เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Heroics

หน้า: [1]
1
หลวงตาม้าท่านสอนเอาไว้ว่า
"พระโพธิสัตว์ต้องรักทุกคน คล้ายๆกับเอ็นดูเขานั่นแหละ"

"ถ้า(บารมี)ไม่มี ก็ทำมันให้มันมีชาตินี้ไปเลย"

หลวงตาม้าท่านสอนว่า
" คนไม่มีครูบาอาจารย์ ก็เหมือนลูกไม่มีพ่อ "
ลูกไม่มีพ่อก็ย่อมต้องเดินออกนอกเส้นทางที่ถูกต้อง เดินเป๋ไปเป๋มา
หากท่านโชคดีได้เกิดมาร่วมยุคเดียวกับครูบาอาจารย์ ก็อย่ามัวลังเลอีกเลย
หมั่นเข้าหาครูบาอาจารย์ที่ท่านเคารพศรัทธา ไต่ถามแนวทางในการสร้างบารมี
แล้วรีบพาตนและผู้อื่นให้พ้นจากกองทุกข์เสียเถิด
อย่ามัวประมาทในวัฏฏสงสารเลย...

อันสิ่งที่หลวงตาม้าท่านสอนนั้นมีอีกมาก หากจะให้นำมาลงทั้งหมดก็อาจจะเป็นไปไม่ได้
ขอให้ท่านผู้มีความปรารถนาใหญ่เข้าไปกราบเรียนถามจากท่านหลวงตาด้วยตนเองเถิด

ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ผู้ใดเป็นพระโพธิสัตว์ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาสาธุบุญกับท่านผู้นั้นด้วยเทอญ
ขอให้เป็นกำลังแก่พระพุทธศาสนา ขอให้ทุกท่านได้ช่วยเหลือทั้งสามโลกด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

**หมายเหตุ
เนื่องจากเคยมีคนใช้ชื่อกระทู้ว่า"หลวงตาม้าสอนพุทธภูมิ"ไปแล้ว
กระผมจึงได้ใช้ชื่อว่า"หลวงตาม้าสอนพุทธภูมิ(2)"เพื่อความไม่สับสนและง่ายต่อการค้นหานะครับ

คัดลอกจากคุณสัจจะบารมี เวปพลังจิต
http://board.palungjit.com/f13/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-2-a-450197.html#post7492185

2
วิธีปฏิบัติกรรมฐานตามแนวทางหลวงพ่อ(ดู่)หลวงตาม้า

http://buddhapoom.com/index.php?topic=219.msg765;topicseen#msg765

ใครที่ยังไม่รู้จะปฏิบัติกรรมฐานกองไหน ก็ลองคลิกเข้าไปอ่านดู หากถูกจริตก็ปฏิบัติไปเถิดขอรับ
ส่วนใครที่ทำกรรมฐานที่ตนชอบใจอยู่แล้ว ก็ขอเชิญท่านทำต่อไปเถิด อนุโมทนาสาธุบุญด้วยขอรับ

วิธีทำอารมณ์สบาย
ท่านสอนว่าการสวดมนต์ไหว้พระเป็นพื้นฐานสำคัญ หมั่นสวดทุกวันอย่าได้ขาด
หากขึ้นชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติ อย่างน้อยทำวันละนิดก็ยังดีกว่าไม่ทำเลย
นักปฏิบัติธรรมจริงๆเขาเริ่มทำ(ภาวนา)ตั้งแต่ตื่นนอนยันหลับ

