เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Wisdom

หน้า: 1 ... 3 4 [5]
61


หลวงตาสอนเกี่ยวกับการปลีกวิเวก และการปิดวาจา ไว้ว่า การอยู่วิเวก คือ การอยู่คนเดียว ในห้อง หรือสถานที่ๆเรากำหนด (อาจจะออกมาได้ด้วยการกินข้าว เข้าห้องน้ำ เท่านั้น) โดยไม่มีสิ่งอำนวยในเรื่องการสื่อสาร เช่น โทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ ไม่ต้องติดต่อกับใคร หรือ ยุ่งเกี่ยวในเรื่องใดๆ มีหน้าที่ เดิน ยืน นั่ง นอน สวดมนต์ ภาวนา ไปเรื่อย จนกว่าจะครบกำหนดในการอธิษฐาน การอยู่วิเวก ถึงจะสมบูรณ์ด้วยการอธิษฐานอย่างแท้จริง (การปิดวาจา ใช้คู่กับการปลีกวิเวก เพื่องดการติดต่อสื่อสารทุกอย่าง)
 
สิ่งที่หลวงตาท่านเตือนให้ระมัดระวัง
1.สถานที่ หากต้องการปลีกวิเวกให้ได้อย่างแท้จริง ควรเป็นสถานที่ปิด แล้วมีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วน (หรืออาจจะเตรียมไว้เลยก็ได้ ห้องควรมีห้องน้ำ สำหรับอาหารควรนำเข้าไปแค่พออยู่ตามคำอธิษฐานเท่านั้น ไม่ควรเอาไปเยอะเกิน ไปเพราะจะทำให้เกิดกิเลส การห่วงกิน และทำให้จิตหมกหมุ่นในเรื่องอาหารได้)
2.อุปกรณ์สื่อสาร ควรปิดและเก็บ อย่าออกมาให้เห็น สำหรับโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือหนังสืออ่านเล่นไม่สมควรมี (เว้นแต่หนังสือธรรมมะ)
3.การอธิษฐานปิดวาจา ใช้คู่กับการปลีกวิเวก เพื่อป้องกันเราในการพูดจา ตอบโต้ กับคนที่อยู่ข้างนอก หรือ การสื่อสารใดๆ (ข้อควรระวัง การปิดวาจาที่ถูกต้อง ห้ามสื่อสารใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเขียนในกระดาษหรือการทำภาษามือ หรือ ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อให้คนอื่นรับรู้ว่าเรากำลังจะสื่อสารอะไร)
4.สิ่งสำคัญที่สุดในการปลีกวิเวกและการปิดวาจาคือ จะต้องทำสมาธิ ภาวนา สวดมนต์ ในทุกอริยบทคือ ยืน เดิน นั่ง นอน หากอธิษฐานปลีกวิเวกและปิดวาจา โดยไม่ทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ การปลิกวิเวกและการปิดวาจา จะได้แค่ วิเวกจริงๆ ไม่ได้อย่างอื่นเลย ผิดวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการปฎิบัตินะครับ
 
ข้อยกเว้นในการปลีกวิเวกและการปิดวาจาคือ เรื่องจำเป็นเร่งด่วน เรื่องฉุกเฉิน เจ็บป่วย ให้อธิษฐานด้วยเหตุผลว่ามีเหตุจำเป็นเช่นใด สามารถออกจากการตั้งสัจจะอธิษฐานได้ทันที

62
พระเจ้าจักรพรรดิ คือ มนุษย์ผู้มีบุญ เพราะได้ทำบุญมาดีแล้วแต่ชาติก่อน ด้วยการให้ทาน รักษาศีล ๕ และศีล ๘ หรือได้บำรุงบำเรอพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอะระหันต์ พระภิกษุสงฆ์ ได้บำรุงพระพุทธศาสนา ได้ประกาศเผยแพร่พระพุทธศาสนา หรือได้ทำประโยชน์แก่สาธารณะชนด้วยกำลังศรัทธาที่แรงกล้า.
พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นพระราชาโดยธรรมะ ไม่ต้องแย่งชิงอำนาจจากใครด้วยอุบายหรือการทำสงคราม ทรงชนะแล้ว มีอาณาจักรที่มั่นคง ทรงมีพระราชอำนาจสิทธิ์ขาดในโลกแต่ผู้เดียว ทรงมีพระปัญญาอันประเสริฐ ฉลาดรอบรู้ในสรรพวิชาการ ทรงบำรุงพัฒนาบ้านเมืองจนเจริญสูงสุด พระองค์มีแก้ว ๗ ประการ มีพระราชบุตรมากกว่าพันล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีระกษัตริย์ สามารถย่ำยีกองกำลังของข้าศึกได้ไม่ยาก ด้วยอานุภาพบุญฤทธิ์ของพระองค์ และอานุภาพแห่งแก้ว ๗ ประการ ทำให้พระองค์ทรงบริหารและปกครองราษฎรโดยไม่ต้องใช้ศาสตรา ไม่ต้องใช้อาวุธหรือเครื่องมือประหัตประหารใดๆ ไม่ต้องลงโทษ ไม่ต้องลงอาชญา.
สมัยใดโลกมีพระพุทธศาสนา พระองค์ก็ทรงทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา สมัยใดโลกว่างเปล่าจากจากพระพุทธศาสนาและพระปัจเจกพุทธเจ้า สมัยนั้นได้ชื่อว่าโลกมืด โลกจะแบ่งแยกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยอย่างมากมาย มีเชื้อชาติมากมาย ภาษามากมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีมากมาย มีลัทธิศาสนาอันไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ได้มากมาย แล้วมวลมนุษย์ในโลกก็เกิดความขัดแย้งกัน ทะเลาะไม่สามัคคีกัน ด่ากัน แล้วลงท้ายด้วยการจับก้อนดินบ้าง ท่อนไม้บ้าง อาวุธอันมีคมบ้าง ประหัตประหารกัน รบกัน ทำสงครามกัน แล้วเกิดการจองเวรด้วยการลอบทำร้ายกัน ลอบสังหารกันและก่อวินาศกรรม กลายเป็นลัทธิก่อการร้ายล้างผลาญกันไป ล้างผลาญกันมาไม่จบสิ้น พระองค์ทรงเห็นโทษเห็นความลามกของความแตกแยกและความแตกต่าง พระองค์จึงทรงรวบรวมมนุษย์ทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อให้มนุษย์โลกมีเพียงชาติเดียว เผ่าพันธุ์เดียว ภาษาเดียว ขนบธรรมเนียมประเพณีเดียว ใช้สกุลเงินเดียว แล้วพระองค์ทรงสอนศีล ๕ แก่มวลมนุษย์ในโลก เป็นหลักคำสอนเดียวศาสนาเดียว ดังนั้นมนุษย์ในยุคนั้นจึงมีพระเจ้าจักรพรรดิเป็นพระประมุขของชาวโลก และเป็นศาสดาของชาวโลก.

เมื่อประมุขของโลกและมนุษย์โลกต่างมีศีล ๕ มีธรรมะอันงาม ไม่มีแหล่งอบายมุขใดๆในแผ่นดิน ไม่แตกแยกไม่ขัดแย้งกันดังนี้ มวลมนุษย์ย่อมเห็นความสุขความเจริญในปัจจุบัน เหล่าเทวดาทั้งหลายย่อมปลื้มปีติยินดี ร่าเริงบันเทิงใจ ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารก็อุดมสมบูรณ์ มนุษย์ทั้งหลายก็มีสุขภาพจิตสุขภาพกายดี อายุยืน จำนวนมนุษย์ก็มากขึ้นแต่ไม่ขาดแคลน มวลมนุษย์ทั้งปวงต่างมองหน้ากันด้วยแววตาแห่งความรักความเมตตา เมื่อนั้นได้ชื่อว่าพระเจ้าจักรพรรดิเป็นผู้ประทานแสงสว่างให้แก่โลก ประทานความร่มเย็นให้แก่โลก.



ฤทธิ์ ๔ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ
๑. พระเจ้าจักรพรรดิทรงมีพระรูปงาม น่าดู น่าชม น่าเลื่อมใส ทรงมีพระฉวีวรรณผ่องใสยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไป
๒. พระเจ้าจักรพรรดิทรงมีพระชนมายุยืนนานกว่ามนุษย์ทั่วไป
๓. พระเจ้าจักรพรรดิทรงมีอาพาธน้อย มีพระโรคน้อยกว่ามนุษย์ทั่วไป
๔. พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นที่รักที่ชอบใจของมนุษย์ทั้งหลาย และมนุษย์ทั้งหลายก็เป็นที่รักที่ชอบใจของพระเจ้าจักรพรรดิ
ดุจบุตรเป็นที่รักที่ชอบใจของบิดาทีเดียว เมื่อถึงคราวพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จเลียบพระนครออกเยี่ยมราษฎร ราษฎรทั้งหลายไปเฝ้า พระองค์พลางกราบทูลว่า “ขอเดชะ... ขอพระองค์อย่าด่วนเสด็จไป พวกข้าพระองค์จะได้เฝ้าพระองค์นานๆ”แม้พระเจ้าจักรพรรดิก็
ทรงตรัสกับนายสารถีว่า “นายสารถี เธออย่าด่วนขับรถไป เราจะได้เห็นราษฎรนานๆ”


ลักษณะ ๓๒ ประการของมหาบุรุษ

มหาบุรุษผู้มีลักษณะ ๓๒ ประการนี้ ย่อมเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หรือเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น คือ....

๑. มีพระบาทเรียบเสมอ
๒. ที่ฝ่าพระบาททั้งสองมีลายรูปจักร อันมีซี่พันหนึ่ง มีกง มีดุมบริบูรณ์
๓. ส้นพระบาทยาว
๔. มีพระองคุลี (นิ้ว) ยาว
๕. ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม
๖. ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาท มีลายดุจตาข่าย
๗. มีพระบาทนูนสูงดุจสังข์คว่ำ
๘. มีพระชงฆ์ (แข้ง) เรียวดุจแข้งเนื้อทราย
๙. เมื่อประทับยืนมิได้ก้ม พระหัตถ์ทั้งสองลูบพระชานุ (เข่า) ทั้งสองได้
๑๐. มีพระคุยหะ (องคชาติ) เร้นอยู่ในฝัก
๑๑. พระฉวีวรรณดุจสีทอง
๑๒. พระฉวีวรรณละเอียดฝุ่นไม่เกาะ
๑๓. พระโลมา (ขน) เกิดขึ้นขุมละเส้น
๑๔. พระโลมาทุกเส้นชี้ขึ้นข้างบน
๑๕. พระวรกายตรงดุจกายพระพรหม
๑๖. พระมังสะเต็มในที่ ๗ แห่ง คือ หลังพระหัตถ์ทั้งสอง, หลังพระบาททั้งสอง, พระอังสะ (บ่า) ทั้งสอง และพระศอ (คอ)
๑๗. พระวรกายท่อนบนดุจกายท่อนหน้าของราชสีห์
๑๘. แผ่นหลังมีพระมังสะเต็ม
๑๙. พระวรกายดุจต้นไทร มีพระวรกายเท่ากับวา
๒๐. ลำพระศอกลม
๒๑. เส้นประสาทรับรู้รสได้ดี
๒๒. พระหนุ (คาง) ดุจคางของราชสีห์
๒๓. พระทนต์ (ฟัน) ๔๐ ซี่
๒๔. พระทนต์เรียบเสมอ
๒๕. พระทนต์ไม่ห่าง
๒๖. พระเขี้ยวแก้วขาวงาม
๒๗. พระชิวหา (ลิ้น) ใหญ่
๒๘. พระสุรเสียงก้องกังวานดุจเสียงของพระพรหม ไพเราะดุจเสียงของนกการเวก
๒๙. พระเนตรดำสนิท
๓๐. ดวงพระเนตรดุจตาของลูกโค
๓๑. พระอุณาโลม (ขนระหว่างคิ้ว) ขาวอ่อนนุ่มดุจสำลี
๓๒. พระเศียรดุจสวมมงกุฎ

