดังกล่าวแล้ว สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงผู้ปรารถนาจะได้ตรัสเป็นเององค์สมเด็จพระ พุทธเจ้าในกาลอนาคตนั้น ย่อมต้องปรารถนาธรรมสำคัญหมวดหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า ธรรมสโมธาน เสียก่อน จึงจักได้สำเร็จความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าได้ ถ้าไม่มีธรรมสโมธานนี้แล้ว ก็ไม่แน่นักว่าจักได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า กล่าวอย่างนี้อาจจะทำให้งงงันไปก็ได้ จึงจะขอขยายความต่อไปดังนี้

ท่านที่จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้านั้น เพียงแต่ตั้งใจว่าต้องเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ ก็เป็นเวลาหลายอสงไขยแล้วจึงจะมีโอกาสได้ออกโอษฐเปล่งวาจาเป็นคำพูดว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ ตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาหลายอสงไขยอีกเหมือนกัน ถึงแม้จะมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวปรารถนามาเป็นเวลานานเช่นนี้ก็ยังเป็นอนิยต โพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นักว่าจักได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ต่อเมื่อใด ได้บรรลุถึงโอกาสสำคัญ คือได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว มีโอกาสได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธองค์เจ้านั่นแหละ จึงจะเป็นนิยตโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้แน่นอนว่า จักได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า

คราวนี้ สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ผู้จะทรงพยากรณ์ใครผู้ใดผู้หนึ่ง ว่า "จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล" นั่นก่อนที่จะทรงพยากรณ์มิใช่วาจะไม่ทรงเลือกโดยทรงนึกจะพยากรณ์ก็ทรง พยากรณ์ไปอย่างนั้นเอง ไม่ใช่อย่างนั้น โดยที่แท้ พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระสัพพัญญูตญาณย่อมต้องทรงเลือกดูก่อน ถ้าทรงเห็นว่า ผู้นั้นมีวาสนาบารมีไม่เพียงพอและไม่ประกอบด้วยธรรมสโมธาน พระองค์จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด และผู้นั้นก็ยังได้ชื่อว่าเป็นอนิยตโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นอนอยู่นั่นเอง หากทรงเห็นว่า ผู้นั้นได้สร้างสมบ่มบารมีมาในอดีตชาติ เพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณอย่างเพียงพอ และในขณะนั้น ก็เป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วยธรรมสโมธานแล้ว พระองค์จึงจักทรงพยากรณ์ และเมื่อได้รับพยากรณ์แล้ว ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็น นิยตโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ที่จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า

เท่าที่กล่าวมานี้ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงจะเห็นแล้วว่าธรรมสโมธานย่อมเป็นธรรมะสุดสำคัญ ที่เป็นเหตุให้ได้รับลัทธยาเทศน์คำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้า เพื่อให้ได้เป็นนิยตโพธิสัตว์นั่นเอง ฉะนั้น ธรรมสโมธานนี้ จึงเป็นธรรมะจำเป็นอย่างยิ่งที่พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายต้องตั้งใจปรารถนา ก่อนอะไรอื่นทั้งหมด เมื่อความปรารถนาในธรรมสโมธานนี้สำเร็จแล้ว พระพุทธภูมิ กล่าวคือ ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็จักสำเร็จได้ในภายหลังอย่างไม่ต้องสงส้ย ก็ธรรมสโมธานนี้ มีอยู่ ๘ ประการ ด้วยกันคือ ๑. มนุสฺสตฺตํ ๒.ลิงฺคสมฺปตฺติ ๓. เหตุ ๔. สตฺถุทสฺสนํ ๕. ปพฺพชฺชา ๖. คุณสมฺปัตฺติ ๗. อธิการโร ๘. ฉนฺทตา  ซึ่งมีอรรถาธิบายตามลำดับ ดังต่อไปนี้

๑. มนุสฺสตฺตํ... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ หวังจักได้สำเร็จเป็นองค์พระพุทธเจ้าในอนาคตกาลนั้น ในเบื้องต้นจำต้องปรารถนาได้เกิดเป็น มนุษย์เสียก่อน เพราะการที่จะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้านั้น จะได้ก็แต่เฉพาะในชาติที่เป็นมนุษย์เท่านั้น หากว่าอุบัติเกิดเป็นองค์อินทร์ องค์พรหม หรือเป็นเทพยดา เป็นนาค เป็นครุฑ เป็นอสูร หรือเป็นผู้มีฤทธิ์วิเศษอื่นใด ถึงแม้จะทรงไว้ซึ่งศักดามหานุภาพมากมายสักเพียงใดก็ดี การที่ว่าพระพุทธองค์เจ้าจะทรงพยากรณ์นั้น เป็นอันไม่มี เพราะองค์สมเด็จพระชินสีห์จะทรงพยากรณ์ก็แต่ท่านที่เป็นมนุษยชาติเท่านั้น นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่หนึ่ง

๒. ลิงฺคสมฺปตฺติ... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้นในขั้นแรกจำต้องปรารถนาความถึงพร้อมด้วย เพศ คือปรารถนาเป็นบุรุษเพศเสียก่อน เพราะการที่จะมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์นั้น จะได้ก็แต่เฉพาะชาติที่เป็นบุรุษเพศเท่านั้น หากว่าเป็นสตรีเพศก็ดี เป็นบัณเฑาะว์ กะเทยก็ดี เป็นอุภโตพยัญชนะก็ดี ผู้ที่มีลิงควิบัติเหล่านี้ การที่ว่าจะได้รับพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าเป็นอันไม่มี เหตุฉะนี้ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีจิตมุ่งหมายในพระโพธิญาณ เมื่อบำเพ็ญกุศลมีการให้ทานรักษาศีลเป็นต้น ท่านย่อมปรารถนาความเป็นบุรุษก่อนแล้วจึงค่อยปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิต่อภาย หลัง นี่เป็นสโมธานประการที่สอง

๓. เหตุ... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ และจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุ คือมีอุปนิสสัยปัจจัยแห่งพระอรหันต์รุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดาน หากจะกลับใจไม่ปรารถนาพระสัมโพธิญาณ ต้องการเพียงแค่สาวกโพธิญาณแล้วไซร้ แต่พอตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนาที่พระบรมศาสดาจารย์เจ้าทรงแสดงในขณะนั้นก็ จักพลันได้สำเร็จมรรคผลเป็น พระอรหันตสาวก พร้อมทั้งปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ทันที ทั้งนี้ก็เพราะว่าเป็นผู้มีเหตุ กล่าวคืออุปนิสัยปัจจัยแห่งอรหันต์แก่กล้ารุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดานแล้ว ต้องเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยเหตุเช่นนี้แล จึงจักได้รับลัทธยาเทศ หากว่าเป็นคนธรรมดาสามัญยังไม่ไพบูลย์ด้วยเหตุกล่าว คือ อรหัตตูปนิสัยนี้แล้ว สมเด็จพระพุทธองค์เจ้าท่านก็หาทรงพยากรณ์ไม่ นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่สาม

๔. สตฺถุทสฺสนํ... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิและจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นมนุษย์ผู้มีโชคดีมหาศาลได้พานพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือมีโอกาสได้บำเพ็ญกองการกุศลเป็นต้นว่า ท่านรักษาศีลในสำนักของพระพุทธองค์ท่านแล้ว และได้กระทำปณิธานตั้งความปรารถนาเฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระสรรเพชญสัมพุทธ เจ้า จึงจะสำเร็จสมความมุ่งมาดปรารถนา เพราะว่าการได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จักมีขึ้นได้ ก็แต่เฉพาะอาศัยพระพุทธฎีกาที่หลั่งออกมาจากพระโอษฐของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ผู้อื่นใดเล่าจักมีปัญญาลึกล้ำให้คำพยากรณ์ได้ ด้วยเหตุนี้ หากได้พบแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี ได้พบแต่พระอรหันตขีณาสพเจ้าก็ดี ได้พบแต่พระมหาเจดีย์สถาน หรือโพธิพฤกษ์อื่นใดก็ดี ถึงแม้จะมีน้ำใจเลื่อมใสประกอบกองการกุศลเป็นหนักหนา แล้วจึงทำความปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ ความปรารถนานั้นจักได้อย่างเที่ยงแท้แน่นอนนั้นยังไม่สำเร็จก่อน เพราะยังไม่ได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าโดยตรง นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่สี่

๕. ปพฺพชฺชา... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิและจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นบรรพชิต คือเป็นนักบวช เป็นสมณะพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา หากว่ามิได้บรรพชิตอุปสมบทในพระบวรพุทธศาสนา ก็ต้องเป็นโยคี ฤาษี ดาบส หรือปริพาชก ซึ่งเป็นนักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา แต่ว่ามีลัทธิเป็นกรรมวาที กิริยาวาที คือถือว่า บุญมี บาปมี ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ดำรงเพศเป็นบรรพชิตเช่นนี้แล้ว จึงจะได้รับลัทธยาเทศจากสำนักแห่งพระพุทธองค์เจ้า หากว่าดำรงเพศอยู่ในฆราวาสวิสัย เป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนก็ดี แม้จะมีความปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ สมเด็จพระพุทธองค์เจ้าก็หาทรงพยากรณ์ไม่ นี่เป็นธรรมสโมธาน ประการที่ห้า

๖. คุณสมฺปตฺติ ... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ และจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติวิเศษบริบูรณ์ไปด้วยคุณ คือ อภิญญา และฌานสมาบัติ อันเชี่ยวชาญต้องเป็นผู้บรรลุถึงคุณวิเศษเกินคนธรรมดาสามัญอย่างนี้ จึงจักได้รับลัทธยาเทศพยากรณ์จากสำนักแห่งพระพุทธองค์เจ้า หากว่าไม่มีคุณวิเศษ คือ อภิญญาและฌานสมาบัติอยู่ในสันดานแม้จะดำรงเพศเป็นบรรพชิตนักบวชอยู่แล้วก็ดี สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หาทรงพยากรณ์ไม่ นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่หก

๗. อธิกาโร... ท่านทีปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิและจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นผู้ได้เคยทำอธิการมาแล้วหมายความว่า ได้เคยบำเพ็ญมหาบริจาค กล่าวคือการเสียสละ ครั้งยิ่งใหญ่ ให้ชีวิตของตนเองเป็นทานในอดีตชาติ ซึ่งเรียกว่า อธิการ มาแล้ว หากท่านปราศจากอธิการ คือไม่เคยเอาชีวิตเข้าออกแลกกับพระสัมโพธิญาณ ไม่เคยบำเพ็ญทานปรมัตถ์มหาบริจาคมาก่อน ถึงแม้จะทรงเพศประเสริฐล้ำเลิศเพียงใด ก็หาทรงพยากรณ์ไม่ ต่อเมื่อพระองค์ได้ทรงทราบด้วยพระสัพพัญญุตญาณว่า ผู้นั้นได้เคยกระทำอธิการแต่ปางก่อนจึงจักทรงพยากรณ์ เพราะพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณนั้นจะสำเร็จได้ต้องอาศัยอธิการการกระทำอันยิ่ง ใหญ่ ขนาดต้องพลีชีวิตเลือดเนื้อเข้าแลกเอา นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่เจ็ด

๘. ฉนฺทตา... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิและจักได้มีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นผู้มีน้ำใจประกอบด้วย ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพระพุทธภูมิเป็นกำลัง มิได้ย่อท้อถอยในอุปสรรค ไม่ว่าจะใหญ่เล็กชนิดใดทั้งสิ้น ซึ่งในกรณีนี้ หากจะมีผู้ถามพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพระพุทธภูมินั้นว่า

"ดูกรท่าน! การที่ท่านปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิอันประเสริฐสุดนี้ ท่านยังจะมีน้ำใจกล้าแข็งสามารถทนทุกข์ในนรกได้ตลอด ๔ อสงไขย ๑ แสนมหากัปได้ หรือว่าหามิได้"

เมื่อมีผู้มาสำทับถามเอาด้วยภัยในนรกเห็นปานฉะนี้ ท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาพระพุทธภูมินั้น ย่อมจะไม่มีความย่อท้อ อาจรับปากเอาด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่งว่า

"อาตมานี่แหละ จะสู้อุตส่าห์ทนทุกข์ในนรกอันน่ากลัวนักหนา ไปให้ได้ตลอดเวลาอันยาวนานตามที่ว่ามานั่นเพื่อแลกเอากับพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณด้วยใจสมัครให้จงได้"

ในกรณีนี้ หากจะมีผู้ใดใครผู้หนึ่ง ซึ่งใคร่จะสอบถามถึงน้ำใจที่รักปรารถนาอย่างแรงกล้าในพระโพธิญาณ กับพระโพธิสัตว์เจ้าอีกต่อไปด้วยอุปมาปัญหาว่า

"อันตัวท่าน ซึ่งปรารถนาพระพุทธภูมินั้น ท่านยังจะสามารถเดินบุกเข้าไปในป่าไม้ไผ่อันแน่นหนาไปด้วยเรียวหนามที่คม กล้า เป็นป่าไผ่ใหญ่เต็มไปหมดตลอดทั้งจักรวาลโลกธาตุนี้ ซึ่งมีความกว้างใหญ่ วัดได้ไกลถึงสิบสองแสนสามพันสี่ร้อยห้าสิบโยชน์ ตัวท่านจะสามารถเหยียบย่ำบุกฝ่าขวากหนามไปไกลให้ถึงที่สุดตามกำหนดนี้ เพื่อจะความเอาพระโพธิญาณมาไว้ในเงื้อมมือแห่งตนได้ฤา?"

และว่า

"อันตัวท่าน ซึ่งปรารถนาพระพุทธภูมินั้น ท่านยังจะสามารถเดินตลุยด้วยเท้าเปล่า ไปในกองถ่านเพลิงอันมีเปลวไฟรุ่งโรจน์โชตนาการ ซึ่งเต็มไปในห้วงจักรวาลโลกธาตุนี้ได้ฤา?"

พระโพธิสัตว์เจ้า ผุ้มีน้ำใจประกอบไปด้วยฉันทะ ความใคร่พอใจทั้งมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ในพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณ ย่อมจะมีใจองอาจกล้าหาญ ยอมรับเอาด้วยความยินดี เต็มใจเป็นนักหนาว่า

"อาตมาคือว่าตัวเรานี่แหละ จะสู้ก้มหน้าฟันฝ่าอุปสรรคอันตรายทั้งหลาย มิได้อาลัยแก่เลือดเนื้อร่างกายและชีวิตของตน จะสู้อดทนเดินบุกเหยียบย่ำไปให้ถึงที่สุด จะรุดหน้าก้าวไปคว้าเอาพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณด้วยใจรักให้จงได้"

ท่านผู้มีน้ำใจกอรปด้วยฉันทะอย่างแรงกล้า มีความรักความปรารถนาในพระโพธิญาณเป็นเบื้องหน้ามิได้หวาดผวากลัยภัยในนรก เป็นอาทิ เห็นปานฉะนี้แล้ว จึงจะปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิได้สำเร็จสมความปรารถนา หากว่าเป็นผู้มีปกติขลาดหวาดหวั่นไหว มีน้ำใจมิได้กล้าหาญ กลัวทุกข์ กลัวภัยและรักรูป รักกาย รักชีวิต มีจิตสันดานย่อท้ออยู่ การที่จะปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น ย่อมจะสำเร็จลงมิได้อย่างแน่นอน และสมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงหาพยากรณ์ไม่ นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่แปด

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
ธรรมสำคัญ ๘ ประการ ตามที่พรรณนามานี้ มีชื่อว่า ธรรมสโมธานที่เป็นเหตุให้ได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์ จากสำนักแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ได้พิจารณาดูธรรมตามที่กล่าวมานี้แล้ว เป็นอย่างไรบ้างเล่า เป็นสิ่งที่ได้โดยยาก หรือว่าได้ง่ายๆ แน่นอนเป็นสิ่งที่ได้โดยไม่ง่ายเลย

ครั้นองค์สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจดูด้วยพระสัพพัญญุตญาณ และทรงทราบว่า ผู้ที่ปรารถนาพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณนั้น พรั่งพร้อมไปด้วยธรรมสโมธานทั้ง ๘ ประการนี้ มิได้ขาดแต่สักข้อหนึ่งแล้ว องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงจะทรงชี้พยากรณ์โดยนัยว่า ผู้นั้นจักได้ตรัสรู้เป็นองค์พระพุทธเจ้า ทรงว่าอย่างนั้น ในกัปอันเป็นอนาคตที่เท่านั้น ... ดังนี้เป็นต้น แล้วก็ทรงมีพระโอวาทอนุสาสน์ให้พยายามสร้างสมบ่มพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณต่อไปอีก เมื่อได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักแห่งพระพุทธองค์เจ้าอย่างนี้แล้ว พระโพธิสัตว์เจ้าผู้นั้นก็ได้นามว่า พระนิยตโพธิสัตว์จักอุบัติมาตรัสเป็นสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าในโลกเรานี้ พระองค์หนึ่งในอนาคตกาลอย่างเที่ยงแท้แน่นอน

พระพุทธพากย์

ในกรณีนี้ หากจะมีปัญหาว่า พระบรมโพธิสัตว์ผู้ได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระสรรเพชญสัมมา สัมพุทธเจ้าว่าเป็นนิยตโพธิสัตว์นั้น จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอย่างเที่ยงแท้แน่นอน สมจริงตามคำพยากรณ์หรือ?

ปัญหาเรื่องนี้ เป็นข้อที่ไม่ควรคิดสงสัยให้เสียเวลา เพราะธรรมดาว่าพระพุทธพากย์กถา คือถ้อยคำของสมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ย่อมทรงไว้ซึ่งความมหัศจรรย์เป็นสุภาษิต จะได้วิปริตผิดแปลกพจนะกระแส แปรเป็นสองหรือสูญเปล่าไม่เป็นจริงนั้น ย่อมเป็นไปมิได้ พระองค์ดำรสอรรถคดีสิ่งใด สิ่งนั้นไซร้ย่อมปรากฎมีเป็นจริงแท้ ย่อมเป็นไปตามกระแสพระพุทธบรรหารไม่ผิดเพี้ยน และเที่ยงตรงนักหนา มีครุวนาดุจสรรพสิ่งทั้งหลายมีไม้ฆ้อนและก้อนดินเป็นอาทิ อันบุคคลขว้างขึ้นไปสุดแรงเกิดบนอากาศ เมื่อมันขึ้นไปสูงจนสุดกำลังที่ขว้างแล้ว ย่อมเที่ยงที่จะตกลงมายังพื้นปฐพี อุปมานี้ฉันใด พระพุทธพากย์คำพยากรณ์ของสมเด็จพระพุทธเจ้า ย่อมจะมีสภาวะเที่ยงแท้เป็นเหมือนเช่นนั้น

อีกประการหนึ่ง อันว่าฝูงสัตว์โลกทั้งปวงเช่นมนุษย์เรานี้ เมื่อมีกำเนิดเป็นรูปเป็นกายขึ้นมาแล้ว ก็เที่ยงแท้ที่จะถึงแก่มรณกรรม กล่าวคือจำต้องตายทั่วทุกรูปทุกนามเป็นแน่แท้อุปมานี้ฉันใด พระพุทธพากย์คำพยากรณ์ของสมเด็จพระพุทธเจ้า ย่อมจะมีสภาวะเที่ยงแท้แน่นอนเป็นเหมือนเช่นนั้น

อีกประการหนึ่ง อันว่าดวงทิพากรเทพมณฑล คือพระอาทิตย์นี้ย่อมเที่ยงแท้ที่จะอุทัยขึ้นเมื่อยามสิ้นราตรี ณ เพลาอรุณรุ่งเช้าเป็นแน่แท้ อุปมาข้อนี้ฉันใด พระพุทธพากย์คำพยากรณ์ของสมเด็จพระพุทธเจ้า ก็ย่อมจะมีสภาวะเที่ยงแท้แน่นอนเป็นเหมือนเช่นนั้น

อีกประการหนึ่ง อันว่าพญามฤคินทร์ไกรสรสีหราช เมื่อออกจากถ้ำที่สีหาไสยาสน์แล้ว ย่อมเที่ยงแท้ที่จะบันลือสุรสิงหนาทเป็นนิจเสมอ ไปทุกครั้งเป็นแน่แท้ อุปมาข้อนี้ฉันใด พระพุทธพากย์คำพยากรณ์ของสมเด็จพระพุทธเจ้า ก็ย่อมจะมีสภาวะเที่ยงแท้แน่นอนเป็นเหมือนเช่นนั้น

อีกประการหนึ่ง อันว่าชนผู้เป็นพาณิชพ่อค้า เมื่อทราบจะขนสินค้ามาวางร้านเรียงขายนั้น ต้องหาบหิ้วขนแบกซึ่งภาระสินค้าอันหนักของตนเพียบแปร้มาแต่บ้าน กว่าจะถึงร้านในตลาดก็แสนจะเหน็ดเหนื่อยนักหนา พอมาถึงร้านขายของร้านตนแล้ว ก็ย่อมรีบปลงภาระสิ่งของอันหนักนั้น ลงจากบ่าของตนเสียทันทีอย่างนี้เป็นธรรม เพราะถ้าไม่ปลงลงแล้ว จะยืนแบกยืนหาบให้หนักตนเองเหมือนกับเป็นบ้าอย่างนั้น อยู่ชั่วกัปชั่วกัลห์อย่างไรได้เล่า ก็อาการที่ภาระสิ่งของอันหนักซึ่งตั้งอยู่บนบ่านั้น ย่อมเที่ยงที่จะถูกพ่อค้าปลงมาจากบ่าอย่างแน่นอน โดยไม่ต้องสงสัย อุปมาข้อนี้ฉันใด พระพุทธพจน์พิสัยแห่งองค์สมเด็จพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐ ที่ตรัสพยากรณ์ไว้ ย่อมเป็นสัจจะเป็นธรรมเที่ยงแท้แน่นอน เป็นเหมือนเช่นกัน

จึงเป็นอันสรุปความได้ว่า เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ได้รับลัทธยาเทศกล่าวคือคำพยากรณ์ จากสำนักขององค์สมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ย่อมเป็นผู้เที่ยงแท้ที่จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล สมจริงตามพระพุทธพากย์พยากรณ์อย่างแน่นอน

พระพุทธภูมิธรรม

สมเด็จพระนิยตบรมโพธิสัตว์ ซึ่งมีพระกฤดาอภินิหารเที่ยงแท้ที่จะตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณเพราะได้ รับลัทธาเทศแล้วนี้ พระองค์ท่านย่อมมีน้ำใจสลดหดหู่จากบาปธรรม กล่าวคือกุศลกรรมทั้งปวง อุปมาดุจปีกไก่อันต้องเพลิง คือ ถ้าพระองค์ท่านพิจารณาเห็นว่า สิ่งใดเป็นบาปเป็นกรรมแล้ว ย่อมหดหู่เกรงกลัวยิ่งนัก จักได้มีจิตยินดีพอใจกระทำการสิ่งนั้น แม้แต่สักนิดหนึ่งเป็นไม่มีเลย อันน้ำใจแห่งพระนิยตโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายนั้น ย่อมเบิกบานมั่นคง ตรงซื่อแต่ก็จะทำกองการกุศลสิ่งเดียว และขณะเดียวจะกระทำกุศลนั้น ย่อมมีใจชื่นบานกว้างขวาง มีอุปมาดุจเพดานฝ้าที่บุคคลคลี่ออกยาวใหญ่จะได้มีน้ำใจแคบเล็กน้อยต่อการ บำเพ็ญกุศลแต่สักเพลาหนึ่งนั้นเป็นอันไม่มี

อนึ่งนับแต่กาลที่ได้รับลัทธาเทศเป็นต้น สมเด็จพระนิยตโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงย่อมยังเพิ่มพูนพระบารมีให้มากยิ่งขึ้น และมีน้ำใจกอรปไปด้วยพระพุทธภูมธรรม อันยิ่งใหญ่ ๔ ประการ คือ
๑. อุสฺสาโห... ได้แก่ทรงประกอบไปด้วยพระอุตสาหะ มีความเพียรอันสลักติดแน่นในดวงฤทัยอย่างมั่นคง

๒.อุมตฺโต...ได้แก่ทรงประกอบไปด้วยพระปัญญา ทรงมีพระปัญญาเชี่ยวชาญหาญกล้าเฉียบคมยิ่งนัก

๓.อวตฺถานํ...ได้แก่ทรงประกอบไปด้วยพระอธิษฐาน ทรงมีอธิษฐานอันมั่นคงมิได้หวั่นไหวคลอนแคลน

๔.หิตจริยา...ได้แก่ทรงประกอบไปด้วยพระเมตตา ทรงมีพระเมตตาเป็นนิตย์ เจริญจิตอยู่ด้วยเมตตาพรหมวิหารเป็นปกติ
สมเด็จพระนิยตโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมสมาทานมั่นในพระพุทธภูมิธรรม สิริรวมเป็น ๔ ประการ นี้อยู่เนืองนิตย์ทุกพระชาติ ไม่ว่าจะทรงเสวยพระชาติถือกำเนิดเกิดเป็นอะไร และในชาติดี ก็ย่อมมีพระพุทธภูมิธรรมประจำในดวงหฤทัยเสมอ

อนึ่ง พระองค์ท่านผู้มีปกติเที่ยงแท้ที่จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าใน อนาคตกาลนั้น ย่อมมีพระอัธยาศัยอันประเสริฐ คือประกอบไปด้วยกุศลธรรมสูงส่งดีงามอยู่เสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นเครื่องช่วยหล่อเลี้ยงให้พระโพธิญาณแก่กล้าเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ หากไม่มีพระอัธยาศัยที่ดีงามเป็นกุศลคอยสนับสนุนหล่อเลี้ยงแล้ว "พระโพธิญาณ" อันเป็นเครื่องให้ได้ตรัสรู้เป็นเอกอัครบุคคลกล่าวคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จักถึงความแก่กล้าและเต็มบริบูรณ์มิได้ ฉะนั้น พระอัธยาศัยเพื่อให้พระโพธิญาณจริงขึ้นนี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงจะต้องมีอยู่เป็น ประจำในขันธสันดาน ก็เรื่องอัธยาศัยแห่งพระโพธิสัตว์เจ้านี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงทราบจากเนื้อความที่ออกจากโอษฐสมเด็จพระศรี อริยเมตไตรยซึ่งเป็นพระบรมโพธิสัตว์องค์หนึ่ง... ดังต่อไปนี้


อัธยาศัยโพธิสัตว์

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีพระมหาเถรเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์สาวกวิเศษประกอบด้วยพระปฏิสัมภิทาและ พระอภิญญา ทรงไว้ซึ่งพระอริยฤทธิ์ประเสริฐสุด ได้มีโอกาสขึ้นไปพบเทพบุตรสมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ ซึ่งขณะนี้สถิตเสวยสุขอยู่ ณ เบื้องสวรรค์ชั้นดุสิตภูมิ หลังจากสนทนากันเรื่องอื่นแล้ว พระมหาเถรเจ้าก็ถามขึ้นว่า

"ขอถวายพระพร พระองค์กระทำพระอัธยาศัยเพื่อที่จะให้พระโพธิญาณแก่กล้านั้น ทรงกระทำประการใด คือพระองค์ทรงมีพระอัธยาศัยเป็นอย่างไรบ้าง?"

สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ ซึ่งมีพระพุทธบารมีเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว และรอโอกาสที่จะมาอุบัติตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ครั้นถูกพระมหาเถรเจ้าถามดังนั้นจึงตรัสตอบว่า

"ข้าแต่พระคุณผู้เจริญ! โยมนี้เป็นพระโพธิสัตว์ตั้งอยู่ในอัธยาศัย ๖ ประการ คือ
๑. เนกขัมมัชฌาสัย... พอใจบวช รักเพศบรรพชิต นักบวชเป็นยิ่งนัก
๒. วิเวกัชฌาสัย... พอใจอยู่ในที่เงียบสงัดวิเวกผู้เดียวเป็นยิ่งนัก
๓. อโลภัชฌาสัย... พอใจบริจาคทาน และพอใจบุคคลผู้ไม่โลภไม่ตระหนี่เป็นยิ่งนัก
๔. อโทสัชฌาสัย... พอใจในความไม่โกรธเจริญเมตตาแก่สัตว์ทั้งปวงยิ่งนัก
๕. อโหสัชฌาสัย... พอใจในการที่จะพิจารณาสิ่งที่เป็นคุณแลโทษเสพสมาคมกับคนมีสติปัญญายิ่งนัก
๖. นิสสรณัชฌาสัย... พอใจที่จะยกตนออกจากภพ ไม่ยินดีในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ต้องประสงค์พระนิพพานเป็นยิ่งนัก
นี่แหละพระคุณผู้เจริย โยมนี้มีอัธยาศัย สิริรวมเป็น ๖ ประการติดอยู่ในขันธสันดานเป็นนิตย์ พระโพธิญาณของโยมจึงแก่กล้ายิ่งขึ้นทุกทีเพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงกาลบัดนี้"

พระมหาเถรเจ้าผู้ชาญฉลาด เมื่อได้โอกาสแล้วจึงไต่ถามต่อไปอีกว่า
"ขอถวายพระพร พระองค์ทรงสร้างพระบารมีมามากมาย เพราะมีพระทัยประกอบไปด้วยพระอัธยาศัย ๖ ประการ ซึ่งแสดงว่าไม่พอพระทัยในโลภะ โทสะ โมหะ และมีพระทัยรักใคร่ปรารถนาในบรรพชาเพศบรรพชิต มีจิตยินดีพอใจที่จะอยู่ในที่อันเงียบสงัดวิเวก อย่างนี้ก็เป็นการดี แต่อาตมภาพให้สงสัยแคลงใจอยู่เป็นหนักหนาว่าสวรรค์ชั้นดุสิตที่พระองค์เสวย สุขสำราญอยู่เวลานี้ เห็นทีจะเงียบสงัดดีอยู่ดอกกระมัง?"

