เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Wisdom

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 17
31


พระปทุมุตระพุทธเจ้า

หลังจากศาสนาของพระนารทะพุทธเจ้าอันตรธานไปแล้ว เป็นช่วงเวลาว่างจากพระพุทธเจ้าถึงอสงไขยหนึ่ง เรียกว่า รุจิอสงไขย กาลเวลาล่วงมาถึงมัณฑกัปหนึ่ง จึงมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๑ พระองค์ ทรงพระนามว่า พระปทุมุตระพุทธเจ้า
พระปทุมุตระพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นพระปทุมุตระราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งหังสวดีนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าอานันทะ และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางสุชาดาเทวี
พระปทุมุตระราชกุมารทรงพระเกษมสำราญอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ นรวาหนะปราสาท ยสวาหนะปราสาท และวสวัตดีปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่าวสุทัตตาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๑๒๐,๐๐๐ นาง
วันหนึ่ง เมื่อพระเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า พระอุตตระกุมาร และปทุมุตระราชกุมารทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระดำริว่าจะออกบวช พอดำริดังนั้น วสวัตดีปราสาทก็ลอยเลื่อนไปลงกลางพื้นดิน เมื่อปทุมุตระราชกุมารพร้อมบุรุษผู้ติดตามออกบรรพชาแล้ว ปราสาทนั้นก็ลอยกลับที่เดิม
ปทุมุตระราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่เป็นเวลา ๗ วัน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากธิดารุจานันทเศรษฐี ณ อุชเชนีนิคม และรับหญ้า ๘ กำจากสุมิตตะอาชีวก ปูลาดใต้ต้นสลละ (ต้นช้างน้าว) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้นเอง
พระปทุมุตระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระโอรส ๒ องค์ของพระเจ้าอาแห่งกรุงมิถิลา คือ เทวละกุมาร และสุชาตะกุมาร ที่ราชอุทยานกรุงมิถิลา ทำให้พระโอรสทั้งสองและบริวารสำเร็จเป็นพระอริยบุคล

ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระปทุมุตระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๒ แสดงธรรมแก่สรทดาบส
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๓,๗๐๐,๐๐๐
วาระที่ ๓ แสดงธรรมแก่พระเจ้าอานันทะพุทธบิดา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๕,๐๐๐,๐๐๐

พระปทุมุตระพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ณ มิถิลานคร
ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๙๐,๐๐๐ โกฏิ ณ เวภารบรรพต
ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๘๐,๐๐๐ โกฏิ ณ คามนิคมชนบท

พระปทุมุตระพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระเทวิละเถระ และพระสุชาตะเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระอมิตาเถรี และพระอสมาเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระสุมนะ

พระปทุมุตระพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๕๘ ศอก มีพระรัศมีแผ่ไป ๑๒ โยชน์โดยรอบ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพานที่พระวิหารนันทาราม พระศาสนาก็ดำรงมาได้อีก ๗๐,๐๐๐ ปี ก็อันตรธาน

32


เกร็ดความรู้เพื่อศึกษาในบทต่อๆไป
ลองมาดูกันถึงเรื่องของเวลาความยาวนาน
เพื่อพิจารณาเห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ท่าน
ได้เสียสละตรากตรำสร้างบารมีมานานแสนนานแค่ไหนเพื่อมาโปรดสัตว์


ต่อไปจะเทียบระยะเวลา 1 กัป 1 อสงไขย และ 1 ปทุมะนรก

ให้พิจารณากันดู เพื่อปลงสังเวชกับอัตตา(อวิชชา)ของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นค่าโดยประมาณ อาจจะมีความคลาดเคลื่อนมากกว่านี้ก็ได้ใครมีความรู้ในทางคณิตศาสตร์ ก็สามารถช่วยแสดงความคิดเห็น เพื่อจะได้ค่าที่ถูกต้องมากขึ้น
เรื่องของกัปจากพระไตรปิฏกประมาณคำว่า 1 กัปได้ดังนี้
สมมุติมีกล่องใบหนึ่ง กว้าง 100 โยชน์ ยาว 100โยชน์ และ สูง 100 โยชน์ ในเวลา 100 ปี ให้เอาเมล็ดผักกาด 1 เมล็ด ใส่ลงไปในกล่องนั้น ทำอย่างนี้จนเมล็ดผักกาดนั้นเต็มเสมอเรียบปากกล่องนั้นละจึงเท่ากับ 1 กัป
(บางตำรากล่าวว่า กว้าง 1 โยชน์ยาว 1 โยชน์สูง 1 โยชน์)
วิเคราะห์คำนวณ 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร
ดังนั้นกล่องใบนี้มีปริมาตร = 1600X1600X1600 = 4,096,000,000 ลูกบาตกิโลเมตร
ประมานว่า เมล็ดผักกาด มีขนาด .5 มิลลิเมตร
1 กิโลเมตรเทียบเป็นมิลลิเมตรได้ดังนี้ 10X100X1000 = 1,000,000 มิลลิเมตร
จะได้ 1 กิโลเมตรใช้เมล็ดผักกาดเรียงกัน = (1,000,000)/0.5 = 2,000,000 เมล็ด
ดังนั้น 1600 กิโลเมตรใช้เมล็ดผักกาดเรียงกัน = 1600X2,000,000 = 3,200,000,000 เมล็ด
ถ้าเป็นปริมาตร คือ กว้าง*ยาว*สูง ต้องใช้เมล็ดผักกาดทั้งหมด คือ
3,200,000,000X3,200,000,000X3,200,000,000 = 32,768,000,000,000,000,000,000,000,000 เมล็ด
ใน 100 ปี ใส่เมล็ดผักเพียง 1 เมล็ด ดังนั้นต้องใช้เวลาทั้งหมดคือ
32,768,000,000,000,000,000,000,000,000X100 = 3,276,800,000,000,000,000,000,000,000,000 ปี
จึงได้เวลา 1 กัป ประมาณ สามล้านสองแสนเจ็ดหมื่นหกพันแปดร้อยล้านล้านล้านล้านปี
ประมาณ 3.3 X 10**30 ปี
เครื่องหมาย ** เป็นเครื่องหมาย ยกกำลัง
(หมายเหตุบางตำรากล่าวว่ากว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์สูง 1 โยชน์ จึงได้ 1 กัป ประมาณ 3.3
X 10**24 ปี โดยเอา 0 ออกไป 6 ตัว จากค่าที่คำนวณได้ในครั้งแรก)


เรื่องของอสงไขยจากหนังสือสัมภาระโพธิญาณ (จำไม่ค่อยได้) เป็นหนังสือเก่ามากแล้วค่าที่ได้ก็ตรงกับผู้ที่คำนวณไว้ก่อน สามารถนับ 1 อสงไขย และเทียบ

กับหน่วยนับปัจจุบันได้ดังนี้
สิบ สิบหนเป็น ร้อย 10**2
สิบร้อยเป็น พัน 10**3
สิบพันเป็น หมื่น 10**4
สิบหมื่นเป็น แสน 10**5
ร้อยแสนเป็น โกฏิ 10**7
ร้อยแสนโกฏิเป็น ปโกฏิ 10**7 X 10**7 = 10**14
ร้อยแสนปโกฏิเป็น โกฏิปโกฏิ 10**7 X 10**14 = 10**21
ร้อยแสนโกฏิปโกฏิเป็น นนุตหนึ่ง 10**7 X 10**21 = 10**28
ร้อยแสนนนุตเป็น นินนนุตหนึ่ง 10**7 X 10**28 = 10**35
ร้อยแสนนินนุตเป็น อักโขภินีหนึ่ง 10**7 X 10**35 = 10**42
ร้อยแสนอักโขภินีเป็น พินทะหนึ่ง 10**7 X 10**42 = 10**49
ร้อยแสนพินทะ เป็น อัพภูทะหนึ่ง 10**7 X 10**49 = 10**56
ร้อยแสนอัพภูทะ เป็น นิรพุทะหนึ่ง 10**7 X 10**56 = 10**63
ร้อยแสนนิรพุทะ เป็น อหนะหนึ่ง 10**7 X 10**63 = 10**70
ร้อยแสนอหนะ เป็น อพพะหนึ่ง 10**7 X 10**70 = 10**77
ร้อยแสนอพพะ เป็น อฏฏะหนึ่ง 10**7 X 10**77 = 10**84
ร้อยแสนอฏฏะ เป็น โสคันธิกะหนึ่ง 10**7 X 10**84 = 10**91
ร้อยแสนโสคันธิกะ เป็น อุปละหนึ่ง 10**7 X 10**91 = 10**98
ร้อยแสนอุปละ เป็น กมุมะหนึ่ง 10**7 X 10**98= 10**105
ร้อยแสนกมุมะ เป็น ปทุมะหนึ่ง 10**7 X 10**105= 10**112
ร้อยแสนปทุมะเป็น ปุณฑริกะหนึ่ง 10**7 X 10**112= 10**119
ร้อยแสนปุณฑริกะ เป็น อกถานหนึ่ง 10**7 X 10**119= 10**126
ร้อยแสนอกถาน เป็น มหากถานหนึ่ง 10**7 X 10**126= 10**133
ร้อยแสนมหากถาน เป็น อสงไขยหนึ่ง10**7 X 10**133= 10**140
ดังนั้น 1 อสงไขย = สิบยกกำลัง หนึ่งร้อยสีสิบ หรือ 1 ตามด้วย 0 จำนวน 140 มหากัป