คุณธรรมของพระราชาผู้ที่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ


คุณธรรมของพระราชาผู้จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ

๑. อาศัยธรรมะ สักการะเคารพธรรมะ นับถือธรรมะ บูชาธรรมะ ยำเกรงธรรมะ มีธรรมะเป็นธงชัย มีธรรมะเป็นใหญ่
๒. รักษาคุ้มครอง ป้องกันอย่างเป็นธรรมะในราชนิกุล ในกองพล ในกษัตริย์ เมืองขึ้น ในชาวเมือง ชาวชนบท สมณะ พราหมณ์
๓. รักษาคุ้มครองป้องกันอย่างเป็นธรรมะในเหล่าสัตว์เดรัจฉาน ทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า
๔. ไม่ให้มีสิ่งผิดศีลธรรมในแผ่นดิน
๕. ให้ทรัพย์แก่ผู้ไม่มีทรัพย์
๖. เข้าไปหาสมณะพราหมณ์ผู้มีความอดทน มีความสงบระงับ ฝึกตนอยู่ผู้เดียว ดับกิเลสอยู่ผู้เดียว ล้วถามว่า“ท่านขอรับ...กุศล
คือ อะไร อกุศลคืออะไร กรรมใดไม่มีโทษ กรรมใดมีโทษ กรรมใดควรเสพ กรรมใดไม่ควรเสพ กรรมใดทำแล้วเป็นประโยชน์ กรรมใด
ทำแล้วไม่เป็นประโยชน์”
๗. เมื่อฟังคำของสมณะพราหมณ์นั้นแล้ว สิ่งใดเป็นอกุศลจงเว้นเสีย สิ่งใดเป็นกุศลจงถือมั่นประพฤติปฏิบัติ
จักรแก้ว


พระราชาผู้ที่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิย่อมทรงศีล ๕ อยู่เป็นนิตย์ ในวันอุโบสถ ๘ ค่ำ ๑๔ – ๑๕ ค่ำ พระองค์จะทรงจัดการงานแผ่นดิน
ทั้งหลายให้เสร็จแต่เช้าตรู่ แล้วทรงถวายมหาทาน ทรงสรงน้ำชำระพระเศียรแล้วฉลองพระองค์ด้วยชุดขาว เสวยพระกระยาหารประทับนั่ง
สมาธิอยู่บนปราสาทสมาทานศีล ๘ ทรงลำลึกถึงเหตุแห่งบุญที่สำเร็จด้วย ทาน ศีล การข่มใจ และการฝึกตนของพระองค์ จนกระทั่งวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ เป็นวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง คืนหนึ่งขณะที่พระองค์ทรงถือศีล ๘ และเจริญสมาธิอยู่ จักรแก้วอันเป็นทิพย์ก็ปรากฏแก่พระองค์ จักรแก้วอันเป็นทิพย์นั้นบริบูรณ์ด้วย ดุม กง และซี่พันซี่ ล้วนสำเร็จด้วยทองและเงิน ประดับด้วยรัตนะชาติ ๙ ประการ ที่ได้รับการสลักลวดลายอย่างวิจิตรงดงาม มีแสงรัศมีซ่านออกโดยรอบดุจดวงอาทิตย์ จักรแก้วเมื่อต้องลมแล้วมีเสียงไพเราะยวนใจ ชวนให้ฟัง ชวนให้เคลิบเคลิ้ม เหมือนเสียงดนตรีทั้ง ๕ ที่บรรเลงโดยนักดนตรีผู้ชำนาญดีแล้ว
จักรแก้วนั้นลอยมาจากทิศตะวันออกเปล่งแสงสุกสว่างดุจพระจันทร์ดวงที่ ๒ มาวนเวียนรอบพระนครแล้วหยุดอยู่ที่สีหะบัญชรด้านทิศเหนือของปราสาท มหาชนเห็นแล้วแตกตื่นพากันวิ่งตามมาดูและสักการบูชา พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นจักร
แก้วแล้วทรงดำริว่า “เราเคยได้ฟังมาว่า พระราชาผู้ได้รับการราชาภิเษ แล้วองค์ใด ทรงสรงน้ำชำระพระวรกาย สระพระเศียร แล้วรักษาอุโบสถศีลอยู่บนปราสาทในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ จักรแก้วอันเป็นทิพย์จะปรากฏแก่พระราชาพระองค์นั้น ผู้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เราเห็นจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิแล้วหรือ?” จึงทรงออกจากสมาธิลุกขึ้นมาทรงผ้าสไบเฉวียงบ่า พระหัตถ์ซ้ายจับพระเต้าทองหลั่งน้ำทักษิโณทก พระหัตถ์ขวาชูจักรขึ้น แล้วตรัสว่า “โอ... จักรแก้วอันเจริญ จงหมุนไปพิชิตจักรวรรดิเถิด” ทันใดนั้นจักรแก้วก็หมุนลอยนำไปทางทิศตะวันออก พระราชาพร้อมด้วยกองทัพ ๔ เหล่า คือ พลช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า อีกทั้งมหาชนทั้งหลายก็ติดตามไป ด้วยอานุภาพของจักรแก้วพาให้พระราชาและผู้ติดตามทั้งหมดเหาะลอยไปได้ในอากาศ ข้ามภูเขา ข้ามแม่น้ำ ข้ามทะเล จักรแก้วนำพาไปสู่อาณาจักรของประเทศใด ก็หยุดลงที่หน้าพระราชนิเวศของพระราชาประเทศนั้น พระองค์พร้อมผู้ติดตามก็หยุด ณ ที่นั้น พระราชาของประเทศนั้นๆก็นำเครื่องบรรณาการเสด็จเข้ามาเฝ้าพระองค์ แล้วน้อมพระเศียรอันทรงมหามงกุฎซบพระบาทของพระองค์ กราบทูลด้วยวจนะว่า “ข้าแต่มหาราช... ขอพระองค์ทรงเสด็จมาเถิด การเสด็จมาของพระองค์เป็นความดี ข้าพระองค์ขอถวายการต้อนรับพระองค์ด้วยราชสมบัติของหม่อมฉันขอยกถวายแก่พระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดประทานพระราชโอวาทแก่หม่อมฉันเถิด”.


พระองค์ไม่ทรงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงนำเครื่องราชพลีมาให้เรา” พระองค์ไม่ทรงเอาโภคทรัพย์ของพระราชาองค์ใดไป แต่ทรงตรัสด้วยพระปัญญาอันสมควรที่พระองค์เป็นธรรมราชา ทรงแสดงธรรมะด้วยพระวจนะอันเป็นที่รัก อันละเอียดอ่อนว่า



“ดูก่อนพ่อทั้งหลาย.... การฆ่าสัตว์ก็ดี การลักทรัพย์ก็ดี การประพฤติผิดในกามก็ดี การพูดโกหกก็ดี การเสพสุราเมรัยและสิ่งเสพติดก็ดี บุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทุกข์ในโลกนี้ เมื่อละโลกนี้ไปแล้วย่อมไปสู่นรก การไม่เสพกรรมทั้ง ๕ อย่างเหล่านี้ ย่อมเป็นไปเพื่อสุขในโลกนี้ เมื่อละโลกนี้ไปแล้วย่อมไปสู่สวรรค์ ดังนั้นพ่อทั้งหลายไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงลักทรัพย์ ไม่พึงประพฤติผิดในกาม ไม่พึงพูดโกหก ไม่พึงเสพสุราเมรัยและสิ่งเสพติด แล้วพ่อทั้งหลายจงเสวยราชสมบัติตามเดิมเถิด”.
จักรแก้วนำพาพระราชาพิชิตประเทศต่างๆทางทิศตะวันออก... พระราชาของประเทศเหล่านั้นก็ออกมาสวามิภักดิ์โดยดี ทรงเป็นบริวารของพระองค์โดยทั่วแล้ว จักรแก้วก็นำเสด็จสู่ทิศใต้... พระราชาแห่งประเทศทั้งหลายทางทิศใต้ก็ออกมาสวามิภักดิ์ จักรแก้วนำเสด็จสู่ทิศตะวันตก... พระราชาแห่งประเทศทั้งหลายทางทิศตะวันตกก็ออกมาสวามิภักดิ์ จักรแก้วนำเสด็จสู่ทิศเหนือ... พระราชาแห่งประเทศทั้งหลายทางทิศเหนือก็ออกมาสวามิภักดิ์ พระราชาทั้งหลายที่จะประชุมกองกำลังเตรียมรบหรือพยายามยก

อาวุธขึ้นต่อกรไม่มีเลยพระราชาของประเทศทั้งหลายย่อมเข้าถึงการฝึกอบรมแล้วด้วยอานุภาพของจักรแก้ว พระองค์ก็บรรลุความเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งปฐพี โดยมีมหาสมุทรทั้งหมดเป็นขอบเขต ถึงซึ่งความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกด้วยประการฉะนี้ เมื่อจักรแก้วนำพิชิตทั่วพื้นปฐพีนี้แล้ว ก็นำเสด็จกลับสู่ราชธานีตั้งประดิษฐานอยู่ในประตูเมืองให้สง่างาม มหาชนทั้งหลายก็นำเครื่องสักการะบูชาอันมีดอกไม้และของหอมเป็นต้นมาสักการะบูชา กิจที่จะต้องทำด้วยการจุดคบเพลิง ด้วยการจุดตะเกียงในราชธานีไม่มี แสงสว่างแห่งจักรแก้วย่อมกำจัดความมือแห่งราตรี บุคคลใดต้องการแสงสว่าง แสงสว่างก็เกิดแก่บุคคลนั้น บุคคลใดต้องการความมืด ความมืดก็เกิดแก่บุคคลนั้น.


ช้างแก้ว



ช้างแก้วได้ปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นพญาช้างชื่อ อุโบสะถะ ตระกูลอุโบสถ เป็นช้างเผือกขาวปลอด มีลักษณะถูกต้องตามตำราคชลักษณ์ทั้งปวง มีฤทธิ์เหาะได้ พระเจ้าจักรพรรดิทอดพระเนตรด้วยความเลื่อมใสตรัสว่า “โอ... ผู้เจริญ ช้างเชือกนี้ถ้าได้รับการฝึกหัดก็จะดี” ช้างแก้วก็เป็นช้างแสนรู้ในทันทีเหมือนช้างที่ได้รับการฝึกอย่างดีมาเป็นเวลานาน ในเวลาเช้าพระองค์ทรงทดลองช้างแก้วด้วยการเสด็จขึ้นคอแล้วให้พาเที่ยวไปทั่วแผ่นดินจนสุดราชอาณาจักร เหาะไปรอบโลกแล้วกลับสู่ราชธานีทันเสวยพระกระยาหารเช้า.


ม้าแก้ว



ม้าแก้วได้ปรากฏขึ้นแก่พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นพญาม้าชื่อ วลาหะกะ ตระกูลสินธพ มีสีขาวล้วน ศีรษะดำเหมือนกา มีผมเป็นพวงเหมือนหญ้าปล้อง มีฤทธิ์เหาะได้ พระเจ้าจักรพรรดิทอดพระเนตรด้วยความเลื่อมใสตรัสว่า “โอ... ผู้เจริญ ม้าตัวนี้ถ้าได้รับการฝึกหัดก็จะดี” ม้าแก้วก็เป็นม้าแสนรู้ในทันที เหมือนม้าที่ได้รับการฝึกหัดอย่างดีมาเป็นเวลานาน ในเวลาเช้าพระองค์ทรงทดลองม้าแก้วด้วยการเสด็จขึ้นขี่หลังแล้วให้พาเที่ยวไปทั่วแผ่นดินจนสุดราชอาณาจักร เหาะไปรอบโลกแล้วกลับสู่ราชธานีทันเสวยพระกระยาหารเช้า.


แก้วมณี



แก้วมณีได้ปรากฏขึ้นแก่พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นแก้วไพฑูรย์น้ำงามโดยกำเนิด แปดเหลี่ยมเจียรนัยดีแล้ว กว้างยาว ๔ ศอก ลักษณะงามพร้อมทุกประการ มีแสงสุกใสแวววาว มีรัศมีส่องแสงแผ่ออกไปไกล ๑ โยชน์ ถ้าติดไว้ที่ปลายยอดธงในเวลากลางคืนที่มืดมิด จะมีแสงสว่างดุจกลางวัน ชาวบ้านพากันประกอบการงานนึกว่าเป็นกลางวัน.