หากอยากใจสบาย ให้หมั่นแผ่เมตตาบ่อยๆ ทำตลอดเวลาได้ยิ่งดี
ในตอนแรกให้แผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน ให้รักตัวเองให้มากๆก่อน สิ่งไหนไม่ดีอย่าไปทำ
เสร็จแล้วค่อยเริ่มแผ่ไปให้คนที่เรารัก พอคล่องก็ค่อยเริ่มแผ่ไปให้คนที่เราเกลียด
ทำไปทำมาจะแผ่ได้คล่องทั้งสามโลกธาตุ จะกลายเป็นเมตตาไม่มีประมาณ ไปที่ไหนก็จะมีแต่คนรัก
หากทำไม่หยุดจะคล่องไปเองทั้งกรุณา มุทิตาและอุเบกขาครบองค์แห่งพรหมวิหาร4
ตรงกับที่หลวงตาม้าท่านสอนเอาไว้ว่า รักทุกคน ไว้ใจบางคน ไม่เกลียดใครเลยสักคน

เรื่องเล็กๆน้อยๆบางอย่างอย่าเก็บมาใส่ใจ คิดเสียว่ามันเป็นธรรมดาของโลก
เราเกิดมาในโลกก็ต้องเจอแบบนี้ โดนด่าว่านินทา โดนดูถูกรังแก โดนคดโกงเอารัดเอาเปรียบ
เป็นเรื่องํธรรมดาของโลก ใครทำผิดก็ว่ากันไปตามหน้าที่กฏหมายบ้านเมือง แต่ใจเราอย่าไปขุ่นมัว
เอาเวลามาสวดมนต์ทำกรรมฐานในใจจะดีกว่า แล้วใจของท่านจะบันทึกแต่บุญ

หลวงตาม้าเคยบอกเอาไว้ว่า
"ถ้าเราทำอารมณ์ดีๆ(หมายถึงใจสบาย ใจมีสมาธิ) ของเก่าที่เราเคยได้ ไม่ว่าจะเป็นสมาธิหรือปัญญา จะมาหมดแหละ"

3
"ขอให้แนบแน่นในพระโพธิญาณ"คือคำอธิษฐานที่หลวงตาม้าสอนข้าพเจ้า

หลวงตาม้าท่านสอนข้าพเจ้าในเรื่องของการสร้างบารมีและเรื่องของพระโพธิสัตว์อยู่หลายอย่าง
ข้าพเจ้าจะขอนำมาร้อยเรียงเพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน ณ ทีนี้นะขอรับ

ใจความมีอยู่ว่า คนที่สนใจจดจ่ออยู่กับพระโพธิญาณจริงๆ อยากเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ จะมองเรื่องที่มากระทบตัวเองเป็นเรื่องเล็กไปเลย
ไม่ว่าจะเรื่องรักๆใคร่ๆ เรื่องถูกบ่นถูกด่า เรื่องวุ่นวายในโลกใบนี้จะมองเป็นเรื่องเล็กไปเลย เพราะเรามองไปถึงสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นคือพระโพธิญาณ
ตั้งหน้าตั้งตาจะสร้างบารมีตามกำลัง ตามความสามารถและความเหมาะสมในขณะนั้นอยู่อย่างเดียว

ท่านสอนได้ใจความว่า "พุทธภูมิจะทำแต่เรื่องใหญ่ๆ แต่ต้องทำจากเล็กไปหาใหญ่" ข้าพเจ้ามาครุ่นคิดดู
ก็พิจารณาได้ว่าคนที่ประกาศตัวว่าเราเองปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า จะไปช่วยสัตว์ทั้งสามโลก แต่ดันติดพันอยู่กับเรื่องรักๆใคร่ๆ
หรือถูกความทุกข์ทางโลกเข้าครอบงำ โดยไม่สนใจจะสร้างบารมีเลยแม้แต่น้อย มันสมควรแล้วหรือ? ทั้งๆที่เรื่องพวกนั้นมันเล็กนิดเดียว
เปรียบเสมือนท่านตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะต้องไปเป็นหัวหน้าคน แต่ท่านไม่ฝึกฝนให้ชำนาญในทุกอย่าง ท่านดันฝึกฝนทักษะเพียงนิดๆหน่อย
ท่านเอาแต่เกียจคร้านไปวันๆ ท่านจะได้เป็นหัวหน้าคนหรือ? สมมติว่าท่านตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะต้องเดินทางจากเชียงใหม่ไปให้ถึงกรุงเทพ
แต่ท่านใช้วิธีเดินเท้าเอา ไม่หารถ ไม่หาเครื่องบิน แล้วเมื่อไหร่ท่านจะถึงกรุงเทพ?