ข้อสังเกตจำนวนปีของมนุษย์โลกเทียบกับ 1 กัปนั้นยังมีความคลาดเคลื่อนอีกมากมายจึงไห้ถือกำหนดเอา โลกจักรวาลเมื่อก่อกำเนิดขึ้นจนกระทั้งพังทลายศูนย์หายไป 1 ครั้ง เป็น 1 กัปแต่จำนวน 1 อสงไขยมีกี่กัปนั้นเป็นจำนวนที่แน่นอนคือ 1 ตามด้วยเลข 0 จำนวน 140 ตัว หรือ 1 X 10**140


อายุขัยของเทวดาเทียบกับปีของมนุษย์โลก
หนึ่ง 1 ปีทิพย์ของสวรรค์แต่ละชั้นเท่ากับ 360 วันทิพย์ของสวรรค์แต่ละชั้น
ชั้นจาตุมีอายุ 500 ปีทิพย์ 1 วันทิพย์ เท่ากับ 50 ปีโลกมนุษย์ดังนั้นเท่ากับ 500X360X50 = 9,000,000 ปี
ชั้นดาวดึงส์ " " 1000 " " 1 " " 100 " " เท่ากับ 36,000,000 ปี
ชั้นยามา " " 2000 " " 1 " " 200 " " เท่ากับ 144,000,000 ปี
ชั้นดุสิต " " 4000 " " 1 " " 400 " " เท่ากับ 576,000,000 ปี
ชั้นนิมมา " " 8000 " " 1 " " 800 " " เท่ากับ 2,304,000,000 ปี
ชั้นปรมิน " " 16000 " " 1 " " 1600 " " เท่ากับ 9,216,000,000 ปี


อายุของพระพรหม รูปฌาน 1 ถึง รูปฌาน 4
รูปฌาน 1 มีอยู่ 3 ชั้น
สมาธิอย่างอ่อนปาริสัชนาพรหมมีอายุ 1/3 กัป
สมาธิอย่างกลางปุโรหิตพรหมมีอายุ 1/2 กัป
สมาธิอย่างสูงมหาพรหมมีอายุ 1 กัป
รูปฌาน 2 มีอยู่ 3 ชั้น
สมาธิอย่างอ่อนปริตตาภาพรหมมีอายุ 2 กัป
สมาธิอย่างกลางอัปปมาณภาพรหมมีอายุ 4 กัป
สมาธิอย่างสูงอาภัสสราพรหมมีอายุ 8 กัป
รูปฌาน 3 มีอยู่ 3 ชั้น
สมาธิอย่างอ่อนปริตตสุภาพรหมมีอายุ 16 กัป
สมาธิยย่างกลางอัปปมาณสุภาพรหมมีอายุ 32 กัป
สมาธิอย่างสูงสุภกิณหาพรหมมีอายุ 64 กัป
รูปฌาน 4 มีอยู่ 2 ชั้น
เวหัปผลพรหมมีอายุ 500 กัป
อสัญญสัตราพรหมมีอายุ 500 กัป

สุทธาวาสพรหมมี 5 ชั้น เป็นภพของพระอนาคามี
1. อวิหามีอายุ 1,000 กัป
2. อตัปปามีอายุ 2,000 กัป
3. สุทัสสามีอายุ 4,000 กัป
4. สุทัสสีมีอายุ 8,000 กัป
5. อกนิฏฐามีอายุ 16,000 กัป
อรูปพรหมมี 4 ชั้น
1.อากาสานัญจายตนพรหมมีอายุ 20,000 กัป
2.วิญญาณัญจายตนพรหมมีอายุ 40,000 กัป
3.อากิญจัญญายตนพรหมมีอายุ 60,000 กัป
4.เนวสัญญานาสัญญายตนาพรหมมีอายุ 84,000 กัป

พิจารณาดูจะเห็นว่า เมื่อมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 1 พระองค์ ขณะที่พระองค์มีพระชนชีพอยู่แสงสว่างของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กระจายไปทั่วสากลจักวาลอย่างรวดเร็วเหมือนกับสายฟ้าแลบ และแสงสว่างแห่งธรรมนั้นยังคงสว่างสไหวอยู่
เมื่อพระองค์ดับขันท์ปรินิพพานแม้อายุขัยของภพมนุษย์นั้นจะเพียงน้อยนิดแต่แสงสว่างในธรรมนั้นก็ค่อยทยอยดับอย่างช้าๆ เริ่มต้นจากโลกมนุษย์นี้ก่อนแล้วทยอยดับไปยัง สวรรค์ชั้นจาตุชั้นดาวดึงส์ชั้นยามาชั้นดุสิตชั้นนิมมาชั้นปรมิน
แล้วทยอยดับไปที่รูปพรหมของฌานทั้ง 4 ซึ่งทยอยดับไปที่ละชั้น จนถึงสุทธาวาสพรหมทั้ง 5 ชั้นทยอยดับที่ละชั้นจนถึงอรูปพรหม ที่พระอริยะบางท่านจุติอยู่ ถ้ายังไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่บังเกิดขึ้นในโลกแสงสว่างของธรรมจากพระพุทธองค์นั้นเมื่อบังเกิดขึ้น แล้วทยอยดับจนหมดสิ้นใช้เวลาเป็นแสนกัปรอจนพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้นมาใหม่ในโลก แสงสว่างแห่งธรรมนี้ไม่มีมนุษย์หรือเทพหรือพระพรหมองค์ใดจะกระทำได้ มีแต่เพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงทำให้บังเกิดขึ้นได้


เปรียบเทียบอายุในอเวจีนรก 1 ปทุมนรก กับมนุษย์โลกได้ ดังมีในพระไตรปิฏกดังนี้
เมล็ดงา 1 เกวียน มีอัตรา 20 ขารี 1 ขารีเท่ากับ 256 ทะนาน เมื่อล่วงไป 1 แสนปีเอาเมล็ดงาออกจากเกวียน 1 เมล็ดทำจนหมดจากเกวียน ก็ยังไม่ถึง 1 อัพพุทะในนรกเลยการเปรียบเทียบ 1 อัพพุทะ ตามมาตรตราปัจจุบันอย่างคล่าวๆ
1 ทะนาน เท่ากับ 1 ลิตร
1 ลิตร เท่ากับ 1000 ลูกบาศเชนติเมตร
เมล็ดงา 1 เมล็ด ประมาณ 1 มิลิเมตร ดังนั้น 1 เชนติเมตร เอาเมล็ดงาเรียงกันได้ 10 เมล็ด
จะได้ 1 ลูกบาศเชนติเมตร จะมีจำนวน เมล็ดงา ประมาณ 10 X10 X 10 = 1000 เมล็ด
จะได้ 1 ลิตรมีเมล็ดงาประมาณ 1000X1000 ประมาณ 1,000,000 เมล็ด
จะได้ 1 ทะนานจะมีเมล็ดงาประมาณ 1,000,000 เมล็ด
จะได้ 1 ขารีจะมีเมล็ดงาประมาน 256 X 1,000,000 ประมาณ 256,000,000 เมล็ด
จะได้ 1 เกวียนจะมีเมล็ดงาประมาณ 20 X 256,000,000 ประมาณ 5,120,000,000 เมล็ด
จะได้เวลาทั้งหมดเมื่อหยิบเมล็ดงาออกหมดเกวียน ประมาณ 100,000 X 5120,000,000 ปี
ประมาณ 512,000,000,000,000 ปี
ซึ่งยังไม่ถึง 1 อัพพุทะแต่ก็ประมาณ 512,000,000,000,000 ปีหรือ 5.12 X 10**14 จึงเอาไปแทนค่าตามข้างล่าง
20 อัพพุทะ เป็น 1 นิรัพพุทะ 20**1 X 5.12 X 10**14
20 นิรัพพุทะเป็น 1 อพัพพะ 20**2 X 5.12 X 10**14
20 อพัพพะเป็น 1 อหหะ 20**3 X 5.12 X 10**14
20 อหหะเป็น 1 อฏฏะ 20**4 X 5.12 X 10**14
20 อฏฏะเป็น 1 กุมุทะ 20**5 X 5.12 X 10**14
20 กุมุทะเป็น 1 โสคันธิกะ 20**6 X 5.12 X 10**14
20 โสคันธิกะเป็น 1 อุปปละ 20**7 X 5.12 X 10**14
20 อุปปละเป็น 1 ปุณฑริกะ 20**8 X 5.12 X 10**14
20 ปุณฑริกะเป็น 1 ปทุมะ 20**9 X 5.12 X 10**14
และ 20**9 = 512,000,000,000 = 5.12 X 10**11