นางแก้ว



นางแก้วปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นสตรีรูปร่างสวยงาม น่าดู น่าชม น่าเลื่อมใส ไม่สูงนัก ไม่ต่ำนัก ไม่ผอมนัก ไม่อ้วนนัก ไม่ดำนัก ไม่ขาวนัก เอวเล็กและบาง สะโพกผาย ทรวดทรงงามระหงอรชรได้สัดส่วน ผิวพรรณเปล่งปลั่งเกินมนุษย์ มีรัศมีสว่างไสวแผ่ไปไกล ๑๒ ศอก มีร่างกายอ่อนนุ่มเหมือนนุ่นหรือปุยฝ้าย เมื่ออากาศเย็นเนื้อตัวจะอุ่น เมื่ออากาศร้อนเนื้อตัวจะเย็น มีกลิ่นจันทร์ฟุ้งออกจากกาย กลิ่นอุบลฟุ้งออกจากปาก นางแก้วย่อมตื่นก่อนนอนทีหลังพระเจ้าจักรพรรดิ คอยรับฟังคำสั่ง คอยขับกล่อมพัดวี ประพฤติปฏิบัติเป็นที่พอพระราชหฤทัย พูดจาไพเราะอ่อนหวานด้วยคำที่น่ารัก ใจของนางไม่นอกพระหฤทัยของพระเจ้าจักรพรรดิแล้วทางกายจะประพฤติชั่วแต่ที่ไหน นางมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสไม่บูดบึ้ง ชวนทัศนา.


คฤหบดีแก้ว



คฤหบดีแก้วปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นคนมีตาทิพย์ สามารถเห็นขุมทรัพย์ทั้งที่มีเจ้าของและไม่มีเจ้าของ ทั้งบนดินใต้ดิน ทั้งบนน้ำใต้น้ำ ได้ไกล ๑ โยชน์ เขากราบทูลพระเจ้าจักรพรรดิว่า “ขอเดชะ... พระองค์ไม่ต้องทรงเป็นห่วงเรื่องทรัพย์ ข้าพระองค์จะกระทำหน้าที่จัดหาจัดการพระราชทรัพย์แก่พระองค์” พระเจ้าจักรพรรดิทรงทดลองคฤหบดีแก้ว ด้วยการเสด็จพาประทับบนเรือลอยสู่กลางแม่น้ำคงคา แล้วทรงรับสั่งคฤหบดีแก้ว “ดูก่อน... ท่านคฤหบดี ฉันต้องการเงินทอง”
คฤหบดี “มหาราชเจ้า... ถ้ากระนั้นขอพระองค์จงทรงให้เทียบเรือที่ริมตลิ่งเถิด”
พระเจ้าจักรพรรดิ “ท่านคฤหบดี... ฉันต้องการเงินทองตรงกลางแม่น้ำนี้แหละ”
ทันใดนั้น คฤหบดีแก้วก็เอามือทั้งสองจุ่มลงไปใต้น้ำ แล้วยกเอาหม้อที่เต็มไปด้วยเงินทองขึ้นมาพลางกราบทูลว่า “มหาราชเจ้า... เท่านี้พอ
หรือยังพระเจ้าข้า?”
พระเจ้าจักรพรรดิ “ท่านคฤหบดี... เท่านี้พอแล้ว ทำเพียงเท่านี้เถิด เท่านี้ก็เป็นอันท่านบูชาฉันแล้ว”


ปริณายกแก้ว



ปริณายกแก้วปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ เป้นพระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระองค์เอง เป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ มีวิชาความรู้ทุกด้าน เฉลียวฉลาดสามารถรู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ สามารถรู้วาระจิตของผู้อื่น เข้มแข็ง สามารถชี้แนะให้พระเจ้าจักรพรรดิเสด็จไปยังที่ๆควรไป ให้หลีกในที่ๆควรหลีก ให้ยับยั้งในที่ๆควรยับยั้ง เขากราบทูลพระเจ้าจักรพรรดิว่า “ขอเดชะ... พระองค์ไม่ต้องทรงเป็นห่วง ข้าพระองค์จะทำหน้าที่จัดการปกครองและบริหารราชการแผ่นดินแทนพระองค์ พระองค์จะวางนโยบายอย่างไร ขอพระองค์จงทรงตรัสบอกเถิด พระเจ้าข้า” แก้วเจ็ดประการเห็นป่านนี้ปรากฏแล้วปรากฏแล้วแก่พระเจ้าจักรพรรดิ

63
ปนามพจน์
นมตฺถุ  รตนตฺตยสฺส
            ข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการแด่องค์
สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์  พระองค์
ผู้ทรงมีพระมหากรุณาแผ่ไปในไตรภพ
          และพระนพโลกุตรธรรมอันล้ำเลิศ  กับ
ทั้งพระอริยสงฆ์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
ด้วยเศียรเกล้าแล้ว  จักขออภิวาทนบไหว้
ซึ่งท่านบุรพาจารย์ทั้งหลาย  ผู้ทรงไว้ซึ่ง
ญาณและพระคุณอันบริสุทธิ์ด้วยคารวะ
เป็นอย่างยิ่งแล้ว  จักรจนาเรียบเรียงกถา
ซึ่งตั้งชื่อว่า “ มุนีนารถทีปนี ” เพื่อแสดงถึง
เรื่องของพระองค์ผู้ทรงเป็นนาถะที่พึ่ง
อย่างประเสริฐสุดแห่งประชาสัตว์ในไตรโลก
กล่าวคือ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จอมมุนี  โดยประสงค์จะสดุดีสรรเสริญซึ่ง
พระพุทธคุณเป็นสำคัญ  ฉะนั้นขอมวลชน
คนดีมีปัญญาทั้งหลาย  จงตั้งใจสดับกถา
ของข้าพเจ้า  ซึ่งจักกล่าวในโอกาสต่อไป
นี้ด้วยดีเทอญ.

บัดนี้  จักขอถือชี้แจงแก่ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งปวงว่า   บรรดาเราท่านทั้งหลายที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา  พร้อมกับมีศรัทธาเสื่อมใสและมีใจประกอบด้วยสัมมาทิฐิ  น้อมนำเอาพระบวรพุทธศาสนามาเป็นศาสนาประจำชีวิตตน  เช่นที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น  ถ้าจะถือกันว่าเป็นโชค  เวลานี้เรากำลังได้ประสบโชคอย่างมหาศาล  ซึ่งไม่มีโชคอื่นใดจะเปรียบปาน   ถ้าจะถือกันว่าเป็นลาภ    เวลานี้เราก็กำลังได้รับลาภอย่างประเสริฐสุดขนาดเป็นบรมลาภทีเดียว  ซึ่งจักหาลาภอื่นใดในโลกนี้มาเปรียบเทียบอีกไม่ได้เลย
ที่กล่าวมานี้  ไม่ใช่กล่าวไปด้วยอำนาจความคล่องปาก  หรือมีใจอยากยกย่องพระพุทธศาสนาจนเกินไป  ไม่ใช่อย่างนั้น  อันที่จริงการที่สัตว์โลกทั้งหลายซึ่งยังต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร  จักได้มีโอกาสเกิดมาพบพระบวรพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระศาสดาบรมไตรโลกนาถ  แต่ละชาติแต่ละหนนั้น  อย่าได้สำคัญผิดคิดอย่างผิวเผินเป็นอันขาดว่า  เป็นสภาพที่เป็นไปได้อย่างง่ายๆ  ความจริงไม่ใช่  เพราะว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากเย็นแสนเข็ญนักหนา  ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย  จงมาพิจารณาใคร่ครวญถึงมหาวิบัติ  คือความฉิบหายของสัตว์โลกอย่างใหญ่หลวง  ตามที่จะพรรณนาต่อไปนี้เถิด  แล้วก็จะแลเห็นเองว่าการที่เราเกิดมาในชาตินี้ได้เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา  จัดว่าได้รับโชคลาภอย่างประเสริฐเพริศพริ้งเพียงไร


มหาวิบัติ

ขึ้นชื่อว่าความวิบัติทั้งหลายที่มนุษย์เราต้องประสบกันอยู่เสมอในโลกนี้  ความวิบัติอื่นใดก็จงยกไว้ก่อนเถิด  เพราะมิสู้จะสำคัญ  แต่ความวิบัติหนึ่งนั้น  เป็นความวิบัติอย่างใหญ่หลวงของสามัญสัตว์  ซึ่งจัดว่าเป็นยอดแห่งความวิบัติจริงๆ  มีอยู่  ๖  ประการ  คือ

๑. วิบัติกาล

   วิบัติกาลนี้  ได้แก่วิบัติเพราะกาลว่างจากพระพุทธศาสนา ! หมายความว่าในโลกมนุษย์ที่เราเกิดอยู่นี้  ใช่ว่าจะปรากฏมีพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นประจำจนชั่วฟ้าดินสลายนั้นหามิได้  โดยที่แท้  บางกาลก็มีพระพุทธศาสนา  แต่บางเวลาก็ไม่มี  เพราะไม่ใช่คราวที่สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก  ก็ในระหว่างกาลที่พระพุทธศาสนากับไม่มีนี้  ปรากฏกาลที่ไม่มีพระพุทธศาสนานั่นแหละ  มีปริมาณมากกว่ากาลที่มีพระพุทธศาสนามากมายนัก  ซึ่งก็หมายความว่า  ในโลกนี้  นานๆจึงจะมีพุทธกาลเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง  ทีนี้  สมมติว่าตัวเราเกิดมาในเวลาที่มิใช่พุทธกาล  เป็นกาลว่างเปล่า  ไม่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก  เราก็หมดโอกาสที่จะรู้จักพระพุทธศาสนา  มิได้รับรสพระสัทธรรมเทศนา   การเกิดของเราในกาลที่ว่างเปล่าจากพระพุทธศานาก็เท่ากับว่าเกิดมาเปล่าประโยชน์   หาสาระแก่นสารแห่งชีวิตอันแท้จริงมิได้    เกิดมาเปล่าแล้วก็ตายไปเปล่าตามธรรมดาของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารเท่านั้นเอง   สภาพการณ์เช่นว่ามานี้  เรียกว่าวิบัติกาล  ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต  เพราะเกิดผิดกาลเวลา  นับว่าเป็นมหาวิบัติประการหนึ่ง.

๒. วิบัติคติ
   วิบัติคตินี้  ได้แก่วิบัติเพราะไม่ได้คติที่ดี  หมายความว่าแม้ว่ากาลเวลาจะถึงพร้อมแล้ว  คือมีสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ทรงประกาศพระสัทธรรมเทศนายังประชาสัตว์ให้ได้ดื่มอมตรส ทรงโปรดสัตว์รื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสาร ให้ลุล่วงถึงพระนิพพาน ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้ปรากฎอยู่ในโลก เช่นในปัจจุบันทุกวันนี้ แต่ทีนี้สมมติว่า ตัวเราเป็นคนอาภัพอับโชคมีบุญน้อยด้อยวาสนา ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างเวลานี้ เพราะค่าที่เป็นผู้มีคติวิบัติ พลัดไปในเกิดในภูมิอื่นโลกอื่นเสียอย่างเพลิดเพลิน เช่นกำลังไปเกิดอยู่ในนิรยภูมิถือกำเนิดเป็นสัตว์นรกเสียก็ตาม กำลังไปเกิดอยู่ในเปตวิสัยภูมิ ถือกำเนิดเป็นเปรตอดอยากอยู่ก็ตาม กำลังไปเกิดอยู่ในอสุรกายภูมิ ถือกำเนิดเป็นอสุรกายมีความหิวกระหายอย่างแสนสาหัสอยู่ก็ตาม หรือกำลังไปเกิดอยู่ในติรัจฉานภูมิ ถือกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่เสีย ก็เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะมีโอกาสได้มาพบพระบวรพุทธศาสนากระไรได้ เพราะสัตว์ในอบายภูมิทั้งหลายเหล่านั้น ทุกวันเวลามีแต่จะมะงุมมะงาหราเสวยทุกข์โทษจนหน้าดำหน้าแดง มีชีวิตอยู่อย่างหดหู่เหี่ยวแห้งน่าสมเพชเวทนา ก้มหน้าก้มตารับผลกรรมชั่วของตน จนหน้ามืดตามัว ไม่มีเวลาหยุดว่างเว้น สภาพการณ์เช่นว่ามานี้ เรีกชื่อว่า วิบัติคติ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต เพราะไปเกิดผิดภูมิผิดโลก จึงโชคร้ายนักหนา นับว่าเป็นมหาวิบัติประการที่สอง

๓. วิบัติประเทศ

วิบัติประเทศนี้ ได้แก่วิบัติเพราะเป็นประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา!