ท่านสอนเอาไว้ว่า "สิ่งไหนที่ยังมีมนุษย์ทำได้ แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ของยาก"
ผมจึงถามท่านต่อไปว่า แม้กระทั่งการเป็นพระพุทธเจ้าหรือครับ?
ท่านตอบว่า พระพุทธเจ้าก็มาจากมนุษย์เนี่ยแหละ

บางคนเข้าใจว่าการสร้างบารมีคือการที่ต้องมีเงินเยอะๆเอาไปทำบุญ จริงๆแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป
ท่านสอนว่านั่นมันเป็นเรื่องของทานบารมี จริงๆแล้วบารมีทั้งหมดมีตั้งสิบอย่าง ได้แก่ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ
ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา

กระผมจะขอยกตัวอย่างให้ท่านได้อ่านกัน พระโพธิสัตว์บางองค์ท่านไม่ได้เกิดมาเป็นคนรวย แต่ท่านก็ยังสามารถสร้างบารมีได้
โดยการออกบวชตลอดชีวิต(ได้เนกขัมมบารมี)พอบวชแล้วก็ต้องฝึกฝนตบะ รักษาศีล ฝึกสมาธิใช่ไหมครับ?
(ได้ศีล ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา)ทีนี้บวชไปนานหน่อย เริ่มมีกำลัง พอรวมกำลังจิตอธิษฐานถึง
ผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันเมื่อไหร่ เขามากันเต็มเลย มาช่วยกันสร้างวัดบ้าง สร้างพระบ้าง เยอะแยะ(ได้ทานบารมี)เสร็จแล้วก็ตายไป
จบไปหนึ่งชาติ แล้วค่อยเกิดมาสร้างใหม่ นี่เป็นตัวอย่างนะขอรับ

ท่านสอนให้ดูสภาพสังคม ดูกำลังของตัวเราเอง ดูว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้างเราต้องรู้จักศึกษาลีลาของพระโพธิสัตว์ในอดีต
ขนาดเกิดเป็นสัตว์ท่านยังหาทางสร้างบารมีได้เลย

หลวงตาท่านกล่าวเอาไว้ได้ใจความว่า

"พระโพธิสัตว์เนี่ย เป็นตัวทำให้บ้านเมืองปกตินะ"

"คนที่ได้พุทธทำนายแล้วเนี่ย เขาไม่สนใจหรอกว่าได้หรือยัง เขาคิดตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตว่าจะทำยังไงกับสัตว์โลกทั้งหลาย"

หลวงตาม้าท่านสอนได้ใจความอีกว่า
"พระโพธิสัตว์เนี่ย ถ้าจิตไม่ขึ้นพรหม จะสร้างบารมียาก"(จิตเป็นพรหมหมายถึงจิตสบาย จิตมีพรหมวิหาร4)

"อยาก(สร้างบารมี)ไวๆไหม? ทำอารมณ์ดีๆซิ"

ท่านหลวงตาสอนเรื่องการบันทึกบุญ ท่านสอนให้ทำอารมณ์สบายๆ จิตอยู่กับบุญอยู่เสมอ ใครที่ทำกรรมฐานกองใด
ก็ให้ใจจับอยู่ที่กรรมฐานกองนั้นเอาไว้ รักษาจิตรักษาใจให้เป็นบุญอยู่เสมอ ท่านจะได้บุญทุกลมหายใจเข้าออก
วันหนึ่งมีอยู่24ชั่วโมง ถ้าท่านรักษาอารมณ์ใจไว้ได้ทั้งวัน ท่านจะได้กำไรขนาดไหนลองคิดดู