"ข้าแต่พระคุณ! สวรรค์จะเงียบใยเล่า?" สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยเจ้าทรงตอบตามจริง "อันสวรรค์ชั้นดุสิตภูมิที่โยมอยู่เวลานี้ ย่อมอึกทึกครึกโครมไปด้วยเครื่องประโลมจิต เสียงขับร้องฆ้องกลองพิณพาทย์เป็นอเนกอนันต์ สนั่นเสนาะสำเรียงเสียงไพเราะ ควรจะรื่นรมย์ยินดี หมู่เทพนารีอัปสรสวรรค์มีมากหน้าหลายหมื่นหลายพันเป็นนักหนา"

"ขอถวายพระพร ก็เหตุไรจึงทนประทับอยู่ได้ มิเป็นการขัดกับพระอัธยาศัยแห่งพระองค์ที่ทรงว่าๆ มาเมื่อตะกี้นี้ดอกหรือนี่แหละอาตมาภาพสงสัย?"

"ข้าแต่พระคุณผู้เจริญ! พระคุณนี่ช่างฉลาดถามนักหนา" สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยเจ้าทรงกล่าวชม แล้วตรัสสืบไปว่า "เอาเถิดโยม จะว่าให้ฟัง คือว่า ธรรมดาสรวงสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ถึงแม้จะมีเสียงอึกทึกครึกโครมประกอบไปด้วย เครื่องประโลมจิตอยู่มากมายก็จริงแล แต่ทว่าเป็นที่พนัก เป็นที่สถิตอยู่แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ผู้สร้างพระบารมีทุกๆ พระองค์มาเพราะว่าพระโพธิสัตว์เจ้านั้น ครั้นจุติจากมนุษยโลกแล้ว ย่อมมาอุบัติเกิดในสวรรค์ดุสิตนี้ ครั้นจุติจากดุสิตสวรรค์นี้แล้ว ก็กลับไปเกิดในมนุษยโลกอีก ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะสร้างสมบ่มเพาะบารมีเพิ่มพระโพธิญาณให้ภิญโญภาพยิ่งขึ้นไป แต่เฝ้าเวียนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ หลายครั้งหลายหนเป็นธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นว่า โยมนี้ ใช่ว่าจะพอใจยินดีหลงเพลินเพลินติดอยู่แต่ในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ตลอดไปหามิ ได้ รอคอยจนกว่าจะสิ้นศาสนาขององค์สมเด็จพระสมณโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งสองนี้ แล้วมีอยู่คราวหนึ่ง โยมจักกระทำอธิษฐานจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตที่กำลังอยู่ขณะนี้ ไปบังเกิดในมนุษยโลก แล้วบำเพ็ญกองการกุศลเป็นสืบสร้างบารมีให้ยิ่งใหญ่ต่อไปอีก ครั้งสิ้นชนมายุจุติตายจากมนุษยโลกในครั้งนั้นแล้ว ก็จักกลับมาอุบัติเกิดเป็นเทพบุตร เสวยสุขอยู่ที่สรวงสวรรค์ชั้นดุสิตนี่อีกนานแสนนาน จนถึงกาลที่ปวงเทพเจ้าทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพากันมาอาราธนา ดยมจึงจักจุติไปอุบัติเหตุในมนุษยโลกอีกเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจักได้สำเร็จแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ การณ์เป็นเช่นนี้แล พระคุณผู้เจริญ" สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยทรงอธิบายให้พระมหาเถรเจ้าฟังอย่างยืดยาว

พุทธกรณธรรม
สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ซึ่งมีน้ำพระทัยมุ่งหมายพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ประสงค์จักเป็นเอกองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลนั้น นอกจากจะมีคุณสมบัติพิเศษเกินกว่าคนธรรมดาสามัญหลายอย่างหลายประการตามที่ พรรณนามาแล้ว พระองค์ท่านยังต้อบำเพ็ญธรรมอันสำคัญอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่ง ธรรมที่ว่านี้มีชื่อเรียกอย่างรวมๆ ว่า "พุทธกรณธรรม" คือธรรมพิเศษที่กระทำให้ได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า หากว่าปราศจากธรรมะพิเศษ หมวดนี้ก็ดี หรือว่าธรรมะพิเศษหมวดนี้ยังไม่ถึงภาวะบริบูรณ์เต็มที่ในขันธสันดานก็ดี พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ย่อมจักไม่มีโอกาสได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณเป็นอันขาด ก็พุทธกรณธรรมซึ่งเป็นธรรมะพิเศษเป็นเหตุให้ได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้านี้ มีอยู่ทั้งหมด ๑๐ ประการคือ
๑. ทานพุทธกรณธรรม
๒. ศีลพุทธกรณธรรม
๓.เนกขัมมพุทธกรณธรรม
๔. ปัญญาพุทธกรณธรรม
๕. วิริยพุทธกรณธรรม
๖.ขันติพุทธกรณธรรม
๗.สัจจพุทธกรณธรรม
๘.อธิฏฐานพุทธกรณธรรม
๙.เมตตาพุทธกรณธรรม
๑๐. อุเบกขาพุทธกรณธรรม

พุทธกรณธรรมหรือธรรมพิเศษ ที่ให้ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ ประการนี้ มีอรรถาธิบายสำหรับดังต่อไปนี้
๑. ทานพุทธกรณธรรม
สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมยินดีในการบำเพ็ญทานเป็นเนืองนิตย์ ไม่ว่าพระองค์ท่านจะสถิตหรือเกิดในชาติไหน และเสวยพระชาติเป็นอะไร ทุกๆ พระชาติที่เกิดย่อมมีน้ำพระทัยใคร่บริจาคท่าน เมื่อได้ประสบพบพานยาจกซึ่งเป็นคนหินชาติ มีฐานะต่ำทรามก็ดี หรือยาจกผู้มีฐานะมัชฌิมปานกลางก็ดี หรือยาจกผู้ขอซึ่งมีฐานะสูงสุดเป็นอุกฤษฐ์ก็ดีเมื่อขอแล้วพระโพธิสัตว์เจ้า จะได้คิดหน้าพะวงหลังก็หามิได้ย่อมรีบเร่งจำแนกทรัพย์ธนสารให้เป็นทาน ตามความต้องการของผู้ขอด้วยความยินดีเต็มใจอย่างยิ่ง สิ่งไรที่ตนมีแล้วเป็นต้องให้ทั้งสิ้น ถวิลหวังแต่การที่จะบริจาคทานเป็นเบื้องหน้า

อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติ อันเป็นสิ่งของภายนอกเลย แม้แต่อวัยวะเลือดเนื้อและชีวิต หากใครคิดปรารถนาอยากจะได้และมาเอ่ยปากขอแก่พระโพธิสัตว์ พระองค์ก็อาจจะบริจาคให้ได้ด้วยว่า พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ย่อมมีน้ำพระทัยประดุจดังตุ่มใหญ่ เต็มเปี่ยมด้วยน้ำ ที่ถูกบุคคลมาจับเทคว่ำ ทำให้ปากตุ่มคว่ำลงกับพื้น ก้นตุ่มปรากฎอยู่ในเบื้องบน อย่างนี้แล้วน้ำภายในตุ่มน้ำก็จักเหลืออยู่แม้แต่สักหยดหนึ่งไปได้อย่างไร กัน น้ำพระทัยของพระองค์ท่านก็เป็นเช่นนั้น คือ เหมือนกับตุ่มน้ำใหญ่ที่คว่ำลง ยินดีในการบริจาคทานโดยต้องการให้หมดไม่มีเหลือในเมื่อมียาจกผู้มาขอ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติภายนอก หรือวัตถุภายในคือเลือดเนื้อร่างกายและชีวิตก็ตามที

๒. ศีลพุทธกรณธรรม

สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมรักษาศีล สมาทานศีลผูกใจมั่นคงในศีลเป็นอาจิณวัตร สู้อุตสาหะปฏิบัติตนให้ตั้งมั่นอยู่ในศีล ยังศีลให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ ตลอดระยะเวลาทุกๆ ชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติไหน และเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม พระองค์ท่านย่อมสมาทานมั่นคง ไม่ให้ศีลของตนย่อหย่อนบกพร่องได้ ในบางครั้ง แม้จะต้องเสียสละชีวิตเพื่อรักษาศีลแห่งตนไว้ก็จำยอม เพียบพร้อมไปด้วยน้ำใจรักศีลหาผู้เสมอเหมือนมิได้

ในกรณีที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้า มีน้ำใจรักในศีลนี้ พึงเห็นอุปมาว่า ธรรมดาหมู่มฤคจามีรซึ่งมีน้ำใจรักขน จนสู้สละชนม์เพื่อรักษาไว้ซึ่งโลมชาติแห่งตนฉันใด พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น พระองค์ท่านสู้อุตสาหะพยายามรักษาศีล สมาทานศีล มีใจรักในศีล โดยอาการเปรียบปานดุจจามรีรักในขนหางแห่งตนฉะนั้น

๓.เนกขัมพุทธกรณธรรม

สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมมีน้ำใจยินดีในการบรรพชา คือหมั่นออกจากฆราวาสวิสัยการอยู่ครองเรือนไปบวชบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์อยู่เสมอ บางครั้งเมื่อโลกเรานี้ว่างจากพระพุทธศาสนา เพราะไม่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมจะออกบวชเป็นโยคี ฤาษีดาบสบำเพ็ญพรตเพื่ออบรมบ่มพระบารมี แต่เมื่อถึงคราวที่พระบวรพุทธศาสนาปรากฎในโลก พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายย่อมมีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้วออกบรรพชา อุปสมบทเป็นสมณะพระภิกษุในพระธรรมวินัยแห่งองค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ หมั่นออกบวชเพื่อสั่งสมเนกขัมบารมีให้ภิญโญภาพยิ่งขึ้นไปทุกชาติที่เกิด ด้วยมีน้ำจิตยินดีในภาวะที่จะออกจากทุกข์ในวัฏสงสาร พระองค์ท่านจึงตั้งใจสมาทานถือมั่นในเนกขัมมะการออกบวชอยู่เนืองๆ มา

ในกิริยาที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้า มีจิตปรารถนาที่จะออกจากทุกข์ภัยในวัฏสงสารนั้น เปรียบปานดังความปรารถนาของนักโทษที่อยู่ในเรือนจำ อันธรรมดาบุรุษนักโทษที่ประพฤติทุจริตมีความผิดต้องติดคุกตะรางทนทุกข์ทรมาน ได้รับความรำคาญขุ่นข้องหมองใจหนักหนา ย่อมปรารถนาแต่จะออกไปให้พ้นจากร้านเรือนจำที่ตนต้องระกำทุกข์อยู่เสมอทุก วันฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น ย่อมมีมนัสมั่นหมายที่จะออกไปจากคุกตะรางคือการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในไตรภพ วัฏสงสาร จึงหาทางออกด้วยการบำเพ็ญพรต กล่าวคือเนกขัมมะอยู่เนืองนิตย์ ไม่ยอมที่จะติดเป็นนักโทษแห่งวัฏสงสารอยู่ตลอดกาล เปรียบปานด้วยนักโทษ ไม่ปรารถนาจะติดอยู่ในคุกตลอดชีวิตเรื่อยไป ฉะนั้น

๔. ปัญญาพุทธกรณธรรม

สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมเพิ่มพูนปัญญา หมายความว่า ย่อมแสวงหาวิชาความรู้ อันเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาอยู่เป็นเนืองนิตย์ หมั่นอบรมจิตให้ประกอบด้วยปัญญาอยู่เสมอ ทั้งนี้ก็เพราะปัญญาเป็นธรรมสูงสุดอันผู้ปรารถนาพระพุทธภูมิพึงขวนขวาย ฉะนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย จึงขวนขวายอุตส่าห์พยายามอบรมสั่งสม   ปัญญาบารมีทุกชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติไหน และเสวยพระชาติเป็นอะไร ก็ต้องตั้งใจสมาทานปัญญาบารมีเป็นสำคัญ หมั่นเสพสมาคมกับท่านผู้รู้ ผู้เป็นนักปราชญ์ ย่อมไม่เลือกเลยซึ่งชนผู้มีความรู้ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม ขอแต่ให้ประกอบไปด้วยความรู้ก็แล้วกัน พระองค์ท่านย่อมยินดีใคร่จะคบหาสมาคมไม่เลือกหน้า พร้อมทั้งเอาใจใส่ไต่ถามซึ่งอรรถธรรมและเหตุการณ์ทั้งปวงเป็นเนืองนิตย์ ด้วยมีน้ำจิตไม่รู้จักอิ่มในวิทยาการทั้งปวง

ในกรณีที่พระโพธิสัตว์เจ้า แสวงหาความรู้อันเป็นการสั่งสมปัญญานี้ พึงทราบอุปมาว่า ธรรมดาพระภิกษุสงฆ์องค์สาวกของสมเด็จพระจอมมุนีสัมพุทธเจ้า ผู้ประพฤติตามอริยวงศ์ประเวณีนั้น ครั้นเมื่อโคจรเที่ยวไปบิณฑบาต จะได้เลือกลีลาศหลีกเลี่ยงตระกูลที่สูงต่ำปานกลางใดๆ ก็หามิได้ ย่อมเที่ยวบิณฑบาตเรื่อยไป สุดแท้แต่ว่าใครจะเอาอาหารมาใส่ลงในบาตรก็ยินดีรับเอาไม่เลือกหน้าว่าไพร่ ผู้ดี ยาจก เศรษฐีผู้ใด เพราะมีความประสงค์เพียงจะได้อาหารพอเป็นยาปรมัตเครื่องเลี้ยงชีพตนให้คง อยู่ เพื่อบำเพ็ญสมณกิจแห่งตนอย่างเดียวเป็นประการสำคัญ จะได้เลือกผู้ให้อาหารอันเป็นบิณฑบาตทานแก่ตนเป็นไม่มีเลย อุปมาข้อนี้ฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมีมนัสมั่นมุ่งหมายพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ก็ดั้นด้นค้นคว้าแสวงหาปัญญาความรู้ ไม่เลือกท่านผู้เป็นครู ผู้ให้วิชาว่าจะเป็นอย่างไร ขอให้มีความรู้ที่จะให้วิทยาการแก่ตนก็แล้วกัน พระองค์ท่านย่อมพอใจหมั่นคบหาสมาคม ไต่ถามนำเอาความรู้มาสั่งสมไว้ในจิตสันดานของตนเป็นเนืองนิตย์ เพื่อให้ผลผลิตเป็นปัญญาบารมียิ่งๆ ขึ้นไป

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
๕. วิริยพุทธกรณธรรม

สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมเพิ่มพูนวิริยะความเพียรเป็นยิ่งยวด คือมีน้ำใจกล้าหาญ ในการที่จะประกอบกุศลกรรมทำความดีอย่างไม่ลดละ เพราะโพธิญาณอันเป็นสิ่งประเสริฐสุดยอดน้น มิใช่เป็นธรรมที่จะพึงได้โดยง่าย โดยที่แท้ต้องอาศัยความเพียรอันยิ่งใหญ่จึงจะให้สำเร็จได้ ด้วยเหตุนี้พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย จึงสู้อุตสาหะพยายามเพิ่มพูนวิริยะธรรมทุกๆ ชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติไหนและเสวยพระชาติเป็นอะไร ก็ตั้งใจสมาทานถือมั่นในวิริยะธรรมเป็นสำคัญ ประกอบความเพียรเป็นสามารถองอาจไม่ท้อถอยในการก่อสร้างกองการกุศล จนในบางครั้งแม้จักต้องถึงแก่ชีพิตักษัย ก็ไม่คลายความเพียรไม่ย่นย่อครั้นคร้ามขามขยาดต่ออุปสรรคอันตรายทั้งหลาย ที่บังเกิดมี

ในกรณีที่พระโพธิสัตว์เจ้า มีน้ำใจประกอบไปด้วยความเพียรอันยิ่งใหญ่ เพื่อได้ตรัสเป็นเอกองค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนี้ พึงทราบอุปมาว่า ธรรมดาพญาไกรสรสีหราชมฤคินทร์ซึ่งเรืองฤทธิ์ คราวเมื่อมีจิตปรารถนาจะขึ้นนั่งแท่น ย่อมจะแล่นเลี้ยวไม่ลดละ อุตสาหะพยายามอย่างยิ่งยวด แม้จะพลาดพลั้งอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ถอย เพียรพยายามอยู่นักหนาจนกว่าจะขึ้นนั่งแท่นได้สำเร็จ อุปมาข้อนี้ฉันใด พระบรมภูมิอันประเสริฐสุดประมาณ ย่อมมีน้ำใจอาหาญประกอบไปด้วยอุตสาหะพยายามอันเป็นวิริยธรรม ไม่ท้อถอยไม่ยั้งหยุดจนกว่าจะถึงจุดมุ่งหมาย กล่าวคือพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ

๖. ขันติพุทธกรณธรรม

สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมพยายามเพิ่มพูนขันติ คือความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ก็เพราะว่า พระโพธิญาณจักสำเร็จสมความมุ่งหมายได้นั้น ต้องอาศัยความอดทนอันยิ่งใหญ่เป็นประการสำคัญ ถ้ามีน้ำใจไม่มั่นคง ไม่มีขันติความอดทน ยอมตนเป็นประดุจดังทาสแห่งบรรดาสรรพกิเลสอยู่เสมอไปแล้ว ก็ย่อมจักแคล้วคลาดจากพระโพธิญาณ การใหญ่คือพระพุทธภูมิปรารถนาก็ไม่มีวันที่จะสำเร็จลงได้ ด้วยเหตุนี้พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย จึงพยายามสั่งสมซึ่งพระขันติธรรมอยู่เสมอทุกชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติและเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม พระองค์ท่านย่อมสมาทานมั่นในขันติธรรม อุตส่าห์ระงับใจไม่ให้เกิดความปฏิฆะ ความขุ่นข้องหมองกมลได้ ในบางครั้งสู้อดทนจนถึงแก่ชีพิตักษัยก็มี

ในกรณีพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายมีน้ำใจประกอบไปด้วยขันติธรรมความอดทนนี้ มีอุปมาที่ท่านกล่าวไว้ว่า ธรรมดาพื้นพสุธาคือแผ่นดิน ย่อมอดทนทรงไว้ซึ่งสัมภาระน้อยใหญ่คนทั้งหลายในโลกนี้ พากันทิ้งถมระดมสาดวัตถุสิ่งของที่สะอาดก็มี และของที่โสโครกไม่สะอาดก็มี เป็นสัมภาระสิ่งของมากมายนักหนา ลงบนแผ่นพสุธาไม่ว่างเว้นตลอดทุกวันเวลา แต่ว่าพื้นพสุธาก็ดีใจหาย จะได้สำแดงอาการรำคาญเคืองหรือยินดีชอบใจในพัศดุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่บุคคลทิ้งลงทับถมเอาตามขอบใจเป็นไม่มีเลย เฉยอยู่อย่างนั้นชั่วกัปชั่วกัลป์ อุปมาข้อนี้ฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมีมนัสมั่นมุ่งหมายเอาพระโพธิญาณอันประเสริฐเลิศล้ำ ท่านย่อมพยายามสั่งสมขันติธรรมบำเพ็ญตนไม่ให้มีอาการโกรธพิโรธจิต คิดมุ่งร้ายหมายประหารด้วยความเดือดดาลในน้ำใจ ไม่ใช่เกิดมีอาการหวั่นไหว ในเหตุการณ์ทั้งปวงจนกว่าจะลุล่วงถึงพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ


๗. สัจจพุทธกรณธรรม

สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ย่อมพยายามเพิ่มพูนสัจธรรมเป็นยิ่งนัก คือมีน้ำใจประกอบไปด้วยสัจจะไม่ละความสัตย์ซื่อตรง หากพระองค์ท่านได้ตั้งสัจจะลงไปในการใดแล้วก็เที่ยงตรงการนั้นไม่แปรผัน ยักย้าย ด้วยว่า พระพุทธภูมิอันยิ่งใหญ่จักสำเร็จลงได้ ต้องอาศัยสัจจะ กล่าวคือความตรงความจริงเป็นประการสำคัญ ดังนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายจึงพยายามสั่งสมสัจธรรมอยู่เสมอทุกชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติใด และเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตามที ย่อมพยายามที่จะรักษาความสัตย์ เชน จะรักษาวาจาคำพูดแห่งตนไม่ให้ล่วงละเมิดเกิดเป็นเท็จขึ้นมาได้ อันเป็นกิริยาที่โกหกทั้งตนเองและผู้อื่น มีความเที่ยงธรรมประจำใจนักหนา เสมอด้วยตราชูคันชั่งอันเที่ยงตรง บางครั้งถึงกับยอมให้ถึงแก่ชีพิตักษัย เพื่อรักษาสัจจะเอาไว้ก็มี

ในกรณีที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายมีน้ำใจประกอบไปด้วยสัจจะความเที่ยง ตรงนี้ มีอุปมาที่ท่านกล่าวไว้ว่า ธรรมดาโอสธิดาราคือดาวประกายพรึกนั้น เมื่อเคยขึ้นประจำอยู่ทิศไหน ก็ย่อมโคจรขึ้นประจำอยู่ทิศนั้นวิถีนั้น จะได้แปรเปลี่ยนเยื้องยักไปปรากฎขึ้นในทิศอื่นก็หามิได้ ย่อมทรงไว้ซึ่งความเที่ยงตรงนัก ไม่ว่ากาลไหนฤดูไหน อุปมาข้อนี้ฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นั้น เมื่อมีมนัสมั่นมุ่งหมายเอาพระโพธิญาณอันประเสริฐเลิศล้ำ ย่อมพยายามสั่งสมสัจธรรมบำเพ็ญตนตั้งอยู่ในความสัตย์ ไม่ตระบัดบิดเบือนแปรผัน ตั้งมั่นอยู่ในความเที่ยงตรงเป็นล้นพ้น จนกว่าจะได้สำเร็จผลพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ

๘. อธิษฐานพุทธกรณธรรม

สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมมีใจมั่นประกอบไปด้วยอธิษฐานธรรม มีความมั่นคงเด็ดขาดยิ่งนัก ด้วยว่าพระพุทธภูมิจักสำเร็จได้ ต้องอาศัยอธิษฐานธรรมเป็นสำคัญเหตุนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงจึงพยายามสร้างสมอบรมพระอธิษฐานธรรมให้มากมูลเพิ่ม พูนและเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม ก็ย่อมพยายามสร้างความมั่นคงตั้งมั่นแห่งดวงจิตเพื่อให้ศักดิ์สิทธิ์ สัมฤทธิ์ผลตามความมุ่งหมาย ถ้ายังขาดอยู่ไม่บริบูรณ์ ก็เพียรเพิ่มพูนให้ภิญโญภาพยิ่งๆ ขึ้นไป ให้สำเร็จตามความประสงค์ให้จงได้ ถ้าลงได้อธิษฐานในสิ่งใดแล้ว ก็มีใจแน่วแน่ตั้งมั่นในสิ่งนั้น มิได้หวั่นไหวโยกคลอนเลยแม้แต่น้อยถึงใครจะคอยขู่คำรามเข่นฆ่าให้อาสัญสิ้น ชีวิต ก็ไม่ละอธิษฐาน จิตสมาทานในกาลไหนๆ

ในกรณีที่พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายมีน้ำใจประกอบไปด้วยอธิษฐานธรรมนี้ มีอุปมาไว้ว่า ธรรมดาไศลที่ใหญ่หลวงคือ ก้อนหินภูเขาแท่งทึบใหญ่มหึมา อันตั้งมั่นประดิษฐานอยู่เป็นอันดี แม้จะมีพายุใหญ่สักปานใด ยกไว้แต่ลมประลัยโลกพัดผ่านมาแต่สี่ทิศ ก็มิอาจที่จะให้ภูเขาใหญ่นั้นสะเทือนเคลื่อนคลอดหวั่นไหวได้แม้แต่สักนิดหนึ่งเลย อุปมาข้อนี้ฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมีมนัสมั่นมุ่งหมายซึ่งพระโพธิญาณประเสริฐเลิศล้ำ ย่อมพยายามเสริมสร้างอธิษฐานธรรมอยู่เนืองนิตย์ ไม่มีจิตหวั่นไหวในทุกสถานในกาลทุกเมื่อเพื่อให้สำเร็จเป็นอธิษฐานบารมี ยิ่งๆ ขึ้นไป จนกว่าจะได้บรรลุพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ

๙. เมตตาพุทธกรณธรรม

สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมมีใจประกอบไปด้วยเมตตา มีน้ำใจใคร่จะให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายได้ประสบความสุขสำราญโดยถ้วนหน้า ด้วยว่า พระพุทธภูมิจักสำเร็จลงได้ ต้องอาศัยเมตตาธรรมเป็นสำคัญ เหตุดังนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงย่อมพยายามสั่งสมเมตตาธรรมอันล้ำเลิศ ให้มากมูลเพิ่มพูนแก่กล้าทุกชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติไหนและเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม ก็ย่อมอุตส่าห์พยายามอบรมเมตตาธรรม ตั้งความปรารถนาดีไม่ให้มีราคีเคืองขุ่นรุ่มร้อนในดวงจิต เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลเป็นความสุขแก่ปวงชนปวงสัตว์ทุกถ้วนหน้า ถ้ายังขาดอยู่ไม่เต็มบริบูรณ์ ก็เพียรเพิ่มพูนเสริมสร้างครั้งแล้วครั้งเล่า บางคราวถึงกับเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ชนอื่นสัตว์อื่นได้รับความสุขก็มี

ในกรณีที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย มีน้ำใจประกอบไปด้วยเมตตาธรรมนี้ มีอุปมากล่าวไว้ว่า ตามธรรมดาอุทกวารีที่สะอาดเย็นใสในธารแม่น้ำใหญ่ ย่อมแผ่ความเย็นฉ่ำชุ่มชื่นใจให้แก่สัตว์ทั้งหลายทุกถ้วนหน้าไม่ว่าจะเป็น อะไรก็ตามที จะเป็น หมี หมา ไก่ป่า กระทิงเถื่อนเป็นอาทิ ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานก็ดี หรือจะเป็นมนุษย์ทั้งหลายตั้งอยู่ในเพศพรรณวรรณะใด จะเป็นขี้ข้า ตาบอด หูหนวก กระยาจก วณิพกก็ดี หรือจะเป็นคนมีทรัพย์ มียศ เป็นเศรษฐีอำมาตย์ราชเสนาตลอดจนกระทั่งเป็นองค์พระมหากษัตรย์ประเสริฐก็ดี เมื่อมีความปรารถนา บ่ายหน้าลงมาวักดื่มกินน้ำในธารานั้นแล้ว อุทกวารีย่อมให้รสแผ่ความเย็นชื่นเข้าไปในทรวงอกทุกถ้วนหน้า จะได้เลือกว่าผู้นั้นดี ผู้นี้ชั่ว หรือว่าประการใดๆ ก็มิได้มีเลย อุปมาข้อนี้ฉันใด พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมีมนัสมั่นมุ่งหมาย ซึ่งพระโพธิญาณอันประเสริฐเลิศล้ำ ย่อมพยายามเสริมสร้างเมตตาธรรมให้มากในดวงจิต เพื่อให้ผลิตผลแผ่กว้างออกไปไม่สิ้นสุด ไม่มีจิตประทุษร้าย แม้แต่ในศัตรูคู่อาฆาตปรารถนาให้ได้รับความสุขให้หายมลทินสิ้นทุกข์หมดภัย หมดเวร แผ่ความเย็นใจไปทั่วทุกทิศ มีน้ำใจเป็นมิตรไมตรีไม่มีจำกัด หมู่มนุษย์หรือเหล่าสัตว์ที่คบหาสมาคมด้วย ย่อมได้รับความเย็นใจไม่เดือดร้อนในทุกกรณี เพื่อให้สำเร็จผลเป็นเมตตาบารมียิ่งๆ ขึ้นไป จนกว่าจะได้บรรลุพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณ


๑๐. อุเบกขาพุทธกรณธรรม

สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีน้ำใจประกอบไปด้วยอุเบกขา อุตส่าห์ยังจิตให้ตั้งมั่นในอุเบกขาธรรม ซึ่งเป็นธรรมพิเศษที่ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ได้เคยซ่องเสพสืบกันมา คือ มีจิตอุเบกขาวางเฉยเป็นกลางในธรรมทั้งหลายด้วยว่า พระพุทธภูมิอันวิเศษนี้ จะสำเร็จลงได้ ต้องอาศัยอุเบกขาธรรมเป็นประการสำคัญ ฉะนั้นพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงจึงพยายามบำเพ็ญอุเบกขาธรรมอันล้ำเลิศให้ มากมูลเพิ่มพูนแก่กล้าขึ้นทุกชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติไหน และเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม ก็ยอมอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญอุเบกขาธรรม กล่าวคือความวางเฉยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ถ้ายังขาดบกพร้องอยู่ ยังไม่เต็มบริบูรณ์ก็เพียรเพิ่มพูนเสริมสร้างอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า บางครั้งถึงกับต้องเอาชีวิตของตนเข้าออกแลก ด้วยหวังจักทำให้ปราศจากความจำแนก กล่าวคือความยินดียินร้าย มุ่งหมายเพื่อให้มั่นในอุเบกขาธรรมเป็นสำคัญ