หมายความว่า ถึงแม้จะพ้นจากวิบัติที่กล่าวมาแล้ว คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารย์เจ้า ก็ทรงมาอุบัติตรัสในโลกแล้ว และตัวเราก็พ้นจากคติวิบัติ มาอุบัติเกิดเป็นมนุษย์ในมนุษย์โลกนี้แล้ว ก็แต่ว่าโลกนี้เป็นพื้นแผ่นปฐพีอันกว้างขวางใหญ่โตนักหนา เป็นที่สถิตแห่งนานาประเทศ มีจำนวนมากมายหลายประเทศนัก พระพุทธศาสนาไม่สามารถจักแผ่ไปถึงทั่วประเทศทั้งสิ้นทั้งปวงได้ ประเทศใด พระพุทธศาสนาแผ่ไปไม่ถึง ประเทศนั้น ก็ไม่รู้จักคุณค่าของพระบวรพุทธศาสนา ไม่ทราบเลยว่า ศาสนาคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นนิยานิกธรรม สามารถนำสัตว์โลกออกจากกองทุกข์ได้อย่างแท้จริงโดยไม่ต้องสงสัย ทีนี้สมมติว่า ตัวเราไปเกิดในประเทศนั้น ก็ไม่มีวันที่จะได้รู้จักพระพุทธศาสนาเลย เมื่อไม่รู้จักก็ย่อมไม่เห็นคุณค่าของพระศาสนาอันมีอยู่โดยวิเศษเป็นธรรมดา เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ก็จักมีโอกาสเป็นพุทธศาสนิกชนคนนับถือพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ย่อมจะมีชีวิตอยู่ในชาติหนึ่งอย่างไร้แก่นสาร น่าเศร้า เข้าทำนองเกิดมาเปล่าแล้วก็ตายไปเปล่าเท่านั้นเอง สภาพการณ์เช่นว่ามานี้ เรียกชื่อว่าวิบัติประเทศ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชาติ เพราะไปเกิดผิดประเทศ จึงต้องโชคร้ายนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติสำคัญประการที่สาม

๔. วิบัติตระกูล


วิบัติตระกูลนี้ ได้แก่วิบัติเพราะตระกูลที่ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ!

หมายความว่า ถึงแม้จะได้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แล้ว และเราก็ได้มีโอกาสมาเป็นมนุษย์ เป็นคน ในประเทศที่นับถือพระบวรพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว ก็แต่ว่าในประเทศนี้ย่อมมีวงศ์ตระกูลของหมูมนุษย์อยู่มากมายหลายตระกูลนัก ตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิ เคารพนับถือพระพุทธศาสนาก็มี ตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่มีความเลื่อมใส ไม่เคารพนับถือในพระพุทธศาสนาก็มี ทีนี้ สมมติว่าตัวเราบังเอิญไปเกิดในตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฐิเสีย บิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งเป็นบรรพชนต้นโคตร ต้นวงศ์ของเรา ท่านไม่รู้จักพระบวรพุทธศาสนา ไม่เห็นคุณค่า ไม่มีศรัทธาเคารพเลื่อมใสในพระธรรมคำสั่งสอน แห่งองค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาเสียเลย เราก็จะต้องมีความเห็นหรือมีทิฐิไปตามโคตร ตามวงศ์ คือจักไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เห็นคุณค่า อาจมองพระบวรพุทธศาสนาไปในแง่ว่าไม่ถูกต้องก็ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ชีวิตของเราถึงแม้จะได้รับความสมบูรณ์ พูนสุขอย่างไร ก็นับเข้าในจำพวกที่อับโชค เกิดมาในโลกกับเขาครั้งหนึ่ง แต่หาที่พึ่งอันแท้จริงเป็นแก่นสารมิได้ เกิดมาเปล่าแล้วก็ตายเปล่าอีกเหมือนกัน สภาพการณ์เช่นว่ามานี้ เรียกว่าวิบัติตระกูล ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชาติ เพราะไปเกิดผิดตระกูลจึงต้องโชคร้ายหนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติสำคัญประการที่สี่

๕. วิบัติอุปธิ

วิบัติอุปธิ นี้ ได้แก่วิบัติอุปธิ คือร่างกาย!

หมายความว่า ถึงแม้จะได้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ และทรงประกาศพระพุทธศาสนาให้ตั้งมั่นในโลกอย่างปัจจุบันทุกวันนี้แล้ว และเาก็ได้มีโอกาสเกิดมาในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิเคารพเลื่อมใสในพระบวรพุทธ ศาสนาอยู่แล้วก็ตามที แต่ที่นี้ สมมติว่า ตัวเราเป็นคนอาภัพอับวาสนา องคาพยพไม่สมบูรณ์เป็นคนมีอุปธิวิบัติ คือร่างกายไม่สมประกอบ เหมือนคนธรรมดาสามัญทั้งหลาย กลายเป็นบ้า เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เสียจริต จิตวิปลาสไปเสีย เช่นนี้ก็ไม่สามารถมีปัญญามองเห็นคุณค่าพระบวรพุทธศาสนา ไม่มีโอกาสจะรู้ว่าศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าทรงไว้ซึ่งความประเสริฐล้ำเลิศเพียงไรอย่างนี้แม้จะได้เกิดมากับเขาชาติ หนึ่ง ก็ถึงการนับได้ว่าเกิดมาเปล่าๆ เป็นชีวิตที่ไร้ค่า เท่ากับว่าไม่ได้เกิดมานี้เอง สภาพการณ์เช่นว่ามานี้เรียกชื่อว่าอุปธิวิบัติ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต เพราะความวิปริตของกายตน จึงต้องเป็นคนโชคร้ายนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติสำคัญประการที่ห้า

64
เรื่องกัป
เมื่อตอนกล่าวถึงนิรยภูมิ ซึ่งว่าด้วยอายุของสัตว์นรกนั้น ได้บอกไว้ว่า
จักกล่าวถึงเรื่องกัปในโอกาสข้างหน้า ครั้นถึงตอนนี้จักหลบไม่อธิบายปล่อยให้
หายไปเสียเฉยๆ ก็ดูกระไรอยู่นัก จึงจักกล่าวถึงเรื่องกัปตามที่บอกไว้ ดังต่อไปนี้
กาลสมัยเริ่มแรกทีเดียว คือ ในยุคต้น คนเราไม่ใช่มีอายุน้อยนิดหนึ่งเพียง
๗๐-๘๐ ปี แล้วก็ตายลงอย่างทุกวันนี้เลย ความจริง มนุษย์ในยุคนั้น เขามี
อายุยืนนานถึงอสงไขยปี ที่ว่าอสงไขยปีนั้น ก็คือจำนวนปีมนุษย์ที่มีเลขหนึ่งขึ้น
หน้า แล้วต่อด้วยเลขศูนย์หนึ่งร้อยสี่สิบตัว หรือจะว่าเป็นจำนวนปีที่นับด้วยเลข
หนึ่งร้อยสี่ลิบเอ็ดหลักก็ได้ อยากรู้ว่าเป็นจำนวนเท่าใด ก็ลองคำนวณดูเถิด คือ
ตั้งเลขหนึ่งเขัาแล้วเติมศูนย์ลงไปให้ได หนึ่งร้อยสี่สิบศูนย์ กาลเวลาตามจำนวน
ตัวเลขที่กล่าวนี้ เป็นจำนวนอสงไขยปี เพราะมันเป็นจำนวนปีที่มากมายเกือบ
จะนับไม่ได้ อย่างนี้ จึงมีชื่อเรียกว่า อสงไขยปี = จำนวนปีที่นับไม่ได้
ในยุคต้น มนุษย์มีอายุนานได้ อสงไขยปีนี่แล แล้วก็ค่อยๆ ลดลงมา ร้อยปี
ลดลงปีหนึ่ง ลดลงมาเรื่อย ๆ ค่อยลดลงด้วยอาการอย่างนี้ จนกระทั่งอายุ
ของมนุษย์เหลือเพียงสิบปี อาการที่อายุลดลงนี้ พึงเห็นตัวอย่าง เช่น ในสมัยที่
สมเด็จพระพุทธเจ้าของเรายังทรงพระชนมชีพอยู่มนุษย์ในสมัยนั้นมีอายุหนึ่งร้อยปี
ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงกาลทุกวันนี้ นับได้สองพันห้าร้อยปีเศษ หรือจะพูดอีกที
ว่านับได้ยี่สิบห้ารัอยปีเศษแล้ว ทีนี้ ร้อยปีลดลงเสียปีหนึ่งก็คงเหลือเจ็ดสิบหัา
(๑๐๐-๒๕ = ๗๕) จึงเป็นอันยุติได้ว่า ในสมัยทุกวันนี้ อายุมนุษย์มี ๗๕ ปี
เป็นประมาณเท่านั้นเอง เมื่อลดลงไปจนกระทั่งเหลือนิดหน่อยเพียงสิบปีแลัว
คราวนี้ ไม่ลดอีกต่อไปละ แต่จะเพิ่มขึ้น คือ ค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ร้อยปีเพิ่มขึ้น
ปีหนื่ง เช่นเดียวกับตอนที่ลดลงนั่นเอง เพิ่มขึ้นไปเรื่อยไม่หยุดยั้ง จนกระทั่ง
มนุษย์มีอายุยืนนานถึงอสงไขยปีอีกตามเดิม เวลานานหนึ่งรอบอสงไขยปีนี่เอง
เรียกว่า อันตรกัป
เมื่อนับอันตรกัปที่ว่ามานี่ได้ หกสิบสี่อันตรกัป จึงเป็นหนึ่งอสงไขยกัป
ก็อสงไขกัปนี้มีอยู่ ๔ อสงไขยกัป คือ
๑. สังวัฏฏอสงไขยกัป ... ได้ แก่ ตอนที่โลกกำลังถูกทำลาย ซึ่งได้ แก่คำว่า
สงฺวฏฏดีติ สงวฏโฎ = กัปที่กำลังพินาศอยู่ เรียกว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป
๒. สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป ... ได้แก่ ตอนที่โลกถูกทำลายเลร็จแล้ว ซึ่ง
ได้แก่คำว่า สงฺวฏโฎ หุตฺวา ดิฏฐดีติ สงฺวฏฏฐายี = กัปที่มีแต่ความพินาศตั้งอยู่
เรียกว่า สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป
๓. วิวัฏฏอสงไขยกัป ... ได้แก่ ตอนที่โลกกำลังพัฒนาคือกำลังจะกลับคืน
เป็นปกติ ซึ่งได้แก่ คำว่า วิวฏฏตีติ วิวฏโฏ = กัปที่กำลังเาริญขึ้นเรียกว่า วิวัฏฏ
อสงไขยกัป
๔. วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป ...ได้แก่ ตอนที่โลกพัฒนาเรียบร้อยเป็นอันดีแล้ว
ซึ่งได้แก่ คำว่า วิวฺฏโฏ หุตฺวา ติฏฐตีติ วิวฏฏฐายี = กัปที่เจริญูขึ้นพร้อมแล้ว
คือทุกสิ่งทุกอย่าง ดั้งอยู่ตามปกติ เรียกว่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป
สัตว์โลกทั้งหลายเช่นมนุษย์เรานี้ เป็นต้น จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ได้ ก็เฉพาะ
ตอนอสงไขยกัปสุดท้าย คือ วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป นี่เท่านั้ น ส่วนตอนทั้งสาม
กัปข้างต้นนั้น ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตอาศัยอยู่เลย ก็จะอยู่ได้อย่างไรเล่า เพราะเป็น
ตอนที่โลกกำลังถูกทำลายพังพินาศ และผลมาเป็นปกติเอาเมื่อตอนอสงไขยกัป
สุดท้ายนี่เอง
อสงไขยกัปหนื่งๆ นั้นนับเป็นเวลานานมาก ดังกล่าวแล้ว คือ
๑. สังวัฏฏอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
๒. สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
๓. วิวัฏฏอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
๔. วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
รวมทั้ง ๔ อสงไขยกัป ก็เป็น ๒ อันตรกัป เวลาทั้งหมดนี้ เรียกว่า
๑ มหากัป
ที่พรรณนามาทั้งหมดนี้ รู้สึกว่าจะเขัาใจยากอยู่ลักหน่อย แต่ก็เป็นการจน
ใจเหลือวิลัยแท้ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรจึงจะอธิบายให้ง่ายกว่านี้ได้ อีกแล้ว
ความจริง การรจนาเรียบเรียงหนังสือเรื่องนี้ ตั้งใจจะให้ อ่านเขัาใจกันง่าย ๆ
เพราะโดยมากเป็นเรื่องราวนอกโลกมนุษย์ ใครที่เป็นคนเชื่อยาก เป็นผู้มากไป
ด้วยจินตามยปัญูญา ก็อาจทึกทักเอาว่าเป็นเรื่องไม่เข้าท่า ไม่น่าเชื่อฟัง แต่ว่า
ความจริงไม่ใช่ เพราะเป็นเรื่องดีที่ควรรู้ไว้ นักหนา รับฟังไว้ พิจารณาเถิด วันนี้
ไม่ศรัทธา แต่ว่าภายหน้าจะตัองเชื่อในเมื่อจิตใจเจริญขึ้นด้วยธรรมปฏิบัติ
ฉะนั้น ขณะนี้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก อ่านฟังกันต่อไปดีกว่า
ลำดับนี้ จะว่าด วยเรื่องกัปซ้ำ อีกที เพราะเท่าที่ว่ามาแล้วรู้สึกว่ายังขัด ๆ
อยู่ ยังไม่โล่งใจนัก เรื่องกัปนี้ เมื่อจะว่าซ้ำอีกที ก็นับได้ดังนี้
๑ มหากัป เท่ากับ ๔ อสงไขยกัป
๑ อสงไขยกัป " ๖๔ อันตรกัป
๑ อันตรกัป " ๑ รอบอสงไขยปี
หรือ
๑ รอบอสงไขยปี เป็น ๑ อันตรกัป
๖๔ อันตรกัป " ๑ อสงไขยกัป
๔ อสงไขยกัป " ๑ มหากัป
เอาละ... หวังว่า คงเป็นที่เข้าใจกันได้ง่ายขึ้นแล ว บัดนี้ เราจะพากันย้อน
กลับไปหาเรื่องเดิม คือ อายุของพระพรหมชั้นพรหมปาริสัชชาภูมิต่อไป
พระพรหมชั้นนี้ได้กล่าวไว้แล้วว่า มีอายุนานถึงหนึ่งในสามของวิวัฏฏฐายี
อสงไขยกัป ก็อันว่ากาลเวลาที่เรียกว่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัปนั้น ท่านผู้มี
ปัญญาคงทราบแล้วว่า นานถึงหกสิบลี่อันตรกัป ทีนี้ หนึ่งในสามของหกสิบสี่
เป็นเท่าไรเล่า? ก็คงเป็นยี่สิบเอ็ดเศษ ฉะนั้ น จึงเป็นอันยุติได้ว่า พระพรหมทั้ง
หลายผู้สถิตเสวยพรหมสมบัติอยู่ในพรหมปาริสัชชาภูมินี้ มีอายุยืนนานได้ ๒๑
อันตรกัปเศษ
บุรพกรรม ท่านผู้ที่จะมาอุบัติเกิดเป็นพรหมชั้นนี้ ได้แก่ ท่านที่เป็น
พราหมณ์ก็ดี โยคีหรือพระฤๅษีก็ดี ภายนอกพระพุทธศาสนา ซึ่งได้เจริญสมถ
ภาวนาบำเพ็ญพรตทำตบะ จนได้เป็นฌานลาภีบุคคลลำเร็จปฐมฌาน หรือ
สมณะพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา ผู้อุตสาหะกระทำสมถกรรมฐาน
ภาวนา จนได้สำเร็จปฐมฌานเช่นเดียวกัน แต่เป็นปฐมฌานชั้นเล็กนัอย มี
อำนาจอ่อนซึ่งเรียกว่า ปริตตปฐมฌาน ครั้นดับจิตตายในขณะฌานยังไม่เสื่อม
ย่อมมาอุบัติบังเกิดในพรหมโลกชั้นนี้ เสวยพรหมสมบัติอย่างสุขสำราญ สมกับ
ภาวนากรรมที่ทำไวั