ท่านเคยสอนเอาไว้ได้ใจความว่า คนเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเหมือนกัน ยังไม่เหมือนกันเลย
คนหนึ่งขายดี อีกคนหนึ่งขายไม่ดี การสร้างบารมีหรือการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน
แม้คุณจะทำกรรมฐานกองเดียวกัน แต่คนหนึ่งอารมณ์ดีสม่ำเสมอ ส่วนอีกคนทำไปก็เครียดไป
วิตกกังวลมั่ง กลัวนู้นห่วงนี่บ้าง คนที่อารมณ์ดีสม่ำเสมอย่อมไปได้ไวกว่าอยู่แล้ว
เพราะบุญเกิดทุกลมหายใจเข้าออก ส่วนคนที่อารมณ์ไม่ดีบ้างไม่ดีบ้าง บุญก็เข้าบ้าง ไม่เข้าบ้าง
อย่าลืมว่าหากจิตขุ่นมัวหรือเป็นอกุศล บุญก็ไม่เกิด ต่อให้ทำกรรมฐานอีก10ปี
แต่ถ้าไม่รู้จักรักษาอารมณ์ให้ดี จะให้มันก้าวหน้าได้อย่างไร?

4


หลวงตาม้าสอนหน่อพุทธภูมิ(2)

กระผมขอน้อมนอบและมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระบรมมหาศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
พระปัจเจก พระโพธิสัตว์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งมวล ด้วยความที่เคยได้ยินได้ฟังคำสอนจากท่านหลวงตา(ม้า)วรงคต วิริยธโรมาบ้าง
อาศัยเพียงเจตนาบริสุทธิ์อยากจะนำมาเผยแพร่ให้ญาติธรรมทั้งหลายได้อ่านกันเพื่อเป็นประโยชน์แก่หน่อพุทธภูมิทั้งหลาย
รวมทั้งเหล่าผู้ปฏิบัติธรรมที่สนใจในเรื่องการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์

กระผมขอกราบน้อมนำคำสั่งสอนของหลวงตา(ม้า)วรงคต มาสถิตย์ไว้ ณ ที่ตรงนี้ด้วยเทอญ.....

บทเกริ่นนำ
**หากผู้ใดยังไม่มีความเข้าใจเรื่องพระโพธิสัตว์ พระนิพพาน จุดหมายปลายทางในพระพุทธศาสนาก็ขอให้อ่านตรงนี้ก่อน
ส่วนใครที่มีความเข้าใจอยู่แล้ว เห็นว่าเป็นการเสียเวลา ก็ขอให้ข้ามไปได้เลยนะครับ

หลักชัยสำคัญของพระพุทธศาสนาคือพระนิพพาน เราเรียกผู้ที่ปราศจากกิเลสทั้งปวงว่าพระอรหันต
มีที่ไปคือพระนิพพานอันเป็นแดนเอกกันตบรมสุข คือมีความสุขอย่างหาประมาณมิได้ แม้ความสุขในพรหมโลก
เทวโลก มนุษยโลก ก็มิอาจเทียบได้เลย

ผู้ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา หากหมั่นสั่งสมบุญกุศล หมั่นฟังคำสอนจากพระอริยสงฆ์และนำไปปฏิบัติ
ไม่มีความย่อท้อในการปฏิบัติธรรม ย่อมมีที่่ไปอยู่3ทาง อยู่ที่จริตและความปรารถนาของแต่ละคน

1.เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
2.เป็นพระปัจเจก
3.เป็นพระอรหันต์สาวก