ในกรณีที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย มีน้ำใจประกอบด้วยอุเบกขาธรรมนี้ มีอุปมาที่กล่าวไว้ว่า ธรรมดาว่า พื้นปฐพีอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เมื่อมีผู้ถ่ายมูตรคูถของสกปรกโสมมอย่างใดอย่างหนึ่งลงก็ดี หรือแม้จะมีผู้เอาเครื่องสักการะบูชา บุปผา ธูปเทียน เครื่องหอม ของสะอาดทิ้งใส่ลงก็ดี พื้นปฐพี มหาพสุธาดล อันบุคคลและสัตว์ทั้งหลายเหยียบย่ำอยู่ทุกวันนี้จะได้มีความโกรธอาฆาตหรือ ความรักใคร่ขอบใจแม้แต่สักนิดก็หามิได้ ปราศจากความยินดียินร้ายโดยประการทั้งปวง เป็นปฐพีที่นิ่งเฉย ไม่ไหวหวั่นอยู่อย่างนั้น ตลอดเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ อุปมาข้อนี้ฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก้เป็นเช่นนั้น คือเมื่อมีมนัสมั่นมุ่งหมายพระโพธิญาณ ย่อมมีน้ำใจอาจหาญ พยายามเสริมสร้างพระอุเบกขาธรรมให้เกิดขึ้นประจำจิตให้ภิญโญภาพยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อให้สำเร็จผลเป็นอุเบกขาบารมีจนกว่าจะบรรลุถึงที่หมายอันยิ่งใหญ่ กล่าวคือพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ

ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย พุทธกรณธรรมหรือธรรมพิเศษที่เป็นเหตุให้ได้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้ เป็นธรรมที่บำเพ็ญให้สำเร็จได้โดยยากใช่ไหมเล่า ถึงกระนั้น ท่านผู้ปรารถนาเป็นสมเด็จพระจอมมุนรีสัมพุทธเจ้า ก็เฝ้าบำเพ็ญธรรมเหล่านี้เป็นเวลาช้านานหลายแสนโกฎิชาติหนักหนา อุตส่าห์พยายามบำเพ็ญให้เพิ่มพูนเจริญเต็มที่ในจิตสันดาน จนกว่าจะได้บรรลุถึงพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ

พระบารมี ๓๐ ถ้วน

พระพุทธกรณธรรมที่กล่าวมาแล้วนี้ มีชื่อเรียกอย่างหนึ่งว่า โพธิปริปาจนธรรม = ธรรมสำหรับบ่มพระพุทธภูมิ หมายความว่า เป็นธรรมอันจำเป็นอย่างยิ่ง ที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ผู้ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ จะต้องพยายามบำเพ็ญเนืองนิตย์ เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลอันประเสริฐ กล่าวคืออบรมบ่มให้พระพุทธภูมิถึงความแก่สุกรอบ แล้วจึงจะได้ตรัสรู้ นอกจากนั้นแล้ว พระพุทธกรณธรรมนี้ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่ง  ซึ่งเป็นคำคุ้นหูในหมู่พุทธบริษัทว่า บารมี = ธรรมที่นำไปให้ถึงฝั่งนั้น กล่าวคือพระนิพพาน หมายความว่า เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้าเฝ้าบำเพ็ญธรรมเหล่านี้ จนครบบริบูรณ์เต็มที่แล้ว ธรรมเหล่านี้ก็จะเป็นสารถีนำพระองค์ท่านให้บรรลุถึงฝั่งโน้น คือได้ตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณและเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพาน ฉะนั้น ต่อจากนี้ไป เพื่อความเข้าใจง่ายๆ จะเรียกธรรมเหล่านี้ว่ พระบารมีธรรม

ก็พระบารมีธรรมนี้ เมื่อว่าโดยองค์ธรรมจริงๆ แล้วก็มีอยู่ ๑๐ ประการ มีท่านเป็นต้น มีอุเบกขาเป็นปริโยสาน ตามที่พรรณนามาแล้ว แต่ทีนี้ สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าแต่ละพระองค์ กว่าจะทรงยังพระบารมีเหล่านี้ให้บริบูรณ์เต็มที่ จนกระทั่งได้ตรัสเป็นเอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มิใช่ว่าจะทรงสร้างพระบารมีเป็นเวลาเล็กน้อย เพียง ๑๐-๒๐ ชาติเท่านั้น โดยที่แท้ ต้องทรงสร้างพระบารมีอยูนานนักหนา นับเวลาเป็นอสงไขยเป็นมหากัป นับพระชาติที่เกิดไม่ถ้วน เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรดาพระบารมีที่สร้างแต่ละพระชาติจึงไม่เท่ากันคือ บางพระชาติก็สร้างธรรมดาเป็นปกติ แต่บางพระชาติก็สร้างอย่างอุกฤษฐ์สูงสุดหนักหนา ฉะนั้น จึงจำแนกพระบารมีเหล่านี้ออกเป็นตรียางค์ คือเป็นองค์สาม โดยจัดเป็นพระบารมีอย่างต่ำประเภทหนึ่ง พระบารมีอย่างมัชฌิมปานกลางประเภทหนึ่งและพระบารมีอย่างสูงสุดอุกฤษฐ์ประเภทหนึ่ง ยกตัวอย่าง เช่น พระบารมีธรรมอันดับแรกคือ ทาน เมื่อจำแนกออกเป็นตรียางค์ ก็กำหนดเอาโดยประเภทของทานดังต่อไปนี้
๑. ทานที่บำเพ็ญโดยสถานประมาณเป็นปกติธรรมดาบริจาคธนสารทรัพย์สมบัติน้อยใหญ่ ถึงแม้จะมากมายเพียงใดก็ดี จัดเป็นบารมีประเภทต่ำธรรมดา เรียกชื่อว่า ทานบารมี
๒. ทานที่บำเพ็ญยิ่งขึ้นไปกว่านั้น คือ ถึงกับบริจาคอวัยวะเลือดเนื้อในร่างกาย จัดเป็นพระบารมีประเภทมัชฌิมาปานกลาง เรียกชื่อว่า ทานอุปบารมี
๓. ทานที่บำเพ็ญยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก คือถึงกับต้องบริจาคชีวิตให้เป็นทาน นับว่าเป็นการบริจาคอย่างใหญ่หลวงอุกฤษฐ์ อย่างนี้จัดเป็นพระบารมีประเภทสูงสุดอย่างยิ่ง เรียกชื่อว่า ทานปรมัตถบารมี

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
แม้พระบารมีธรรมที่บำเพ็ญข้ออื่นๆ ก็จำแนกออกเป็นพระบารมีละ ๓ ประเภท เช่นเดียวกับทานที่ยกเป็นตัวอย่างนั่นเอง ทีนี้ พระบารมีที่เป็นองค์ธรรมมีอยู่ ๑๐ ประการ เมื่อจำแนกออกเป็นองค์ละ ๓ พระบารมีจึงรวมเป็นพระสมติงสบารมี คือพระบารมี ๓๐ ถ้วนพอดี เพื่อที่จักให้เห็นได้ง่ายๆ จะขอจำแนกออกไปตามรายชื่อพระบารมี ดังต่อไปนี้
๑. ทานบารมี
๒. ศีลบารมี
๓. เนกขัมมบารมี
๔. ปัญญาบารมี
๕. วิริยบารมี
๖. ขันติบารมี
๗. สัจจบารมี
๘. อธิษฐานบารมี
๙. เมตตาบารมี
๑๐. อุเบกขาบารมี
๑๑. ทานอุปบารมี
๑๒. ศีลอุปบารมี
๑๓. เนกขัมมอุปบารมี
๑๔.ปัญญาอุปบารมี
๑๕. วิริยอุปบารมี
๑๖. ขันติอุปบารมี
๑๗. สัจจอุปบารมี
๑๘. อธิษฐานอุปบารมี
๑๙. เมตตาอุปบารมี
๒๐. อุเบกขาอุปบารมี
๒๑. ทานปรมัตถบารมี
๒๒. ศีลปรมัตถบารมี
๒๓. เนกขัมมปรมัตถบารมี
๒๔. ปัญญาปรมัตถบารมี
๒๕. วิริยปรมัตถบารมี
๒๖. ขันติปรมัตถบารมี
๒๗. สัจจปรมัตถบารมี
๒๘. อธิษฐานปรมัตถบารมี
๒๙. เมตตาปรมัตถบารมี
๓๐. อุเบกขาปรมัตถบารมี
สิริรวมเป็นพระบารมีธรรม ที่ท่านผู้ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจักต้องบำเพ็ญให้ครบ บริบูรณ์เต็มที่ ๓๐ ถ้วนพอดี ฉะนั้น จึงเรียกเป็นศัพท์ว่า พระสมติงสบารมี ด้วยประการฉะนี้

อานิสงส์พระบารมี

มีข้อที่ควรทราบไว้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือว่า นับตั้งแต่ได้ทรงก่อสร้างพระกฤษฏาภินิหารมา จนกระทั่งได้ลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ ผู้เที่ยงแท้ที่จะตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณในอนาคตกาล ในขณะที่ทรงก่อสร้างอบรมบ่มพระบารมีอยู่ ต้องทรงสังสรณาการ ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนับด้วยแสนโกฏิชาติ เป็นประมาณหรือมากยิ่งกว่านั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้เที่ยงที่จะได้บรรลุพระโพธิญาณทั้งหลาย ย่อมได้รับอานิสงส์แห่งพระบารมีที่บำเพ็ญอยู่เรื่อยๆ รวมเป็น ๑๘ ประการคือ
๑. เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด
๒. ไม่เป็นคนหูหนวกแต่กำเนิด
๓. ไม่เป็นคนบ้า
๔. ไม่เป็นคนใบ้
๕. ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย
๖. ไม่เกิดในมิลักขประเทศ คือประเทศป่าเถื่อน
๗. ไม่เกิดในท้องนางทาสี
๘. ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ
๙. ไม่เป็นสตรีเพศ
๑๐. ไม่ทำอนันตริยกรรม
๑๑. ไม่เป็นโรคเรื้อน
๑๒. เมื่อเกิดในกำเนิดสัตว์เดียรฉาน ย่อมเป็นสัตว์อยุ่ในประเภทที่มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และไม่ใหญ่กว่าช้าง
๑๓. ไม่เกิดในกำเนิดขุปปิปาสิกเปรต นิชฌานตัณหิกเปรตและกาลกัญจิกาสุรกาย
๑๔. ไม่เกิดในอเวจีมหานรกและโลกันตนรก
๑๕. เมื่อเกิดเป็นเทวดาในกามาพจรสวรรค์ ก็ไม่เกิดเป็นเทวดาผู้นับเข้าในเทวดาจำพวกหมู่มาร
๑๖. เมื่อเกิดในองค์พระพรหม ณ รูปาพจรพรหมโลกก็ไม่เกิดในปัญจสุทธาวาสพรหมโลก และอสัญญสัตตาภูมิพรหมโลก
๑๗. ไม่เกิดในอรูปพรหมโลก
๑๘. ไม่ไปเกิดในจักรวาลอื่น
สิริรวมเป็นอานิสงส์พระบารมี ๑๘ ประการ ที่ท่านผู้ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์ จักต้องได้รับอย่างแน่นอน ในขณะที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารเพื่ออบรมบ่มพระบารมีญาณ

อนึ่ง ในขณะที่อบรมบ่มพระบารมีญาณอยู่นั้น พระนิยตโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า หากคราวใดท่านได้มีโอกาสมาบังเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ก็ย่อมมีใจผ่องแผ้วยินดีในการที่จะบรรพชา และบำเพ็ญประพฤติในพระจริยามีญาตัดถจริยาความประพฤติเป็นประโยชน์แก่หมู่ ญาติเป็นอาทิอยู่เป็นนิตย์ ทั้งสู้อุทิศชีวิตของพระองค์ทั้งสิ้นให้หมดไปด้วยการสั่งสมพระบารมี ๓๐ ซึ่งมีทานบารมีเป็นต้นและมีอุเบกขาปรมัตถบารมีเป็นปริโยสาน จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พวกเราชาวพุทธบริษัททั้งหลายผู้เกิดมาเป็น มนุษย์พบพระพุทธศาสนาในชาตินี้ จักมีใจยินดีเลื่อมใสในรพะคุณอันเป็นอนันต์แห่งองค์สมเด็จพระภควันต์จอมมุนี

อธิมุตตกาลกิริยา

กาลเมื่อสมเด็จพระนิยตบรมโพธิสัตว์ ยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารเพื่ออบรมบ่มพระบารมีญาณอยู่นั้น ครั้นว่าพระองค์ได้ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ ณ เบื้องสวรค์เทวโลกชั้นใดชั้นหนึ่งเช่นสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นต้น ซึ่งมีอายุยืนนานกว่ามนุษยโลกมากมายนักแล้วองค์พระโพธิสัตว์เจ้าจะได้หลงใหล เพลิดเพลินเสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอยู่ในสวรรค์เทวโลกจนตราบเท่าสิ้นอายุแห่ง เทพยดานั้นก็หามิได้ เพราะว่าแท้จริง สันดานแห่งพระนิยตบรมโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้จักได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระ พุทธเจ้านั้น กอรปด้วยพระมหากรุณาแก่เหล่าประชาสัตว์เป็นอันมาก ยิ่งกว่าการที่จะรักตนเอง สันดานที่รักตนเองเห็นประโยชน์ชีวิตตนเองนั้นเบาบางหนักหนา

ฉะนั้น คราเมื่อพระองค์เสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอยู่พอควรแก่กาลแล้ว ย่อมจะพิจารณาเห็นว่า เทวโลกมิได้เป็นที่อันเหมาะสมที่จะก่อสร้างอบรมบ่มพระบารมีเพื่อพระ ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณเหมือนเช่นมนุษยโลก ครั้นทรงพิจารณาเห็นเช่นนี้แล้ว องค์พระนิยตโพธิสัตว์เจ้าก็มีพระทัยเฝ้าเบื่อหน่ายในการที่จะอยู่ในสวรรค์ เทวโลก ให้อึดอัดรำคาญเป็นกำลัง คราวครั้งหนึ่ง จึงเสด็จเข้าในทิพยวิมานแต่ลำพังพระองค์เดียว แล้วทรงกระทำอธิมุตตกาลกิริยา คือหลับพระเนตรทั้งสองลงแล้วก็อธิษฐานว่า

อิโต อุทฺธํ เม ชีวิตํ นปฺปตฺตตุ
ชีวิตของเรานี้ จงอย่าได้ประพฤติสืบต่อไป เบื้องหน้าแต่นี้

เมื่อพระองค์อธิษฐานในพระทัยฉะนี้แล้ว ด้วยอำนาจกำลังอธิษฐานพระนิยตโพธิสัตว์เจ้าพระองค์นั้น ก็ปวัตตนาการจุติจากสวรรค์เทวโลกในฉับพลันนั้นเอง เสด็จลงมาอุบัติเกิดในมนุษยโลกเรานี้ เพื่อที่จักได้มีโอกาสเสริมสร้างอบรมบ่มพระบารมีให้ภิญโญภาพยิ่งขึ้นไป ในกรณีที่พระองค์พระนิยตโพธิสัตว์เจ้าทรงอธิษฐานในพระทัยแล้ว และจุติจากสวรรค์ลงมาบังเกิดในมนุษยโลก ซึ่งเรียกว่าอธิมุตตกาลกิริยานี้ นับเป็นกรณีพิเศษอย่างหนึ่ง  ซึ่งปรากฎมีแก่ท่านผู้มีมนัสมั่นมุ่งหมายพระโพธิญาณด้วยว่า บรรดาสัตว์โลกผู้ยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ถึงแม้จะมีมหิธาศักดานุภาพสักเพียงไหน เป็นเทพบุตรอินทร์พรหมอื่นใดก็ดี ก็มิอาจที่จะกระทำอธิมุตตกาลนี้ได้ง่ายๆ ซึ่งผู้ที่สามารถจะกระทำการพิเศษคืออธิมุตตกาลกิริยานี้ได้ง่ายดายตามใจ ปรารถนา ก็มีแต่เฉพาะพระนิยตโพธิสัตว์ผู้เที่ยงที่จักต้องได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูจอม มุนีเท่านั้น

การที่สมเด็จพระนิยตโพธิสัตว์ สามารถที่จะกระทำอธิมุตตกาลกิริยาเป็นกรณีพิเศษได้โดยง่ายนี้ ก็เพราะพระองค์ท่านทรงมีสันดานพิเศษ เหตุว่าพระบารมีธรรมทั้งปวงที่พระองค์สั่งสมมาแล้วนั้น มีปริมาณมากมายนักหนา ถึงซึ่งความแก่กล้าบริบูรณ์เป็นอุกฤษฐ์ พระอธิฐานบารมีจึงกล้าหาญเป็นอัศจรรย์ เมื่อพระองค์ท่านจะอธิษฐานสิ่งไร ในขณะที่เป็นเทพบุตรโพธิสัตว์นี้ ก็ได้สำเร็จทุกสิ่งทุกประการ และสมเด็จพระนิยตโพธิสัตว์นี้ ย่อมมีความชำนาญในการอธิษฐานนัก หากจะเปรียบก็อุปมาดุจจิตรกรนายช่างเขียนผู้มีฝีมือเอก ซึ่งชำนาญในการที่จะวาดเขียน เมื่อช่างเขียนนั้น ปรารถนาที่จะเขียนสิ่งใดก็อาจจะเขียนสิ่งนั้นได้สำเร็จดังมโนรถความปรารถนา มิได้ข้องขัดประการใด สำเร็จตามมโนภาพแห่งตนที่นึกคิดว่ อุปมาข้อนี้ฉันใด พระบรมโพธิสัตว์เจ้าผู้ชำนาญในพระอธิษฐานบารมีนั้น ก็ชำนิชำนาญยิ่งนัก พระองค์ท่านอธิษฐานให้เป็นอย่างไร ก็ได้สำเร็จสมมโนรถความปรารถนามิได้ขัดข้อง เพราะเหตุนี้ พระนิยตโพธิสัตว์จึงสามารถจะกระทำอธิมุตตกาลกิริยาได้ ด้วยอำนาจพระอธิษฐานบารมี เพื่อที่จะลงมาบังเกิดในมนุษยโลกนี้ แล้วขวนขวายก่อสร้างอบรมบ่มพระโพธิญาณสืบต่อไป

พุทธอุบัติ


เมื่อสมเด็จพระนิยตบรมโพธิสัตว์เจ้า ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีจนถ้วนสมบูรณ์ ครบกำหนดกาลเวลาตามประเภทแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ ประเภทแล้ว บัดนี้ก็ถึงกาลสำคัญที่สุด คือ ถึงวาระที่จะเสด็จมาอุบัติตรัสแก่ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ และจักได้รับการเฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงมุ่งมาดปรารถนามานานนักหนาเสียที และเมื่อพระบรมโพธิสัตว์ผู้มีวาสนาบารมีแก่สุกรอบแล้ว จักได้มีโอกาสตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านย่อมจุติลงมาอุบัติตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าใน มนุษย์โลกเรานี้เท่านั้น

ในกรณีนี้ หากจะมีปัญหาว่า เพราะเหตุดังฤา พระนิยตโพธิสัตว์เจ้าจึงจำเพาะเจาะจงเสด็จลงอุบัติเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าแต่ เฉพาะในมนุษยโลกเรานี้เท่านั้น จะไปอุบัติบังเกิดในโลกดีอื่นๆ เช่น บนสรวงสวรรค์เทวโลกมิได้หรือประการใด?

คำวิสัชชนาก็จะพึงมีว่า การที่สมเด็จพระนิยตโพธิสัตว์มิได้อุบัติตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ณ เบื้องสวรรค์เทวโลกนั้น ก็เพราะเหตุว่า เทวโลกมิได้เป็นที่ตั้งแห่งศาสนพรหมจรรย์อันการที่จะบำเพ็ญศาสนพรหมจรรย์ และการบรรพชาอุปสมบทนี้ ย่อมเหมาะสมที่จะมีอยู่แต่ในมนุษยโลกนี้เท่านั้น จะได้มีในสวรรค์เทวโลกก็หามิได้

อีกประการหนึ่งนั้น ครั้นว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดเป็นเทวดาแล้ว ถ้าพระองค์จะแสดงพระพุทธนุภาพอันประกอบไปด้วยพระอริยฤทธิ์มีประการต่างๆ มนุษย์ทั้งหลายผู้มักเป็นคนช่างความคิด ก็จะไม่เชื่อฤทธิ์พระพุทธานุภาพ มักให้มีความคิดเห็นไปตามประสาโง่แห่งตนว่า การที่พระองค์แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้นั้น ก็เพราะพระพุทธองค์ท่านทรงเป็นเทวดา ซึ่งประกอบไปเทวานุภาพเป็นอันมาก หากจะทรงอ้างว่าเป็นพระพุทธานุภาพ ก็มีเทวานุภาพเจือปนอยู่ นี่หากพระองค์เป็นมนุษย์แล้ว ไหนเลยจะทรงแสดงพระพุทธานุภาพอันเชี่ยวชาญให้สำเร็จกิจอิทธิปาฏิหารย์ดังที่ เห็นได้ เมื่อคิดไขว้เขวไปเสียเช่นนี้ ก็จะเป็นเหตุให้ลดหย่อนความเลื่อมใสในพระพุทธานุภาพ ตลอดจนไม่สนใจในศาสนธรรมคำสอนอันทรงไว้ซึ่งคุณค่าสูงสุด อนึ่ง หากสมเด็จพระพุทธองค์ทรงเป็นเทวดาแล้วไซร้ ถ้าจะใช้ความเป็นเทวดาสำแดงเทวานุภาพให้ปรากฎ มนุษย์ทั้งหลายก็จักเข้าใจผิดได้อีกเช่นเดียวกัน คือเขาเหล่านั้นจะพากันคิดว่า เทวานุภาพนั้นเจือปนไปด้วยพระพุทธานุภาพ ได้พระพุทธานุภาพอุดหนุนเป็นกำลัง เทวานุภาพจึงเชี่ยวชาญให้สำเร็จอิทธิปาฏิหารย์ทั้งปวงได้ แต่เทวานุภาพสิ่งเดียว ไหนเลยจะได้สำเร็จอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อย่างนี้ได้ เมื่อมนุษย์ทั้งหลายเข้าใจไขว้เขวไปอย่างนี้แล้ว อารมณ์แห่งมนุษย์นั้นก็จะเป็นสอง จะมิได้เชื่อถือในพระพุทธานุภาพและเทวานุภาพ ที่สมเด็จพระพุทธเจ้าและไม่ปฏิบัติตาม เมื่อไม่มีการปฏิบัติแล้ว ปฏิเวธความได้บรรลุธรรมวิเศษ คือมรรคผลนิพพานอันเป็นจุดมุ่งหมายที่พระองค์ทรงตั้งไว้นานนักหนาจักสำเร็จ ลงได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระนิยตโพธิสัตว์เจ้าผู้มีพุทธบารมี จึงไม่เสด็จอุบัติตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าที่โลกอื่น เช่น พรหมโลกและเทวโลกเป็นต้น อันเป็นโลกคับแคบไม่ควรแก่การที่จะแสดงซึ่งพระพุทธานุภาพ แต่จำเพาะเจาะจงเสด็จลงมาอุบัติตรัสในมนุษยโลก อันเหมาะสมแก่การแสดงพระพุทธานุภาพ ให้ปรากฎได้เต็มที่ เช่นนี้เป็นธรรมประเพณีของพระนิตยโพธิสัตว์เจ้าทุกพระองค์สืบมาแต่ปางบรรพ์

อสุญกัป


ครั้นเมื่อมนุษยโลกเรานี้ ได้มีโอกาสต้อนรับการเสด็จมาอุบัติขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระนิยตบรมโพธิสัตว์ ผู้ตรัสเป็นพระเอกองค์พระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าคราวใด คราวนั้นกาลเวลาย่อมถูกเรียกว่า อสุญกัป = กัป์ที่ไม่สูญเปล่า

กล่าวถึงตอนนี้ บางทีอาจจะมีบางท่านเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจบ้างก็ได้ว่า เรื่องกัปนี้ ก็ว่ามาแล้วนี้ ยังไม่หมดอีกหรือ ยังจะมีอสุญกัปอะไรอีกเล่า? เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงตั้งใจศึกษาอรรถ วรรณนา ดังต่อไปนี้

กาลเวลาที่นับเป็นมหากัปและเป็นอสงไขย ที่ได้กล่าวไว้แต่ตอนต้นโน้นนะ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมจำได้เป็นอย่างดีแล้วมิใช่หรือว่า เป็นระยะยาวนานเพียงใด ทีนี้ แต่ละมหากัปซึ่งกินเวลายาวนานเหล่านั้น ใช่ว่าจะมีสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ทุกๆ มหากัปไปก็หาไม่ โดยที่แท้บางมหากัปก็มีสมเด็จพระพุทธเจ้ามาตรัส แต่บางมหากัปก็ไม่มีเลย ทั้งนี้ก็เพราะว่า การที่จะหาวิสิฏฐิบุคคล กล่าวคือบุคคลที่ทรงคุณพิเศษ เป็นพระโพธิสัตว์เจ้าผู้มีพระกฤษฎาภินิหารอันสำเร็จแล้ว มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าแต่ละองค์นั้นเป็นไปได้ยากยิ่งนักหนา กล่าวอีกทีก็ว่า ไม่ค่อยจะมีพระนิยตโพธิสัตว์นั่นเอง ฉะนั้น เมื่อมีสมเด็จพระนิยตโพธิสัตว์เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ในมหากัปใด มหากัปนั้นย่อมไม่สูญจากคุณวิเศษอันยิ่งใหญ่คือมรรคผลนิพพาน เพราะว่ามีสมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์มาทรงชี้แจงแสดงออก และมหากัปนั้นก็เลยถูกเรียกว่าอสุญกัปไป เมื่อว่าโดยนัยนี้ จึงอาจจะแบ่งมหากัปเป็นประเภทใหญ่ๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายเป็น ๒ ประเภท คือ

ก. มหากัปใด ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสในโลกนี้เลยแม้แต่สักพระองค์เดียว มหากัปนั้นมีชื่อเรียกว่า สุญ กัป คือเป็นกัปที่สูญจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สูญเปล่าจากมรรคผลนิพพาน มิใช่แต่เท่านั้น ในกาลที่เป็นสุญกัปนี้ ยังสูญจากวิสิฏฐิบุคคลอื่นๆ อีกด้วย คือพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราชก็ดี ย่อมไม่ปรากฎมีในสุญกัปนี้เลย นับว่าเป็นกัปที่สูญจากวิสิฏฐิบุคคลจริงๆ
ข. มหากัปใด มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก มหากัปนั้น มีชื่อเรียกว่า อสุญกัป คือเป็นกัปที่ไม่สูญจากองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ไม่สูญเปล่าจากมรรคผลนิพพาน มิใช่แต่เท่านั้นดัวยว่า ในกาลที่เป็นอสุญกัปนี้ยังมีวิสิฏฐิบุคคลทั้งหลายอื่นปรากฏในโลกอีกด้วย คือพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราชก็ดีย่อมปรากฎมีเฉพาะในกาลที่เป็นสุญกัปนี้เท่า นั้น
บรรดาอสุญกัป คือกัปที่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัตินี้ ยังมีชื่อเรียกตามจำนวนสมเด็จพระพุทธเจ้าที่เสด็จมาตรัสอีก ดังต่อไปนี้
๑. สารกัป... อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แต่เพียง ๑ พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า สารกัป

๒. มัณฑกัป... อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้ ๒ พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า มัณฑกัป

๓. วรกัป... อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้ ๓ พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า วรกัป

๔. สารมัณฑกัป... อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้ ๔ พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า สารมัณฑกัป

๕. ภัทรกัป... อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้ ๕ พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า ภัทรกัป
ตาม ที่กล่าวมานี้ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงจะเห็นแล้วว่าอสุญกัปสุดท้าย คือภัทรกัป นี้เป็นกัปที่ประเสริฐที่สุด เพราะมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเราถึง ๕ พระองค์ นับเป็นจำนวนมากที่สุด ไม่มีกัปใดที่จักมีองค์พระจอมมุณีสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติมากยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว และบรรดาประชาสัตว์ทั้งหลายซึ่งได้อุบัติเป็นมนุษย์หรือเทวดาในกัปนี้ ย่อมมีโอกาสที่จักได้พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือมิฉะนัน ก็ได้พบศาสนธรรมคำสั่งสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นระยะติดต่อกันไปมากมายถึง ๕ พระองค์ ด้วยเหตุนี้ เหล่าสัตว์โลก คือมนุษย์และเทวดาอินทร์พรหม ผู้มีจิตเป็นกุศลโสภณ ปฏิสนธิด้วยไตรเหตุ ประกอบไปด้วยบุญวาสนาบารมี ย่อมสามารถที่จะกระทำอาสวะกิเลสให้สูญสิ้นไปจากขันธสันดานแห่งตนโดยชุกชุม ในภัทรกัปนี้มากกว่ากัปอื่น เพราะค่าที่เป็นกัปที่ประเสริฐที่สุด เป็นกัปที่หาได้โดยยากยิ่ง นานแสนนานจึงจักปรากฎมีในโลกเรานี้สักครั้งหนึ่ง ท่านจึงขนานนามอสุญกัปสุดท้ายนี้ว่า ภัทรกัป=กัปที่เจริญที่สุด

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
พระเจ้า ๕ พระองค์


บัดนี้ มีความยินดีเป็นยิ่งนัก ที่จักขอแจ้งให้พวกเราชาวพุทธบริษัทจงทราบทั่วกันว่า อสุญกัปที่พวกเราโผล่ขึ้นมาเกิดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวล่วงหน้ามาก่อนเลยเวลา นี้นั้น มีชื่อเรียกว่า ภัทรกัป ซึ่งเป็นกัปที่เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุด และหาได้ยากในโลกเป็นที่สุดดังกล่าวมาแล้ว ไม่มีอสุญกัปใดที่ประเสริฐเลิศล้ำ ยิ่งกว่าอสุญกัปที่เราท่านทั้งหลายกำลังเกิดเป็นคนเป็นมนุษย์อย่างเวลานี้ อีกแล้ว เพราะว่าสมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ถึง ๕ พระองค์ คือ
๑. สมเด็จพระกกุสันโธพุทธเจ้า

๒. สมเด็จพระโกนาคมโนพุทธเจ้า

๓. สมเด็จพระกัสสโปพุทธเจ้า

๔. สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคตโมพุทธเจ้า คือองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์แห่งเราท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนในขณะนี้ นั่นเอง และต่อจากนี้ไป เมื่อศาสนาของพระพุทธองค์ท่าน ที่พวกเราชาวพุทธศาสนิกบริษัทกำลังประพฤติปฏิบัติด้วยศรัทธาเคารพเลื่อมใส กันอยู่ทุกวันนี้ เสื่อมสูญอันตรธานให้หมดสิ้นแล้ว โลกเรานี้ ก็จักว่างจากพระบวรพุทธศาสนาเป็นโลกมืดบอดจากมรรคผลนิพพานไปอีกนานนักหนา แล้ววาระหนึ่ง จึงจักถึงกาลอันตรกัปที่ ๑๓ (ในปัจจุบันทุกวันนี้กำลังอยู่ในอันตรกัปที่ ๑๒) ก็ในอันตรกัปที่ ๑๓ นั้น สมเด็จพระนิยตบรมโพธิสัตว์เจ้าซึ่งมีพระนามว่า สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเทวบุตรโพธิสัตว์ ซึ่งขณะนี้กำลังสถิตเสวยสุขอยู่ ณ เบื้องสวรรค์เทวโลกชั้นดุสิตภูมิ จักเสด็จมาอุบัติตรัสเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปนี้ ทรงพระนามว่า
๕. สมเด็จพระศรีอริเมตไตรยพุทธเจ้า
สิริรวมเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ที่เสด็จมาอุบัติตรัสในภัทรกัปนี้ ถึง ๕ พระองค์ ด้วยประการฉะนี้

ทีนี้ หันมาพิจารณาถึงตัวเราท่านนี้บ้าง บรรดาเราท่านทุกผู้ทุกคนผู้กำลังโชคดี เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์ในโลกนี้ ในขณะที่เป็นภัทรกัปซึ่งเป็นกัปที่ประเสริฐสุด มีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยชุกชุมมากมายในกัปนี้แล้ว ก็จงอย่าได้มีความประมาท จงอย่าทำตนให้แคล้วคลาดจากอมตสมบัติคือมรรคผลนิพพานเสียเลย จงพยายามแสวงหาประโยชน์จากความมีโชคดีในครั้นนี้ให้จงได้ ด้วยการรีบปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์เจ้า เพื่อเอามรรคผลนิพพานมาเป็นสมบัติของตนให้จงได้ ถ้าจะถามต่อไปว่าจะปฏิบัติอย่างไรกันเล่า จึงจักเข้าถึงซึ่งมรรคผลนิพพานอันเป็นการดำเนินตามรอยบาทพระอริยเจ้าทั้ง หลาย?