65
1.สารกัป หมายถึง มหากัปที่มีแก่นสาร มหากัปใดที่ถูกเรียกว่า สารกัป แสดงว่ามหากัปนั้นจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาบนโลกเพียงแค่พระองค์เดียว
2.มัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่มีความผ่องใส มหากัปใดที่ถูกเรียกว่า มัณฑกัป แสดงว่ามหากัปนั้นจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาบนโลกทั้งหมดสองพระองค์
3.วรกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐ มหากัปใดที่ถูกเรียกว่า วรกัป แสดงว่ามหากัปนั้นจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาบนโลกทั้งหมดสามพระองค์
4.สารมัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐกว่าและมีแก่นสารมากกว่ามหากัปที่ผ่านๆมา มหากัปใดที่ถูกเรียกว่า สารมัณฑกัป แสดงว่ามหากัปนั้นจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาบนโลกทั้งหมดสี่พระองค์
5.ภัทรกัป หมายถึง มหากัปที่เจริญที่สุดและเกิดขึ้นได้ยากที่สุด มหากัปใดที่ถูกเรียกว่า ภัทรกัป แสดงว่ามหากัปนั้นจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาบนโลกมากที่สุดถึงห้าพระองค์ ซึ่งในช่วงของภัทรกัปนี้ ถือว่าเป็นมหากัปที่มีจำนวนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาบนโลกมากที่สุด และจะไม่มีมากกว่านี้อีก ด้วยเหตุนี้ ภัทรกัปจึงเป็นมหากัปที่ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายมีโอกาสจะกระทำอาสวะให้สิ้นไป ได้มากกว่ามหากัปอื่นๆทั้งหมด ส่วนในมหากัปที่พวกเรากำลังอยู่นี้ มีชื่อเรียกว่า ภัทรกัป ซึ่งถือว่าเป็นมหากัปที่เจริญที่สุดและเกิดขึ้นได้ยากที่สุด โดยจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นบนโลกมากที่สุดถึง 5 พระองค์ ซึ่งในกัปนี้ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาบนโลกไปแล้วถึง 4 พระองค์ได้แก่
1.พระกกุสันธสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของภัทรกัปนี้
2.พระโกนาคมนสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่สองของภัทรกัปนี้
3.พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่สามของภัทรกัปนี้   
4.พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่สี่ของภัทรกัปนี้
5.พระศรีอริยเมตไตรย คือผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัปนี้
สำหรับในยุคปัจจุบัน เราท่านผู้มีบุญทั้งหลายกำลังอยู่ในยุคของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถือว่าอยู่ในช่วงอันตรกัปที่ 12 และในอนาคตกาลอันไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ กล่าวคือ อีกเพียงอสงไขยปีเศษ พระศรีอริยเมตไตรย สัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาบังเกิดบนโลก ในช่วงอันตรกัปที่ 13 ซึ่งถือเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ห้า หรือพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้ และด้วยความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ทรงสั่งสมบารมีมาไม่เท่ากัน ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถแบ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เป็นสามประเภท ซึ่งพระพุทธเจ้าแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกัน
กว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จะได้มาตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จนได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นแสงสว่างให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น ทุกๆพระองค์จะต้องผ่านการบำเพ็ญเพียรและสั่งสมบารมีอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน มาเหมือนๆกัน แม้จะผ่านการบำเพ็ญเพียรมาเหมือนๆกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระยะเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงใช้ในการสั่งสมบารมีนั้น กลับมีระยะเวลาที่ไม่เท่ากัน ด้วยเหตุที่ระยะเวลาในการสั่งสมบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละพระองค์ไม่เท่ากันนี้เอง จึงได้มีการแบ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกเป็นสามประเภท ดังนี้ ประเภทแรก เรียกว่า พระปัญญาธิกพุทธเจ้า
หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสร้างบารมีโดยมีพระปัญญาอันแก่กล้า กล่าวคือ พระองค์ทรงมุ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้นำพาพุทธบริษัทสี่ทั้งหลาย  ซึ่งมีอยู่จำนวนหนึ่งแต่ไม่มากเข้าสู่พระนิพพาน สำหรับพระปัญญาธิกพุทธเจ้านั้น พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการสั่งสมบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยมหากัป กับเศษอีกแสนมหากัป ถ้าจะให้แบ่งระยะเวลาในการสั่งสมบารมีของพระปัญญาธิกพุทธเจ้า สามารถแบ่งได้เป็นสามระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1.เป็นช่วงระยะเวลาที่พระองค์ทรงสั่งสมบารมี พร้อมกับมีพระดำริ หรือทรงตั้งความปรารถนาในการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ในพระทัย โดยที่ไม่ได้เอ่ยปากบอกใคร สำหรับระยะเวลาในการสั่งสมบารมีในช่วงนี้ พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มบารมีราว 7 อสงไขยมหากัป
ระยะที่ 2.เป็นช่วงระยะเวลาที่พระองค์ทรงสั่งสมบารมี พร้อมกับทรงเปล่งพระวาจา หรือทรงตรัสบอกถึงความปรารถนาในการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กับบุคคลอื่นๆได้รับรู้ นอกจากนี้ ยังเป็นช่วงที่พระองค์กำลังทรงสั่งสมบารมีให้แก่รอบยิ่งๆขึ้นไปอีกด้วย สำหรับระยะเวลาในการสั่งสมบารมีในช่วงนี้ พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มบารมีอีก 9 อสงไขยมหากัป
ระยะที่ 3.เป็นช่วงระยะเวลาที่พระองค์ทรงสั่งสมบารมี จนได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งแรกว่า “ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า พระองค์จักได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง อย่างแน่นอน สำหรับระยะเวลาในการสั่งสมบารมีในช่วงนี้ พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มบารมีอีกถึง 4 อสงไขยมหากัป กับเศษอีกแสนมหากัป
ซึ่งในส่วนของพระสมณโคดมสัมพุทธเจ้าของพวกเรานั้น พระองค์ทรงจัดอยู่ในประเภท พระปัญญาธิกพุทธเจ้า  หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระปัญญาอันแก่กล้านั่นเอง 
ใน จักกวัตติสูตร ได้บันทึกเอาไว้ว่า ในยุคต้นกัปนั้น การที่มนุษย์มีอายุขัยลดลง เริ่มจากมนุษย์ประพฤติอกุศลกรรมบถ 10 ประการ พระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงประพฤติจักรพรรดิวัตร ทรงตัดสินไม่เที่ยงธรรม ไม่พระราชทานทรัพย์แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนจึงบังเกิดขึ้น เมื่อความขัดสนมีมากเข้าจึงทำให้เกิดการลักขโมย เมื่อมีการลักขโมยมากขึ้นศัสตราวุธจึงเพิ่มขึ้น พอมีอาวุธ มนุษย์ก็อยากใช้ฆ่าและทำร้ายกัน เมื่อการทำปาณาติบาตเพิ่มมากขึ้น มุสาวาทก็ได้ถึงความแพร่หลาย ทำให้การพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย อายุของมนุษย์จึงเสื่อมถอย ลูกของมนุษย์ที่มีอายุแปดหมื่นปี จึงมีอายุถอยลงเหลือสี่หมื่นปี สองหมื่นปี และหนึ่งหมื่นปี ตามลำดับรุ่นลูก หลาน เหลน โหลน หลิน แหล่ ในเมื่อมนุษย์มีอายุหนึ่งหมื่นปี การประพฤติล่วงละเมิดบุตร ภรรยา หรือสามี ของคนอื่นมีมากขึ้น ทำให้ลูกที่เกิดมามีอายุถอยลง เหลือห้าพันปี เหลือสองพันห้าร้อยปีก็มี สองพันปีก็มี มนุษย์ในช่วงอายุสองพันปีจะมีอภิชฌาและพยาบาทหนาแน่นมากขึ้น ทำให้ลูกที่เกิดมามีอายุถอยลงเหลือหนึ่งพันปี ในยุคที่มนุษย์มีอายุหนึ่งพันปี มิจฉาทิฐิมีมากขึ้น เป็นเหตุให้ลูกที่เกิดมามีอายุลดลงเหลือห้าร้อยปี รุ่นต่อมาเหลือสองร้อยห้าสิบปีบ้าง สองร้อยปีบ้าง ในยุคที่มนุษย์มีอายุราวสองร้อยห้าสิบปี หรือสองร้อยปี มนุษย์จะไม่ปฏิบัติชอบในบิดามารดา ไม่เคารพสมณะ ไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ทำให้ลูกที่เกิดมาภายหลังมีอายุถอยลงเหลือหนึ่งร้อยปี  ช่วงที่มนุษย์มีอายุขัยลดลงจากหนึ่งร้อยปี ถึง สิบปี ไม่ปรากฏในพระไตรปิฎกแต่ปรากฏในคัมภีร์โลกสัณฐานว่า ทุกๆหนึ่งร้อยปี มนุษย์จะมีอายุขัยลดลงหนึ่งปี