ถึงแม้กระนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี พระปัจเจกก็ดี พระอรหันต์สาวกก็ดี ล้วนมีปลายทางเช่นเดียวกันคือพระนิพพาน
ไม่กลับมาเกิดอีกในสามโลกธาตุ ต่างกันตรงที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านมีความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งมวลในสามแดนโลกธาตุ
ไม่มียกเว้นบุคคลใดเลย แม้กระทั่งบุคคลที่คิดร้ายต่อท่าน ท่านยังรักเขาประหนึ่งลูกแท้ๆ แม้กระทั่งท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้
ขอให้รู้เอาไว้เถิดว่าพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายนั้น มีความรักความเมตตาในพวกเราเป็นอย่างมาก
อาศัยความเมตตานี้ท่านเพียรเวียนเกิดเวียนตายสร้างบารมีมาช้านาน จนบารมีครบถ้วนบริบูรณ์จึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาโปรดสัตว์
ทั้งหลายให้เข้าถึงพระนิพพาน และโปรดอย่าเข้าใจผิดว่าพระอรหันตสาวกจะไร้ความเมตตาไม่สั่งสอนใครเลย ขอให้เข้าใจเสียว่าพระอรหันต์
ท่านก็มีความเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลาย เพียงแต่ที่ไม่ได้ออกมาโปรดสัตว์โลกทั้งมวลเหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านทรงกระทำก็เพราะว่าไม่ใช่วิสัยของอรหันตสาวก

ดังนั้นผู้ใดที่ปรารถนาจะไปเป็นพระพุทธเจ้า ปรารถนาจะช่วยสัตว์ทั้งสามให้พ้นจากความทุกข์ทั้งมวล
เราเรียกบุคคลผู้นั้นว่า "พระโพธิสัตว์" ในอดีตแม้มดตัวหนึ่งได้เห็นพระพุทธเจ้าท่านเปิดสามโลก
มดจึงเกิดความรู้สึกอยากเป็นพระพุทธเจ้า มดตัวนั้นยังถูกเรียกว่ามดโพธิสัตว์ เราจะประมาทว่าเขาเป็นแค่มดไม่ได้
เพราะทุกคนเท่ากันหมด ในอนาคตมดก็ต้องมาเกิดเป็นคน(ส่วนคนบางคนอาจจะไปเกิดเป็นมดถ้าทำกรรมชั่วไว้)
ถ้าหากมดตัวนั้นเวียนเกิดเวียนตายสร้างบารมีไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สุดท้ายอาจจะได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้