เมื่อจะวิสัชชนากันไปอย่างตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมพูดมากให้เสียเวลา ก็ต้องตอบดังนี้ว่า การที่จะนำตนให้ได้บรรลุถึงมรรคผลนิพพานอันประเสริฐสุดนั้น ต้องกระทำกุศลกรรมขั้นอุกฤษฐ์ คือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ให้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งพระอริยมรรค พระอริยผล บังเกิดขึ้นในสันดานแห่งตนนั่นแหละ จึงจะรู้จักมรรคผลนิพพานและได้ลิ้มรสอมตธรรม เมื่อทำได้เช่นนี้ จึงจะได้ชื่อว่า ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ที่ กล่าวมานี้ ต้องการที่จะชี้ให้เห็นว่าจุดประเสริฐสุดแห่งการได้พบพระพุทธศาสนาในภัทรกัป นี้ อยู่ตรงนี้ คือตรงที่ได้ลิ้มรสอมตธรรมนี่เอง ทีนี้ ถ้าหากผู้ใดไม่ต้องการอมตะธรรมแล้ว ต่อให้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดตรงหน้าเขาสักหมื่นแสนพระองค์ ก็ดี ก็ไม่มีความหมาย คือไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ทรงเป็นเอก


ได้พรรณนาไว้แล้วว่า เมื่อถึงโอกาสอันสมควร เพราะวาสนาบารมีครบควรแก่การที่จะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว สมเด็จพระนิตยโพธิสัตว์เจ้า ย่อมเสด็จมาอุบัติตรัสเป็นเอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศสัจธรรมนำสัตว์ผู้ปฏิบัติตามให้พ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสาร ทรงเป็นเอกอัครบรมศาสดาจารย์ผู้ยอดเยี่ยม ไม่มีใครเทียมเสมอสองทรงเป็นเอกในโลกจริงๆ แม้แต่เวลาที่ทรงอุบัติ ก็ทรงอุบัติได้คราวละพระองค์เดียว โดยมีกฎธรรมดาอยู่ว่า เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นนั้น ไม่ว่ากาลไหนๆ ย่อมมาตรัสได้ในโลกเรานี้ คราวละพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่เสด็จอุบัติพร้อมกันคราวละ ๒-๓ พระองค์เลยเป็นอันขาด ถึงแม้จะมาตรัสในกัปเดิมหลายพระองค์ก็ตาม ถึงกระนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หลัง ต้องทรงรอให้ศาสนาสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์เก่า หมดสิ้นเสื่อมสูญอันตรธานไปเสียก่อน แล้วจึงจักเสด็จมาตรัสต่อไป

ในกรณีนี้ หากจะปัญหาว่า เหตุไฉน สมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ตรัสในโลกเรานี้พร้อมกันเล่า? เพราะว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น จะตรัสพระสัทธรรมเทศนาใดก็ดี หรือจะทรงบัญญัติพระวินัยสิกขาบทใดก็ดี ย่อมเป็นเหมือนๆ กันหมด จะได้ผิดแผกแยกให้ต่างกัน แม้แต่บทเดียวก็หามิได้ ถ้าแม้สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าผู้ทรงคุณใหญ่ จะได้ตรัสขึ้นในโลกพร้อมกันแม้ไม่มากแต่เพียง ๒ พระองค์แล้ว โลกเรานี้ก็จะยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปนักหนา ด้วยมีสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ถึง ๒ พระองค์ จะได้ช่วยกันทรงเทศนา โปรดฝูงมนุษย์เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เป็นอันมาก พระพุทธศาสนาก็จักแพร่ไพศาลถึงความรุ่งเรืองภิญโญภาพยิ่งๆ ขึ้นไปมิใช่เหรือ?'

หากจักสงสัยเช่นนี้ คำวิสัชชนาก็จะมีว่า อันว่าโลกธาตุเรานี้มีปกติจำเพาะจะทรงไว้ ซี่งพระคุณแห่งสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แต่เพียงพระองค์เดียว เท่านั้น ถ้าว่าสมเด็จพระสัพพัญูเจ้า จักมาตรัสพร้อมกันถึง ๒ พระองค์แล้ว โลกธาตุนี้ก็มิอาจจะทรงไว้ซึ่งพระพุทธคุณอันมากมายก่ายกองไว้ได้ ก็จะถึงความหวั่นไหวสะท้านสะเทือนและถึงความฉิบหายไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ถ้าจักให้กล่าวเป็นอุปมาโวหารก็มีคำที่ท่านพรรณนาไว้ ดังต่อไปนี้

นาวาเล็กลำเดียว มีปกติจุแต่บุรุษเดียวเท่านั้น จึงจะข้ามแม่น้ำแล่นไปได้ ทีนี้ ยังมีบุรุษอีกผู้หนึ่ง ซึ่งมีรูปร่างกำยำส่ำสันใหญ่โตพอๆ กันกับบุรุษผู้เป็นเจ้าของเรือนั้นมาขอโดยสารข้ามฟาก จะขอนั่งลงในนาวานั้นเป็น ๒ คนด้วยกัน อย่างนี้นาวาน้อยลำนนั้นจะบรรทุกคนทั้งสองให้ข้ามไปถึงฝั่งได้อย่างไรกัน เพราะเหตุว่าแต่เพียงบุรุษเจ้าของเรือคนเดียวนั่งลงก็เพียบเต็มที่อยู่แล้ว หากยังมีบุรุษล่ำสันเท่ากันมาโดยสารอีกเล่า แต่พอนั่งลง นาวานั้นย่อมมิอาจจะทรงตัวไว้ได้ ก็จะล่มลงเป็นมั่นคงเที่ยงแท้ในกระแสคงคา อุปมาข้อนี้ฉันใด โลกธาตุนี้ก็เป็นเช่นนั้นคือ มีปกติทรงไว้ได้ซึ่งพระคุณแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวเท่า นั้น ครั้นจะมีสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติขึ้นพร้อมกันอีกพระองค์ หนึ่งเล่า ก็เข้าภึงภาวะที่ไร้ประโยชน์และกลับจะเป็นโทษ ตามอุปมาที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนนั้น

อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้ซึ่งบริโภคอาหารอิ่มท้องเต็มแปร้ตลอดคอหอยสุดที่จักรับ ประทานได้แล้ว ยังจะขืนให้บริโภคอาหารเข้าไปใหม่ ให้มีปริมาณเท่ากับที่บริโภคเข้าไปแล้วนั้นอีกเล่า อย่างนี้ก็น่าที่บุรุษนั้นจักต้องได้รับทุกขเวทนาให้มีอันเป็นจุกรากอาเจียร ต่างๆ ไม่มีความสุขสบายเป็นแน่แท้อุปมาข้อนี้ฉันใด โลกธาตุนี้ทรงไว้ซึ่งพระคุณแห่งสมเด็จพระสรรเพชญบรมโลกนาถแต่เพียงพระองค์ เดียวก็เต็มหนักอยู่แล้ว หากจะมีสมเด็จพระจอมมุนีศาสดาจารย์มาตรัสขึ้นพร้อมกันอีกพระองค์หนึ่งเล่า ก็จะปั่นป่วนหวั่นไหวทรุดเซไป มิอาจจะต้านทานพระคุณไว้ได้ เข้าถึงภาวะที่เปล่าประโยชน์และกลับจะเป็นโทษไปเสียด้วยซ้ำ

อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง  ซึ่งเอาสัมภาระสิ่งของบรรทุกลงในเกวียน ๒ เล่มให้เต็มเสมอเรือนเกวียนแล้ว กลับจะขนสัมภาระอันหนักลงจากเกวียนเล่มหนึ่ง   เอาไปบรรทุกลงในเกวียนเล่มเดียวกัน อย่างนี้ เกวียนเล่มนั้นจะทนทานได้อย่างไรกันเล่า เพราะตามปกติก็บรรทุกไว้จนเต็มที่อยู่แล้ว ยังจะเอามาบรรทุกซ้ำเข้าอีกเท่าหนึ่งเล่า เช่นนี้ก็น่าที่จะเกิดเหตุเป็นแม่นมั่น คือว่ากงกำเกวียนนั้นก็จะต้องทำลายฉิบหายลง มิฉะนั้น เพลาเกวียนก็จะหักสะบั้นไปอย่างไม่ต้องสงสัย อุปมาข้อนี้ฉันใด โลกธาตุแผ่นพสุธาอันกว้างใหญ่นี้ก็เป็นเช่นกัน จำเพาะจะทรงไว้ได้ซึ่งพระคุณแห่งสมเด็จพระโลกเชษฐ์แต่เพียงพระองค์เดียว เท่านั้น หากมีสมเด็จภควันต์เสด็จมาตรัสพร้อมกันเป็นสองพระองค์แล้วไซร้ ก้มิอาจจะทนทานได้ น่าที่จะวิการไปเป็นเหมือนเกวียนบรรทุกสิ่งของเกินอัตราเป็นแม่นมั่น

อนึ่ง  ที่นับว่าสำคัญในกรณีนี้ ก็คือว่า หากสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้า จักเสด็จมาตรัสในโลกนี้พร้อมกันเป็น ๒ พระองค์ แล้วทรงช่วยกันประกาศพระบวรพุทธศาสนา ทรงช่วยกันแสดงพระสัทธรรมเทศนาโปรดสัตว์โลกทั้งหลาย มนุษย์หญิงชายทั้งปวงก็จะแตกต่างออกเป็น ๒ ฝ่าย แล้วต่างก็จะถือเอาแต่วิวาททุ่มเถียงซึ่งกันแลกันไปตามประสาทิฐิแห่งมนุษย์ ว่า

"สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา"
และว่า
"สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกท่าน"


เมื่อพุทธบริษัทต่างพากันถือเอาด้วยทิฐิเป็นสองฝ่ายสองพวกไปเสียเช่นนี้ พระโอวาทานุสาสนีอันล้ำค่าก็น่าที่จะไม่ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นแม่นมั่น การณ์ดีก็จะมีน้อยกว่าการณ์เสีย เปรียบดุจเสนาบดีใหญ่ยิ่ง ๒ คน ซึ่งเป็นข้าเผ้าสมเด็จพระบรมกษัตริยาธิราชเจ้า ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ต่างพระเนตรพระกรรณให้ปรึกษาราชการ เหล่าบริวารทั้งหลายของเสนาบดีทั้งสองนั้น ย่อมถือกันแบ่งกันเป็น ๒ พวก ด้วยถ้อยคำว่า "เสนาบดีนั้น เป็นเจ้านายของพวกท่าน . เสนาบดีนั้นเป็นเจ้านายของพวกเรา" เหล่าบริวารทั้งหลายเกิดมีทิฐิในน้ำใจแบ่งแยกแตกออกเป็น ๒ ฝ่ายไปเสียเช่นนี้ ก็น่าที่จะไม่สามารถยังราชกิจแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้สำเร็จลงได้เต็ม เม็ดเต็มหน่วย อุปมาข้อนี้ฉันใด เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จมาอุบัติในโลกนี้ทีเดียวพร้อม ๒ พระองค์แล้ว ก็จะเป็นเหตุให้พุทธบริษัทถือทิฐิแบ่งแยกเป็นสองพวกสองเหล่า เช่นอุปมาที่เล่ามานี่ดุจกัน

อีกประการหนึ่ง สิ่งที่ว่าใหญ่โตบรรดามีในโลกธาตุนี้ คือ

มหาปฐพีอันกว้างใหญ่ย่อมมีเป็นอันเดียว จักได้เป็นสองก็หามิได้

มหาสมุทรทะเลใหญ่ย่อมมีเป็นอันเดียว จักได้มีเป็นสองก็หามิได้

สิเนรราชจอมภูผา เป็นพญาแห่งภูเขาทั้งปวง ก็มีแต่หนึ่งซึ่งจะเป็นสองก็หามิได้

สมเด็จเจ้าผู้เป็นใหญ่ ณ เบื้องสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ ก็ประเสริฐเป็นหนึ่งอยู่แต่พระองค์เดียว คือ องค์สมเด็จพระอัมรินทราธิราช ซึ่งสถิตเสวยสุขอยู่ในไพชยนต์ปราสาทพิมาน

พญามาราธิราช ซึ่งสถิตอยู่ ณ เบื้องสวรรค์ชั้นสูงสุด คือปรนิมิตสวัตตีเทวโลก ก็ประเสริฐเป็นหนึ่งอยู่แต่เพียงพระองค์เดียว จักได้มีผู้ใดเทียมเท่าก็หามิได้
ท้าวมหาพรหมผู้เป็นใหญ่วิเศษอยู่ ณ เบื้องพรหมโลกแต่ละภพ ก็มีอำนาจเลิศเป็นใหญ่แต่ลำพังพระองค์เดียว

เพราะฉะนั้น สมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐล้ำเลิศในไตรโลก จึงทรงเป็นเอกประเสริฐสุดอยู่แต่เพียงพระองค์เดียว และเมื่อมาตรัสก็ไม่มาตรัสพร้อมกันเป็นสองพระองคืในคราวเดียวกันเลย สภาพการณ์เช่นนี้ เป็นธรรมประเพณีเที่ยงแท้แต่เดิมมา

พรรณาในพระพุทธาธการ กล่าวเรื่องอันเกียวกับองค์สมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง หลาย เห็นว่าเป็นการสมควรแล้ว จึงขอยุติลงเพียงแค่นี้ ต่อจากนี้ เพื่อความเข้าใจดี ขอเชิญท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงได้ติดตามประวัติการสร้างพระพุทธบารมีของ องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งหลายสืบต่อไป

บทที่ ๒

พระบารมีเริ่มแรก


บัดนี้ จักพรรณนาถึงการสร้างพระบารมี เพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณของสมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคดมบรมโลกนาถ พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดา ทรงมีพระมหากรุณาประกาศศาสนธรรมคำสั่งสอน ให้พวกเราชาวพุทธเวไนยนิกรได้ประพฤติปฏิบัติสืบๆ กันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เพื่อเป็นการสดุดีสรรเสริญคุณแห่งพระองค์ เท่าที่สามารถจะประมวลนำมากล่าวไว้ในที่นี้ได้ ขอท่านสาธุชนทั้งหลายจงตั้งใจสดับตรับฟังด้วยดีเถิด เพื่อที่จะได้เกิดศรัทธาปสาทะความเชื่อความเลื่อมใสในองค์พระผู้มีพระภาค เจ้า โดยมาเข้าใจทราบชัดว่า สมเด็จพระบรมศาสดาของพวกเราทั้งหลาย กว่าจะได้ตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณนั้น พระองค์ท่านต้องทรงพระอุตสาหะพยายามสั่งสมบ่มพระบารมีมาเป็นเวลานาน และยากลำบากนักหนาเพียงไร

สมเด็จพระสรรเพชญ์ศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเรานี้ พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ คือทรงยิ่งด้วยพระปัญญา ฉะนั้น จึงปรากฎว่าพระองค์ทรงสร้างพระบารมีเพื่อพระพุทธภูมิได้ยิ่งยวดรวดเร็ว นักหนา เร็วยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าประเภทอื่นทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มปรารถนาพระพุทธภูมิจนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แม้จะนับว่ารวดเร็วกว่าพระพุทธเจ้าประเภทอื่น ถึงกระนั้น พระองค์ก็ต้องทรงใช้เวลาสร้างพระบารมีถึง ๒๐ อสงไขยกับ ๑ แสนมหากัปพอดี ในบทนี้ จะกล่าวถึงตอนเริ่มแรกทรงสร้างพระบารมี คือตอนทรงปรารถนาพระพุทธภูมิ ได้แต่ดำริในพระหฤทัยมิได้ออกโอษฐ์เป็นวาจา นับเวลานานถึง ๗ อสงไขย ดังต่อไปนี้


พรหมรำพึง
   

กาลครั้งหนึ่ง ปรากฎว่าในโลกธาตุว่างจากพระบวรพุทธศาสนาคือ ไม่มีองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ เป็นเวลานับได้นานนักหนาถึง ๑ อสงไขย เมื่อไม่มีพระพุทธศาสนา โลกธาตุก็ย่อมจะว่างเว้นจากการได้บรรลุมรรคผลธรรมวิเศษเป็นธรรมดา เพราะว่าธรรมพิเศษคือพระอริยมรรคอริยผลอันเป็นโลกุตตรธรรมนั้น จักมีได้ก็แต่เฉพาะภายในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่มีในศาสนาลัทธิอื่นเป็นอันชาด ก็ในกาลครั้งนั้น จึงบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายผู้ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกบริษัทแลได้บรรลุมรรคผลธรรม วิเศษ คือเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน พระสกิทาคามีมาแต่ศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อน เทพยเจ้าพระอริยบุคคลเหล่านั้น ต่างก็พากันอนุโยคพยายามประกอบความเพียรบำเพ็ญเป็นพระอนาคามี อริยบุคคล แล้วจึงจุติขึ้นไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมอนาคามี ณ พรหมโลกชั้นสุทธาวาสทั้งห้า คือ อวิหาพรหมโลก อตัปพรหมโลก สุทัสสาพรหมโลก สุทัสสีพรหมโลก และอกนิฏฐพรหมโลก องค์ใดจะไปอุบัติเกิดในปัญจสุทธาวาสพรหมโลกชั้นไหนนั้น ก็สุดแต่วาสนาบารมีที่ตนอบรมให้แก่กล้าในอินทรีย์ไหน

เมื่อเทพยดาเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ไปอุบัติบังเกิดเป็นพระพรหมอนาคามีแล้ว ก็ย่อมเจริญกรรมฐานต่อไปจนกระทั่งได้บรรลุมรรคผลขั้นสูงสุด คือ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วก็ดับขันธ์ปรินิพพาน ณ พรหมโลกนั้นเอง อันนี้เป็นกฎธรรมดาของพระพรหมอนาคามีทั่วไป ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกไหนๆ อีก เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่พระอมตนิพพานไปทีละองค์สอง องค์เช่นนี้ พระพรหมอนาคามีก็เหลือน้อยลงทุกที เพราะผู้ที่จะมาอุบัติเกิดใหม่ก็ไม่มี โดยที่โลกธาตุนี้ว่างจากพระพุทธศาสนา จึงไม่มีพระอนาคามีบุคคลผู้ทรงคุณวิเศษมาอุบัติเกิดดังกล่าวแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านสุทธาวาสมหาพรหมอนาคามี ได้ทอดทัศนาเห็นมหาพรหมที่เหลืออยู่น้อยนักหนา ทั้งยังจะต้องได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานในวันหน้า อีกด้วยเล่า ท่านมหาพรหมเหล่านั้นจึงให้รำพึงปรึกษากันไปว่า

"ดูรา เราท่านผู้นิรทุกข์เอ๋ย! กาลบัดนี้ บรรดามหาพรหมในชั้นปัญจสุทธาวาสเรานี้ น้อยลงๆ นักหนาแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในโลกธาตุว่างเว้นจากพระพุทธศาสนา กาลที่ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นแล ปรากฎเป็นอันมากมายกว่ากาลที่มีพระพุทธเจ้าเป็นไหนๆ ฉะนั้น หมู่พระพรหมสุทธาวาสเรานี้ จึงค่อยน้อยไปๆ" เมื่อได้รำพึงปรึกษากันไปดังนี้ ต่างก็มีกมลหฤทัยบังเกิดความสังเวช แลคิดจะแก้ไขเหตุการณ์ให้ดีขึ้น จึงทอดทัศนาเล็งแลดูไปทั่วทั้งจักรวาลแลอนันตจักรวาลน้อยใหญ่ ก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้าจักเสด็จมาอุบัติขึ้นในกาลใกล้ๆ นี้เลย จึงรำพึงปรึกษากันต่อไปว่า

"อันธรรมดาองค์สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเสด็จอุบัติตรัสในมงคลจักรวาลนี้เท่านั้น เว้นจากมงคลจักรวาลโลกธาตุแล้ว จักมิได้ไปเสด็จอุบัติตรัสในจักรวาลทั้งหลายอื่นเลย ก็แลใครผู้ใดเล่าหนา จักเป็นผู้มีความพยายามใหญ่ หฤทัยมั่นคงแข็งกล้าอุตสาหพยายามบำเพ็ญกุศลพุทธการกธรรมเพื่อจักได้ตรัสรู้ พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณได้ จำเราทั้งหลายจักต้องคอยค้นคว้าแสวงหาดู"

ครั้นสุทธาวาสมหาพรหมทั้งหลาย ปรึกษากันฉะนั้นแล้ว จึงค่อยสอดส่องแสวงหาดูทั่วทั้งหมู่มนุษย์และเทวดา เพื่อจักหาบุคคลผู้มีกมลหฤทัยผูกพันมั่นคงกล้าหาญ เต็มไปด้วยอนุโยคพยายามอันยิ่งใหญ่ อาจประกอบกิจที่ตนมุ่งหวังให้สำเร็จได้โดยมิได้อาลัยถึงร่างกายแลชีวิต โดยประสงค์ว่า เมื่อพบผู้มีน้ำใจองอาจมั่นคงชนิดนี้แล้ว จักได้เข้าบันดาลดลจิตของผู้นั้นให้บังเกิดมีน้ำใจรักใคร่ในทางที่จะปรารถนา พระพุทธภูมิเพื่อตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ในอนาคตกาลภายภาคหน้า

มานพหนุ่มผู้เข็ญใจ


กาลครั้งนั้น ยังมีมาณพหนุ่มผู้ยากจนเข็ญใจคนหนึ่ง เมื่อถึงกาลชนมายุเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาจึงคิดจะปลูกฝังแต่งตั้งให้มีครอบครัวตามประเพณี แต่มาณพนั้นมิได้มีความปรารถนาด้วยประมาณตัวว่าตนเป็นคนยากจน ครั้นชนกชนนีรบเร้าเฝ้ารำพันปลอบ จึงตอบว่า

"ข้าแต่พ่อแม่ทั้งสอง! ทุกวันนี้ทรัพย์สมบัติอันหนึ่งอันใดที่มีค่าในเรือนของเราก็มิได้มี เพราะว่าเราเป็นคนเข็ญใจ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยังมิพอใจจะมีเหย้ามีเรือน เมื่อมารดาบิดาทั้งสองยังครองชีวิตอยู่ตราบใด ข้าพเจ้าก็จักอุปฐากบำรุงเลี้ยงไปตามประสายาก จนกว่าชีวิตข้าพเจ้าจะหาไม่" เมื่อให้คำตอบดังนี้แล้ว ก็ทำการงานเลี้ยงดูท่านทั้งสองเป็นนิตย์ ครั้งจำเนียรกาลนานมา ท่านบิดาก็ถึงแก่กรรมไปตามธรรมดาของสังขาร

ตั้งแต่นั้นมา มาณพหนุ่มก็มิได้มีความประมาท หมั่นระวังระไวเอาใจใส่อภิบาลมารดาด้วยความรัก เที่ยวแสวงหาหักไม้ในอรัญพอแก่ความต้องการแล้ว ก็นำมาขายได้มูลค่าเท่าใด ก็จ่ายจัดเครื่องภัตตาหารได้แล้วก็นำมาอุปฐากบำรุงเลี้ยงมารดา เป็นกิจวัตรตลอดมาทุกทิวาวาร

วันหนึ่งมาณพหนุ่มผู้ยากไร้นั้น ครั้นเสร็จการเรือนแล้วก็เข้าไปสู่อรัญประเทศเที่ยวหาฟืนแลผักได้มากเหลือ กำลัง นำกลับมาในระหว่างทางก็ให้เหนื่อยกายกระหายหิวน้ำนัก จึงแวะเข้าอาศัยพักนั่งอยู่ริมฝั่งน้ำใต้ร่มไทรใบดกหนาแห่งหนึ่งใกล้ท่าเรือ สำเภา นึกในใจว่า จักเอนกายพอคลายเหนื่อยสักหน่อย จึงจะค่อยเดินทางกลับบ้านต่อไป แล้วก็เอนกายระงับหลับม่อยไปครู่หนึ่ง พอตื่นขึ้นมาเหลือบไปเห็นเรือสำเภาจึงเกิดความคิดอันบรรเจิดคำนึงไปว่า

"อา บัดนี้ เรากำลังเป็นคนหนุ่มอยู่ในปฐมวัย มีกำลังกายอุดมดี จึงอาจแสวงหาผักฟืนอันเป็นงานหนักถึงเพียงนี้ได้ ก็เมื่อกายแก่ชราล่วงกาลนานไปถอยกำลังลงก็ดี หรือเมื่อมีพยาธิความเจ็บไข้มาเบียดเบียนกายให้พิการลงแล้วก็ดี เราจักมีความสามารถประกอบการงานอันหนักอย่างที่กำลังกระทำอยู่ทุกวันนี้ได้ หรือ จำเราจะคิดขยับขยายหนทางประกอบอาชีพเสียใหม่ เข้าไปหานายสำเภานั่นแล้ว ของานทำเพื่อนำค่าจ้างมาเลี้ยงดูมารดา เช่นนี้น่าจะเป็นการดี"

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
ครั้งคิดดังนั้นแล้ว จึงผันผายเข้าไปหาพ่อค้าใหญ่นายสำเภา แล้วกล่าวขึ้นว่า