ดังนั้น 1 ปทุมะนรก ประมาณ 5.12 X 10**11 X 5.12 X 10**14 ประมาณ 26.2144 X 10**25
ประมาณ 2.62 X 10**26 หรือ 1 ปทุมะนรก ประมาณ 262,144,000,000,000,000,000,000,000 ปีมนุษย์โลก
เมื่อเปรียบเทียบปีมนุษย์ กับ 1 ปทุมะนรก และปีของมนุษย์กับ 1 กัป ดังที่คำนวณมาแล้วจะเห็นว่า มีเวลายาวนานมาก ดังนั้นในตำราของพระพุทธศาสนาจึงกล่าวว่า ผู้ที่ตกนรกอเวจีต้องทรมานอยู่ตลอดกัป หรือชั่วกัปชั่วกัลป์ เหมือนดังพระเทวทัต ที่ตกอเวจีนรกและจะหมดกรรมจากอเวจีนรกก็เกือบจะสิ้นสุดของกัปนี้

ทังหมดนี้คงจะทำให้ท่านปลงสังเวช กับความโง่ หรือ อวิชชา ที่หาเบื้องต้นไม่ได้ถ้ายังไม่ชำละอวิชชาออกไปด้วยปัญญา นิพพาน ก็ไม่รู้ว่าจะหาที่สุดได้เมื่อใด?

33
พระนารทะพุทธเจ้า

หลังจากศาสนาของพระปทุมะพุทธเจ้าล่วงไป จึงได้ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระนารทะพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายในวรกัปเดียวกัน
พระนารทะพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นนารทะราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งธัญญวดีนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุเทวะ และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางอโนมา
นารทะราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๙,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ วิชิตะปราสาท วิชิตาวีปราสาท และวิชิตาภิรามะปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า วิชิตเสนาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๑๒๐,๐๐๐ นาง
วันหนึ่ง พระนารทะทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
เมื่อพระนางวิชิตเสนาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า นันทุตตรกุมาร จึงได้เสด็จด้วยพระบาทออกบรรพชาในธนัญชัยราชอุทยานนอกพระนคร โดยมีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๑ แสนคน
นารทะราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ในพระราชอุทยานเป็นเวลา ๗ วัน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากพระนางวิชิตเสนาเทวีอัครมเหสี และรับหญ้า ๘ กำจากพนักงานเฝ้าอุทยาน ปูลาดใต้ต้นมหาโสณะ (ต้นอ้อยช้างใหญ่) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระปัญญาธิกะพุทธเจ้าในคืนนั้น
พระนารทะพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่พระภิกษุ ผู้บรรพชาตามจำนวน ๑ แสนในราชอุทยานนั้นเอง

พระนารทะพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมาภิสมัยให้บังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๒ แสดงธรรมแก่พระยานาคโทณะ
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๓ แสดงธรรมแก่พระโอรส
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๘๐,๐๐๐ โกฏิ

พระนารทะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
ที่มาประชุมกันในสมาคมพระญาติ
ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๘,๐๐๐,๐๐๐
ที่มาประชุมกันในคราวเสด็จโรงทานของพระยานาคชื่อ เวโรจนะ

พระนารทะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระภัททสาละเถระ และพระชิตมิตตะเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระอุตตราเถรี และพระผัคคุนีเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระวาเสฏฐะ

พระนารทะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก มีพระรัศมีวาหนึ่ง เมื่อพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพาน พระศาสนาดำรงมาได้อีก ๙๐,๐๐๐ ปีก็อันตรธาน

34
พระปทุมะพุทธเจ้า

หลังจากศาสนาของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าล่วงไป จึงได้ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระปทุมะพุทธเจ้า ซึ่งอยู่ในอันตรกัปถัดมาในวรกัปเดียวกัน
พระปทุมะพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นพระมหาปทุมราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งจัมปกะนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าอสมราช และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางอสมา
มหาปทุมราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ในปราสาท ๓ หลัง คือ นันทุตตระปราสาท วสุตตระปราสาท และยสุตตระปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า อุตตราเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๓๓,๐๐๐ นาง
วันหนึ่ง พระมหาปทุมทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
เมื่อพระนางอุตตราเทวีทรงประสูติพระโอรส พระนามว่า รัมมราชกุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาด้วยราชรถเทียมม้า มีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๑ โกฏิ
มหาปทุมราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่เป็นเวลา ๘ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางธัญญวดี ธิดาของสุธัญญเศรษฐี กรุงธัญญวดี และรับหญ้า ๘ กำจากติตถกะอาชีวก ปูลาดใต้ต้นมหาโสณะ (ต้นอ้อยช้างใหญ่) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้น
พระปทุมะพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๑ โกฏิ ที่ธนัญชัยราชอุทยาน ใกล้กรุงธัญญวดี ทำให้พระภิกษุ ๑ โกฏินั้น สำเร็จเป็นพระอริยบุคล

ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระปทุมะพุทธเจ้า บังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๒ แสดงธรรมแก่พระประยูรญาติ
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๙๐ โกฏิ
วาระที่ ๓ แสดงธรรมแก่พระโอรส
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๘๐ โกฏิ

พระปทุมะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
โดยมีพระเจ้าสุภาวิตัตตะ ซึ่งนำข้าราชบริพารออกบวชเป็นประธาน
ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๓๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ณ กรุงอุสภวดี ในพิธีกรานกฐิน
ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๒๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ซึ่งตามเสด็จมาประชุมในป่าใหญ่

พระปทุมะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระสาละเถระ และพระอุปสาละเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระราธาเถรี และพระสุราธาเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระวรุณะ

พระปทุมะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๕๘ ศอก มีพระรํสมีแผ่ออกไปทุกทิศ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพาน

35
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า

หลังจากศาสนาของพระโสภิตะพุทธเจ้าอันตรธานไป เป็นช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากพระพุทธเจ้าถึงอสงไขยหนึ่ง เรียกว่า ชัยยะอสงไขย ล่วงมาถึงวรกัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๓ พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์แรกทรงพระนามว่า พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นพระอโนมทัสสีราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งจันทวดีนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้ายสวา และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางยโสธรา
อโนมทัสสีราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ สิริปราสาท อุปสิริปราสาท และสิริวัฑฒะปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า สิริมาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๒๓,๐๐๐ นาง
วันหนึ่ง พระอโนมทัสสีทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
เมื่อพระนางสิริมาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า อุปวาณะกุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาด้วยพระวอทอง มีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๓ โกฏิ
อโนมทัสสีราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ หมู่บ้านอนูปมพราหมณ์ เป็นเวลา ๑๐ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากธิดาอนูปมเศรษฐี และรับหญ้า ๘ กำจากอนูปมาชีวก ปูลาดใต้ต้นอัชชุนะ (ต้นกุ่ม) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้น
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๓ โกฏิ ที่สุธัมมราชอุทยาน ทำให้พระภิกษุ ๓ โกฏินั้น สำเร็จเป็นพระอริยบุคล

ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๒ แสดงธรรมบนดาวดึงส์เทวโลกโปรดพุทธมารดา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่เทวดา ๘๐ โกฏิ
วาระที่ ๓ แสดงมงคลปัญหา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๗๘ โกฏิ

พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๘๐๐,๐๐๐ โกฏิ
โดยมีพระเจ้าอิสิทัตตะ ซึ่งออกบวชเป็นประธาน
ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๗๐๐,๐๐๐ โกฏิ
โดยมีพระเจ้าสุนทรินธระ กรุงราธวดี ซึ่งออกบวชเป็นประธาน
ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๖๐๐,๐๐๐ โกฏิ
โดยมีพระเจ้าโสเรยยะ กรุงโสเรยยะ ซึ่งออกบวชแล้วเป็นประธาน

พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระนิสภะเถระ และพระอโนมะเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระสุมนาเถรี และพระสุนทรีเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระวรุณะ

พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๕๘ ศอก มีพระรัศมีแผ่ออกไปเหมือนดวงอาทิตย์ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพาน

36


พระโสภิตะพุทธเจ้า

หลังจากศาสนาของพระเรวตะพุทธเจ้าล่วงไป จึงได้ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโสภิตะพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายในสารมัณฑกัปเดียวกัน
พระโสภิตะพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นพระโสภิตะราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งสุธัมมนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุธัมมราช และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางสุธัมมาเทวี
โสภิตะราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ สุทัสสนะปราสาท รตนัคฆิปราสาท และอาเวฬะปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า มขิลาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๗๐,๐๐๐ นาง
วันหนึ่ง พระโสภิตะทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
เมื่อพระนางมขิลาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า สีหกุมาร จึงได้ทรงเสด็จออกบรรพชาอยู่ในปราสาทนั้น โดยทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางมขิลาเทวี
เมื่อบำเพ็ญเพียรได้ ๗ วันก็อธิษฐานให้ปราสาทลอยไปจากพระราชนิเวศน์ และเสด็จประทับใต้ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง) บำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้เป็นพระปัญญาธิกะพุทธเจ้า
พระโสภิตะพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระอนุชาต่างมารดา ๒ พระองค์ คือ อสมกุมาร และสุเนตตกุมาร ที่สุมธัมมราชอุทยาน ทำให้พระอนุชาทั้งสองสำเร็จเป็นพระอริยบุคล

ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระโสภิตะพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดาไม่อาจนับจำนวนได้
วาระที่ ๒ แสดงธรรมบนดาวดึงส์เทวโลกโปรดพุทธมารดา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่เทวดา ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๓ แสดงธรรมแก่ชัยเสนะ ราชบุตรแห่งกรุงสุทัสสนะ
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ

พระโสภิตะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐ โกฏิ ณ สุนันทะวิหาร
ในโอกาสที่พระเจ้าอุคคตะแห่งกรุงสุนันทะน้อมถวายสุนันทะวิหาร
ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๙๐ โกฏิ ณ เมขลนคร
ในโอกาสที่ชาวนครถวายวิหารทาน
ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๘๐ โกฏิ ที่มาประชุมกัน
เพื่อรอรับเสด็จพระโสภิตะพุทธเจ้าเสด็จกลับดาวดึงส์

พระโสภิตะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระอสมะเถระ และพระสุเนตตะเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระนกุลาเถรี และพระสุชาดาเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระอโนมะ

พระโสภิตะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๕๘ ศอก มีพระฉัพพรรณรังสีแผ่ไปทุกทิศดังอาทิตย์อุทัย เมื่อพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี จึงดับขันธปรินิพพานที่พระราชอุทยานมหานาควัน

37


พระเรวตะพุทธเจ้า

หลังจากศาสนาของพระสุมนะพุทธเจ้าล่วงไป จึงได้ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระเรวตะพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นในอันตรกัปถัดมาซึ่งเป็นสารมัณฑกัปเดียวกัน
พระเรวตะพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นพระเรวตะราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งสุธัญญวดีนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าวิปุลราช และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางวิปุลาเทวี
เรวตะราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๖,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ สุทัสสนะปราสาท รตนัคฆิปราสาท และอาเวฬะปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า สุทัสสนาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๓๓,๐๐๐ นาง
วันหนึ่ง พระเรวตะทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
เมื่อพระนางสุทัสสนาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า วรุณกุมาร จึงได้เสด็จออกบวชด้วยราชรถเทียมม้า โดยมีบุรุษ ๑ โกฏิออกบวชตาม
เรวตะราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ อโนมนิคม เป็นเวลา ๗ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางสาธุเทวี และรับหญ้า ๘ กำจากอาชีวกผู้หนึ่ง ปูลาดใต้ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้น
พระเรวตะพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๑ โกฏิ ที่วิหารวรุณาราม ทำให้พระภิกษุ ๑ โกฏินั้น สำเร็จเป็นพระอริยบุคล

ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระเรวตะพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดาจำนวนเกินที่นับได้
วาระที่ ๒ แสดงธรรมแก่พระเจ้าอรินทมะ
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๓ แสดงอานิสงส์แห่งนิโรธสมาบัติ
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐ โกฏิ

พระเรวตะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวกจำนวนเกินที่จะนับได้
ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ที่เข้าไปทูลถามอาพาธของพระวรุณเถระอัครสาวก

พระเรวตะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระวรุณเถระ และพระพรหมเทวะเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระภัททาเถรี และพระสุภัททาเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระสัมภวะเถระ

พระเรวตะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก มีพระรัศมีแผ่ไปโยชน์หนึ่งโดยรอบ เมื่อพระชนมายุได้ ๖๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพานที่พระราชอุทยานมหานาควัน

38


พระสุมนะพุทธเจ้า

หลังจากศาสนาของพระมังคละพุทธเจ้าล่วงไป จึงได้ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสุมนะพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นในอันตรกัปถัดมาในสารมัณฑกัปเดียวกัน
พระสุมนะพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นพระสุมนะราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งเมขละนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุทัตตะ และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางสิริมา
สุมนะราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๙,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ สิริวัฒนะปราสาท โสมวัฒนะปราสาท และอิทธิวัฒนะปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า พระนางวฏังสิกาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๓๖๐,๐๐๐ นาง
วันหนึ่ง พระสุมนะทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
เมื่อพระนางวฏังสิกาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า อนูปมะกุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาด้วยคชยาน โดยมีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๓๐ โกฏิ
สุมนะราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ อโนมนิคม เป็นเวลา ๑๐ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางอนุปมา ธิดาของอโนมเศรษฐี และรับหญ้า ๘ กำจากอนุปมาชีวก ปูลาดใต้ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้น
พระมังคละพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๓๐ โกฏิ พร้อมสรณกุมารพระอนุชาต่างมารดา และภาวิตัตตมาณพบุตรปุโรหิต ที่ราชอุทยาน ในเมขละนคร ทำให้พระภิกษุ ๓๐ โกฏินั้น พร้อมพระอนุชาและบุตรปุโรหิต สำเร็จเป็นพระอริยบุคล

ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระสุมนะพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๒ แสดงธรรมย่ำยีพวกเดียรถีร์ ณ สุนันทวดีนคร
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๓ แสดงนิโรธปัญหาแก่พระเจ้าอรินทมะ
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๙๐,๐๐๐ โกฏิ

พระสุมนะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑,๐๐๐ โกฏิ
ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๘๐,๐๐๐ โกฏิ

พระสุมนะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระสรณะเถระ และพระภาวิตัตตะเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระโสณาเถรี และพระอุปโสณาเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระอุเทนะเถระ

พระสุมนะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๙๐ ศอก เมื่อพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพานที่พระวิหารอังคาราม
__________________