6
หนังสือที่เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอันนับเนื่องในพระไตรปิฎกนั้น ผู้ใดจะคิดสร้างจะเกิดอานิสงส์ดังพุทธชาดกนิทานมีความพิสดารว่า เมื่อพระผู้ทรงพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่พระเชตวันมหาวิหารที่ท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีสร้างถวาย ใกล้พระนครสาวัตถี ในสมัยนั้นพระผู้เป็นเจ้าสารีบุตรมีความใคร่เพื่อจักยังพระพุทธเจ้าให้แสดงธรรมประกาศอานิสงส์ สร้างหนังสือพระธรรมให้ทราบทั่วถึงแก่พุทธบริษัท แล้วจะได้มีศรัทธาปสันนาการเลื่อมใสสร้างหนังสือพระธรรม อันเป็นรากเหง้าพระพุทธศาสนาให้ถาวรรุ่งเรืองต่อไป จะได้ประดิษฐานอยู่สิ้นกาลนาน ยังความสุขเกษมสำราญให้มีอยู่กับโลกตลอดไป พระผู้เป็นเจ้าจึงไปสู่สำนักพระบรมครู แล้วทูลถามว่าข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์อันว่าชนทั้งหลายเหล่าใดมีศรัทธาเลื่อมใส ได้สร้างหนังสือพระธรรมเพื่อสืบอายุพระศาสนาให้ยืนยาวออกไปถึง ๕ พันวัสสา จะมีอานิสงส์ผลเป็นประการใดพระพุทธเจ้าข้า พระผู้ทรงพระภาค จึงตรัสพยากรณ์ว่า ดูกร สารีบุตร นรชนทั้งหลายมีใจเปี่ยมด้วยศรัทธาได้สร้างหนังสือพระธรรมไว้ในพระพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์แก่ปาณสัตว์อนุชนเกิดสุดท้ายภายหลังได้อ่านได้สดับฟัง จะได้รับอานิสงส์ อันยิ่งใหญ่มโหฬาร หาประมาณมิได้ ดูกร สารีบุตร อย่าว่าแต่พระพุทธวจนะตลอดทั้ง ๓ ปิฎกนั้นเลย แม้แต่อักษรตัวหนึ่งหรือคำหนึ่ง ซึ่งเป็นคำย่อๆ พอได้ให้ผู้พบเห็นเป็นเครื่องหมายให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยนำมาซึ่งความเลื่อมใสแก่ผู้ได้ทัศนา เป็นบ่อเกิดให้ประพฤติคุณงามความดีได้ ก็อาจสามารถจะให้ผู้สร้างได้เสวยสุขเกษมสิ้นกาลช้านาน จักได้เสวยราชสมบัติเป็นบรมจักรพรรดิราชถึง ๘ หมื่น ๔ พันกัลป์ ใช่แต่เท่านั้น เมื่อเคลื่อนจากความเป็นจักรพรรดิมาแล้ว จะได้เสวยราชสมบัติเป็นพระราชามีอานุภาพมากอีก ๙ อสงไขย ต่อแต่นั้นมาก็จะได้เสวยสมบัติในตระกูลต่างๆ เป็นลำดับไป คือตระกูลพราหมณมหาศาล ตระกูลเศรษฐีคฤหบดีและเป็นภูมิเทวดา อากาศเทวดา อย่างละ ๙ อสงไขย ต่อแต่นั้นก็จะได้ไปเสวยสมบัติในฉกามาพจรสวรรค์ ๖ ชั้น ประณีตเป็นลำดับขึ้นไปชั้นละ ๙ อสงไขย เมื่อจุติจากเทวโลกแล้ว ก็จะถือเอากำเนิดในมนุษย์มีกายบริสุทธิ์ผุดผ่องโสภาเป็นที่ปฏิพัทธ์รักใคร่ของผู้ได้ทัศนา ทั้งน้ำใจก็สุจริตปราศจากบาปกรรม อานิสงส์ดังกล่าวมานี้ เพราะอำนาจสร้างอักขระตัวเดียวจะปรารถนาสมบัติอย่างไรก็จะได้สำเร็จดังเจตนาทุกประการ ดูกร สารีบุตร เมื่อครั้งเราตถาคตสร้างบารมีอยู่ ได้อุบัติขึ้นเป็นอำมาตย์ของพุทธบิดาแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปุราณโคดม ได้สร้างพระไตรปิฎกยกไว้ให้สืบพระพุทธศาสนาแล้วตั้งปณิธานความปรารถนาว่าขอให้ข้าพระองค์ได้มาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาลโน้นเพราะผลอานิสงส์นี้เทอญ สมเด็จพระปุราณโคดมบรมศาสดาทรงพยากรณ์ว่าอำมาตย์ผู้นี้ต่อไปภายภาคหน้า จะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระสมณโคดม บัดนี้ ก็สมดังพระพุทธฎีกาที่พระปุราณโคดมพุทธเจ้าทรงทำนายตถาคตไว้ทุกประการ ท่านทั้งหลายจงมนสิการตามกระแสพระพุทธฎีกา แล้วรื่นเริงอาจหาญในกองการกุศลที่ท่านได้กระทำมาแล้วนั้นก็จะประสบความสำเร็จ ดังพระสุคตทรงบำเพ็ญมาแล้วนั้นทุกประการ ฯ

7
สวัสดีทุกคนนะครับ ;D

ผมเคยได้ยินหลวงตาท่านบอกว่า"เราต้องภูมิใจที่เป็นหน่อฯ"
คำพูดท่านมีความหมายลึกซึ้งมาก :)



หน้า: [1]