"ข้าแต่นาย! กาลบัดนี้ ข้าพเจ้าถึงซึ่งความยากจนเข็ญใจนัก จึงเซซังมาสู่สำนักท่านด้วยหวังใจว่า ถ้าท่านอนุเคราะห์ข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าก็จักขอทำงานอยู่กับท่านด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อไป"

ฝ่ายนายเรือสำเภาผู้ใหญ่ ครั้นได้ฟังวาจาของมาณพหนุ่มมาอ้อนวอนของงานทำเช่นนั้น ก็พลังให้เกิดความสงสาร กอปรทั้งได้เห็นรูปร่างของมาณพหนุ่มดูอุดมไพบูลย์ไปด้วยกำลังกาย อาจทำงานต่างๆ ได้โดยง่าย จึงตกลงใจอนุเคราะห์เร่งรับคำโดยเร็วว่า

"เออ...พ่อนี่ร่างกายดี ทั้งมีปัญญาพูดจาก็คมสันสมควรอยู่ มาเถิดเราจักรับอนุเคราะห์จะต้องการค่าจ้างเท่าไร เราจักให้ตามต้องการ อีกทั้งเสบียงอาหาร เมื่อต้องการก็จงเอาไปก่อนเถิด เราจะรับเลี้ยงเจ้าไปตราบเท่าวันมรณะ เจ้าอย่างได้คิดรังเกียจเลย"

มาณพหนุ่มคนเข็ญใจ เมื่อได้รับความอนุเคราะห์เช่นนั้นก็มีจิตยินดีนักหนา กล่าวคำอำลาแล้วเดินนึกสรรเสริญคุณของนายเรือสำเภาพ่อค้าใหญ่ไปพลาง จนมาถึงร่มไทรที่พักเพื่อจะนำผักและฟืนไปขายเสียก่อน ก็กลับวิตกไปอีกว่า

"หากเราจะไปต่างประเทศกับพวกพ่อค้าพานิชในเรือสำเภา มารดาเราอยู่ข้างหลังใครจักอภิบาลบำรุงเลี้ยงดูเล่า เรานี้น่าจะเป็นคนคิดผิดเสียในครั้งนี้กระมังหนอ แต่จะอย่างไรก็ตาม จำเราจะต้องไต่ถามบอกความแก่มารดาดูเสียก่อน แล้วจึงจะค่อยผ่อนผันตามสมควรในภายหลัง"

คิดดังนี้แล้ว ก็ยกภาระอันหนักนั้นขึ้นใส่บ่าไปขาย ได้มูลค่าแล้วก็จับจ่ายภัตตาหารกลับมาสู่เรือน ประกอบสรรพกิจที่เคยทำมา ครั้นมารดาบริโภคอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปกราบกรานเล่าเรื่องที่ตนคิดจะไปทำงานกับพวากพานิชยังต่างประเทศให้ ฟัง

ฝ่ายชนนีของมาณพหนุ่มนั้น ครั้นได้ฟังวาจาของปิยบุตรสุดที่รักบอกว่าจักใคร่ไปทำงานเพื่อความก้าวหน้า จะกล่าวห้ามปรามเสียก็ไม่สมควร จึงกล่าวว่า

"ดูกร พ่อผู้ปิยบุตร! ทุกวันนี้ชีวิตของแม่ย่อมเนื่องอยู่กับเจ้าผู้เป็นลูกรัก เพราะฉะนั้น เจ้าจะไปที่ไหนก็จงไปตามใจเถิด แต่ว่าขอให้แม่นี้ได้ไปกับเจ้า ได้อยู่ใกล้ๆ เจ้าเสมอไปก็แล้วกัน"

มาณพหนุ่มได้ฟังดังนี้ ก็มีความยินดีกึ่งวิตก จึงรีบลามารดาไปที่ท่าเรือสำเภา เข้าไปหานายพานิชผู้ใจดีแล้วแจ้งความว่า

"ข้าแต่ท่านผู้มีจิตกรุณา! บัดนี้การที่ข้าพเจ้าจะทำงานในเรือไปกับท่านยังต่างประเทศนั้น ข้าพเจ้าจะไปแต่ตัวคนเดียวหาได้ไม่ ถ้าท่านมีความกรุณา ขอจงอนุญาตให้ข้าพเจ้าพามารดาไปด้วยเถิด แท้จริงมารดาของข้าพเจ้านั้น เป็นคนชราอนาถาหาที่พึ่งมิได้ บุตรธิดาคณาญาติผู้ใดใครผู้หนึ่งนอกจากข้าพเจ้าแล้ว ที่จะบำรุงอุปัฏฐากเป็นไม่มีเลย ข้าพเจ้าจึงไม่อาจสละละทิ้งมารดาไว้แต่เดียวดายได้"

ฝ่ายนายสำเภาได้ฟัง ก็ยิ่งมีจิตกรุณาหนักหนา จึงตอบเป็นมธุรวาทีว่า
"ดูกรพ่อผู้เจริญ! เออ...พ่อนี้ก็เป็นคนมีกตัญญูรู้คุณอุตส่าห์ชุบเลี้ยงมารดาอยู่ด้วยหรือ เออ ดีแล้ว จงพามารดาไปด้วยเถิด เราจะรับอุปการะทั้งสิ้นโดยสุจริตใจ เพราะรักใคร่ในน้ำใจจริงๆ อย่าวิตกกังวลไปเลย"

มาณพก็มีจิตโสมนัสยินดี อัญชลีกรกล่าวขอบคุณนายพานิชแล้วรีบมายังเรือนของตน แจ้งความแก่มารดาให้ทราบแล้ว ก็เลือกเก็บทรัพย์สมบัติอันไม่ค่อยจะมีค่านัก ราบรวมได้ห่อหนึ่งแล้ว จึงพามารดาของตนสู่สำนักนายสำเภา ครั้นได้เวลาเรือออกจากท่าจะไปยังต่างประเทศแล้ว นายสำเภาผู้มีใจกรุณาก็มอบหมายหน้าที่ให้นายมาณพหนุ่มนั้นทำตามกำลังความ สามารถ มาณพนั้นมิได้ประมาทอุตสาหะประกอบกิจทุกประการเป็นอันดี

เมื่อเรือสำเภาแล่นไปในมหาสมุทรทะเลใหญ่ ประมาณได้ ๗ วันสำเภานั้นต้องลมพายุใหญ่เหลือกำลัง ก็เลยถึงซึ่งความอัปปาง ทำลายจมลงในท้องมหาสมุทร บรรดามนุษย์พานิชนิกรทั้งหลายรวมทั้งนายสำเภาผู้ใจดี ก็สิ้นชีวิตถึงแก่มรณาเป็นภักษาแห่งเต่าปลาทั้งหลายในมหาสมุทรนั้น

ฝ่ายมาณพหนุ่ม เมื่อพบประสพการณ์อันร้ายแรงเช่นนั้น ก็ตั้งสติมั่นคงจัดแจงแต่งตัวให้ทะมัดทะแมงเป็นอันดี พอได้ทีก็โลดโผนโจนออกไปจากเรือที่กำลังอับปาง เพื่อรักษาชีวิตแห่งตนไว้ ครั้นแล้วรำลึกได้ถึงมารดาจึงเหลียวหลังกลับมาแลดู ก็บังเอิญให้เห็นมารดายังไม่ตาย ยังเหนี่ยวต้นไม้หักห้อยตัวอยู่จึงดีใจนักหนา ว่ายน้ำกลับมารับมารดาให้นั่งเหนือคอของตนแล้วก็พาว่ายน้ำไปในมหาสมุทร แม้ว่าจะแลเห็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่สุดวิสัยไม่เห็นฟากฝั่งจะข้ามไปให้รอด ชีวิตได้ ถึงกระนั้นก็มิได้มีใจย่อท้อถอยความเพียรเสีย แม้จะเพลียแสนเพลียเหน็ดเหนื่อยนักหนา ก็สู้อุตสาหะอดทนต่อต้านทานกำลังน้ำเชี่ยวเค็มเต็มไปด้วยคลื่น ดัวยน้ำใจเด็ดเดี่ยวมากไปด้วยความพยายามอดทนเป็นยิ่งนัก เพื่อที่จักนำมารดาไปใด้รอดชีวิตให้จงได้

กล่าวฝ่ายท้าวสุทธาวาสมหาพรหมอนาคามี ซึ่งสถิตอยู่ ณ ชั้นอกนิฏฐภพพรหมโลกโพ้น เพื่อคอยแลเล็งเพ่งดูหมู่สัตว์ประสงค์จะเลือดคัดจัดสรรผู้มีหฤทัยองอาจเต็ม ไปด้วยความอุตสาหะใหญ่ใจกล้าสามารถที่จะกระทำพุทธการกธรรมได้ คราวนั้น ครั้นทอดทัศนาลงมาเห็นมาณพผู้กำลังแบกมารดาว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทร จึงดำริว่า "โอ... บุรุษนี้เป็นมหาบุรุษโดยแท้ ดูรึ...ไม่เอื้อเฟื้อย่นย่อต่อมหาสมุทรอันลึกซึ้งกว้างไกล สู้อดทนพยายามว่ายน้ำ เพื่อพามารดาให้ข้ามพ้นบรรลุถึงฝั่ง ก็บุคคลผู้มีใจพยายามมั่นคงเต็มไปด้วยอุตสาหะใหญ่เห็นปานนี้ จึงควรนับว่าเป็นผู้สามารถเพื่อที่จะบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้สำเร็จลุล่วงไป ได้" เมื่อท้าวมหาพรหมผู้วิเศษคำนึงฉะนี้แล้ว ก็เข้าดลจิตให้มาณพหนุ่มนั้นนึกปณิธานปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ

เวลานั้น มาณพหนุ่มผู้ซึ่งมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวอดทนเป็นมหาบุรุษ เมื่อแบกมารดาว่ายอยู่ในหมู่คลื่นอันมีกำลังกล้า ซัดซ่ามาปะทะประหารจึงให้เกิดอาการอ่อนเพลียเหน็ดเหนือยนักหนา ก็จมลงไปในมหาสมุทรหน่อยหนึ่งแล้วก็โผล่ขึ้นมาอีก ในเวลานาทีอันเลวร้ายใกล้มรณะ ด้วยเดชอำนาจแห่งน้ำหฤทัยที่ท้าวมหาพรหมผู้วิเศษให้นึกนั้น ก็บังเกิดความคิดขึ้นมาว่า
"ถ้าตัวเราถึง แก่ชีวิตพินาศขาดสูญลงไปในท้องมหาสมุทรทะเลใหญ่พร้อมกับมารดา ณ กาลบัดนี้ ขอกุศลที่เราแบกมารดาว่ายน้ำในมหาสมุทรมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยนักหนานี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งพระโพธิญาณ ขอเราพึงอาจนำสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายในวัฏสงสารให้ข้ามพ้นลุถึงฝั่งโน้น คืออมตมหานิพพาน"
ครั้นคิดดังนี้แล้ว มาณพหนุ่มนั้นก็ตั้งปณิธานซ้ำลงไปอีกว่า
"เมื่อ เราเปลื้องตนออกพ้นจากวัฏสงสารแล้ว ขอเราพึงนำสัตว์ทั้งหลายให้เปลื้องตนพ้นวัฏสงสารด้วยเถิด อนึ่งเมื่อเราข้ามจากวัฏสงสารได้แล้ว ขอให้เราพึงนำสัตว์ทั้งหลาย ข้ามพ้นจากวัฏสงสารได้ด้วยเถิด"
เมื่อนึกปณิธาน ดังนี้แก้ว ก็ให้เกิดอัศจรรย์ พละกำลังที่จวนจะหมดสิ้น ก็พลันเกิดมีขึ้นมาอีกด้วยกำลังแห่งพรหมอนุเคราะห์ มาณพหนุ่มนั้นจึงอุตสาหะแบกมารดาว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร สองสามวันก็บรรลุถึงฝั่ง พอพามารดาขึ้นถึงฝั่งได้แล้ว ก็เข้าไปอาศัยบ้านแห่งหนึ่งอยู่ ทำงานเลี้ยงชีวิตด้วยความยากจนสืบไป ครั้นถึงแก่กาลกิริยาสิ้นชีวิต กุศลก็ส่งให้ได้ขึ้นไปอุบัติเกิดในสวรรคสุคติภูมิ

ชีวประวัติของมาณพหนุ่มเข็ญใจนี้ แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดั้งเดิมเริ่มแรก เพื่อต้องการพระพุทธภูมิ ขององค์สมเด็จพระสรรเพชญมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคดม บรมครูเจ้าแห่งเราทั้งหลาย คือพระองค์เริ่มตั้งปณิธานความปรารถนาเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ปางเมื่อเสวยพระชาติเป็นมาณพหนุ่มแบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทรตามที่ เล่ามานี้ แล้วต่อจากนั้น พระองค์ท่านก็มีหฤทัยมั่นคง ตั้งความปรารถนาในทุกๆ ชาติที่เกิดเรื่อยมาไม่เปลี่ยนแปลง ก็เป็นอันแสดงว่า พระองค์ทรงเริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา เพราะทรงปรารถนาพระพุทธภูมิหรือพุทธภาวะซึ่งเป็นคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว ฉะนั้น ต่อแต่นี้ไป จะเรียกคำแทนชื่อพระองค์ว่า พระโพธิสัตว์ ในพระชาติต่างๆ ที่จะนำมาเล่าให้ฟัง อนึ่งขอแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไว้ เสียก่อนว่า พระชาติต่างๆ ทีจะนำมาเล่าต่อไปนี้เป็นส่วนเล็กน้อยที่พระองค์เกิดเท่านั้น อย่าพลันเข้าใจว่าพระองค์เกิดเพียงไม่กี่ชาติเท่าที่เล่ามานี้เป็นอันขาด ความ จริง พระองค์เกิดเป็นพระโพธิสัตว์สร้างพระบารมีมากมายจนนับพระชาติไม่ถ้วน ไม่สามารถจะประมวลมาให้สิ้นสุดลงได้ จะยกย่องเอาแต่บางพระชาติมาเล่าไว้ในที่นี้เท่านั้น เมื่อได้ทำความเข้าใจเป็นอันดีเช่นนี้แล้ว ก็จะขอเล่าเรื่องการสร้างพระบารมีของสมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป

สัตตุตาปะราชา


หลังจากที่ได้ตั้งปรารถนาพระพุทธภูมิ ในพระชาติที่เป็นมาณพผู้ยากจนเข็ญใจเป็นประเดิมเริ่มแรกแล้ว พระโพธิสัตว์เจ้าก็ท่องเที่ยวเสวยสุขอยู่ ณ สวรรค์เทวโลกอยู่นานแสนนานแล้วจึงจุติจากเทวโลกลงมาบังเกิดในขัตติยตระกูล ณ พระนครที่ปรากฎนามว่า สิริบดีนคร เมื่อพระชนมพรรษาทรงเจริญแล้ว สมเด็จพระชนกธิราชก็เสด็จทิวงคตล่วงลับไป พระองค์จึงได้เสวยมไหศูรยสมบัติ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าสัตตุตาปนราธิราช มีพระบรมเดชานุภาพเป็นอันมาก ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนโดยทศพิธราชธรรม ก็สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงมีพระหฤทัยรักใคร่ในหัตถีพาหนะคือช้างเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ได้ทรงสดับว่ามีมงคลคชสารอยู่ ณ ประเทศที่ใดแล้ว ก็ทรงพระอุตสาหะเสด็จไปประทับแรมอยู่ ณ ประเทศนั้น จนกว่าจะจับมงคลคชสารได้ จึงจะเสด็จกลับนำมาสู่พระนคร แล้วทรงมอบให้นายหัตถาจารย์ผู้วิเศษชำนาญเวทย์ฝึกสอนต่อไป

สมัยนั้น ที่แขวงเมืองสิรบดี มีพรานไพรพเนจรผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นคนเจนจัดสันทัดเที่ยวไปในทางเถื่อนทุรประเทศ วันหนึ่ง เขาสัญจรไปในอรัญราวป่าเพื่อแสวงหาเนื้อ แต่มิได้ประสบพบพานหมู่มฤคแลฟานโดยที่สุด แม้แต่สัตว์เดียรฉานสักตัวเดียวพอที่จะล่าได้ ก็ไม่อาจกลับบ้านได้ด้วยมือเปล่าตามวิสัยพราน จึงลดเลี้ยวเที่ยวไปในป่าลึก จนล่วงหนทางที่ท่องเที่ยวไปของมนุษย์ ก็บังเอิญไปพบมงคลคชสารสีเสวตผู้ผ่องพรรณงามด้วยงวงงาปรากฎขาวราวขนทราย จามรี ท่องเที่ยวอยู่ที่ถิ่นสถานสระโบกขรณีแห่งหนึ่ง แล้วจึงคิดรำพึงว่า

"แต่อาตมาเที่ยวป่ามาช้านาน นับเดือนและปีก็ได้มากแล้ว ยังไม่เคยพบมงคลหัตถ์เช่นนี้เลย ก็คราวนี้ตั้งแต่ออกจากบ้านมา เราไม่ได้ประสบเนื้อถึกมฤคี แม้แต่หมีเม่น กระต่าย ฟานทราย นกกระทา ตัวใดตัวหนึ่งก็ไม่ได้พบพาน จึงได้ล่วงดงกันดารมาถึงสถานที่นี้ บุตรภริยาเราก็ไม่ได้สิ่งใดเลี้ยงชีวิต อย่ากระนั้นเลย เราจะนำเอาข่าวพญาคชสารสีเสวตนี้เข้าไปเป็นบรรณการกราบทูลให้สมเด็จพระเจ้า อยู่หัวของเราทรงทราบ น่าที่จะได้ทรัพย์ข้าวของรางวัลสืบชีวิตได้"

ครั้นคิดสำเร็จตกลงใจดังนี้แล้ว ตะแกก็ตั้งจิตกำหนดแนวพนารัญสิขรินทรบรรพตให้ถนัดแน่ แล้วก็กลับมาในเมืองเข้าไปหยุดอยู่แทบพระทวารพระราชวังแล้ว จึงบอกความนั้นให้ท่านข้างในนำไปกราบทูลสมเด็จพระบรมกษัตริย์ เพื่อทราบเนื้อความ ครั้นสมเด็จพระเจ้าสัตตุตาปะบรมโพธิสัตว์ทรงทราบความแล้ว ก็พระราชทานทรัพย์เป็นราวัลแก่พรานไพรเป็นอันมาก แล้วมีรับสั่งให้ตระเตรียมพลพาหนะเสด็จออกจากพระนคร ให้พรานนั้นเป็นมรรคนายกนำทาง เสด็จมาตามระหว่างเขาไม้ไพรพนมโดยลำดับ จนบรรลุถึงประเทศที่นั้น

ครั้นได้ทอดพระเนครเห็นมงคลคชสาร ก็ทรงโสมนัสดำรัสส่งให้แวดล้อมด้วยคชพาหนะคชาะารเป็นอันมาก ก็ทรงจับพญาคชสารนั้นได้โดยไม่ยาก แล้วนำมาพระนครดำรัสสั่งให้นายหัตถาจารย์ผู้ฝึกช้างเข้ามา เมื่อพระราชทานรางวัลแล้วจึงมีราชโองการว่า

"ดูกร พ่อหัตถาจารย์! ในระหว่างกาล ๗-๘ วันนี้ ท่านจงเร่งฝึกสอนมงคลคชสารที่เราจับมาจากป่าให้มีมารยาทเป็นอันดี เราจะเล่นนักขัตฤกษ์มหรสพด้วยมงคลหัตถีสีเสวตอันประเสริฐตัวนี้"

ฝ่ายนายหัตถาจารย์ รับพระราชโองการแล้วก็เข้าทำการฝึกสอนคชสารให้สำเหนียกโดยให้โอสถ และให้หญ้าเป็นอาหารเพราะความที่ตนเป็นผู้ชำนาญในการฝึกช้างเป็นอย่างเยี่ยม ทั้งรอบรู้ในคชวิชาเป็นอย่างดี ต่อมาไม่ช้าล่วงมาได้ ๓ วันพญาคชสารประเสริฐตัวนั้นเป็นอันถูกฝึกสอนทรมานเป็นอันดีแล้ว จึงนำมาถวายไดตามกำหนด ครั้นพอถึงวันนักขัตฤกษ์ สมเด็จพระบรมกษัตริย์จึงสั่งให้ประดับมงคลคชสารนั้น ด้วยมงคลหัศดาภรณ์พิเศษ ซึ่งล้วนแล้วด้วยแก้วแลทองกุก่องตระการเสร็จแล้ว ก็เสด็จทรงมงคลคชสารนั้นออกด้วยจตุรงนิกรเสนาโยคะมหาราชบริวารเป็นอิสสริยยศ ใหญ่ยิ่ง เพื่อจะทรงเล่นนักขัตฤกษ์ แล้วก็เลยเสด็จทำประทักษิณพระนคร คือเลียบเมืองเป็นที่พระสำราญพระราชหฤทัย

ก็ในเวลาราตรีที่ล่วงหน้า ได้มีฝูงช้างโขลงทั้งหลายมาแต่ราวป่าเข้าลุยเล่นในสวนพระราชอุทยาน ไล่หักรานพรรณพฤกษาที่ทรงผลพวงผกาบุบผาชาติใหญ่น้อยทั้งสิ้นให้แหลกย่อยยับ แล้ว มิหนำซ้ำยังถ่ายมูตกรีสลงไว้ในที่นั้นเกลื่อนกลาดแล้วก็พากันหลีกไป ครั้นเวลารุ่งสางสว่างกาล นายอุทยานบาลเห็นอุทยายยับอยู่เช่นนั้น จึงด่วนพลันนำเอาเนื้อความเข้าไปเพื่อจะกราบทูล ในขณะที่สมเด็จพระบรมกษัตริย์เสด็จกลับจากประทักษิณพระนคร เมื่อถึงที่เฝ้าแล้ว ก็ยอกรประณมบังคมทูลว่า

"ข้าแต่พระองค์! เมื่อเวลารัตติกาลนี้มีฝูงช้างโขลงมาแต่ไพร บุกเข้ามาลุยไล่หักรานพรรณพฤกษาในพระราชอุทยานแหลกเหลวสิ้นแล้วพระเจ้าข้า"

สมเด็จพระบรมกษัตริย์ได้ทรงสดับเช่นนั้น ก็ตรัสสั่งให้เดินขบวนด่วย เสด็จออกไปเพื่อจะทรงทอดพระเนครพระราชอุทยาน ครั้นถึงแล้วก็ทรงเที่ยวทอดพระเนตรดูไปจนทั่ว ในขณะนั้น พญามงคลคชาธารพระที่นั่งทรงตัวประเสริฐก็บังเอิญได้สูดดมกลิ่นแห่งนางพัง ช้างตัวเมียทั้งหลาย ซึ่งมีกลิ่นติดอยู่ในที่นั้นๆ ก็เกิดความเมามัวขึ้นมาภายในด้วยอำนาจราคะดำกฤษณาให้เกิดความเสียวกระสัน จึงสลัดกายให้นายควาญท้ายตกลงแล้ว ก็คลุ้มคลั่งแทงสถานกำแพงอุทยานทะลายลง แล้วก็ลุแล่นไปไม่หยุดยั้ง สมเด็จพระบรมกษัตริย์จึงทรงพระแสงขอคอเกี่ยวเหนี่ยวไว้ด้วยพละกำลัง ก็มิสามารถจะให้พญาคสารนั้นหมดความบ้าคลั่ง และรู้สึกตัวกลัวเจ็บได้ พญามงคลคชสารตัวใหญ่จึงพาพระองค์สละจาตุรงค์นิกายน้อยใหญ่ทั้งปวงไปโดยเร็ว ครั้นแล่นเข้ามาถึงอรัญราวไพรแล้ว พระองค์ได้เสวยความลำบากบอบช้ำระกำพระองค์ แต่ก็จำต้องทรงพระทรมานมากับพญาหัตถี ทรงหมดพระปัญญาที่จะหยุดยั้งไว้ได้ ครั้นยิ่งแล่นไปนานนักหนา สมเด็จพระราชก็ให้เกิดมีอันเป็นทรงพระมึนงง มิอาจที่จะทรงกำหนดทิศานุทิศได้ จึงทรงวินิจนึกในพระหฤทัยว่า "ถ้าเราจักไม่ปล่อยพญาช้างที่กำลังบ้าคลั่งตัวนี้เสียแล้ว เกลือกว่าไปประสบได้ประสานสัปยุทธกับช้างอื่นก็น่าที่จะทำให้อาตมาแตกกาย ทำลายชีวิตเสียเป็นแน่แท้ อย่ากระนั้นเลย จำเราจะสละพญาหัตถีนี้เสียก่อนเถิด" มีพระสติดังนี้แล้ว จึงทอดพระเนตรสังเกตดูหมู่ไพรริมทางจร ครั้นถึงไม้อุทุมพรคือมะเดื่อใหญ่ต้นหนึ่ง มีกิ่งทิ้งทอดห้อยลง พระองค์จึงโน้มพระกายขึ้นเกาะบนกิ่งไม้อุทุมพรนั้นได้ แล้วปล่อยให้พญาหัตถีวิ่งเตลิดไปตามเรื่อง ส่วนพระองค์ทรงนั่งบนกิ่งไม้ให้ทรงหิวกระหายนักหนา จึงทรงเสวยผลมะเดื่อนั้นไปพลาง

ข้างฝ่ายพวกพลนิกาย ก็มีใจเป็นห่วงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของตนยิ่งนัก จึงพากันเร่งรีบตามรอยช้าง ส่วงทางมาได้ไกลนักหนาจนเข้ามาถึงป่าใหญ่ ครั้นยังไม่พบพระบรมกษัตริย์ ก็กระทำอุโฆษประสานศัพท์สำเนียงบันลือลั่นสนั่นมา สมเด็จพระราชาได้ทรงสดับ จึงทรงอุโฆษร้องรับ พวกพลนิกายได้ยินพระสุรเสียงก็พากันเข้าไปถึง จึงเห็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสถิตอยู่บนคบไม้มะเดื่อ ก็เชิญเสด็จรับพระองค์ลงมาจากคบพฤกษาแล้ว ก็ประโคมดุริยดนตรีเชิญองค์บรมนราธิบดีเสด็จกลับสู่พระนคร ครั้นประทับแท่นสีห์อาสน์อันประเสริฐแล้ว จึงดำรัสสั่งให้หานายหัตถาจารย์เข้ามาเฝ้า แล้วตรัสถามว่า

"ดูกร นายหัตถาจารย์ผู้เจริญ! ตัวท่านนี้มีความผิด ด้วยประสงค์จะใคร่ฆ่าเราเสียมิใช่หรือ?"

นายหัตถาจารย์ผู้ฝึกช้าง จึงกลับทูลสนองพระราชปุจฉาว่า
"ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่! เหตุไฉน พระองค์จึงดำรัสเหนือเกล้ากับข้าพระพุทธเจ้าฉะนี้ ก็พญามงคลราชหัตถีนั้น เกล้ากระหม่อมก็ได้ฝึกสอนด้วยดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว พระเจ้าข้า"

"ก็...เหตุใด พญาช้างจึงอาละวาดวิ่งพาเราเข้าป่าไปให้ได้รับความลำบากแทบล้อมประดาตาย เป็นการสนุกอยู่เมื่อไหร่?" พระราชาทรงถามด้วยความขุ่นพระทัย

"พระเจ้าข้า" นายหัตถาจารย์ทูลตอบ "ซึ่งพญาหัตถีให้มีอันเป็นวิปริตไปเช่นนี้นั้น เป็นเพราะอำนาจความเร่าร้อนแห่งราคะกิเลส แม้ได้สมความต้องการของตนแล้ว ก็คงจะกลับมาดอก พระเจ้าข้า" เขาทูลอธิบายด้วยความเชี่ยวชาญมั่นใจในวิทยาการ

"เออ...ดีแล้ว" พระราชายังไม่หายขุ่นพระทัย "ถ้ากระนั้น จงยับยั้งอยู่ก่อน กว่ามงคลกุญชรนั้นจะกลับมา ถ้าพญามงคลหัตถีกลับมาก็เป็นบุญวาสนาของเจ้า ถ้าแม้นมิได้กลับมา ชีวิตของเจ้าก็จักมิได้มี" ดำรัสฉะนี้แล้ว ก็รับสั่งให้คุมตัวนายหัตถาจารย์ผู้วิเศษนั้นไว้ให้มั่นคง เพื่อรอการลงพระราชอาญา หากว่าพญามงคลหัตถีไม่กลับมาตามคำ

ส่วนพญามงคลหัตถีตัวประเสริฐนั้น ครั้นวิ่งคลุ้มคลั่งไปด้วยอำนาจราคะดำกฤษณาไปทันนางช้างเถื่อนในไพร สำเร็จมโนรถประสงค์ของตนแล้ว ก็รีบกลับมาในเมืองเข้าไปในที่ตนอยู่ เมื่อเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง นายหัตถาจารย์ก็ตื่นขึ้นเห็นมงคลคชสารยืนอยู่ในโรงแล้ว รุ่งเช้าจึงเข้าไปเฝ้ากราบทูลแต่สมเด็จพระราชา พระองค์ก็ทรงพระโสมนัสปรีดาหายโกรธเคือง รีบเสด็จลงมาจากปราสาทโดยด่วน ถึงโรงมงคลคชาธารทอดพระเนตรเห็นมงคลคชสารสีเสวต จึงเสด็จเข้าไปใกล้ ยกพระกรขึ้นปรามาสลูบคลำท้องและงาพญาช้างแล้ว จึงมีพระดำรัสว่า

"เออ...ก็มงคลราชหัตถี ท่านสามารถฝึกสอนให้รู้ดีถึงเพียงนี้แล้ว เหตุไฉน เมื่อยามแล่นไปในวันนั้น เรากดเกี่ยวเหนี่ยวไว้โดยแรงด้วยพระแสงขออันคมยิ่ง ยังไม่สามารถที่จะห้ามได้ มันเป็นเพราะเหตุใดหนอ พ่อหัตถาจารย์?"