66
คำว่า มหากัป หมายถึง ระยะเวลารวม 256 อันตรกัป แห่งการพินาศอยู่ ความว่างเปล่า ความเจริญขึ้น และตั้งขึ้น ของ อสงไขยกัปทั้ง 4 คือ
อสงไขยกัป ที่ 1 ชื่อว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป มีระยะเวลา 64 อันตรกัป เป็นอสงไขยกัปจักรวาลซึ่งมีแสนโกฏิจักรวาล กำลังพินาศอยู่
อสงไขยกัป ที่ 2 ชื่อว่า สังวัฏฐายีอสงไขยกัป มีระยะเวลา 64 อันตรกัป เป็นอสงไขยกัปที่ว่างเปล่า เพราะจักรวาลถูกทำลายไปจนหมดสิ้น
อสงไขยกัป ที่ 2 ชื่อว่า วัฏฏอสงไขยกัป มีระยะเวลา 64 อันตรกัป เป้นอสงไขยที่จักรวาลกำลังเจริญขึ้นไปตามลำดับ
อสงไขยกัป ที่ 2 ชื่อว่า วิวัฏฐายีอสงไขยกัป มีระยะเวลา 64 อันตรกัป เป็นอสงไขยกัป ที่จักรวาลได้ตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว มนุษย์และหมู่สัตว์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นในโลกธาตุได้แต่เฉพาะอสงไขยกัปนี้เท่านั้น

67
คำว่า อสงไขย หมายถึง แผ่นดินแห่งมหากัปอันนับประมาณมิได้ จำแนกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สุญญอสงไขย แผ่นดินแห่งมหากัปอันนับประมาณมิได้ที่สูญเปล่าจาก บุคคลผู้บริบูรณ์ด้วยคุณทั้งปวงคือ
1.0 สูญเปล่าจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้โดยชอบโดยพระองค์เอง แล้วทรงสอนผู้อื่นให้ตรัสรู้ตาม
1.1 สูญเปล่าจากพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ดีโดยชอบเฉพาะพระองค์เอง แต่ไม่อาจสอนผู้อื่นให้ตรัสรู้ตาม
1.2 สูญเปล่าจากอริยสาวก ผู้สดับฟังคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตรัสรู้ตาม
1.3 สูญเปล่าจากพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

2. อสุญญอสงไขย แผ่นดินแห่งมหากัป อันนับประมาณมิได้ ที่สูญเปล่าจาก บุคคลผู้บริบูรณ์ด้วยคุณทั้งปวงคือ
1.0 ไม่สูญเปล่าจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้โดยชอบโดยพระองค์เอง แล้วทรงสอนผู้อื่นให้ตรัสรู้ตาม
1.1 ไม่สูญเปล่าจากพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ดีโดยชอบเฉพาะพระองค์เอง แต่ไม่อาจสอนผู้อื่นให้ตรัสรู้ตาม
1.2 ไม่สูญเปล่าจากอริยสาวก ผู้สดับฟังคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตรัสรู้ตาม
1.3 ไม่สูญเปล่าจากพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

68
ในอนาคตกาล ในช่วงที่อายุ กัป ลดลงเหลือ 80,000 ปี ใน อันตรกัป ที่ 13 ของ อสงไขยกัป ที่ 4 แห่ง มหาภัทรกัป ปัจจุบัน ในกาลนั้น สิริมหามายาเทพบุตร จักทรงจุติจากดุสิตเทวโลก ลงมาปฏิสนธิในมนุษย์โลก เพื่อบังเกิดเป็นพุทธมารดาของ พระศรีอริยเมตไตรย มหาโพธิสัตว์ และ พระ นาถเทวเทพบุตร จักทรงจุติจากดุสิตเทวโลก ลงมาปฏิสนธิบังเกิด เป็น พระศรีอริยเมตไตรย มหาโพธิสัตว์พระองค์นั้น และจักทรงตรัสรู้เป็น พระศรีอริยเมตไตรย สัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 และเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายแห่งมหาภัทรกัปนี้

จนถึงกาลสิ้นยุคแห่งพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ 5 มหาภัทรกัป อันแผ่นดินโลกธาตุ
ปัจจุบันก็จักสูญสิ้นจากพระพุทธศาสนาเป็นเวลานาน จนถึงมี ไฟบัลลัยกัลป์ มาเผาผลาญล้างแผ่นดินทั่วทั้งแสนโกฏจักรวาลให้พินาศไปจนหมดสิ้น ต่อแต่นั้นชั่วกาลนาน จึงจักบังเกิดมีแผ่นดินโลกธาตุตั้งใหม่ขึ้น แต่แม้จักมีมนุษย์และหมู่สัตว์เป็นอันมากมาบังเกิด แต่ผืนแผ่นดินนั้นก็แผ่นดินแห่ง สุญญมหากัป อันสูญเปล่า เพราะจักไม่มีพระโพธิสัตว์ เสด็จอุบัติ ลงมาตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใหม่เป็นเวลาชั่วกาลนานถึง 1 สุญญอสงไขย ฉะนั้นใครที่ไปเกิดในช่วงนั้นจักเสียเวลาเปล่า และคงมีแต่อบายภูมิเป็นสัมปรายภพของสัตว์เหล่านั้น ฉะนั้นจงตั้งจิต อธิษฐาน ปรารถนาไปพบ พระศรีอารย์ เพื่อฟังธรรม และบรรลุธรรมในพุทธันดรหน้านี้เสียเถิด

69
นานาสาระและเสวนาทั่วไป / นานาสาระ
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2012, 12:20:18 AM »
 :) มาโพสกระทู้นานาสาระและเสวนาเรื่องทั่วไปในห้องนี้กันนะครับ

70

พุทธัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ
ธัมมัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ
สังฆัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ

 
ขอตั้งสัจจะอธิษฐานขอกราบขออาราธนาเมตตาบารมีรวมหลวงปู่ทวด
หลวงปู่ดู่ท่านอันเป็นที่สุด ขอหลวงปู่ได้โปรดมีเมตตาอารธนาบารมีรวม
ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตั้งแต่องค์ปฐมจนถึงองค์ปัจจุบัน
บรมมหาจักรพรรดิ์ทุกๆพระองค์ บารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์
พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต
บารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ท่านอันเป็นที่สุด บารมีรวมหลวงตาม้าเป็นต้น

ขอบารมีหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำภพภูมิต่างๆทั้งหลายในทั่วทั้ง 3 แดนโลกธาตุ
อันประกอบไปด้วยเทพ 6 ชั้นพรหม 20 ชั้น เทพพรหมทุกชั้นฟ้ามหาสมุทรโดย
ทั่วทั้งแสนหมื่นโกฎิจักรวาล เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า
เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าโดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต
 
ท่านท้าวจตุมหาราชทั้ง4 พระยายมราชพร้อมบริวารโดยทั้งหมด
พระศรีสยาเทวาธิราชโดยทุกๆพระองค์วีรบุรษและวีรสตรีทั้งหลาย
ที่คอยปกป้องรักษาแผ่นดินสยาม โอปาติกะทั้งหลาย
 
ฤาษีและดาบสทั้งหลายศาลเจ้าพ่อหลักเมืองโดยทุกๆจังหวัด พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง
พระราหูวราหก เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย
พญาครุฑพร้อมบริวาร พญานาคพร้อมบริวาร คนธรรณ์ ชาวเมืองลับแล
และสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยไปอธิษฐานไว้
 
ขอหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำท่านทั้งหลายมาพร้อมกันเพื่อเพิ่มกำลัง
ในการบำเพ็ญบารมีเพื่อให้เหล่าพระโพธิสัตว์ผู้ปราถนาพุทธภูมิ
ได้ถึงซึ่งพระโพธิญาณได้ตรัสรู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์หนึงในกาลข้างหน้านั้นเทิอญ
. . .


71
เชิญชวนหน่อพุทธภูมิทั้งหลายมาแนะนำตัวและแลกเปลี่ยน
แนวทางการบำเพ็ญบารมีของแต่ละท่านในกระทู้นี้

 
ส่วนตัวผมปราถนาพุทธภูมิ รู้ระลึกตนว่าเป็นประเภท ศรัทธาธิกะ
ตั้งแต่ตอนเด็กๆ จากนั้นก็ปฎิบัติธรรม สร้างบารมีสืบต่อมาเรื่อย

โดยตามรอยการสร้างบารมีสายโพธิญาณ
อันมีครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพและมีบุญสัมพันธ์เป็นแนวทาง
แนวการปฎิบัติของผมนั้น ผมเรียนกรรมฐานสายพุทธภูมิ
มาจากครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์
และพระอริยะ เมตตาชี้แนะอบรมสั่งสอน

"อิมินา ปุญญะกัมเมนะ พุทโธ โหมิ อะนาคะเต กาเล"
จะมั่นคงในปณิธานจนกว่าจะถึงซึ่งพระโพธิญาณ . . .

ยินดีที่ได้รู้จักครับ . . .