39


พระมังคละพุทธเจ้า

หลังจากศาสนาของพระโกณฑัญญะพุทธเจ้าอันตรธานไป เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติถึงอสงไขยหนึ่ง เรียกว่า ภาละอสงไขย ล่วงมาถึงสารมัณฑกัปหนึ่งจึงมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๔ พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์แรกในสารมัณฑกัปนี้ทรงพระนามว่า พระมังคละพุทธเจ้า
พระมังคละพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นมังคละราชกุมาร ในวงศ์กษัตริย์แห่งอุตตระนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าอุตตระ และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางอุตตรา
มังคละราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๙,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ ยสวาปราสาท รุจิมาปราสาท และสิริมาปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า ยสวดี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๓๐,๐๐๐ นาง
วันหนึ่ง พระมังคละทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
เมื่อพระยสวดีเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า สีลวากุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาด้วยม้าปัณฑระ มีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๓ โกฏิ
มังคละราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ บ้านอุตตรคาม เป็นเวลา ๘ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางอุตตรา ธิดาของอุตตรเศรษฐี และรับหญ้า ๘ กำจากอุตตระอาชีวก ปูลาดใต้ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระวิริยาธิกะพุทธเจ้าในคืนนั้น
พระมังคละพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๓ โกฏิ ที่ชัฏสิริวัน สิริวัฒนนคร ทำให้พระภิกษุ ๓ โกฏินั้นสำเร็จเป็นพระอริยบุคล

ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระมังคละพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๒ แสดงธรรมบนดาวดึงส์เทวโลกโปรดพุทธมารดา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่เทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๓ แสดงธรรมแก่พระเจ้าสุนันทะ
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๙๐ โกฏิ

พระมังคละพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
มีคู่อัครสาวกเป็นประธาน
ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ณ อุตตราราม
ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๙๐ โกฏิ
มีพระเจ้าสุนันทะซึ่งออกบวชเป็นประธาน

พระมังคละพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระสุเทวะเถระ และพระธรรมเสนะเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระสีวลาเถรี และพระอโสกาเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระปาลิตะ

พระมังคละพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก มีพระรัศมีแผ่ไปทั่วหมื่นโลกธาตุ พระรัศมีนี้รุ่งเรืองกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดๆ เมื่อพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพานที่พระวิหารอุตตราราม

40



"พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ในพระคัมภีร์ชั้นอรรถกถา"
ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาแสดงย้อนหลังพระนามของพระพุทธเจ้ารวมกัน ถึง ๒๘ พระองค์ ซึ่งมักอ้างในบทสวดหรือในการประกอบพิธีหลายอย่างมีดังนี้
๑. พระตัณหังกร
๒. พระเมธังกร
๓. พระสรณังกร
๔. พระทีปังกร
(รวม ๔ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)
๕. พระโกณฑัญญะ   (เพียงพระองค์เดียวอุบัติในกัปหนึ่ง)
๖. พระสุมังคละ
๗. พระสุมนะ
๘. พระเรวตะ
๙. พระโสภิตะ
(รวม ๔ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)
๑๐. พระอโนมทัสสี
๑๑. พระปทุมะ
๑๒. พระนารทะ
(รวม ๓ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)
๑๓. พระปทุมุตตระ   (เพียงพระองค์เดียวอุบัติในกัปหนึ่ง)
๑๔. พระสุเมธะ
๑๕. พระสุชาตะ
(รวม ๒ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)
๑๖. พระปิยทัสสี
๑๗. พระอัตถทัสสี
๑๘. พระธรรมทัสสี
(รวม ๓ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)
๑๙. พระสิทธัตถะ   (เพียงพระองค์เดียวอุบัติในกัปหนึ่ง)
๒๐. พระติสสะ
๒๑. พระปุสสะ

(รวม 2 พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)
๒๒. พระวิปัสสี   (เพียงพระองค์เดียวอุบัติในกัปหนึ่ง)
๒๓. พระสิขี
๒๔. พระเวสสภู
(รวม 2 พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)
๒๕. พระกกุสันธะ
๒๖. พระโกนาคมนะ
๒๗. พระกัสสปะ
๒๘. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเราทั้งหลาย

(รวม ๔ พระองค์อุบัติแล้วในกัปนี้)
อนึ่ง ในกัปนี้เอง จักอุบัติขึ้นในอนาคตอีกหนึ่งพระองค์ คือ "พระเมตเตยยะ" หรือ "พระศรีอารยเมตไตรย" แต่มักเรียกกันว่า "พระศรีอารย์" ซึ่งจะอุบัติขึ้นหลังจากสิ้นศาสนา พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันแล้ว ในกาลนั้นมนุษย์ มีอายุยืน ๘๐,๐๐๐ ปี
จะเห็นได้ว่าใน ๑๑ กัปที่ผ่านมาไม่มีกัปใดที่มีพระพุทธเจ้าเกิน ๔ พระองค์ แต่ในกัปปัจจุบันนี้ (คือกัปที่ ๑๒ นับจากพระพุทธเจ้าองค์แรก คือ พระตัณหังกร) จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง ๕ พระองค์ รวมทั้งพระศรีอารย์ จึงเรียกว่า "ภัททกัป" หรือ ภัทรกัป" แปลว่า กัปเจริญ

41


"พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ ใกล้กาลปัจจุบัน"
พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ในอดีต ที่ใกล้กาลปัจจุบันที่สุด
และคัมภีร์กล่าวถึงบ่อย ๆ คือ

๑. พระวิปัสสี
๒. พระสิขี
๓. พระเวสสภู
๔. พระกกุสันธะ
๕. พระโกนาคมนะ
๖. พระกัสสปะ
๗. พระโคดม (คือพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)

42


"พระนามของพระพุทธเจ้า"

"พระนามของพระพุทธเจ้า"
พระพุทธเจ้าในที่นี้หมายถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายหรือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนั้นเอง มีคำเรียกกล่าวนามพระพุทธเจ้าของเรามากมาย ซึ่งพอจะนำมาประมวลไว้ได้ ดังต่อไปนี้

๑.พระบรมโพธิสัตว์, พระโพธิสัตว์ หมายถึงท่านผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งกำลังบำเพ็ญบารมี ๑๐ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐาน เมตา อุเบกขา
๒.อังคีรส หมายถึง มีรัศมีแผ่ซ่านจากพระกาย เป็นพระนามแรก เมื่อพราหมณ์ ๘ คน ผู้ทำหน้าที่ถวายพระนามและทำนายลักษณะพระกุมาร กล่าวถึงเมือพินิจจากลักษณะแรกพบเห็น
๓.สิทธัตถกุมาร เป็นพระนามที่พราหมณ์ ๘ คนผู้ทำหน้าที่ถวายพระนามและทำนายลักษณะพระกุมาร ตั้งถวาย "สิทธัตถ" แปลว่า มีความต้องการสำเร็จ หรือสำเร็จตามที่ต้องการ คือสมประสงค์จะต้องการอะไรได้หมด
๔.สิทธัตถะ , เจ้าชายสิทธัตถะ , พระสิทธัตถะ พระนามเดิมของพระพุทธเจ้าก่อนเสด็จออกบรรพชา
๕.พระมหาบุรุษ หมายถึง บุรุษผู้ยิ่งใหญ่เป็นคำใช้เรียกพระพุทธเจ้าเมื่อก่อนตรัสรู้
๖.โคดม , โคตมะ , พระโคดม ,พระโคตมะ , พระสมณโคดม, โคดมพระพุทธเจ้า หมายถึง ชื่อตระกูลของพระพุทธเจ้า มหาชนเรียกพระพุทธเจ้าตามพระโคตรของพระองค์
๗.ตถาคต พระนามอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า เป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกหรือตรัสถึงพระองค์เอง แปลได้ความหมาย ๘ อย่างคือ ๑. พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น ๒. พระผู้เสด็จไปแล้วอย่างนั้น ๓. พระผู้เสด็จมาถึงตถลักษณะ ๔. พระผู้ตรัสรู้ตถธรรมตามที่มันเป็น ๕. พระผู้ทรงเห็นอย่างนั้น ๖. พระผู้ตรัสอย่างนั้น ๗. พรุผู้ทำอย่างนั้น ๘. พระผู้เป็นเจ้า
๘.ตถาคตโพธิสัทธา หมายถึง เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต
๙.ธรรมกาย หมายถึง ผู้มีธรรมในกาย เป็นพระนามอย่างหนึ่งของ พระพุทธเจ้า
๑๐.ธรรมราชา คือพระราชาแห่งธรรม หมายถึงพระพุทธเจ้า
๑๑.ธรรมสวามิศร, ธรรมสามิสร คือผู้เป็นใหญ่โดยฐานเป็นเจ้าของธรรม หมายถึง พระพุทธเจ้า
๑๒.ธรรมสามี คือ ผู้เป็นเจ้าของธรรม เป็นคำเรียกพระพุทธเจ้า
๑๓.ธรรมิศราธิบดี คือ ผู้เป็นอธิปดีโดยฐานเป็นใหญ่ในธรรมเป็นคำกวีหมายถึงพระพุทธเจ้า
๑๔.บรมศาสดา, พระบรมศาสดา คือ ศาสดาที่ยอดเยี่ยม พระผู้เป็นครูสูงสุด พระบรมครู หมายถึง พระพุทธเจ้า
๑๕.พระผู้มีพระภาคเจ้า หมายถึง พระนามของพระพุทธเจ้า
๑๖. พระพุทธเจ้า คือ พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม, ท่านผู้รูดีรู้ชอบด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ประพฤติชอบด้วยกาบ วาจา ใจ
๑๗.พระศาสดา หมายถึงผู้สอนเป็นพระนามเรียกพระพุทธเจ้า
๑๘. พระสมณโคดม เป็นคำที่คนภายนอกนิยมใช้เมื่อกล่าวถึงพระพุทธเจ้า
๑๙.พระสัมพุทธเจ้า, พระสัมมาสัมพุทธเจ้า,พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า,สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระผู้ตรัสรู้เอง หมายถึงพระพุทธเจ้า
๒๐. ภควา คือ พระนามของพระพุทธเจ้า แปลว่า ทรงเป็นผู้มีโชค คือหวังพระโพธิญาณก็ได้สมหวัง ประกาศพระศาสนาก็ชักจูงผู้คนให้ได้บรรลุธรรมสมปรารถนา มีผู้คิดร้ายก็ไม่อาจทำร้ายได้ คำแปลอีกนัยหนึ่งว่า ทรงเป็นผู้จำแนกแจกธรรม
๒๑. มหาสมณะ พระนามหนึ่งสำหรับเรียกสมเด็จพระสัมพุทธเจ้า
๒๒. โลกนาถ, พระโลกนาถ เป็นที่พึ่งแห่งโลก หมายถึงพระพุทธเจ้า
๒๓.สยัมภู,พระสัมภู พระผู้เป็นเอง คือตรัสรู้ได้เองโดยไม่มีใครสั่งสอน หมายถึง พระพุทธเจ้า
๒๔.สัพพัญญู, พระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า หมายถึง ผู้รู้หมด,ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง คือ พระนามของพระพุทธเจ้า
๒๕.พระสุคต,พระสุคโต หมายถึง ผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า