"พระเจ้าข้า เหตุไฉน พระองค์จึงตรัสดังนี้เล่า" ท่านอาจารย์ช้างผู้ขมังเวทย์ได้ทีจึงรับทูลตอบ "ขึ้นชื่อว่าราคะดำกฤษณานี้ ย่อมมีคมเฉียบแหลมยิ่ง เกินกว่าคมแห่งพระแสงขอนั้นไปร้อยพันทวี อนึ่ง ถ้าจะว่าช้างร้อนเล่า ขึ้นชื่อว่าร้อนแห่งเพลิงคือราคะดำกฤษณานี้ ย่อมร้อนรุ่มอยู่ในทรวงของสัตว์บุคคลอย่างเหลือร้อน ยิ่งกว่าร้อนแห่งเพลิงตามปกติเป็นไหนๆ ...อนึ่ง ถ้าจะว่าไปข้างเป็นพิษเล่า ขึ้นชื่อว่าพิษคือราคะดำกฤษณานี้ ย่อมมีพิษซึมซาบฉุนเฉียวเรี่ยวแรงรวดเร็วยิ่งเกินกว่าพิษแห่งจตุรภิธภุชงค์ คือพิษพระยานาคทั้งสี่ชาติ สี่ตระกูลเป็นไหนๆ เพราะเหตุนั้น ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงไม่อาจเพื่อจะเที่ยวกดพญามงคลราชหัตถี ซึ่งแล่นได้ด้วยแรงแห่งราคะดำกฤษณานั้น ให้หยุดยั้งด้วยกำลังพระแสงขอได้ พระเจ้าข้า" นายหัตถาจารย์ผู้เชี่ยวชาญพูดอธิบายอย่างยืดยาว

"เออ...ก็ไฉนพญาคชสารนี้ จึงกลับมาโดยลำพังใจตนเอง?" พระเจ้าอยู่หัวทรงถามขึ้น หลังจากที่ทรงนิ่งฟังท่านอาจารย์ช้างอธิบายอยู่ นายหัตถาจารย์จึงทูลตอบว่า

"พระเจ้าข้า ข้อซึ่งพญาช้างไปแล้วและกลับมานั้น ใช่ว่าจะมาโดยใจตนก็หาไม่ โดยที่แท้ กลับมาด้วยกำลังอำนาจมนตรามหาโอสถของข้าพระพุทธเจ้า"
ได้ทรงสดับดังนั้น พระองค์จึงดำรัสว่า "ถ้ากระนั้น ท่านจงแสดงกำลังมนต์และโอสถให้เราเห็นสักหน่อยเถิดเป็นไร"

นายหัตถาจารย์ผู้เรืองเวทย์ รับพระราชโองการแล้ว หวังจักสำแดงอำนาจมนต์ของตนให้ประจักษ์แก่สายตาชาวพระนคร จึงสั่งให้บริวารไปนำเอาก้อนเหล็กก้อนใหญ่มา แล้วให้ช่างทอเอาใส่เตาสูบ เผาด้วยเพลิงให้ก้อนเหล็กนั้นสุกแดงแล้ว จึงเอาคีมหยิบออกจากเตา เรียกพญาช้างเข้ามาแล้วก็ร่ายมนต์มหาโอสถประเสริฐ พลางบังคับให้คชสารจับเอาก้อนเหล็กแดงนั้นด้วยคำกำชับสั่งว่า "ดูกร พญานาคินทร์ผู้ประเสริฐ! ตัวท่านจงหยิบเอาก้อนเหล็กนั้นในกาลบัดนี้ แม้นเรายังไม่ได้บอกให้วาง ท่านจงอย่าได้วางเลยเป็นอันขาด"

พญาคชสารตัวทรงพลัง ครั้นได้ฟังคำนายหัตถาจารย์สั่งบังคับ ก็ยื่นงวงมาจ้องจับเอาก้อนเหล็กซึ่งลุกเป็นไฟ แม้วาจะร้อนงวงเหลือหลาย จนงวงไหม้ลุกเป็นเปลวควันขึ้นก็ดี ก็ไม่อาจจะทิ้งก้อนเหล็กนั้นเสียได้" ด้วยกลัวต่อกำลังมนตราของนายหัตถาจารย์นั้นเป็นกำลัง สมเด็จพระบรมกษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นงวงคชสารถูกเพลิงไหม้อยู่เช่นนั้น ก็ทรงเกรงพญาช้างจะถึงแก่กาลมรณะ จึงดำรัสสั่งให้นายหัตถาจารย์ บอกให้พญาช้างสารทิ้งก้อนเหล็กนั้นเสียแล้ว ทรงหวนคิดถึงราคะดำกฤษณาของพญาช้างที่ยืนอยู่ตรงพระพักตร์ พร้อมกับคำชักอุปมาอธิบายของนายหัตถาจารย์เมื่อครู่นี้ ทรงรำพึงไป ก็ยิ่งทรงสังเวชในพระราชหฤทัยแสนทวี จึงทรงเปล่งออกซึ่งสังเวชาวาทีว่า

"โอหนอ...น่าสมเพชนักหนา ด้วยฝูงสัตว์มาติดต้องข้องข้ดอยู่ด้วย ราคะดำกฤษณะอันมีพิษพิลึกน่าสพึงกลัวร้ายกาจยิ่งนัก ราคะคือความกำหนัดนี้ย่อมมีอาทีนวโทษเป็นอันมาก ก็เพราะเพลิงราคะมีกำลังหยาบช้ากล้าแข็ง ร้อนรุ่มสุมทรวงสัตว์ทั้งหลายอยู่อย่างนี้ สัตว์ทั้งหลายจึงต้องถูกราคะกิเลสย่ำยีบีฑา นำทุกข์มาทุ่มถมให้จมอยู่ในอู่แอ่งอ่าวโลกโอฆสงสาร ไม่มีวันสิ้นสุดลงได้เพราะราคะกิเลสนี่แล สัตว์ทั้งหลายจึงต้องไปตกนรกหมกไหม้อยู่ในมหานรกทั้งแปดขุม และสัตว์ทั้งหลายบางหมู่ต้องไปเกิดอยู่ในอุสสทนรกบริวารมีประมาณร้อยยี่สิบ แปดขุม อนึ่งเพราะอาศัยราคะกิเลสนี้ สัตว์ทั้งหลายจึงต้องทนทุกขเวทนาอยู่ในเปติวิสัยภูมิ และสัตว์ทั้งหลายบางหมู่ต้องไปเกิดอยู่ในกำเนิดเดียรฉาน สัตว์ทั้งหลายที่ต้องบ่ายหน้าไปสู่อบายภูมิ ก็เพราะอาศัยราคะดำกฤษณาเป็นประการสำคัญ ฉะนั้นจึงน่าสมเพชนัก"

ครั้นทรงแสดงสังเวชวาทีฉะนี้แล้ว สมเด็จพระบรมกษัตริย์หน่อพระพุทธากูร จึงตรัสแสดงอาทีนวโทษแห่งราคะดำกฤษณาต่อไปว่า

"บรรดาสัตว์ทั้งหลายในโลกสันนิวาสนี้ เพราะอาศัยราคะดำกฤษณาย่อมเบียดเบียนบีฑาซึ่งกันและกัน เป็นต้นว่า

บิดาย่อมเบียดเบียนบุตร บางทีฆ่าเสียก็มี
บุตรย่อมเบียดเบียนบิดา บางทีฆ่าเสียก็มี
บิดาย่อมเบียดเบียนธิดาตน เพราะร้อนรนด้วยราคะกฤษณาก็มี

อนึ่ง  ฝูงสัตว์ในโลกสันนิวาสนี้เพราะร้อนด้วยราคะย่อมเบียดเบียนซึ่งกันและกัน เป็นต้นว่า

บุตรย่อมเบียดเบียนชนนี บางทีฆ่าเสียก็มี
ชนนีย่อมเบียดเบียนบุตร บางทีฆ่าเสียก็มี
บางทีพี่ชายมุ่งหมายปองร้าย ราวีตีรันฟันฆ่าน้องชายของตนให้ตายก็มี
บางมีพี่หญิงย่อมบีฑาฆ่าน้องสาว ที่สืบกษิรมารดาเดียวกันมาก็มี
บางทีหลานสาวบีฑาลุงตัวให้ตายก็มี
บางทีลุงลุ่มหลงลงทัณฑกรรมบีฑาหลานสาวตนเองก็มี
บางทีภัสดาย่อมบีฑาโบยรันฟันแทงภริยาตน ให้ถึงตายก็มี
บางทีภริยาบีพ่าฆ่าตีสามีตน ให้ถึงตายก็มี

สัตว์ทั้งหลายเห็นเช่นนี้เพราะอาศัยความร้อนแห่งพลังราคะดำกฤษณามาบีฑาให้ ระทมตรมทุกข์ ถึงซึ่งความพินาศนานาประการ แม้แต่บุตรธิดา มารดาบิดา และภรรยาสามีที่แสนรักนักหนาแล้ว ยังเบียดเบียนบีฑากันเพราะอำนาจราคะกิเลสเป็นมูลฐานมากกว่ามากสุดประมาณ

อีกประการหนึ่ง ฝูงสัตว์ในโลกสันนิวาสนี้ เพราะอาศัยอำนาจราคะดำกฤษณา บางคราย่อมจ่ายทรัพย์สินไปในทางไร้ประโยชน์ บางทีย่อมเสื่อมจากยศและเกียรติคุณ บางทีย่อมประกอบกรรมทำสิ่งที่เป็นโทษ บางทีย่อมทำความสุขให้เสื่อมสิ้นทุกเมื่อและให้ใจเชือนเบือนเบื่อจากกุศล ห้ามทางข้างฝ่ายสุคติภพ บางทีให้ลุอำนาจแก่ความโลภและความโกรธ และให้เจริญโทษทุกภพทุกชาติที่เกิด ให้ถือกำเนิดในอบายภูมิทั้งสี่เพียงเท่านี้ก็หาไม่ ฝูงสัตว์ทั้งหลายในโลกสันนิวาสนี้ เพราะอาศัยอำนาจราคะดำกฤษณา บางคราย่อมทำตนให้พินาศจากศีลสมาทาน บางกาลย่อมทำตนให้เสื่อมจากเานภาวนาสมาธิจิตเป็นนิจกาล ก็อันว่าความอากูลด้วยราคะกิเลส ย่อมเป็นเหตุให้เกิดอาทีนวโทษให้เสวยทุกข์มากกว่ามาก และเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายต้องเศร้าหมองมีประการต่างๆ อย่างพรรณนามาฉะนี้

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
สมเด็จพระนราธิบดีสัตตุตาประชา ตรัสแสดงอาทีนวโทษแห่งราคะดำกฤษณาอย่างมากมายดังนี้แล้ว จึงพระราชทานรางวัลแก่นายหัตถาจารย์เป็นอันมาก แล้วก็ทรงคำนึงในพระราชหฤทัยว่า สัตว์ทั้งหลายในโลกสันนิวาสนี้ จักพ้นจากอำนาจราคะดำกฤษณา อันเป็นทุกข์ภัยในวัฏฏะนี้ได้ด้วยประการใด? แล้วจึงทรงเห็นแท้แน่ในพระราชหฤทัยว่า รวมทั้งหลายอื่นนอกจากพุทธกรกธรรมแล้ว ก็ไม่เห็นว่าสิ่งไรอื่นจะมี ที่จะเปลื้องตนไปให้พ้นจากวัฏฏะ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงหยั่งพระราชหฤทัยลงเที่ยง ถือเอาพระพุทธภูมิปณิธานว่า

"เรา ได้ตรัสรู้ซึ่งพระโพธิญาณแล้ว ก็จักทำสัตว์ทั้งหลายให้รู้ด้วย เราพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารเมื่อใด ก็จักทำสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารเมื่อนั้นด้วย"

ครั้นทรงกระทำปณิธานปรารถนา เฉพาะพระพุทธภูมิในพระราชหฤทัยด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็ทรงสละสิริราชสมบัติประหนึ่งบุคคลสลัดเสียซึ่งก้อนข้าวอันคั่งค้างอยู่ ปลายลิ้น สิ้นเยื่อใยในฆราวาสวิสัย พระองค์แต่ผู้เดียวเที่ยวไปสู่ป่าหิมวันต์ประเทศ แล้วทรงเพศเป็นดาบส บำเพ็ญพรตปฏิบัติชอบอยู่ตราบเท่าพระชนมายุขัยแล้ว ไปบังเกิดในสวรรค์เทวโลกเสวยสุขอยู่สิ้นกาลนาน

เรื่อง ในอดีตที่พรรณนามานี้ มีข้อความประการหนึ่งซึ่งควรนำมากล่าวไว้ในทีนี้ด้วย เพื่อเป็นเครื่องช่วยให้เห็นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอย่างแจ่มชัดก็ คือว่า

องค์สมเด็จพระนราธิบดีสัตตุตาปะราชา กลับชาติมาก็คือองค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของชาวเราพุทธบริษัททั้งหลาย

พญา มงคลหัตถี กลับชาติมาในชาติสุดท้ายภายหลัง คือพระมหากัสสปเถรเจ้าสังหวุฒาจารย์ ซึ่งเป็นพระมหาเถระอรหันต์สำคัญที่สุดองค์หนึ่งในศาสนาของเรานี้

นาย หัตถาจารย์ผู้ชำนาญเวทย์ กลับมาในชาติสุดท้ายภายหลัง จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจักมาตรัสในอนาคตกาล หลังจากศาสนาของสมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้า ที่เราท่านทั้งหลายเคารพนับถือกันอยู่ทุกวันนี้ เสื่อมคลายสลายสูญไปจากโลกนี้แล้ว และเมื่อสมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยได้ตรัสรู้ประกาศพระศาสนาแล้ว คราวหนึ่งพระองค์จักเสด็จไปที่ภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรตอันเป็นที่บรรจุศพของ พระมหากัสสปเถรเจ้าแล้ว พระองค์เจ้าจักยื่นพระหัตถ์เบื้องขวาช้อนเอาซากศพของพระสังฆวุฒาจารย์ อรหันต์กัสสปนั้น ขึ้นชูไว้บนฝ่าพระหัตถ์อันประกอบด้วยจักรลักษณะแล้ว จะมีพระพุทธฏีกาตรัสแก่พระอริยสงฆ์ทั้งหลายว่า

"ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! เธอจงพากันมองดูซึ่งซากศพนี้ นี่คือศพของผู้เป็นพี่ชายของตถาคต ซึ่งเป็นสาวกผู้ใหญ่ในศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้า (สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย เคยบวชเป็นพระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีนามว่า อชิตภิกษุ เป็นภิกษุหนุ่มมีพรรษาน้อย ฉะนั้น พระองค์จึงทรงเรียกพระมหากัสสปเถรเจ้าด้วยคำกล่าวออกนามว่า "พี่ชายของตถาคต" ในกาลครั้งนั้น) มีนามว่าพระอริยกัสสปเถระ เป็นผู้ทรงคุณพิเศษถือธุตังควัตรจนตราบเท่าดับขันธปรินิพพาน"

ทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสแนะนำดังนี้แล้ว สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยก็ทรงสรรเสริญคุณแห่งพระมหากัสสปเถรเจ้าอีกมากมาย ลึกซึ้งนักหนา ต่อหน้าพระอริยสงฆ์ทั้งหลายเป็นอันมาก ในขณะนั้น เปลวอัคคีก็จะบันดาลมีเกิดขึ้นเองในซากอสุภของพระเถรเจ้า แล้วก็ค่อยลามเลียลุกไหม้ศพให้สิ้นซากปราศจากเถ้าถ่าน อยู่บนฝ่าพระหัตถ์ ของสมเด็จพระสรรเพชญศรีอริยเมตไตรย ในกาลครั้งนั้นเป็นอัศจรรย์

บัดนี้ เพื่อป้องกันความไขว้เขวออกไปนอกเรื่องมากมายเกินไป จะได้กลับมากล่าวถึงการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณขององค์ สมเด็จพระบรมโลกกุตตมาจารย์ของเราทั้งหลาย ตั้งแต่ครั้งพระองค์ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์สืบต่อไป

พระพรหมดาบส

กาลครั้งหนึ่ง เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้าจุติจากเทวโลกแล้ว ก็มาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล มีพระนามว่า พรหมกุมาร ครั้นเจริญวัยวัฒนาการแล้ว ก็ได้ศึกษาจนสำเร็จในไตรเวทางค์ และได้เป็นอาจารย์ผู้บอกเวทย์แก่มานพห้าร้อยคนผู้เป็นนักศึกษา ครั้นจำเนียรกาลนานมา เมื่อท่านมารดาบิดาทั้งสองล่วงลับไปแล้ว พรหมกุมารจึงเรียมาณพทั้งหลายผู้เป็นศิษย์มาพร้อมหน้ากันแล้ว ก็เร่งบอกมนต์ซึ่งตนควรจะสอนให้เสร็จสิ้นแล้ว ได้จัดการแบ่งปันทรัพย์สมบัติของตนสิ้นทั้งเรือนนั้น ให้แก่มาณพผู้เป็นศิษย์ถ้วนทุกคนแล้วก็ให้โอกาสอนุสาสนี และกล่าวคำอำลาเพื่อจะไปบรรพชาเป็นดาบส มิใยที่ศิษย์ทั้งหลายจะอาลัยไหว้วอนกล่าวห้ามด้วยความคารวะเป็นอันมากประการ ใด ก็มิได้เอื้อเฟื้ออาลัย สละฆราวาสวิสัยเที่ยวไปแต่พระองค์เดียว เข้าไปอาศัยบัณฑรบรรพต บรรพชาเป็นดาบส ปฏิบัติตนเลี้ยงชีวิตด้วยผลาผลอยู่เป็นสุขสืบมา

ฝ่ายมานพทั้งหลาย ผู้เป็นศิษย์ของพระพรหมดาบสนั้น ครั้นมารดาบิดาของตนๆ ล่วงลับไปแล้ว ต่างก็พากันออกมาบวชเป็นดาบสอยู่กับพระโพธิสัตว์ทั้งนั้น ด้วยเหตุที่มีความรักเป็นกำลังมาแต่ปางก่อน พระโพธิสัตว์ก็สอนให้ประพฤติวัตร บำเพ็ญพรตตามแบบอย่างของดาบสโดยถ้วน อยู่ร่วมกันมาโดยความผาสุกตามสมควร

วันหนึ่ง เมื่อดาบสทั้งหลายไปเที่ยวแสวงหาผลาผลยังมิได้กลับมา ท่านอาจารย์พรหมดาบสจึงเรียกศิษย์ผู้ใหญ่ซึ่งอยู่เฝ้ากุฎิใกล้ตนมาแล้ว ชวนกันขึ้นไปสู่บัณฑรภุผาเพื่อจะแสวงหาผลไม้ เมื่อเที่ยวไปในที่นั้นๆ ก็มิได้ผลไม้อันใดอันหนึ่งเลย จึงแสลงไปที่เชิงภูเขาก็ได้เห็นแม่เสือตัวหนึ่ง มีลูกอ่อนออกใหม่ได้ประมาณสองสามวัน แม่เสือตัวนั้นอดอาหารอยู่ แลเขมนดูลูกน้อยของตนด้วยจิตโหดร้าย คิดจะใคร่จับลูกของตนเองเคี้ยวกินเป็นภักษา พระพรหมดาบสแลเห็นอาการก็รู้ว่าแม่เสือจะกินลูกของตนเองแน่แล้ว จึงรำพึงในหฤทัยว่า
"โอ้หนอ...วัฏสงสารนี้ ควรที่จะพึงติเตียนโดยแท้ ดูรึ แม่เสือตัวนี้คิดจะขบกัดเคี้ยวกินลูก ที่เกิดแต่สายโลหิตตน เพื่อจะรักษาชีวิตแห่งตนไว้ถ่ายเดียว เช่นนี้ จึงควรที่จะเห็นว่าวัฏสงสารนี้ เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลังยิ่งนัก"
ครั้น รำพึงดังนั้นแล้ว พระพรหมดาบสจึงใช้ดาบสศิษย์ผู้ใหญ่ซึ่งไปด้วยกันนั้นว่า "ท่านจงรีบไปหาเนื้อเดนเสื้อหรือราชสีห์ตามข้างๆ ภูเขานี้ดูทีหรือ หากว่าจะมีอยู่บ้าง แม้นได้แล้วจงรีบนำมาโดยเร็ว เราจักให้แก่แม่เสือตัวนี้" ดาบสศิษย์ผู้ใหญ่รับคำแล้ว ก็รีบไปหาเดนมังสะ ในที่ทั่วๆ ไป แต่ก็หามิได้

ฝ่ายพระพรหมดาบสผู้โพธิสัตว์ เมื่อศิษย์ผู้ใหญ่ไปนานแล้ว และยังมิได้กลับมา จึงรำพึงในหฤทัยว่า
"โอ... ร่างกายนี้ เป็นของเปล่าปราศจากแก่นสารเป็นที่อาศัยแห่งชาติ ชรา พยาธิ มรณะและมีโสกะ ความแห้งใจ ปริเทวะ ความร่ำไร รำพัน ทุกข์ความลำบากกายไม่สบายใจ โทมนัสความขุ่นข้องหมองใจ อุปายาสะ ความคับแค้นใจ อนึ่ง กายนี้เป็นที่เกิดของกองทุกข์ กับทั้งมีราคะกิเลสเป็นประดุจหัตถีที่บ้าคลั่งเมามัน มีโมหะมืดมิดปิดธรรมเป็นประดุจดังผีเสื้อน้ำรักษาสระ มีอุปนาหะความผูกโกรธ เป็นประดุจดังแว่นแคว้นเมืองมากด้วยคนพาล มีมักขะความลบหลู่คุณท่านเป็นประดุจที่อยู่ของพวกกุมภัณฑ์ มีปลาสะความสำคัญวิปลาศ เป็นประดุจดังนายทวารผู้มีสันดานดื่มไปด้วยอิสสาฤษยา มีทุจริตเป็นบริวารแวดล้อมไปด้วยโลภ มีนันทิภวราคะ ความกำหนัดยินดีในภพเป็นมหาโยธา มีมิจฉาทิฐิเป็นธรรมวินิจฉัย คือราชบัญญัติบทอัยการ มีอวัณณะความพรรณนาโทษเป็นกองทุกข์มาก มีวิตกความตรึกตรองเป็นหมู่แมลงวันพึงเกลียดชัง มีมทะความมัวเมาเป็นเหล่าคนธรรพ์ขับร้อง มีปมาทะควาเมาทั่วเป็นช่างฟ้อนมาซ่องเสพอยู่ มีทิฐิเป็นที่อาศัย มีอนุสัยเป็นบ้านที่อยู่ของหมู่พราหมณ์ มีสัญโพชน์ความผูกล่ามไว้ในสามภพ เป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ในกายนคร และมีอวิชชาเป็นอันธการราชบรมกษัตริย์เถลิงราชสมบัติเป็นอิสสราธิบดีอยู่ใน กายนครนี้"

ครั้นพระมุนีพรหมดาบส พิจารณารำพึงถึงธรรมสรีระ ดังนี้แล้ว ดาบสศิษย์ผู้ใหญ่ที่ตนใช้ให้ไปหาเศษเนื้อก็ยังไม่กลับมา จึงจินตนาสืบไปอีกว่า ในเมื่อสัตว์ทั้งหลายบรรดาที่มีรูปกายครองอยู่ ได้เสวยทุกข์เห็นปานนี้ จะมีทางปลดเปลื้องทุกข์นี้ด้วยธรรมสิ่งไร? เมื่อนึกไปก็เห็นว่าพุทธการกะรรมเท่านั้นที่สามารถจะทำสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้ เมื่อมองเห็นแท้แน่ฉะนี้แล้วจึงจินตนาต่อไปว่า
"อัน พุทธการกธรรมนี้ ถ้าบุคคลใดไม่สามารถที่จะทำกรรมที่บุคคลอื่นทำได้ยาก ไม่สามารถบริจาคสิ่งที่บุคคลอื่นบริจาคได้ยาก ไม่สามารถให้ทานที่บุคคลอื่นให้ได้โดยยาก ไม่สามารถอดกลั้นกรรมที่บุคคลอื่นอดกลั้นได้ยาก อย่างนี้แล้วบุคคลนั้นจะบำเพ็ญพุทธการกธรรมนี้ ให้สำเร็จหาได้ไม่ ก็แลสรีราพยพคือร่างกายของเรานี้ ย่อมมีอาทีนวโทษเป็นอันมาก มิได้ยั่งยืนอยู่สิ้นกาลนาน และจิตใจเราที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ย่อมมีอารมณ์ไม่เป็นหนึ่ง คือไม่เที่ยงแท้แน่นอนย่อมแปรปรวนไปเป็นนิตย์ เอาเถิด... บัดนี้เราจักให้สรีระร่างของเรากับทั้งชีวิตนี้ให้เป็นทานแก่แม่เสือหิวตัว นี้ ให้ทันกาลที่จิตกำลังเลื่อมใสใคร่บริจาคในกาลนี้เถิด เออ.. ก็เราจะเป็นห่วงอันใดด้วยการจะให้อาหารที่อื่นเล่า"
พระโพธิสัตว์เจ้าคำนึกจินตนาการดังนี้แล้ว จึงตั้งจิตปณิธานว่า
"ด้วยเดชะบุญกรรมนี้ ขอเราจงได้ตรัสเป็น พระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ให้เรานำสัตว์ทั้งหลายออกจากวัฏสงสารให้ถึงความระงับดับทุกข์ด้วยเถิด"
ครั้น ตั้งจิตปณิธานปรารถนาพระพุทธภูมิดังนี้แล้ว เพื่อจะประกาศแก่หมู่เทพยดาให้รู้ทั่วกันอีกเล่า พระพรหมดาบสโพธิสัตว์เจ้าจึงประกาศเป็นเนื้อความว่า
"ขอ ทวยเทพเจ้าทั้งปวง คือภูมิพฤกษาเทวา และอากาสเทวาทั้งสมเด็จอัมรินทราธิราชเจ้า และท้าวมหาพรหมปชาบดี ศศิธรเทพบุตร ทั้งพญายมและท้าวจตุมหาราชโลกบาลทั้งสี่ ทวยเทพซึ่งสถิตอยู่ ณ สถานทุกถิ่นที่ ตลอดจนนารถบรรพตจอมภูผาขออัญเชิญทั่วทุกพระองค์ จงมาทำการอนุโมทนาในชีวิตสรีรทานของข้าที่ได้อบรมสั่งสมกระทำ ณ กาลบัดนี้เถิด"
ครั้นกระทำแก่ทวยเทพเจ้าดังนี้ ขณะที่ดาบสศิษย์ผู้ใหญ่ยังมิทันได้กลับมาถึง พระพรหมดาบสซึ่งมีน้ำใจกล้าหาญ ก็โจนทะยานจากยอดบัณฑูรภูผา ตกลงเฉพาะหน้าเสือโคร่งแม่ลูกอ่อน ขณะนั้นนางพยัคฆ์ที่กำลังหิวกระหายนักหนา เมื่อเห็นอาหารตกลงมากองอยูเช่นนั้น ก็ละไม่กินลูกของมัน แล่นมาบริโภคมังสะสรีราพยพของพระบรมโพธิสัตว์เจ้าในกาลบัดนั้นทันที...