72

ดวงจิตจะมีขั้นตอนการเวียนว่ายตายเกิดทั้ง ๕ ระยะดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งกว่าจะได้บรรลุธรรม พ้นความทุกข์นั้น จะต้องผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมายาวนานแตกต่างกัน หากหลงทางก่อกรรมทำเข็ญมาก และไม่มีสติรู้สำนึก ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดชดใช้กรรมต่อไปอีกยาวนาน กว่าที่กรรมจะเบาบางจนเกิดดวงตาเห็นธรรมได้ ดวงจิตต่างๆ ทั้งสามประเภท คือ พุทธภูมิ, ปัจเจกภูมิ และสาวกภูมิ นี้ ต่างก็ต้องผ่านกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดนี้เช่นกัน โดยช่วงแรกดวงจิตจะยังไม่มีความแตกต่างกัน ดวงจิตจะมาจากแหล่งเดียวกันก่อน มีความบริสุทธิ์ประภัสสรเหมือนกันมาก่อน เมื่อได้รับการเพาะบ่มพลังจนพร้อมที่จะเวียนว่ายตายเกิดแล้ว จึงเริ่มเข้าสู่สังสารวัฏ หรือกระบวนการเวียนว่ายตายเกิด จากนั้น ก็จะเข้าสู่ช่วงทีมีความหลากหลายเกิดขึ้น โดยผลจากกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดของดวงจิต ก็เริ่มถูกพัฒนาให้แตกต่างกันไปเป็นสามแบบดังกล่าว มีดังนี้


๑) พุทธภูมิ


คือ บุคคลที่มี "มโนธาตุ" หรือจิต ที่มุ่งช่วยเหลือสรรพสัตว์ ยังไม่ยอมหลุดพ้นไปเพียงผู้เดียว บางครั้งบางชาติ ยังไม่ได้มีการปรารถนาพุทธภูมิ กล่าวคือ ยังนึกไม่ออกว่าจะต้องบรรลุนิพพานก่อนจึงจะสอนให้คนหมดทุกข์ได้อย่างแท้จริง จึงช่วยเหลือคนทั่วไป เช่น ช่วยชีวิตคนไข้ แม้ไม่ได้อยู่ในหน้าที่หรือตนไม่ได้มีตำแหน่งก็ตาม ฯลฯ และไม่ยอมหลุดพ้นสู่นิพพาน ดังนั้น จึงเกิดและตายวนเวียนในสังสารวัฏ ตราบเมื่อได้พบพระพุทธเจ้า และได้ฟังธรรม จนเห็นหนทางที่ตนจะบรรลุความปรารถนาแล้ว ก็เกิดความมั่นใจศรัทธาตรงต่อการเป็นพระพุทธเจ้า ในชาตินั้น จึงปรารถนาพุทธภูมิ เป็นพระโพธิสัตว์เต็มองค์ บุคคลที่เวียนว่ายตายเกิดหลายชาติเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า แบ่งออกเป็น ๕ ระยะ ดังนี้คือ


ก่อนพุทธภูมิ


เมื่อจุติในสังสารวัฏแรกๆ จวบจนกระทั่งเริ่มมีบารมีโดยธรรมชาติ ได้เกิดเป็นหัวหน้าคณะ ช่วงนี้ยังไม่รู้ตัว และยังไม่มีความปรารถนาพุทธภูมิ ยังหลงทางในสังสารวัฏ ยังไม่รู้จะเวียนว่ายตายเกิดไปเพื่ออะไร แต่จะเป็นหัวหน้าที่ดี มีความเมตตาดูแลบริวารในปกครองอย่างดี จึงจะเป็นพุทธภูมิได้ ยกตัวอย่างเช่น พระสารีบุตรในอดีตชาติ ที่ได้เกิดเป็นหัวหน้าคนมากมาย เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดจนบริวารสำเร็จอรหันต์ทั้งหมด ตนเองมีปัญญาสูงกว่าแต่ยั้งใจ เพราะปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าสมณโคดม จึงได้มาเกิดเป็นพระสารีบุตร ซึ่งยังไม่รู้ว่าตนเองปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า จนเมื่อได้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาแล้ว พระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็ได้แสดงธรรมโดยอ้อมถึงสุขาวดี ในที่สุดพระสารีบุตรก็รู้ตัวว่าปรารถนาพุทธภูมิ นอกจากนี้พุทธภูมิบางท่าน ก็จุติมาจากภาคแบ่งของดวงจิตพระมหาโพธิสัตว์ หรือพระพุทธเจ้าบางพระองค์ ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้ดีมากกว่าดวงจิตคนอื่นๆ และบำเพ็ญเพียรได้รวดเร็วกว่า จะดวงจิตลักษณะนี้ จะไม่ลัดเข้าแย่งลำดับการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จากพระโพธิสัตว์อื่นๆ จะหลีกทางให้ผู้อื่นเป็นพระพุทธเจ้าแทนตน


เลือก-ลอง-หลง (แรกรู้ตน)


เมื่อรู้ตนเองว่าปรารถนาพุทธภูมิแล้ว จะรู้สึกเบื่อสิ่งต่างๆ ทางโลก รอหรือเริ่มค้นหาสิ่งที่เหนือกว่าขึ้นไป แต่ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร สมควรจะทำอะไร จวบจนได้พบพระพุทธเจ้า ก็จะทำการปรารถนาพุทธภูมิ ยกตัวอย่างเช่น พระสังขจักร เมื่อได้ข่าวว่ามีพระพุทธเจ้าสิริมิตรเกิดขึ้นแล้วในโลก ก็สละราชบัลลังก์ แล้วเดิมทางมุ่งไปยังที่ประทับของพระพุทธเจ้า และตัดเศียรบูชาพระพุทธเจ้า จึงได้จุติเป็นพระโพธิสัตว์ที่สวรรค์ชั้นดุสิต หลังจากรู้ตนนี้ จะไม่หลงในสังสารวัฏอีก เพราะเข้าใจว่าจะตายเกิดในสังสารวัฏไปเพื่ออะไร และจะเริ่มเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรทศบารมีเพื่อพุทธภูมิอย่างชัดเจน ในขั้นแรกรู้ตนนี้ บางท่านยังไม่ได้ทำการถวายพุทธบูชาด้วยสิ่งต่างๆ แต่บางท่านก็ถวายสิ่งต่างๆ เป็นพุทธบูชาเลย ตั้งแต่ ทรัพย์, อวัยวะ, และชีวิต เป็นต้น ซึ่งแม้ถวายชีวิตแล้วก็ยังบารมีไม่ถึง ๓๐ ทัศ ยกตัวอย่างเช่น อดีตชาติของพระโพธิสัตว์พระยามาราธิราช ซึ่งได้เกิดเป็นขุนนางของพระราชาที่ประกาศห้ามผู้อื่นใดไปถวายพุทธบูชาก่อนตน หากฝ่าฝืนต้องโทษประหาร แต่ขุนนางผู้นั้นไม่สนใจ จึงถวายข้าวห่อเป็นพุทธบูชาประกอบกับพระพุทธเจ้าเพิ่งเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติ ผลบุญจึงมีมากมาย สุดท้ายต้องโทษประหาร ยอมตายเพราะพุทธบูชานั้น และยังผลให้ไปเกิดเป็นพระยามาร จวบจนหลังพุทธกาล ๒๐๐ ปีแล้ว พระอุปคุตจึงมาปราบพระยามารลง พระโพธิสัตว์จึงทรงละทิฐิมานะ และพ้นจากความเป็นมาร มีบารมีเต็ม ๓๐ ทัศ (หากบารมีเต็ม ๓๐ ทัศ จะได้อานิสงค์ไม่เกิดเป็นพระยามาร) ดังนั้น แม้จะฆ่าตัวตายเป็นพุทธบูชาแล้ว ยังต้องเกิดอีกเพื่อชดใช้กรรมและบำเพ็ญบารมีตัวอื่นๆ ให้เต็มด้วย


บำเพ็ญพุทธภูมิ


ในการบำเพ็ญบารมีของพุทธภูมินั้น จะบริจาคทรัพย์จนหมดก่อนจึงเรียกว่า บารมี ๑๐ ทัศ จากนั้นจะอุทิศแรงกายจนอาจต้องเสียสละเลือดเนื้อหรืออวัยวะ เช่น การออกศึก ปกป้องประเทศ ช่วยเหลือมวลมนุษย์ หรือ การบริจาคอวัยวะถวายเป็นพุทธบูชาจึงเรียกว่า บารมี ๒๐ ทัศ จากนั้น จะเข้าสู่การเสียสละชีวิต เช่น การยอมตายเพื่อผู้อื่น, ฆ่าตัวตายถวายพุทธบูชา จึงได้เข้าสู่บารมี ๓๐ ทัศ ช่วงนี้แบ่งได้เป็นสามระยะคือ
บารมีต้น ช่วงเสวยบุญเป็นเศรษฐี มีทรัพย์ในการทำบุญทำทานได้มากมาย เป็นช่วงที่ดวงจิตหลังได้รู้ตนเองว่าปรารถนาพุทธภูมิแล้ว จะบำเพ็ญ "ทศบารมี" ในขั้นต้น ในขั้นนี้พระโพธิสัตว์ จะทรงใช้ "ทรัพย์สิน" ในการบำเพ็ญเพียรเสียโดยมาก จะเกิดมาร่ำรวย เป็นผลบุญจากการได้ถวายพุทธบูชา จะได้มาเกิดในพระพุทธศาสนาและทำนุบำรุงพุทธศาสนาด้วยทรัพย์ของตนนั้น แต่ยังไม่สามารถที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงหรือบริหารงานด้านพุทธศาสนามากนัก ช่วงนี้ จะไม่ได้พบพระพุทธเจ้า จำต้องบำเพ็ญเพียรด้วยความคิดของตนเอง ไม่มีผู้ใดสั่งสอน จึงมีทั้งทำดีและทำพลาดไปบ้าง แต่ผลยังไม่ขยายวงกว้างนัก ได้ทั้งผลบุญและบาปกรรมเปื้อนติดตัวไประดับหนึ่ง ยังไม่มีบริวารมากนัก ความเสี่ยงที่จะทำงานผิดพลาดจึงยังน้อย เพียงสะสมคุณงามความดีเบื้องต้นไปก่อน ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมที่เลวร้ายได้ กำลังบารมียังไม่พอ
บารมีกลาง ช่วงเสวยบุญเป็นราชามีอำนาจและบริวารมากมายทำกิจได้มาก เป็นช่วงที่ดวงจิตมีบุญบารมีมากมาย เหนือกว่ามารในสวรรค์ชั้นสูงสุด เป็นผลจากการบำเพ็ญบารมีที่สะสมมา จะมีทั้งบริวารมากมาย และทรัพย์มากมาย ในขั้นนี้ จะเริ่มเปลี่ยนแปลงสังคมตามความคิดของตนเอง ทำให้พระโพธิสัตว์อาจจะเริ่มหลงทาง เพราะหลงในผลบุญที่มีมากมายนั้น เริ่มได้รับอนุญาตให้เกิดมาพร้อมทรัพย์สินและบริวาร และเริ่มได้ปกครองประเทศ ได้เกิดเป็นพระราชา ซึ่งหากปกครองประเทศได้ดี ก็จะได้ผลบุญมากก็จะยิ่งต่อยอดบุญได้มากขึ้นไปอีก หากหลงทางก็จะกลายเป็นมารได้ จะต้องไปจุติยังสวรรค์ชั้นมาร เพื่อปกครองพวกมารอยู่ยาวนาน ต้องเป็นมารเพื่อปกครองมารได้ และรอเวลาอีกยาวนานกว่าจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกรอบหนึ่ง


บารมีปลาย เป็นช่วงที่ดวงจิตมีบุญบารมีสูงสุด พร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เนื่องจากได้พ้นภพมารแล้ว ได้ละเลิกทิฐิจากความเป็นมารแล้วเพราะได้พบกับคู่ปรับแล้ว แต่ยังมีกรรมที่สะสมมาในแต่ละชาติต้องชดใช้ จากนั้น จึงมาเกิดเป็นคนยากจน ไร้ทรัพย์สินและบริวาร เพื่อแสวงหาสิ่งที่เป็นพื้นฐานธรรมดา เหมือนพระพุทธเจ้าช่วงที่ทรงสละราชสมบัติเพื่อออกผนวช ซึ่งไม่สนใจลาภยศเงินทอง หรือเรื่องราวความวุ่นวายทางโลก ใช้เพียงลำพังตัวคนเดียว ด้วยกำลังสติปัญญา ยังความเมตตาโปรดสัตว์ ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าในชาติที่ทรงปราบ "รากษส" ทรงเกิดเป็นคนยากจน และมีแม่ที่อดอยาก ดังนั้น จึงทรงอาสาปราบรากษสเสี่ยงตายเพื่อหาเงินเลี้ยงแม่ จนในที่สุด ปราบรากษสได้ด้วยตัวคนเดียว เป็นต้น ช่วงบารมีปลายนี้ยิ่งต้องระวังกรรมที่เปื้อนไปสู่ชาติที่ได้ตรัสรู้ให้มาก เพราะหากยังมีเศษกรรมเปื้อนไป ก็จะยังผลให้พระศาสนาในชาติที่ตรัสรู้นั้น ได้รับผลกรรมไปด้วย เช่น การฆ่ารากษสของพระพุทธเจ้าในชาติที่บำเพ็ญเพียร ยังผลให้ท่านมีอายุเพียง ๘๐ พรรษา ไม่อาจทำกิจตามพุทธศาสนาได้สมปณิธานที่ตั้งใจ ในชาติที่บำเพ็ญบารมีปลาย จึงต้องใช้ "ปัญญาและเมตตา" ให้มากขึ้น แม้มีสิ่งยั่วยุก็ตาม เพื่อไม่ให้กรรมเปื้อนติดตนไปในชาติสุดท้าย