43


สรุปพระพุทธเจ้า
ที่พระโพธิสัตว์อดิตชาติของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
ทรงพบและได้สร้างบารมี โดยละเอียดตั้งแต่ก่อนได้รับพุทธพยากรณ์
และหลังได้รับพุทธพยากรณ์

สรุปจากหนังสือ สัมภาระบารมี ของท่าน นาคะประทีป และ ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพุทธเจ้า ของ พระเทพมุนี (วิลาศ ญาณวโร)

อสงไขย พระพุทธเจ้าอุบัติ (ชื่อพระโพธิสัตว์ในอดิตของพุทธเจ้าปัจจุบัน)

*** บารมีตอนต้น ตั้งความปารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้ในใจ 7 อสงไขย
องค์หญิงสุมิตตาเทวี(หรือ พระนางวิสุทธาเทวี ในหนังสือ พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นผู้หญิง " ของ อ. บารมี) ชาติก่อนเริ่มต้นสร้างบารมีอย่างแท้จริง 100,000 มหากัป

เริ่มต้น 0 พระปุราณทีปังกรพุทธเจ้า (องค์หญิงสุมิตตาเทวี)(หรือ พระนางวิสุทธาเทวี)

เริ่ม พระพรหมเทวพุทธเจ้า (พระราชาอรตีเทวราช)
นันทะอสงไขย 1 พระพุทธเจ้า 5,000 พระองค์
สุนันทะอสงไขย 2 พระพุทธเจ้า 9,000 พระองค์
ปัฐวีอสงไขย 3 พระพุทธเจ้า 10,000 พระองค์
มัณทะอสงไขย 4 พระพุทธเจ้า 11,000 พระองค์
ธรณีอสงไขย 5 พระพุทธเจ้า 20,000 พระองค์
สาคระอสงไขย 6 พระพุทธเจ้า 30,000 พระองค์
ปุณทริกะอสงไขย 7 พระพุทธเจ้า 40,000 พระองค์
รวมได้พบกับพระพุทธเจ้าใน 7 อสงไขย 125,000 พระองค์

*** บารมีตอนกลาง กล่าววาจาปารถนาเป็นพระพุทธเจ้า 9 อสงไขย
เริ่มต้น พระปุราณศรีศากยมุนีชินสีห์พุทธเจ้า(พระเจ้าสาครจักรพรรดิ์)
สัพพถัททะอสงไขย 8 พระพุทธเจ้า 50,000 พระองค์
สัพพผุลละอสงไขย 9 พระพุทธเจ้า 60,000 พระองค์
สัพพรตนะอสงไขย 10 พระพุทธเจ้า 70,000 พระองค์
อสุภขันธะอสงไขย 11 พระพุทธเจ้า 80,000 พระองค์
มานีภัททะอสงไขย 12 พระพุทธเจ้า 90,000 พระองค์
ปทุมะอสงไขย 13 พระพุทธเจ้า 20,000 พระองค์
อุสภะอสงไขย 14 พระพุทธเจ้า 10,000 พระองค์
ขันธคมะอสงไขย 15 พระพุทธเจ้า 5,000 พระองค์
สัพพผาละอสงไขย 16 พระพุทธเจ้า 2,000 พระองค์
รวมได้พบพระพุทธเจ้าใน 9 อสงไขย 387,000 พระองค์

*** บารมีตอนปลาย ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า 4 อสงไขย 100,000 มหากัปล์
กัปแรก - พระตัณหังกรพุทธเจ้า ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์
สารมัณฑกัป - พระเมธังกรพุทธเจ้า ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์
พุทธเจ้า 4 องค์ - พระสรนังกรพุทธเจ้า ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์

** ได้รับพยากรณ์ - พระทีปังกรพุทธเจ้า (สุเมธดาบส) พุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก
อายุขัยสมัยนั้นประมาน 100,000 ปี ศาสนาอยู่ในโลก ได้นานปี
รวมเวลาจาก พระนางสุมิตตาถึงสุเมธดาบส 16 อสงไขย 1 แสนกัป

เสละอสงไขย - เป็นสูญกัปไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 1 อสงไขย
สารกัปมี 1องค์ - พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า (วิชิตาวีจักรพรรดิ ออกบวชมีอภิญญา)
อายุขัย 100,000 พรรษา
ภาสะอสงไขย - ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 1 อสงไขย
ครบ 2 อสงไขย - พระสุมังคละพุทธเจ้า ( เป็นสุรุจิพราหมณ์โพธิสัตว์บวชมีอภิญ)
อายุขัย 90,000 พรรษา
สารมัณฑกับ - พระสุมนะพุทธเจ้า (เป็นพญานาคอดุลยวาสุกรีโพธิสัตว์)
อายุขัย 90,000 พรรษา
พุทธเจ้า 4 องค์ - พระเรวตะพุทธเจ้า (เป็นพราหมณ์ อติเทวมาณพโพธิสัตว์)
อายุขัย 60,000 พรรษา (อาจเป็นปัญญาพุทธเจ้า)
- พระโสภิตะพุทธเจ้า (เป็นพราหมณ์ อชิตมาณพโพธิสัตว์)
อายุขัย 90,000 พรรษา
ชยอสงไขย - ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 1 อสงไขย
วรกัป - พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า (เป็นพญายักขเสนาบดีโพธิสัตว์)
อายุไขย 100,000 พรรษา
พุทธเจ้า 3 องค์ - พระปทุมะพุทธเจ้า (เป็นพญาไกรสรราชสี)
อายุไขย 100,000 พรรษา
- พระนารทะพุทธเจ้า (เป็นมหาฤาษีโพธิสัตว์)
อายุไขย 90,000 รุจิรอสงไขย - ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 1 อสงไขย

** บารมีช่วง เศษแสนมหากัปที่เหลือ **
มัณฑกัป แต่มี - พระปทุมมุตระพุทธเจ้า (เป็นนายบ้านชื่อ ชฏิลบวชเป็นดาบส)
(พระพุทธเจ้า 1 พระองค์) พระอสิติสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้รับพยากรณ์จากพระปทุม มุตระมากที่สุด ดังมีในพระไตรปิฏก อายุขัย
100,000 พรรษา