ท่าน ผู้มีปัญญาทั้งหลาย บรรดาที่มีใจเคารพเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา จงพิจารณาดูเถิดว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เมื่อครั้งพระองค์ท่านปรารถนา พระพุทธภูมิเพื่อตรัสเป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านต้องมีน้ำพระทัยมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอาจหาญเพียงไร ใช่แน่แล้ว... พระองค์ต้องทรงสละชีวิตเข้าแลกกับพระโพธิญาณมาจนนับครั้งไม่ถ้วน เช่นครั้งที่พระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นพรหมดาบสที่เล่ามาแล้วนี้ นี่เป็นเพียงครั้งหนึ่งในจำนวนมากหลายเท่านั้น นอกจากนี้แล้วในระยะการสร้างพระบารมีตอนต้นนี้ พระองค์ยังต้องประสบกับความทุกข์ยากมากมาย เพราะอำนาจของการเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ตามเรื่องที่ปรากฎมีในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาดังต่อไปนี้

มานพหนุ่มช่างทอง

หลัง จากที่ได้อุบัติเกิดเป็นเทพบุตร ในสรวงสวรรค์แดนสุขาวดี และเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้ ด้วยอำนาจการเวียนว่ายตายเกิดหลายชาตินักแล้ว ต่อมา กาลครั้งหนึ่ง พระโพธิสัตว์มาเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลช่างทอง ทรงรูปสิริเลิศล้ำบุรุษงดงามนักหนา เมื่อเจริญวัยใหญ่กล้าขึ้นก็มีอาชีพเป็นช่างทองผู้ชำนาญสืบสายตระกูลของตน วันหนึ่ง มีเศรษฐีมาว่าจ้างให้ไปทำเครื่องประดับให้แก่ธิดาสาวโสภา ซึ่งกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์มงคล ครั้นไปถึงคฤหาสน์แล้ว เศรษฐีจึงถามว่า "ดูกรช่างทองผู้เจริญ! ถ้าท่านได้เห็นเพียงมือและเท้าเท่านั้น ท่านยังจะสามารถทำเครื่องประดับได้หรือไม่?" เมื่อช่างทองหนุ่มรับคำว่าทำได้ เศรษฐีจึงให้ธิดาของตนยื่นแต่มือและเท้ามาแสดงให้ปรากฏ ช่างทองหนุ่มก็สังเกตกำหนดบาทและหัตถาวัยวะที่ได้เห็นแต่ห่างๆ แล้วกระทำได้ด้วยความชำนาญ

ขณะนั้น ธิดาเศรษฐีซึ่งมีนามว่า กาญจนวดีกุมารีให้นึกสงสัยอยู่เป็นกำลังว่า "เหตุไฉนหนอ บิดาจึงมิให้เราปรากฎกายต่อหน้าช่างทอง ให้แสดงแต่เพียงมือและเท้าเท่านั้น" ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงลอบแลดูตามช่องไม้ แต่พอได้เห็นสิริรูปสมบัติของช่างทอง ก็ให้เกิดปฏิพัทธ์รักใคร่เป็นกำลัง คลุ้มคลั่งในดวงใจด้วยอำนาจราคะดำกฤษณา นางจึงจารึกอักษรสาราเป็นใจความว่า

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
"ดูกรพ่อช่างทองผู้เป็นที่รัก! หากท่านมีจิตใจรักใคร่เราแล้ว ณ ที่หลังเรือนใหญ่นี้มีบุปผาพฤกษชาติต้นหนึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่ ในค่ำคืนวันนี้ ท่านจงมานั่งซุ่มอยู่บนต้นไม้นั้น ถึงราตรีกาล เราจะออกไปพบกับท่านด้วยใจรัก" จารึกเรื่องความรักดังนี้แล้ว จึงค่อยทิ้งลงไปให้ตกลงตรงหน้าช่างทอง เมื่อช่างทองหนุ่มอ่านดูแล้วก็กำหนดไว้ในใจ ถึงเวลาสายัณหสมัย เลิกงานแล้ว จึงกลับมาอาบน้ำชำระกายรับประทานอิ่มหนำสำราญแล้ว พอเวลาสุริยอัสดงคตพลบค่ำลง ก็รีบตรงมาสถานที่นางนัด ขึ้นไปบนต้นพฤกษชาตินั้น ตั้งตาชะแง้ดูทางที่กาญจนวดีกุมารีนั้นจะมา ณ ระหว่างคาคบไม้ แต่นางก็ยังไม่มา มิช้าตนเองก็ได้เผลอม่อยง่วงงุนนักหนา เพราะว่าเมื่อตอนกลางวันนั้น ตนเร่งทำงานอยู่วันยังค่ำ ก็ลำบากกายพออยู่แล้ว เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแลมานั่งเงียบเหงาเฝ้าคอยอยู่แต่ผู้เดียวฉะนี้ จึงเอนองค์ลงกับที่กิ่งไม้ใหญ่ ก็เลยเผลอม่อยผลอยหลับไป

ก็กาญจนวดีกุมารีทรามวัยนั้น นางเป็นกุลสตรีธิดาของคหบดีมหาศาลย่อมมีความยำเกรงบิดามารดาอยู่โดยมากเป็น ธรรมดา เมื่อมารดาบิดายังมิได้หลับนอน นางจึงไม่มีโอกาสออกมาได้ ครั้นท่านทั้งสองหลับไปแล้ว นางจึงค่อยลุกมาจากที่นอนออกมาจัดหาอาหาร ได้ข้าวสาลีกับแกงมังสะสดใส่ลงในขันทองเสร็จแล้ว ก็รีบลอบนำลงมาจากปราสาทไปสู่ที่นัด ณ ต้นไม้ใหญ่ เพื่อไปหาชายสุดที่รัก ครั้นเห็นเขาหลับอยู่ก็มิรู้ที่จะปลุกให้รู้สึกตนตื่นขึ้นได้ ด้วยเหตุว่ามนุษย์ในสมัยนั้นถือลัทธิธรรมเนียมอยู่อย่างหนึ่งว่า
"ถ้าบุคคลหลับสนิทอยู่ ผู้ใดปลุกให้ลุกตื่นขึ้นแล้ว ผู้ปลุกนั้นย่อมมีบาป ตายไปต้องตกนรกหมกไหม้ตลอดกัปหนึ่ง"
เพราะ ฉะนั้น นางจึงไม่สามารถปลุกช่างทองนั้นให้ตื่นขึ้นมาได้ แต่คอยอยู่นานนักหนา เมื่อเห็นว่าไม่ตื่นแน่ นางจึงเก็บใบรุกขชาติปูลาดลงตั้งขันทองใส่อาหารไว้แล้วกลับลับไป

ฝ่ายนายช่างทอง ตื่นขึ้นมาได้เห็นภาชนะขันทองนั้น จึงกำหนดว่า ชะรอยนางกุมารีมาแล้วเห็นเราหลับ จึงกลับไปเป็นมั่นคง เมื่อผันแปรแลไปดูข้างโน้นข้างนี้ ก็ได้แลเห็นนางดำเนินกลับเข้าไปภายในปราสาท ในขณะนั้น ก็ให้น้อยจิตคิดโกรธตัวเองเป็นหนักหนาว่า ควรหรือมานอนหลับใหลเสียได้ น่าเคืองตัวเองนัก รำพึงพลางก็ถือสุพรรณภาชน์โภชนะนั้นกลับมาเรือนตน ครั้นรุ่งวันใหม่ได้เวลาก็ไปทำงานอยู่ที่เก่าอีก ไม่ช้าก็มีสารตกลงมาอีก จารึกอักษรมีใจความว่า "วันนี้ท่านจงอุตสาหะข่มใจไว้ อย่าให้หลับใหลไปเสียอย่างเมื่อคืนอีกเล่า" นายช่างอ่านรู้ความแล้ว ก็ไม่พูดว่าอะไร ประกอบการงานทำเครื่องประดับต่อไป พอได้เวลาตอนราตรี จึงมานั่งคอยทำอยู่เช่นเคย ไม่ช้าก็ยังเอิญให้หลับไปเสียอีกเล่า กาญจนวดีกุมารีเมื่อถือโภชนาหารมาเห็นเขาหลับไปแล้ว ก็กลับไปเหมือนคืนก่อน

ครั้นถึงคืนที่สาม กาญจนวดีกุมารีเมื่อได้มาเห็นนายช่างทองสุดที่รักหลับไปเหมือนเดิม นางมีความเศร้าในน้ำใจหนักหนา จึงพิไรร่ำด้วยคำว่า

"น่าเสียดายนัก กุมารน้อยนี้เป็นที่รักใคร่เจริญใจแห่งเรา ชะรอยสันนิวาสเรานี้มิได้มีแต่ปางก่อน จึงเผอิญให้กุมารนี้เป็นผู้มักหลับเสียได้สามวาระสามหน ความพยายามของเราสองคนนี้ปราศจากประโยชน์เสียแล้ว พ่อจงไปโดยสุขสวัสดีเถิดหนาเจ้า แต่วันนี้ไปเราก็จักหมดอิสระมิได้มาพบหน้าอีกแล้ว" เธอพิไรรำพันด้วยความโศกศัลย์เป็นอันมากแล้ว ก็ยกโภชนะนั้นวางตั้งไว้ แล้วก็ตัดความอาลัยกลบไป นายช่างทองเมื่อตื่นขึ้นก็ให้เจ็บใจตนเองยิ่งกว่าวันก่อน มีความโศกอาดูรด้วยความรักเป็นหนักหนา จึงรำพึงรำพันออกมาว่า

"กุมารีมีรูปงามอย่างนี้ ควรที่จะทอดทัศนานำความภิรมย์มาให้แก่ใจ นี่เป็นกรรมอะไร จึงตักเตือนให้หลับใหล ไม่รู้สึกตัวตื่นได้สามวาระ บุญญาภิสมภารเราแต่ก่อนมิได้มี ชะรอยเรากับนารีนี้มิได้เคยร่วมกันกระทำทาน หรือว่าตัวเรานี้มิได้มีกมลสันดาน เคยอนุโมทนากุศลของเศรษฐี จึงให้มีอันเป็นสักแต่ว่าได้พบเห็นนารีงามเท่านั้น มิทันได้ร่วมภิรมย์ก็ให้จางจากกันไป" นายช่างทองรำพันพลางถือเอาโภชนาหารที่นางตั้งไว้ แล้วกลับไปสู่เรือนตนด้วยความเศร้าเป็นล้นพ้น

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
ครั้นรุ่งขึ้นถึงวันอาวาหสมัย ฝ่ายเศรษฐีบิดาเจ้าบ่าว จึงบรรทุกข้าวของสำหรับการแต่งงานมามากมายหลายร้อยเล่มเกวียน พอมาถึงแล้วทั้งสองฝ่ายก็ประชุมกันทำอาวาหมงคล เลี้ยงดูกันเป็นนักษัตรฤกษ์โกลาหล ฉลองกันอยู่สิ้นกาลประมาณหนึ่งเดือนโดยกำหนด ครั้นการฉลองอันมีเวลาถึงหนึ่งเดือนล่วงแล้ว เศรษฐีผู้เป็นบิดาเจ้าบ่าวก็พาบริวารกลับไปบ้านตน

ฝ่ายนายช่างทองผู้งามโสภา จำเดิมแต่วันแคล้วคลาดจากนางมา ก็รำพึงรำพันถึงนางอยู่ไม่วางวายว่า นางกุมารีนี้ได้มีน้ำใจรักเป็นปิยสหายแห่งเรามากอ่น บุรุษเช่นเรานี้จึงสมควรจะได้นาง รำพึงพลางจึงคิดหาอุบาย ครั้นคิดได้แล้วจึงอุตสาหะทำเครื่องประดับสำหรับศอสำรับหนึ่งสวยสดงดงาม นักหนา แล้วไปด้วยแก้วมุกดาวิจิตรบรรจงเป็นลวดลายละเอียดอุดม สมควรเป็นราชอลังการแล้ว ก็น้อมนำเข้าไปถวายพระมหาอุปราชเจ้า

"เอ๊ะ! เจ้านำของที่ชอบใจมาให้เราเช่นนี้ จักมีความประสงค์สิ่งใดหรือ" พระมหาอุปราชซึ่งมีพระกมลโสมนัสตรัสถามขึ้น นายช่างทองจึงทูลสนองบอกความประสงค์ของตนให้ทรงทราบ "อย่าวิตกไปเลย จะเป็นไรมี เรานี้รับธุระจะทำอุบายให้เจ้าสมมโนรถจงได้" พระมหาอุปราชตรัสรับรองแล้วจึงทรงให้นายช่างทองแต่งตัวเป็นสตรีเพศ ทรงสรรพาภรณ์พิจิตร บิดเบือนแสร้งแปลงองค์เป็นขัตติยอนงค์กัญญาเสร็จแล้วจึงให้นั่ง ณ ภายในกระโจมทองข้างพระที่นั่ง ส่วนพระองค์ทรงพระแสงขอสถิตบนคอมงคลคชาธาร เสด็จมาถึงบ้านท่านเศรษฐีประทับหยุดยืนช้างพระที่นั่ง แล้วรับสั่งให้เศรษฐีเข้ามาเฝ้าและแสร้งดำรัสถามว่า

"ปราสาทหลังใหม่นั่น เป็นของใครอีกเล่า"

"เป็นปราสาทธิดาของข้าพระพุทธเจ้า" เศรษฐีทูล

"เออพ่อ...ดีแล้ว บัดนี้ พระบรมชนกธิราชดำรัสราชวโรงการให้เราไปปราบพวกโจรร้ายในชนบทประเทศ จะขอฝากพระกนิษฐภคีนีน้องสาวเราไว้ให้อยู่กับธิดาของท่านด้วยเป็นการชั่ว คราว กว่าเราจะกลับมา เมื่อกลับมาแล้ว เราจึงจะมาพระน้องนางนั้นไป" พระอุปราชตรัสขึ้นตามอุบายทรงวางไว้

"พระเจ้าข้า แต่ว่าธิดาเกล้ากระหม่อมนั้น นางได้สามีแล้ว พระภคินีของพระองค์จะทรงอยู่ด้วยธิดาเกล้ากระหม่อมจะได้หรือ" เศรษฐีทูลด้วยความกังวลใจ

"จะเป็นไรไปเล่า ท่านเศรษฐี" พระมหาอุปราชตรัสดุจไม่พอพระหฤทัย "ท่านจงให้ธิดาของท่านงดการอยู่ร่วมกับสามีชั่วคราวก่อน ให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพระน้องนางเราสักหน่อยเถิดเราไปไม่นานนัก ก็จักรีบกลับมารับไป"

"ถ้ากระนั้น ก็พอจะผ่อนผันรับพระธุระ สนองท่านได้ พระเจ้าข้า" ท่านเศรษฐีทูลแล้ว เรียกธิดามาบอกความต่อหน้าพระที่นั่ง แล้วสั่งให้นำพระภคนีปลอมนั้นขึ้นสู่ปราสาท และก่อนที่เจ้ามหาอุปราชจะอำลาไป พระองค์ยังได้ทรงสั่งซ้ำดุจเป็นห่วงหนักหนาว่า

"ดูกรท่านเศรษฐี! ขอท่านจงอย่าได้ประมาทเลย จงเห็นแก่เราเถิด จงช่วยเป็นธุระเอาใจใส่ ของสิ่งไรที่น้องรักเราเจ้าต้องการ ท่านจงจัดอย่าได้ขัดใจเจ้าเลย อนึ่งบุคคลทั้งหลายอื่นๆ ท่านต้องคอยระวังจงห้ามอย่าให้ขึ้นไปจุ้นจ้านบนปราสาทเป็นอันขาด โดยที่สุด แม้แต่สามีของธิดาท่านก็จงอย่าให้ขึ้นไปอย่างเด็ดขาดเลยทีเดียว เข้าใจไหมเล่า"

"ไว้ใจเถิด พระเจ้าข้า" ท่านเศรษฐีรีบทูล "จงวางพระทัยไว้ธุระข้าพระบาททุกประการเถิด พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย" ทูลรับรองอย่างหนักแน่นแล้ว ก็ตามส่งเสด็จจนถึงนอกกำแพงปราสาท

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มาณพหนุ่มช่างทอง ก็ได้อยู่ร่วมภิรมย์กามรดีกับด้วยกาญจนวดีกุมารีสมมโนรถความปรารถนาเป็นเวลา นานสิ้นกำหนดสามเดือน จะได้มีบุคคลผู้ใดใครผู้หนึ่งในที่นั่นล่วงรู้ความลับนี้ก็หามิได้ ฝ่ายพระมหาอุปราชนั้น ครั้นกาลล่วงไปครบสามเดือนแล้ว ก็ทรงทำเป็นเสด็จมารับพระกนิษฐภคินีกลับไป

พระพุทธางกูรโพธิสัตว์ เมื่อพระองค์ดำรงกฤษดาภินิหารพระบารมีญาณยังอ่อน ต้องถูกเพลิงคือราคะกิเลสเบียดเบียนบีฑา บังเกิดขึ้นมาแล้ว และมิอาจระงับเสียได้ จึงเป็นไปตามอำนาจราคะกิเลสประกอบปรทารโทษล่วงเกินภรรยาของผู้อื่นเป็นกาย ทุจริต เช่นนี้ ครั้นดับขันธ์สิ้นชีวิตในครั้งนี้แล้ว ก็ต้องสืบปฏิสนธิไปบังเกิดในนรกหมกไหม้ ต้องได้รับทุกขเวทนาถึงสาหัสเป็นหลายครั้งหลายหน เวียนวนอยู่ในภูมิอันต่ำช้านานนักหนา นับเป็นเวลาถึง ๑๔ มหากัป
ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระชินสีห์บรมโลกุตมาจารย์ ครั้นได้สำเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว จึงได้ทรงพระมหากรุณาตรัสพระธรรมเทศนาสั่งสอนพวกเราชาวพุทธบริษัทว่า
"สัตว์ ทั้งหลายในโลกสันนิวาสนี้ ย่อมได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสในอบายภูมสี่ คือเป็นสัตว์นรกในนิรยภูมิเป็นต้น เพราะความกระวนกระวายเดือดร้อนด้วยอำนาจราคะกิเลส สัตว์ที่ไม่รู้พระสัทธรรม ย่อมถึงความก่อเกิดเป็นร่างกายเที่ยวเวียนว่ายอยู่ในโอฆสงสารเจริญภพเจริญ ชาติมากมาย แม้จะนับด้วยหลายล้านหลายโกฏิอสงไขยนั้นก็นับหาได้ไม่ ต่อเมื่อเป็นพุทธบุคคลแล้วนั่นแล จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้พ้นจากอบายภูมิ"
เมื่อ ได้ทราบความพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย จงเชื่อถือคำสอนของพระพุทธองค์เถิด จงทำใจให้เห็นโทษภัยในอบายจงมาก หากแต่น่าสังเวชอยู่ที่ว่า วิสัยจิตใจของปุถุชนคนเราโดยมากทุกวันนี้ มักคิดไปเองว่าตนนั้นมีปัญญดี เมื่อมีผู้เอาภัยในอบายมาชี้แจงมาแสดงบอก ก็มักคิดไปว่าแกล้งมากล่าวหลอกลวงให้เกรงกลัวไม่ยอมเชื่อว่าเป็นจริง เพราะสิ่งที่ว่าคือนรกตนเองพิสูจน์ไม่ได้ ให้หันเหคิดขวางๆ ไปว่า เป็นเพียงอุบายสอนคนโบราณกาลก่อน ตั้งแต่ครั้งสมัยคนเรายังโง่อยู่เท่านั้นเอง นรกสวรรค์มีที่ไหนกัน เมื่อคิดผันแปรไปเช่นนี้ ก็จะพอกพูนความประมาทให้เกิดมากยิ่งขึ้นในสันดานตน อาจประกอบอกุศลกรรมต่างๆ อันเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายได้ ฉะนั้น ต้องสอนตนให้กลัวภัยในอบายภูมิก่อนนั่นแลเป็นดี

เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี

เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าของเรา แต่ครั้งมีพระบารมียังอ่อนถูกราคะกิเลสครอบงำ ทำให้ประกอบกรรมล่วงกามมิจฉาแล้วไปสืบปฏิสนธิเกิดในนรกเสวยทุกข์แสนสาหัส เป็นเวลานานนักถึง ๑๔ มหากัปดังกล่าวแล้ว แต่ต่อจากนั้น ด้วยอำนาจเศษกรรมยังตามให้ผลอยู่ไม่เสื่อมคลายไปง่ายๆ ครั้นจุติจากนรกแล้ว จึงต้องไปสืบปฏิสนธิถือกำเนิดเกิดเป็นลา เป็นเวลานานนับได้ ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงไปถือกำเนิดเป็นโคอีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงถือกำเนิดเป็นคนพิการ ตาบอด หูหนวกแต่กำเนิดอีก ๕๐๐ ชาติ แล้วมิหนำซ้ำให้ถือกำเนิดเป็นกระเทยอีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงมาถือกำเนิดเป็นสตรีอีก เป็นเวลานานถึง ๕๐๐ ชาติ

ในกรณีนี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย พึงสันนิษฐานลงเถิดว่าแต่เพียงเศษของอกุศลกรรมที่ทำด้วยความประมาทมาตามสนอง ก็น่าสะพึงกลัวยิ่งนักหนา ฉะนั้น จงอย่าได้ประมาทในอกุศลกรรมความชั่วทั้งปวงเลย ดูแต่พระโพธิสัตว์เจ้าของเรานี่เถิด ทั้งๆ ที่ตั้งพระหฤทัยไว้แล้วว่า จะขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าอนุกูลสงเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลายอยู่โดยแท้ ควรแลหรือที่พระองค์ยังต้องถูกราคะกิเลสมาครอบงำเหยียบย่ำบีฑา แต่ครั้งเป็นมาณพหนุ่มช่างทอง ให้เกิดปรองดองรักใคร่กับภรรยาของผู้อื่น ได้ชมชื่นรื่นรมย์อยู่เพียงสามเดือน แต่ต้องถูกกรรมมาซัดทำให้วิบัติขัดขวางเสียเวลาที่จะสร้างบารมีเพื่อโพธิญาณ นับเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ได้ ก็จะป่วยกล่าวไปใยถึงสามัญชนสัตว์ทั่วไปนี่เล่า อย่าได้ประมาทเลย

เมื่อถือกำเนิดเกิดเป็นสตรีเพศได้สี่ร้อยกว่าชาติแล้ว ครั้นถึงพระชาติเป็นที่สิ้นสุด เศษปรทากรรมคือการล่วงเกินภรรยาของผู้อื่น พระชาติสุดท้ายที่เกิดเป็นสตรีเพศครบห้าร้อยนั้น ด้วยอปราปรเวทนียกรรมตามสนองจึงเป็นเหตุให้พระองค์ถือกำเนิดเป็นขัตติย กุมารี ทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี เป็นพระธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชผู้เป็นใหญ่

ก็ในสมัยนั้น เป็นกัปที่มีชื่อว่า สารกัป เพราะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้พระองค์เดียว ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฏปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระราชบุตรของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชเช่นกันฉะนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเราซึ่งทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตราชกุมารี จึงทรงเป็นพระกนิษฐภคินีของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระองค์นั้น แต่ต่างพระมารดากัน

เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรจอมไตรโลกุตมาจารย์เจ้าเสด็จมากอุบัติตรัสในโลก กาลครั้งนั้น หมู่มนุษย์นิกรนานาประชาชาติ มีสมเด็จพระพุทธบิดา คือพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชาธิราชเป็นประธาน ได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอันมาก พากันจัดสรรทำสักการะบูชาอุทิศเป็นพระพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และอุปัฏฐากบำรุงด้วยจตุปัจจัยในสังฆมณฑล พระพุทธศาสนาถึงความเจริญรุ่งเรืองนักหนา ประชาสัตว์ต่างได้ลิ้มรสอมตธรรม สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลเป็นจำนวนมาก ตามสมควรแก่อุปนิสัยวาสนาบารมีของตนที่สร้างไว้

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
วันหนึ่งเป็นเวลาสายัณหสมัยใกล้ค่ำแล้ว เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชบุตรี ประทับยืนอยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ ทอดพระเนตรลงมาข้างล่างก็ทอดทัศนาการเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งทรงสมณสารูป มีกิริยาอาการน่าเลื่อมใสยิ่งนัก เจ้ากูมาประดิษฐานบิณฑบาตอยู่แทบพระทวารวัง พระนางเจ้าจึงทรงจินตนาว่า "ภิกษุมาบิณฑบาตในเวลาเย็น อันมิใช่กาลที่ควรบิณฑบาตเช่นนี้ ชะรอยจะมีประสงค์สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นมั่นคง" ทรงจินตนาดังนี้แล้ว จึงดำรัสใช้บุรุษคนหนึ่งว่า "ท่านจงลงไปถามความต้องการของพระผู้เป็นเจ้าให้รู้แจ้งแล้วจงมา" ราชบุรุษรับพระดำรัสถวายบังคม ลงมาถามได้ความแล้ว กลับขึ้นไปทูลว่า "พระผู้เป็นเจ้า ประสงค์จะบิณฑบาตน้ำมัน"

เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชบุตรีนั้น จึงให้ไปอาราธนาพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมาเอง ณ อาสนะอันสมควรแล้ว จึงมีพระดำรัสถามว่า
"พระผู้เป็นเจ้า ต้องประสงค์น้ำมันเอาไปเพื่อประโยชน์สิ่งใด?"
"ขอถวายพระพร พระราชธิดา! อาตมภาพโคจรบิณฑบาตน้ำมันได้เป็นอันมากแล้ว ก็แต่งประทีปมากมายนักหนาทำสักการะบูชาแด่องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฏปุราณทีปัง กรสัมมาสัมพุทธเจ้าจนสิ้นราตรียันรุ่ง ครั้นเวลาสายสว่างแล้ว พระอริยสงฆ์สาวกมาประชุมพร้อมกัน ณ สำนักแห่งพระบรมครูอาตมภาพก็ตามประทีปบูชาพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายอีกเล่า แต่เฝ้ากระทำอยู่อย่างนี้เป็นนิตย์เสมอมานะ พระราชธิดา ขอถวายพระพร"

ทรงได้ฟังพระคุณเจ้าเล่าถวายให้ฟังดังนี้ เจ้าสุมิตตาราชบุตรีก็มีจิตยินดีเลื่อมใสหนักหนา จึงทรงถือขันสุพรรณภาชน์ยุรยาตรไปตักตวงน้ำมันพันธุ์ผักกาดจนเต็มขันแล้วก็ ทูนเหนือเศียรเกล้านำมา ในขณะนั้นเจ้าหญิงราชธิดาก็ทรงบังเกิดความคิดอันสูงส่งบรรเจิดจ้าขึ้นมาว่า
"สมเด็จ พระบรมเชษฐาธิราชของเราได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลสัตว์โลกเป็นอันมากฉันใด กาลนานไปเบื้องหน้า ขอจงอาตมาได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง เพื่อจะอนุกูลแก่สัตว์โลกฉันนั้นเถิด"
เมื่อเกิด ความคิดคำนึง ฉะนี้แล้ว พระราชธิดาเจ้าจึงนำสุพรรณภาชน์น้ำมันนั้น ลงจากเบื้องบนพระเศียรเกล้าแล้วก็รินลงในบาตรของพระคุณเจ้าจนเต็มบาตร พร้อมกับทรงตั้งมโนปณิธานว่า

"ข้าแต่พระ คุณเจ้าผู้เจริญ ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าสำเร็จดังมโนรถเถิด พระคุณเจ้าขา ขอพระคุณเจ้าจงเอาน้ำมันนี้ไปบูชาองค์สมเด็จพระบรมเชษฐาธรรมิกราช ซึ่งตรัสเป็นองค์พระสัพพัญญูของข้าพเจ้าแล้ว ขอพระคุณเจ้าจงมีจิตการุณช่วยกราบทูลพระองค์ด้วยว่า พระราชบุตรีกนิษฐภคิณีของสมเด็จพระพุทธองค์เจ้านี้ ซึ่งมีนามว่า สุมิตตากุมารี มีกาลประสาทโสมนัสศรัทธายิ่งนักหนา ขอน้อมพระเกศถวายอภิวาทพระบาทยุคลสมเด็จพระทศพลญาณ และขอตั้งปณิธานปรารถนาดังนี้ว่า ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้เป็นปัจจัยนานไปในอนาคต จักขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งแลขอให้ทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เหมือนด้วยชื่อแห่งน้ำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด"
ครั้นมีพระดำรัสไปดังนี้แล้ว สุมิตตาราชกุมารีก็ถวายอภิวาทพลางส่งพระผู้เป็นเจ้านั้นกลับไป

ฝ่ายพระภิกษุผู้เป็นเจ้ารูปนั้น ครั้นได้น้ำมันตามความประสงค์มากกว่าทุกวันแล้วก็ดีใจนักหนา รีบอุ้มบาตรน้ำมันกลับมาสู่มหาวิหารในราตรีกาลวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็ได้มีโอกาสกระทำประทีปบูชาให้สว่างไสวมากกว่าทุกวัน ครั้นแล้วจึงเข้าไปถวายอภิวาทสมเด็จพระสรรเพชญ์ปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธ เจ้า แล้วจึงกราบทูลว่า

"ข้าแต่พระผู้ทรงพระภาค พระเจ้าข้า! เวลาราตรีนี้ข้าพระองค์ได้ตกแต่งประทีปบูชามากขึ้นกว่าทุกราตรีเช่นที่เห็น อยู่เวลานี้ ด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันภคินีของพระองค์ถวายมาและพระนางเจ้าได้ทำพุทธภูมิ ปณิธานว่า ด้วยเดชะผลทานที่ถวายด้วยใจเลื่อมใสยิ่งนักนี้ พระกนิษฐภคินีเจ้าปรารถนาขอได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งทรงพระนาม ว่า สิทธัตถะในอนาคต ข้าพระองค์โอกาสกราบทูลถามว่า ความปรารถนาของพระภคินีเจ้าจะสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า?"