ไถ่ถอนกรรมเก่า


นอกจากจะได้บารมีครบ ๓๐ ทัศแล้ว ในระยะต่อมายังต้องมาเติมบารมีตัวอื่นในทศบารมีให้เต็มอีกด้วย จากนั้นยังต้องชดใช้กรรมเก่าที่ได้สร้างสมมาในชาติต่างๆ ให้เบาบางลงไป เพื่อไม่ให้ผลกรรมเปื้อนและกระทบชาติสุดท้ายที่ตรัสรู้ ดังนั้น เมื่อบารมีครบ ๓๐ ทัศแล้ว ยังต้องบำเพ็ญบารมีต่ออีกสองระยะ จุดนี้จะมีความแตกต่างกันระหว่างพุทธภูมิ ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งจะเรียกว่า "พระโพธิสัตว์" กับพุทธภูมิที่ปรารถนาช่วยสรรพสัตว์ตลอดไป ไม่หวังเป็นพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า "พระมหาโพธิสัตว์" เนื่องจากพระโพธิสัตว์ จะบำเพ็ญทศบารมีให้เต็ม จะก่อกรรมน้อย จะเปลี่ยนแปลงสังคมที่ผิดไปน้อยกว่า และชดใช้กรรมให้เบาบาง แต่สำหรับพระมหาโพธิสัตว์แล้ว จะบำเพ็ญดุจดั่งเช่น พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง อันเป็นแนวการสอนของพระอมิตาภพุทธเจ้า ที่ให้พระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลาย ช่วยสรรพสัตว์เช่นนั้น ดังนั้น พระมหาโพธิสัตว์จะมีบทบาทปราบมาร เปลี่ยนแปลงสังคมมากกว่าพระโพธิสัตว์


ซักฟอกมโนธาตุ


เมื่อผ่านระยะการชดใช้กรรมจนเบาบางสิ้นแล้ว ชาวพุทธภูมิจะเริ่มเดินตามความปรารถนาของตน ทั้งนี้ เมื่อพุทธภูมิมีบารมีครบ ๓๐ ทัศ กล่าวคือ นับจากชาติที่ได้สละชีวิตถวายเป็นพุทธบูชาแล้ว พุทธภูมิจะมีแนวทางในการบำเพ็ญสองสาย สายที่หนึ่ง จะบำเพ็ญตรงทางไปตามเดิมคือ บำเพ็ญทศบารมีที่เหลือให้เต็มและหลีกเลี่ยงกรรม ชดใช้กรรมในอดีตที่ติดตัวมาให้มาก เพื่อรอคิวตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในยุคสมัยที่เหมาะสมกับความปรารถนาของตน จนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็จะซักฟอกมโนธาตุให้บริสุทธิ์ และทำหน้าที่พระพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ ส่วนสายการบำเพ็ญแบบที่สอง จะไม่รอคิว และไม่สนใจที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ แต่จะทำกิจดุจดั่งเช่น พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในชาติต่อไปทันที คือ การบำเพ็ญ "ยูไล" หรือ การอุทิศชีวิตเคลื่อนพระธรรมจักร ให้พุทธศาสนาดำเนินต่อไปอย่างถูกมรรคถูกผล ได้ถึงนิพพาน ไม่หลงออกไปสู่ทางอื่น และจะบำเพ็ญเช่นนี้เรื่อยๆไป จึงเรียกว่า "มหาโพธิสัตว์" ซึ่งจะซักฟอกมโนธาตุจนบริสุทธิ์จากกิเลสและยังสามารถเกิดใหม่ได้อีก 


73
คาถาภูตพระพุทธเจ้า ของหลวงปู่ดู่

พุท ธะ สัง วิ หะ ระ ตัง ปุญ ญัง วะ ทา

มีความหมายโดยย่อคือ ด้วยอานุภาพแห่งการนอบน้อมในพระพุทธเจ้า
พระสัจจธรรม และพระอริยสงฆ์ ขอให้จิตของข้าพเจ้าจงเป็นวิหารที่สถิตซึ่ง...
พระพุทธบารมี พระธรรมบารมี และพระสังฆบารมี อันไม่มีประมาณ
 
คาถาตั้งองค์พระพุทธนิมิตของหลวงปู่ดู่พุทธะสังมิ ธะสังมิพุท สังมิพุทธะ มิสังธะพุท มหาภูตัง


พุทธะนิมิตตัง ธรรมะนิมิตตัง สังฆะนิมิตตัง วิหะระตัง
ปุญญังวทามิ พุทธะสัง จตุภูตัง วิหะระตัง ปุญญัง
วทามิ พุทธะสัง วิหะระตัง ปุญญัง วทามิ


คาถาบทนี้ของหลวงปู่ดู่เป็นคาถาที่ใช้กำลังใจทางจิตสูง กล่าวคือผู้ที่จะใช้ใจต้องสบายจึงจะสามารถตั้งองค์พระได้ และหากได้กำลังสมาธิที่ละเอียดขึ้นเท่าไรก็จะยิ่งพิศดารมากยิ่งขึ้นเท่านั้น คาถานี้ใช้ในการตั้งองค์พระเพื่อน้อมนำบารมีปลุกเสก หรือ รวมกำลังบุญแบบเต็มกำลังเพื่อแผ่ โดยหากเป็นกรณีหลัง ให้ตั้งองค์พระไว้ในอก ในใจ จิต คำว่า "ตั้งองค์พระได้" คือให้จิตเห็นภาพพระพุทธเจ้า ก็คือเห็นเป็นพระพุทธรูปที่เรารู้จักและรู้สึกเคารพอย่างเช่นพระพุทธชินราชหรือเป็นภาพพระพุทธเจ้าทรงเครื่องจักรพรรดิ์ ให้ภาพท่านปรากฎได้อย่างชัดเจนในความคิดของเรา อารมณ์จิตคือนึกถึงภาพพระเมื่อไรก็กำหนดเห็นได้ทันที
 
สองคาถานี้มีประโยชน์มากสำหรับพุทธภูมิหากนำไปใช้ในการสร้างบารมี
ซึ่งหลักการใช้คาถาสองคาถานี้โดยพิศดารมีอยู่ตามที่ผมเรียนมากับหลวงตาม้า

 
หากมีผู้สนใจไว้ผมจะลงในรายละเอียดแนะนำแลกเปลี่ยนแนวทางในโอกาสต่อไปครับสาธุ . . .
:)

74
อภิญญาปฎิบัติ / การดูกายทิพย์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2012, 10:39:27 PM »




ขอนำเรื่องราวบางอย่างที่ผมได้เรียนรู้มาจาก
หลวงตาม้าสมัยบวชเรียนอยู่กับท่านที่วัดถ้ำเมืองนะ
นำมาถ่ายทอดเรียบเรียงเป็นบทความนี้เป็นธรรมทานครับ 
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย


การดูกายทิพย์และวิธีการทรงกายจักรพรรดิ


ร่างกายที่เราใช้ในการดำเนิน ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เป็นแค่     
ธาตุ 4 ที่รวมตัวกันขึ้นมา ประกอบเป็นสิ่งที่โลกๆเรียกว่า
เราแต่แท้จริงแล้วนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีส่วนไหนในร่างกายอันเน่าเหม็นสกปรกนี้     
ที่เป็นเราแม้แต่อย่างเดียว ทุกอย่างกำลังแก่ตัวลงตามกาลและเวลาและในไม่ช้า
จะสลายตัวคืนสู่ธรรมชาติไปในที่สุด


กายทิพย์ คือรูปและนามที่ประกอบขึ้นจากจิต และมีความเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะอารมณ์ของ จิต กายทิพย์คือกายที่ซ้อนอยู่ในกายเน่าๆกายนี้ กายเน่าๆกายนี้ที่กายทิพย์ซ้อนอยู่ เป็นเพียงเปลือกเท่านั้น ทุกวันนี้เราเหมือนตัวทากที่อาศัยอยู่ในเปลือก ซึ่งเปลือกนี้แลที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะดำรงอยู่ในภพมนุษย์ได้ เมื่อเปลือกแตกไป จิต กายทิพย์นี้ก็ไม่อาจทรงอยู่ในภพมนุษย์ได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นที่ๆเราเอาร่างกายเนื้อมารับกรรม ใช้กรรม หรือ มาสร้างบุญบารมีมาปฎิบัติ ฯลฯ  ต่อไปนี้จะลงลึกในส่วนกายทิพย์ ซึ่งเป็นรูปและนามที่ประกอบขึ้นถูกตกแต่งจาก อำนาจกรรม (ใครจะใหญ่เกินกรรม) และ สภาวะจิต ที่ส่งผลต่อกายทิพย์โดยตรงว่าจะมีรูปร่างเช่นไร


กำหนดดูกายทิพย์


หากกำหนดดู ให้ทำใจให้สบายๆ อธิษฐานขอกำลังบารมีรวมหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ขอดูเพื่อศึกษา แล้วกำหนดไป จับอารมณ์แรก จิตจะเห็นถึงกายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องเกร็งวางใจสบายๆ ทรงอารมณ์กระแสหลวงปู่ที่ไหลผ่านเข้าสู่จิตเราให้มีกำลัง แล้วน้อมไปอารมณ์คล้ายการนึกแล้วเห็น แต่ไม่ใช่อุปาทาน ขอแค่ใจสบายและอาราธนากำลังหลวงปู่มาก่อนกำหนดทุกครั้ง แล้วไม่ต้องลังเลไม่ต้องสงสัย ให้มีความกล้า นึกกำหนดไป หลวงตาเมตตาสอนว่าอุปาทานต่างๆ หลวงปู่ท่านคุมปิดให้หมด เราไม่ต้องกังวล


นิมิตที่เห็นนั้นจริงทุกประการ ซึ่งหลักการนี้ยังใช้กับการกำหนดดูภพภูมิด้วย และที่สำคัญที่สุด และเป็นพื้นฐานหัวใจที่สำคัญที่สุดของวิชาเปิดโลกทั้งหมด คือ พรหมวิหาร ซึ่งหลักการง่ายๆ ไม่มีอะไรมากเลยหลวงตาสอนว่า " รักทุกคน ไม่เกลียดใคร ไว้ใจบางคน" ซึ่งแปลถึงว่าเราไม่มีอคติใดกับใครๆ รักทุกคนโดยไม่มีสิ่งใดแฝง แต่ในทางเดียวกัน ก็เป็นการมีเมตตาอย่างมีปัญญา ทั้งนี้ในการทรงอารมณ์หลวงปู่ ในการน้อมไปดูนั้น การกำพระผงจักรพรรดิ  จะช่วยได้มากสำหรับคนที่ฝึกใหม่ๆ ที่อำนาจจิตยังทรงกำลังหลวงปู่ได้ไม่นิ่งพอ


หลวงปู่ดู่เป็นพระมหาบรมโพธิสัตว์เจ้าบารมีรวม ทั้งก่อนและหลังรับพยากรณ์ถึง 80 อสงไขย กับเศษแสนมหากัป  และ สร้างบารมีพิเศษด้านกำลังจักรพรรดิ และเป็นผู้ที่จักมาตรัสรู้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตกาล  อีกประมาณล้านปีกว่าๆ มนุษย์ ขอจงมั่นใจในกำลังและเมตตาท่านเถิด


คำแนะนำ - อย่าทิ้งการปฎิบัติภาวนา ตลอดชีวิต   จนกว่าลมหายใจจะหมดไป

หน้า: 1 ... 3 4 [5]