30000 มหากัป - เป็นสูญกัป ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น
มัณฑกัป - พระสุเมธพุทธเจ้า (เป็น อุตตรมานพ ได้ออกบวชเป็นภิกษุ)
อายุขัย 90,000 พรรษา
พุทธเจ้า 2 องค์ - พระสุชาตะพุทธเจ้า (เป็น บรมจักรพรรดิ ได้ออกบวช)
อายุขัย 90,000 พรรษา
60000 มหากัป - เป็นสูญกัป ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น
วรกัป - พระปิยทัสสีพุทธเจ้า ( เป็นกัสสปะมานพ)
อายุขัย 90,000 พรรษา
พุทธเจ้า 3 องต์ - พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า (เป็นสุสิมะดาบส)
อายุไขย 100,000 พรรษา
- พระธรรมทัสสีพุทธเจ้า (เป็นพระอินทร์)
อายุไขย 100,000 พรรษา
9904 มหากัป - เป็นสูญกัป
สารกัปมี 1องค์ - พระสิทธัตถะพุทธเจ้า (เป็นมังคะฤาษี)
อายุไขย 100,000 พรรษา
2 มหากัป - เป็นสูญกัป
มัณฑกัป - พระดิสสะพุทธเจ้า (เป็นพระเจ้าสุชาตะมหาราชดาบส)
อายุไขย 100,000 พรรษา
พุทธเจ้า 2 องค์ - พระมหาปุสสะพุทธเจ้า (เป็นพระเจ้าวิชิตกษัตริย์ได้ออกบวช)
อายุไขย 90,000 พรรษา
สารกัปมี 1องค์ - พระวัปัสสีพุทธเจ้า (เป็นภุชงคนาคราช)
อายุไขย 80,000 พรรษา
60 มหากัป - เป็นสูญกัป
มัณฑกัป - พระสิขีพุทธเจ้า (เป็นพระเจ้าอรินทมะราชาธิราช)
อายุไขย 70,000 พรรษา
พุทธเจ้า 2 องค์ - พระเวสสภูพุทธเจ้า (เป็นพระเจ้าสุทัสสนะมหาราชได้ออกบวช)
อายุไขย 60,000 พรรษา (เป็นศรัทธาพุทธเจ้า)
31 มาหากัป - เป็นสูญกัป ภัทรกัป(ปัจจุบัน) - พระกกุสันธะพุทธเจ้า(เป็นพระเจ้าเขมะนราธิราชได้ออกบวช)
อายุไขยมนุษย์สมัยนั้น 40,000 ปี ศรัทธาพุทธเจ้า
พุทธเจ้า 5 องค์ - พระโกนาคมมะพุทธเจ้า(เป็นพระเจ้าบรรพตบรมขัตติยาภิกษุ)
อายุไขยมนุษย์สมัยนั้น 30,000 ปี ศรัทธาพุทธเจ้า
- พระกัสสปะพุทธเจ้า (เป็นโซติปาลมาณพได้ออกบรรพชา)
อายุไขยมนุษย์สมัยนั้น 20,000 ปี ศรัทธาพุทธเจ้า
- พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า (เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
อายุไขยมนุษย์ 100 ปี ศาสนาตั้งอยู่ในโลก 5,000 ปี
- พระศรีอริยเมตไตรพุทธเจ้า(เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตในกัปนี้)
อายุไขยมนุษย์สมัยนั้น 80,000 ปี วิริยะพุทธเจ้า
ถ้ากล่าวถึงบารมีตอนปลาย 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัปนั้นพระโพธิสัตว์พบพระพุทธเจ้าเพียง 27 พระองค์เท่านั้น น้อยกว่าบารมีตอนต้นและตอนกลางมาก ที่พระโพธิสัตว์พบพระพุทธเจ้าถึง ห้าแสนหนึ่งหมื่นสองพันพระองค์ (512,003) สามารถแยกบารมีตอนปลายได้ 2 ช่วงที่ได้พบพระพุทธเจ้า
1 ในระยะเวลา 4 อสงไขย เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ ได้ทรงพบพระพุทธเจ้า 12 พระองค์
2. ในระยะเวลาหนึ่งแสนมหากัปนั้น ได้ทรงพบพระพุทธเจ้า 15 พระองค์
หมายเหตุ หลังสิ้นสมัยของพระศรีอริยเมตไตรพุทธเจ้าไปแล้ว อาจจะว่างจากพระพุทธเจ้าอีกนานเพราะเมื่อได้มีพระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้น ติดต่อกัน หลังจากนั้นไปอีกก็จะว่างจากการบังเกิดพระพุทธเจ้าไปอีกนานแสนนาน อ้างอิงได้จากช่วง 4 อสงไขยกับ เศษแสนมหากับที่ผ่านมา เมื่อมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในกัปใดติดต่อกัน 3 หรือ 4 พระองค์ หลังจากนั้นจะเป็นสูญกัปไปอีกนานแสนนาน ซึ่งในกัปนี้มีพระพุทธเจ้าถึง 5 พระองค์ และในช่วง 100 มหากัปที่ผ่านมาถึงกัปปัจจุบัน มีพระพูทธเจ้า ถึง 11 พระองค์ ร่วมทั้งพระศรี อริยะเมตตรัยพุทธเจ้า ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมากที่สุด ของระยะเวลา 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัปที่ผ่านมา และจากการวิเคราะห์ หลังจากสิ้นสมัยพระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า(ปัจจุบัน)ไปแล้ว ซึ่งเป็นประเภทปัญญาพุทธเจ้า แล้วจะบังเกิดปัญญา พุทธะอีกสักพระองค์ในอนาคตเบื่องหน้า ต้องรอเวลาอย่างน้อยที่สุดหนึ่งอสงขัยกัป และต้องเป็นพระโพธิสัตว์ประเภทปัญญาที่ได้รับ พุทธพยากรณ์ครังแรก ในสมัยพระโกณฑัญญะพุทธเจ้าเท่านั้น ดังนั้นหลังจากปัจจุบันนี้จนถึงหนึ่งอสงขัยกัปเบื้องหน้า ก็จะมีแต่พระพุทธเจ้าประเภทศรัทธาและวิริยะพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเท่านั้น ในอสงขัยนี้เพิ่งเริ่มต้นแสนมหากัปก็บังเกิดมีพระพุทธเจ้า เกิดขึ้น 16 พระองค์แล้ว ดังนั้นในอสงขัยนี้อาจจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเป็นร้อยเป็นพันพระองค์ก็คงเป็นไปได้ เพราะช่วง 4 อสงขัยที่ผ่านมามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นน้อยมากเพียง 15 (รวม พระ ตัณหังกร เมธังกร สรนังกร พุทธเจ้า) พระองค์เท่านั้น ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อเทียบระยะเวลาแล้วหนึ่ง อสงขัยเท่ากับจำนวนกัป ที่มากมายจนนับไม่ได้ แต่บังเกิดมีพระพุทธเจ้าเพียงหนึ่งหรือเป็นหมื่นพระองค์เท่านั้น ดังนั้นการที่จะบังเกิดมีพระพุทธเจ้าสักพระองค์นั้น เป็นสิ่งที่ยากแสนยากเป็นหนักหนา แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีพุทธเจ้าอีกเลย เพราะในเมื่อธรรมชาตินั้นมีวัฏฏสงสารอันเป็นทุกข์ ก็ย่อมมีผู้ที่เพียร ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์นั้นจนได้ ก็คือพระอริยะเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

44
ความแตกต่างของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้


1.พระกกุสันธพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,027 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)

2. พระโกนาคมพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็น
ครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,028 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา
พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์

3. พระกัสสปพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,029 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา
พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์

4. พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก
เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา
พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี
พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ

5. พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,032 พระองค์
เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา
พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้

45


เหตุ 8 ประการของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกัน
ของ "พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ ที่พระโคดมพุทธเจ้าทรงพบหลังรับพุทธพยากรณ์นับแต่พระพุทธเจ้าทีปังกร"
"พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ ที่พระโคดมพุทธเจ้าทรงพบ"
พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์นี้ ๒๔ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้าที่ระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้ทรงพบและพระโคดมพุทธเจ้าทรงได้รับพยากรณ์ว่า จะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า นิยมนับรวมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเข้ารวมด้วยเรียกว่า "พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์" นับแต่พระองค์แรกจนถึงพระโคดมพุทธเจ้า มีดังนี้