สมเด็จพระมิ่งมงกุฏปุราณทีปังกรบรมศาสดาได้ทรงสดับแล้วจึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

"ดูกรภิกษุ! บัดนี้ สุมิตตาราชกุมารีกนิษฐภคินีของเรานั้น เจ้ายังตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นสตรีเพศ จึงยังไม่สมควรที่จะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์ก่อน"

"พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ! ก็พระกนิษฐภคินีของพระองค์จักไมมีโอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ พระเจ้าข้า" พระคุณเจ้ารูปนั้นถวายนมัสการกราบทูลขึ้นอีก

ลำดับนั้น สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงพิจารณาดูในอดีตภาคก็ทรงทราบว่าพระกนิษฐภิคินีสุมิตตรากุมารีเจ้าได้ เคยมีพุทธภูมิปณิธานไว้นานนักหนา แต่ครั้งเป็นมาณพแบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทรเป็นเดิม เมื่อทรงพิจารณาดูในกาลส่วนอนาคตภาค ก็ทรงทราบว่าพระน้องนางเจ้าอาจสำเร็จซึ่งพระพุทธภูมิปณิธานได้ จึงทรงมีพระพุทธฎีกาว่า
"ดูกรภิกษุ! กาลข้างหน้าในอนาคตนับแต่นี้ไปอีก ๑๖ อสงไขยหนึ่งแสนมหากัปจักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าสมเด็จพระที ปังกรซึ่งเป็นนามเสมอกับด้วยเรานี้ จักเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ในกาลนั้นแล สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจักได้กล่าวพยากรณ์ซึ่งพระภคนีของเรา พระน้องนางจักได้รับลัทธยาเทศในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น"
เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรสัมมา สัมพุทธเจ้าตรัสฉะนี้แล้ว พระภิกษุรูปนั้นก็ถวายนมัสการกระทำปทักษิณแล้ว ก็ไปสู่ปราสาทเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตากุมารี เล่าแจ้งความตามที่ได้ฟังมาจากพระโอษฐพระผู้มีพระภาคเจ้า พอได้ทรงสดับคำเล่าบอกจบจง เจ้าฟ้าหญิงก็ทรงมีพระกมลโสมนัสยิ่งนัก มีพระเสาวณีย์ถวายนิตยปวารณาว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าขา! แต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระคุณเจ้าจงอย่าได้เที่ยวไปแสวงหาที่อื่นเลย พระคุณจงมารับน้ำมันในสำนักแห่งข้าพเจ้านี้เป็นนิตย์ทุกวันเถิด"

ตั้งแต่วันนั้นมา พระผู้เป็นเจ้าก็มารับน้ำมันพันธุ์ผักกาดจากปราสาทของเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราช กุมารี ไปทำประทีปบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์สาวกเป็นนิตย์ทุกวัน

ฝ่ายเจ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารีนั้นเล่า ครั้นเวลาอรุณรุ่งเช้า ก็ให้จัดแจงอาหารอันประณีตเป็นอันมาก พร้อมด้วยเครื่องสักการะบูชามีมาลาและของหอมเป็นอาทิ แวดล้อมด้วยบริวารเข้าสู่มหาวิหาร ถวายบิณฑบาตทานแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยความเชื่อมั่นเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ก็จำเดิมแต่กาลนั้นมา เจ้าฟ้าหญิงก็มีให้พระหฤทัยเบื่อหน่ายจากความที่ได้อัตภาพเป็นสตรีเพศยิ่ง นัก สู้อุตส่าห์ก้มหน้าบำเพ็ญกุศล เป็นต้นว่าบริจาคทาน รักษาศีล สมาทานอุโบสถ ประพฤติพรหมจรรย์เป็นอาจิณ ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว ก็ได้ขึ้นไปบังเกิดเสวยทิพยสมบัติในดุสิตเทวโลก ก็เป็นอันว่า บัดนี้ สมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าของเราทรงหมดสิ้นจากเศษปรทารกรรมความล่วงเกินภรรยา ของผู้อื่นแต่เพียงนี้

อรติเทวราชบพิตร

เมื่อเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี สิ้นพระชนมายุไปบังเกิดในสวรค์เทวโลกชั้นดุสิต เป็นเทพบุตรเสวยทิพยสมบัติอยู่สิ้นกาลนาน กำหนดได้ห้าสิบเจ็ดโกฎิกับอีกหกล้านปีแล้ว ก็จุติจากดุสิตสวรรค์ท่องเที่ยวเวียนตายเวียนเกิดด้วยอำนาจวัฎสงสารอีกสิ้น กาลนานช้า

กาลครั้งหนึ่ง พระองค์ได้ทรงมาถือกำเนิดในราชตระกูล ครั้นสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ได้สืบราชสมบัติแทนพระราชบิดา ได้ราชาภิเษกเป็นเอกองค์อัครราชาธิบดี เถลิงสิริราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบพิตร ดำรงราชกิจโดยทศพิธราชธรรม มีอำมาตย์ผู้หนึ่งนามว่า สิริคุตมหาอำมาตย์ เป็นผู้อนุศาสน์บอกอรรถธรรม

ก็ในกาลครั้งนี้ ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้า คราวหนึ่ง พระองค์ทรงอุตสาหะเสด็จพระพุทธดำเนินมา ณ กรัณฑกะนครของพระเจ้าอรดีเทวราช เพื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาประกาศพระบวรพุทธศาสนา ให้เหล่าประชาสัตว์ได้ดื่มอมตธรรม ในขณะที่พระองค์เสด็จมาถึงพระนครนั้น พระฉัพพัณณรังษีหกประการอันซ่านออกจากพระพุทธสรีระกาย ปรากฎมากมายนักหนาครอบงำทั่วภารา แลดูราวกับว่าภานุมาศเทพมณฑล คือพระจันทร์มาอุทัยไขรัศมีพร้อมกันทั้งพันดวง มีรัศมีรุ่งเรืองสว่างไสวน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก


ในระยะนั้น สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบพิตรกำลังประทับนั่งบนพระแท่นรัตนบัลลังก์ ณ พื้นเบื้องบนพระมหาปราสาท มีสิริคุตมหาอำมาตย์หมอบเฝ้าอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์ ครั้นท้าวเธอทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรังษีมาปรากฎอย่างอัศจรรย์ มิได้ทันที่จะทรงพระอนุสรณ์คำนึงเห็นว่าเป็นอะไรกันแน่ จะว่าเป็นพญาไกรสรสีหราชหรือว่าเป็นเทพยดามนุษย์นิกรคนธรรพ์กินนรมากระทำ ฤทธิ์ให้วิปริตไปก็ให้ทรงมีพระกมลสะท้านหวาดเสียวเป็นที่สุด ทรงมีพระอาการจะทรุดพระองค์ลงจากพระราชบัลลังก์อาสน์

สิริคุตมหาอำมาตย์ได้เห็นพระอาการสะดุ้งพระราชหฤทัยดังนั้น จึงรีบผายผันไปทัศนาดูโดยสีหบัญชรของพระแกล ก็แลเห็นองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ซึ่งทรงพระสิริโสภาประดับด้วยพระทวัตติงสะมหาปุริสลักษณ์และพระอสีติยานุ พยัญชนะมีพระฉัพพรรณรังษีโอภาสทำให้สว่างกระจ่างจับทั่วสกลภารา สิริคุตมหาอำมาตยาบดี แต่พอได้ทอดทัศนาเห็นพระองค์เช่นนี้ก็ทราบได้ทันทีว่า เจ้าของพระรัศมีนั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคราวนี้ หากจะมีปัญหาว่า ทำไมสิริคุตอำมาตย์จึงทราบได้ทันทีเช่นนี้ มีคำวิสัชนาว่า สิริคุตอำมาตย์ผู้นี้หรือก็คือ พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ซึ่งได้มีอภินิหารบารมีอบรมมานานนักหนา นานกว่าพระเจ้าอรดีเทวราชมหากษัตริย์แห่งตน ได้เคยประสบพบปะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามากมายหลายร้อยชาติแล้ว ทั้งในชาตินี้ก็เป็นพระราชครูผู้รอบรู้สั่งสอนอรรถธรรมแก่สมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว ฉะนั้นพอได้ทอดทัศนาเห็นสมเด็จพระจอมมุนี จึงพลันทราบได้ทันทีว่า องค์พระผู้ทรงพระรัศมีเห็นปานฉะนี้ คือ องค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นสิริคุตอำมาตย์ทราบชัดด้วยใจตนเองเช่นนี้ ก็มีจิตยินดีโสมนัสเป็นล้นพ้น รีบลนลานกราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของตน

ข้าแต่มหาราช พระเจ้าข้า! ขอพระองค์อย่าได้ทรงหวาดเสียว ทรงพระวิตกถึงภัยสิ่งใดเลย แสงพระรัศมีที่เห็นนั้นเป็นแสงแห่งรัศมีของท่านผู้ทรงบุญญาธิการยิ่งผู้ หนึ่ง ที่กำลังมุ่งหน้ามาสู่พระนครของเรานี้ และท่านผู้มีกำลังมาสู่พระนครเรานี้นั้น จะได้เป็นสามัญบุคคลก็หามิได้ โดยที่แท้ ท่านผู้นั้นคือสมเด็จพระมิ่งมงกุฎบรมศาสดาจารย์ผู้ทรงพระสัพพัญญุตญาณยอดโลก แล้ว ท่านผู้นี้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้อุดมในไตรโลกเป็นเอกอัครโลกนายก ทรงอุบัติขึ้นเพื่อจะเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงเป็นพระเจ้าผู้ชนะมารและสมควรจะรับสักการะบูชาน้อยใหญ่ของประชาสัตว์ ทั้งหลาย ทรงมีคติที่ไปเป็นอันดี ทรงไพบูลย์ด้วยวิทยาและจรณธรรม เป็นผู้อำนวยนำนิพพานสุขให้แก่ฝูงสัตว์ได้ พระองค์ย่อมเป็นใหญ่ในสามภพตรัสรู้แจ้งจบในสรรพเญยยธรรมทั้งปวง ด้วยพระองค์เป็นผู้วิเศษในทางทรมานสัตว์บุรุษดุจสารถีอุดม ทรงเป็นบรมศาสดาของหมู่เทพยดาแลมนุษย์ เป็นพุทธบุคคลเบิกบานในโลก จะหาผู้ใดเปรียบโดยคุณธรรมใดๆ มิได้ เป็นผู้ไม่มีความอาลัยแล้วในสรรพสมบัติอันเป็นเครื่องรัดตรึงสัตว์ทั้งปวง ไว้ มีปัญญาจักษุลุล่วงในทางเป็นประโยชน์ ทรงเป็นธรรมสามีใหญ่ในธรรมสำเร็จพระพุทธภูมิเหมือนพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน ทรงมีพระกมลมากด้วยความละเอียดอ่อนยิ่งด้วยพระมหากรุณา ทรงสามารถที่จะประกาศธรรมโฆษณา ทั่วทั้งไตรโลกธาตุ พระเจ้าข้า"

เมื่อสิริคุตอำมาตย์ประกาศพรรณนาพระพุทธเจ้าด้วยพจนากถาอยู่ฉะนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์พรหมเทวาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาใกล้สถานที่นั้น โดยลำดับกาล สิริคุตอำมาตย์เห็นสมเด็จพระพิชิตมารเสด็จมาใกล้ จึงทูลเตือนให้พระสติแก่พระเจ้าอรดีเทวราชว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า! ขอเชิญเสด็จอุฏฐานการจากราชบัญลังก์ ไปทำปัจจุคมนาการต้อนรับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด พระเจ้าข้า"

สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบรมกษัตริย์ ครั้นได้ทรงสดับสิริคุตมหาอำมาตย์กราบทูลดังนี้ พระองค์ก็ทรงมีพระกมลโสมนัสเต็มตื้นไปด้วยพระปิติ ซาบซ่านไปทั่วทั้งพระสรีระกาย ทรงมีพระพักตร์มืดมนด้วยกำลังพระปิติกล้า ในขณะนั้น พระองค์ก็ทรงมีปวัตตนาการวิงเวียนล้ม และตกลงมาจากชานพระทวาร น่าตกใจกลัวจะสิ้นพระชนม์นักหนา แต่ด้วยอำนาจพระราชศรัทธาอันกล้าหาญของพระองค์มาโอบอุ้ม จึงเกิดอัศจรรย์บันดาลเกิดเป็นดอกเศวตโกสุมปทุมชาติงามสะอาดตระการประมาณ เท่ากงเกวียน แหวกพื้นปฐพีผุดขึ้นบานรับประคับประคองพระองค์ไว้ ครั้นทรงได้พระสติจึงทรงเลื่อนพระองค์ลงจากดอกปทุมบุปผชาติ และดอกปทุมบุปผชาตินั้นก็เลื่อนหายไปในขณะนั้นทันที สมเด็จพระเจ้าอรตีเทวราช จึงเสด็จยุรยาตรไปด้วยพระบาทเปล่า เข้าไปสู่สำนักเฉพาะพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระพรหมเทวาสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถวายนมัสการและกระทำการสักการะบูชาด้วยสุมนบุปผชาติเลือกล้วนแต่ที่ดีๆ บริบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นบริสุทธิ์สะอาด ทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใสโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่ทรงนิ่งงัน เฝ้านมัสการบูชาแล้วบูชาเล่าอยู่อย่างนั้น เป็นเวลานานแสนนาน

ภายหลังต่อมา สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบพิตรพระองค์ทรงมีพระราชศรัทธา ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสมภารถวายเครื่องอุปกรณ์ทานทั้งหลายอื่นเป็นอันมาก ทรงมีพระราชหฤทัยชื่นชมโสมนัสนัก แล้วทรงเกิดความคิดบรรเจิดจ้าปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ จึงทรงซบพระเศียรเกล้าก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ตั้งพระทัยอุทิศทำพุทธภูมิปณิธานว่า
"้ข้า แต่พระองค์ผู้สัพพัญญู! พระองค์ได้ตรัสเป็นพระพุทธองค์บรมนารถ สามารถยังสัตว์โลกทั้งหลายให้รู้ตามได้ฉันใด ขอให้ข้าพระองค์ จงได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจงสามารถนำสัตว์โลกทั้งหลายให้รู้ตามด้วยฉัน นั้น อนึ่งพระองค์ได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณพ้นจากภพกันดารแล้ว และสามารถเปลื้องตัวในโลกทั้งหลาย ให้ล่วงพ้นจากภพกันดารด้วยฉันใด ขอให้ข้าพระองค์จงได้ตรัสรู้ธรรมเช่นนั้น และสามารถเปลื้องสัตว์โลกทั้งหลาย ให้ล่วงพ้นจากภพกันดารฉันนั้นเถิด"
เมื่อ สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราช ได้ทรงกระทำพระพุทธภูมิกปณิธานในพระทัยฉะนี้แล้ว ก็มีพระกมลเบิกบานบันเทิงเป็นหนักหนาแล้วจึงถวายนมัสการลา เสด็จอุฏฐาการกระทำประทักษิณสมเด็จพระพรหมเทวาโลกนายกแล้ว ก็เสด็จกลับคืนสู่พระราชวัง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระองค์ก็ทรงพระอุตสาหะสร้างสมพระราชกุศล ทรงบริจาคทานสมาทานศีลอุโบสถ ประพฤติพรหมจรรย์เป็นอาจิณ มีพระกมลนิยมยินดีในกุศลธรรมสุจริต มิได้เบื่อหน่าย ทรงมุ่งหมายในพระพุทธภูมิเป็นนิรันดร์ จนสวรรคตสิ้นพระชนมายุแล้ว เสด็จไปอุบัติเกิดในสวรรค์เทวโลก

การ สร้างพระพุทธบารมีที่เล่ามานี้ เป็นการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณตอนเริ่มแรก คือตอนมโนปณิธาน ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้แต่ในหฤทัยอย่างเดียว มิได้ออกโอษฐ์เปล่งวาจาปรารถนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมครูแห่งเราทั้งหลาย แต่เพียงส่วนน้อยในอสงไขยต้นเท่านั้น มิใช่ทั้งหมด อย่าเข้าใจผิดเป็นอันขาด ความจริงพระองค์ได้ทรงสร้างพระบารมีในตอนนี้และได้พบพระพุทธเจ้ามากมายหลาย ชาตินักหนา จนนับไม่ถ้วน ไม่สามารถจะประมวลพระชาติของพระองค์มากล่าวไว้ให้หมดสิ้นในที่นี้ ได้จำไว้ง่ายๆ ก็แล้วกันว่า องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเราทั้งหลายนี้ พระองค์ทรงสร้างพระบารมีตอนเริ่มแรก ได้แต่นึกปรารถนาพระพุทธภูมิในพระหฤทัย ตามเรื่องที่ยกมาเล่าเป็นตัวอย่างนี้ นับเป็นเวลานานถึง ๗ อสงไขย

ใน กรณีนี้ ท่านผู้มีปัญญาก็ย่อมจะพิจารณาเห็นกันทั่วไปแล้วหรือมิใช่เล่าว่า การสร้างพระบารมีเพื่อปรมาภิเษกสัมโพธิญาณขององค์พระผู้มีพระภาคนั้น เป็นการลำบากแลใช้เวลายืนยาวนานเพียงไร

พรรณาในมโนปณิธาน ความปรารถนาเริ่มแรกซึ่งพระพุทธภูมิแห่งองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนี โคดม เห็นสมควรที่จะยุติลงได้แล้ว จึงขอยุติลง ด้วยประการฉะนี้

บทที่ ๓

พระบารมีตอนกลาง

บัดนี้ จักพรรณนาถึงการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสมโพธิญาณ ของสมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคตมบรมครูเจ้าของเราในตอนวจีมโนปณิธาน คือ ตอนที่พระองค์ออกโอษฐ์เปล่งพระวาจาปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิต่อไป

ก็องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมศาสดาเจ้าของเราทั้งหลายนั้น พระองค์ท่านเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ สร้างพระบารมีมาชนิดยอดเยี่ยมด้วยพระปัญญาฉะนั้น หลังจากทรงตั้งมโนปณิธาน ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในพระหฤทัย มิได้ออกพระวาจามาครบถ้วน ๗ อสงไขย ดังกล่าวมาแล้ว พระองค์ยังจะต้องทรงตั้งวจีปณิธานคืออกพระวาจาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอีก เป็นเวลานานถึง ๙ อสงไขย ตามความเป็นไปที่จะได้พรรณนา ดังต่อไปนี้

สาครจักรพรรดิ์ภูมิบดี

เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ทรงท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิด อยู่ด้วยอำนาจวัฏสงสารสิ้นกาลช้านานนักหนา บางเวลาก็มาเกิดเป็นมนุษย์ บางชาติก็ได้เกิดเป็นเทพบุตร เสวยทิพยสมบัติในสรวงสวรรค์นั้น กาลครั้งหนึ่ง พระองค์ได้อัตภาพมาอุบัติเกิดเป็นมนุษย์ ในสมัยนั้นเป็นสุญกัป โลกธาตุว่างจากพระบวรพุทธศาสนา พระองค์จึงได้ออกบรรพชาเป็นดาบสประพฤติพรตอยู่ในป่าใหญ่ พยายามบำเพ็ญกสิณบริกรรมภาวนาจนได้สำเร็จปฐมฌาน ครั้นดับสังขารสิ้นชีวิตแล้ว ก็ได้ไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมผู้วิเศษอยู่ ณ พรหมโลกชั้นปฐมฌานพรหมภูมิเสวยพรหมสมบัติชมฌาน เป็นสุขอยู่เป็นเวลาหนึ่งมหากัป แล้วจึงจุติลงมาจากพรหมโลก

ด้วยเดชะอานิสงส์ผลบุญกุศล ที่พระองค์ได้ทรงสั่งสมสุจริตธรรมความประพฤติดีงามไว้ ในอดีตชาติแต่ปางก่อนเป็นอันมาก หากมาอำนวยผลให้ในคราวนี้ พอจุติจากพรหมโลกแล้ว พระองค์ก็ได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดในราชตระกูล ณ ธัญญวดีมหานคร เมื่อถึงศุภวารดิถีวันที่จะเฉลิมพระนามนั้น จึงประชุมพระบรมวงศ์ได้พร้อมกันขนานพระนามว่า สมเด็จพระสาครราชกุมาร ครั้น เจริญวัยวัฒนาการนานมา เมื่อสมเด็จพระชนกธิบดีดับขันธ์สวรรคตแล้ว ก็ได้ดำรงสิริราชสมบัติสืบกษัตริย์ขัตติยวงศ์โดยทศพิธราชธรรม ต่อมาทรงพระอุตสาหะปฏิบัติในจักรพรรดิวัตร ที่เหล่าราชปุโรหิตจารย์กำหนดถวายต่างๆ อย่างครบถ้วน แต่ที่พิเศษก็คือว่า เมื่อถึงวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำแล้ว สมเด็จพระเจ้าสาครจักรพรรดิภูมิบดีย่อมเสด็จเข้าที่สรง ทรงชำระสระสนานพระองค์ให้สะอาดแล้ว ก็ทรงพระภูษาโขมพัสตร์พื้นขาวคู่อุโบสถวิเศษ เสด็จขึ้นสถิตอยู่เบื้องบนพระมหาปราสาท ทรงพระอาวัชชนะนึกถึงอุโบสถศีล ที่พระองค์สมาทานเสมอมามิได้ขาด


ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
ลำดับนั้น ด้วยเดชะอำนาจผลแห่งพระราชกุศล ที่พระองค์ทรงรักษาอุโบสถศีลเป็นประธาน จึงบันดาลให้สัตตรัตนะอุบัติเกิดขึ้น คือ
๑. ทิพยรัตนะจักรแก้ว บังเกิดแต่เบื้องปุริมทิศแห่งมหาสมุทรงามบริสุทธิ์พร้อมด้วยพันแห่งกำกง อลงกต ย่อมมีมหิทธิประสิทธิสามารถจะให้สำเร็จความประสงค์ทุกประการ

๒. พญาคชสารหัศดินทร์รัตนสาร คือ ช้างแก้วตัวประเสริฐเกิดมาแต่อุโบสถตระกูลอันยิ่งใหญ่

๓. พญาอัศดรรัตนะมัย คือ ม้าแก้วสินธพชาติตัวประเสริฐบังเกิดมีแต่พลาหกตระกูลอาชาไนย

๔. ดวงจินดารัตนะมณี คือ แก้วมณีอันช่วงโชติรัศมีบังเกิดมีมาแต่บรรพตคีรี

๕. ดรุณรัตนะนารี คือ นางแก้วที่เกิดคู่สำหรับบรมกษัตริย์ ซึ่งเทพเจ้าจัดสรรนำมาแต่อุตตรกุรุทวีป

๖. คหบดีรัตนะ คือขุนคลังแก้วผู้ประเสริฐคู่พระบารมี

๗. ปรินายกรัตนะ คือ พระองค์ทรงมีพระบวรดนัยเชษฐวโรรส ดำรงตำแหน่งที่ปรินายกรัตนะขุนพลแก้ว บริหารราชกิจให้ชาวประชาผาสุกอยู่เป็นนิตย์
สมเด็จ พระเจ้าสาครราชจักรพรรดิทรงประกอบด้วยรัตนะทั้ง ๗ ประการ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เสวยมไหศูรย์ราชสมบัติโดยราชธรรมประเพณี ทรงมีพระเดชานุภาพแผ่ไปทั่วพิภพจบสกลพื้นปฐพี มีสาครสมุทรทั้งสี่กั้นเป็นขอบเขต ทรงเสวยจักรพรรดิสุขอยู่แสนจะสำราญ

กาลครั้งนี้ ปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้หนึ่งพระองค์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฏปุราณศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร ตามพระพุทธประเพณีอันมีสืบมา ด้วยพระมหาเดชานุภาพแห่งพระธรรมจักรของพระองค์ที่ทรงแสดงในกาลครั้งนั้นหนัก ยิ่งนัก ประหนึ่งว่าพื้นแผ่นปฐพีนี้ จะทรงน้ำหนักซึ่งพระคุณไว้มิได้ ก็เกิดกัมปนาทหวาดหวั่นไหวเป็นมหัศจรรย์ทั่วโลกธาตุ ก็เพราะให้มีอันเป็นเกิดกัมปนาทหวั่นไหวเป็นมหัศจรรย์ทั่วโลกธาตุก็เพราะให้ มีอันเป็นเกิดกัมปนาทหวาดหวั่นไหวไปทั่วพื้นปฐพีนี่เอง จึงเป็นเหตุให้จักรแก้วของสมเด็จพระเจ้าสาครราชจอมจักรพรรดิ เคลื่อนตกจากที่ตั้งไว้ เป็นนิมติเหตุให้เห็นประจักษ์ตาอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

แท้จริง ธรรมดาจักรแก้วของพระบรมจักรพรรดิราชเจ้านั้น มหาอำมาตย์ราชบุรุษทั้งหลาย ย่อมมั่นคงสวยงามที่เสาสองต้นแล้วเอาเชือกผูกจักรแก้วประดิษฐานตั้งไว้มั่น คงเป็นอันดี อภิบาลรักษาอย่างถ้วนถี่ไม่มีโอกาสที่จะเคลื่อนคลาดพลาดตกลงมาได้ ครั้นเมื่อเกิดกัมปนาทไปทั่วทั้งแผ่นดินเช่นนั้น จักรแก้วก็พลันตกลงมาจากที่ตั้งอย่ ณ ภายใต้เสาทั้งสองนั้น ฝ่ายราชบุรุษผู้อภิบาลรักษา ได้เห็นแล้วก็ตกใจ จึงรีบเข้าไปกราบทูลสมเด็จพระสาครราชบรมจักรพรรดิ์ พระองค์ได้สดับก็ทรงสะดุ้งพระทัยว่าจักรแก้วนี้ ย่อมเป็นที่นับถือทั่วโลก เหตุไฉนจึงพลัดตกไปจากที่ตั้งได้ ในกรณีเช่นนี้อันตรายแห่งชีวิตจะมีแก่เรา หรือว่าอันตรายจะปรากฎมีแก่ราชสมบัติเห็นประการใด ทรงสงสัยดังนี้แล้ว จึงดำรัสถามโหราราชเนมิตทิพาจารย์ทั้งหลายว่าเป็นประการใด

พระโหราราชครูผู้รู้นิมิตทั้งหลาย ถึงถวายพยากรณ์กราบทูลว่า
"ข้าแต่สมมติเทวราช! เหตุที่ทำให้จักรแก้วนี้ เกิดมีอันเป็นเลื่อนเคลื่อนตกลงไปนั้นมีอยู่ ๒ ประการ คือ
๑. เป็นนิมิตแห่งอันตรายต่อพระชนม์ ของสมเด็จพระบรมจักรพรรดิและ

๒. เป็นนิมิตแห่งเหตุที่สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติในโลก
จักรแก้วจะเคลื่อนตกจากที่ตั้งไว้ได้ ด้วยเหตุ ๒ ประการนี้เท่านั้น พระเจ้าข้า"

สมเด็จพระจักรพรรดิราช จึงตรัสถามต่อไปว่า
"ก็จักรแก้วของเราที่เคลื่อนตกครั้งนี้ จะเป็นด้วยเหตุประการใดเล่า?"

พระโหราราชครูทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันตรวจดูจนแน่แก่ใจแล้ว จึงกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ! การที่จักรรัตนะตกลงมาครั้งนี้ จะได้ปรากฎเป็นนิมิตแห่งชีวิตอันตรายของพระองค์นั้น หามิได้ดอก พระเจ้าข้า โดยที่แท้ เป็นนิมิตแห่งความที่สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้แท้ทีเดียว

ก็สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้แล้ว ย่อมทรงมีพระเกียรติศัพท์บรรลือด้วยพระคุณมากมายเป็นอดุลนับไม่ได้ ทรงไว้ซึ่งเนมิตตกนามดังต่อไปนี้ คือ

๑. อรหํ...ทรงเป็นพระอรหันต์กอรปด้วยพระคุณควรที่จะรับสรรพสักการะน้อยใหญ่ได้ ทุกประการของชาวโลกทั้งผอง อาจทำให้เกิดอานิสงส์เนืองนองมากมาย แก่สรรพสัตว์ผู้กราบไหว้บูชา

๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ... ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบด้วยอำนาจพระบารมีธรรม ที่พระองค์ทรงสั่งสมมาช้านานธรรมทั้งปวงมาเกิดขึ้นพร้อมในพระหฤทัยของ พระองค์เอง

๓. วิชชาจรณสมฺปนฺโน... ทรงไพบูลย์ด้วยไตรวิชาและอัษฎางควิชา พร้อมทั้งจรณะสิบห้าประการ

๔. สุคโต... ทรงดำเนินไปดี เพราะมีพระนิพพานคติอันดีเป็นที่ดำเนินไป

๕. โลกวิทู... ทรงรู้แจ้งโลก เพราะทรงพระสัพพัญญุตญาณรู้แจ้งจบทั้งสังขารโลก (โลกแห่งความมีความเป็น) และโอกาสโลก (โลกแห่งความว่าง)

๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ... ทรงเป็นสารถีมีพระปรีชารู้ทรมานบุรุษผู้ควรทรมานอย่างประเสริฐ เลิศยิ่งในไตรภพเป็นอันดีไม่มีผู้เสมอเหมือน

๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ... ทรงเป็นบรมครูใหญ่ ได้โอกาสตรัสพระพุทธฎีกาแก่ฝูงสัตว์ เทพยดา และหมู่มนุษย์พุทธเวไนยทั่วโลกสันนิวาส ให้สามารถบรรลุถึงคุณธรรม อันมีผลเป็นสุขพิเศษ มีพระนิพพานธรรมเป็นที่สุด

๘. พุทฺโธ... พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้แล้วเต็มที่ เป็นผู้ตื่นแล้วจากความหลับ คือกิเลสนิทรา

๙. ภควา... พระองค์ทรงเป็นผู้จำแนกธรรม และเป็นผู้มีส่วนแห่งพระบารมีธรรมอันจำเริญ

โดยพระเดชานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐล้ำเลิศในไตรโลก จักรรัตนของพระองค์จึงหวั่นไหวให้มีอันตกลงมา จะได้มีอันตรายอันใดอันหนึ่งก่อนนั้นหามิได้ ขอเดชะ" พระโหราราชครูกราบทูลอธิบายอย่างยืดยาว