๑. พระทีปังกร
๒. พระโกณฑัญญะ
๓. พระสุมัคละ
๔. พระสุมนะ
๕. พระเรวตะ
๖. พระโสภิตะ
๗. พระอโนมทัสสี
๘. พระปทุมะ
๙. พระนารทะ
๑๐. พระปทุมุตตระ
๑๑. พระสุเมธะ
๑๒. พระสุชาตะ
๑๓. พระปิยทัสสี
๑๔. พระอัตถทัสสี
๑๕. พระธรรมทัสสี
๑๖. พระสิทธัตถะ
๑๗. พระติสสะ
๑๘. พระปุสสะ
๑๙. พระวิปัสสี
๒๐. พระสิขี
๒๑. พระเวสสภู
๒๒. พระกกุสันธะ
๒๓. พระโกนาคมนะ
๒๔. พระกัสสปะ
๒๕. พระโคตมะ (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)



1. อายุต่างแห่งพระชนมายุของพระพุทธเจ้า"
พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ ที่พระโคดมพุทธเจ้าทรงพบ"
จากมากไปน้อย

100,000 พรรษา มี พระทีปักร พระโกณฑัญญะ
พระอโนมทัสสี พระปทุม พระปทุมุตตร
พระอัตถทัสสี พระธรรมทัสสี พระสิทธัตถ พระติสส

90,000 พรรษา มี พระสุมังค พระสุมน พระโสภิต
พระนารท พระสุเมธ พระสุชาต พระปิยทัสสี พระปุสส

80,000 พรรษา มี พระวิปัสสี

70,000 พรรษา มี พระสิขี

60,000 พรรษา มี พระเรวต พระเวสสภู

40,000 พรรษา มี พระกกุสันธ

30,000 พรรษา มี พระโกนาคม

20,000 พรรษา มี พระกัสสป

80 พรรษา มี พระโคดม (พระศรีศากยมุนีโคดม องค์ปัจจุบัน ส่วนพระศรีอารย เมตตรัยที่จะบังเกิดในอนาคตเบื้องหน้ามี 80,000 พรรษา)


2. ความต่างแห่งพระสรีระของพระพุทธเจ้า

พระสรีระสูง 80 ศอก มี พระทีปังกร พระเรวต พระปียทัสสี
พระอัตถทัสี พระธัมทัสสี พระวิปัสสี

พระสรีระสูง 60 ศอก มี พระสิทธัตถะ พระเวสสภู พระดิสส

พระสรีระสูง 40 ศอก มี พระกกุสันธ

พระสรีระสูง 37 ศอก มี พระสิขี

พระสรีระสูง 30 ศอก มี พระโกนาคม

พระสรีระสูง 20 ศอก มี พระกัสสป

พระสรีระสูง 4 ศอก มี พระโคดม
(พระศรีศากยมุนีโคดมองค์ปัจจุบัน)

หมายเหตุ เทียบกับศอกของมนุษย์ปัจจุบัน 1 ศอก = 50 เซนติเมตร

3.ความต่างแห่ง เวลาบำเพ็ญทุกกิริยา
ในพระชาติสุดท้าย
ทีได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

ใช้เวลา 6 ปี คือ พระโคดม(พระศรีศากยมุนีโคดมองค์ปัจจุบัน)

ใช้เวลา 10 เดือน คือ พระทีปังกร พระโกณฑัญญะ
พระสุมน พระอโนมทัสสี พระสุชาต พระสิทธถ พระกกุสันธ

ใช้เวลา 8 เดือน คือ พระสุเมธ พระสุมังคล พระติสส พระสิขี

ใช้เวลา 7 เดือน คือ พระเรวต

ใช้เวลา 4 เดือน คือ พระโสภิต

ใช้เวลา 1 เดือน คือ พระปุสส พระปิยทัสสี พระโกนาคม พระเวสสภู

ใช้เวลา ครึ่งเดือน คือ พระปทุม พระอัตถทัสสี พระวิปัสสี

ใช้เวลา 7 วัน คือ พระปทุมุตตร พระนารท พระธัมมทัสสี พระกัสสป

หมายเหตุ วันเดือนปีในที่นี้นั้นหมายถึงวันเดือนปี ของยุคนั้นๆ

4. ความต่างแห่งพุทธรังสี
(เทียบกับมนุษย์ปัจจุบัน หน่วยวัด 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร)

พุทธรังสีสร้านไปไกล 1,000 โยชน์ คือ พระสุมังคล
คำนวณได้ รัศมี 16,000 กม.
คลุมพื้นที่ 3.1428*(16,000)**2 = 804,556,800 ตรกม.

ถ้าพระภิกษุมีความสูง 80 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง
30 ศอก หรือ 15 ม. คือ 1 รูปต่อ 3.1428*15*15 = 707.13

ตรม.ดังนั้นรังสีของพระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่
นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ
804,556,800*1000/707.13 = 1,137,777,777 รูป

----------

พุทธรังสีสร้านไปไกล 12 โยชน์ คือ พระปทุมุตตร

คำนวณได้ รัศมี 192 กม.
คลุมพื้นที่ 3.1428*(192)**2 = 115,856.18 ตรกม

----------

พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ คือ พระกกุสันธ
(สรีระสูง 40 ศอก)

คำนวณได้ รัศมี 160 กม.
คลุมพื้นที่ 3.1428*(160)**2 = 80,455.68 ตรกม.

ถ้าพระภิกษุมีความสูง 40 ศอก
จะได้รัศมีการนั่ง 18 ศอก หรือ 9 ม.
คือ 1 รูปต่อ 3.1428*9*9 = 254.57 ตรม.

ดังนั้นรังสีของพระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่
นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ
ถึง 80,455.68*1000/254.57 = 316,046 รูป

-----------

พุทธรังสีสร้านไปไกล 6 โยชน์ กับ 400 เส้น คือ พระวิปัสสี
คำนวณได้ รัศมี 112 กม.
คลุมพื้นที่ 3.1428*(112)**2 = 39,423.28 ตรกม.

ถ้าพระภิกษุมีความสูง 80 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 30 ศอก
หรือ 15 ม.คือ 1 รูปต่อ
3.1428*15*15 = 707.13 ตรม.

ดังนั้นรังสีของ พระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่
นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ
ถึง 39,423.28*1000/707.13 = 55,751 รูป

----------

พุทธรังสีสร้านไปไกล 3 โยชน์ คือ พระสิขี

คำนวณได้ รัศมี 48 กม.
คลุมพื้นที่ 3.1428*(48)**2 = 7,241 ตรกม.

ถ้าพระภิกษุมีความสูง 37 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 16 ศอก
หรือ 8 ม.คือ 1 รูปต่อ 3.1428*8*8 = 201.14 ตรม.

ดังนั้นรังสีของพระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่
นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ
ถึง 7241*1000/201.14 = 36,000 รูป

-----------

พุทธรังสีสร้านไปไกล 1 วา คือ พระศรีศากยมุนีโคดม

คำนวณได้ รัศมี 2 ม.
คลุมพื้นที่ 3.1428*(2)**2 = 12.57 ตรม.

----------
พุทธรังสีสร้านไปไกล สุดแต่พระองค์ประสงค์
คือพระพุทธเจ้าที่เหลือ

5.ความต่างแห่งตระกุล

พระกกุสันธ พระโกนาคม
พระกัปสสป เกิดในตระกุลพราหมณ์มหาศาล

พระพุทธเจ้าที่เหลือ ในช่วง 4 อสงไขยเศษแสนมหากัป
ที่ผ่านมา เกิดในตระกุลกษัตริย์

6. ความต่างแห่งยานออกมหาภิเนษกรม

ยานมีความต่างกัน 5 อย่าง

1.ทรงคชยาน(ช้าง)
2.ทรงรถยาน
3.ทรงอัสวยาน(ม้า)
4.ทรงสีวิกามาศราชยาน
5.ทรงมณเฑียรมหาปราสาท

ในบางประการยานที่ทรงออกมหาภิเนษกรม
นั้นขึ้นอยู่กับยุคสมัยนั้นๆด้วย

7. ความต่างแห่งไม้ที่ตรัสรู้

8. ความต่างแห่งอปราซิตบัลลังก์

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 17