(http://www.gmwebsite.com/System_images/PicturePath_WEBBOARD/MSG-060703182318389.jpg)
ประวัติและคำสอน ของ หลวงปู่ดู่ วัดสะแกโดยสังเขป
หลวงพ่อพระพรหมปัญโญ มีนามเดิมว่า ดู่ ท่านเกิดในสกุล “หนูสี” เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง ซึ่งเป็นวันเพ็ญวิสาขปุรณมี ที่บ้านคลองข้าวเม่า ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
การศึกษาในเบื้องต้นท่านได้ศึกษาที่วัดประดู่ทรงธรรม โดยอาศัยอยู่กับพระ ครั้นอายุครบบวช ท่านจึงได้อุปสมบท โดยมีหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการามเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดสะแกตลอดมา และได้เคยออกธุดงค์ 1 ครั้ง โดยเที่ยวรุกขมูลไปตามป่าแถบจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และได้ไปนมัสการพระแท่นดงรัง หลังจากนั้นท่านจึงได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดสะแก
เบื้องต้นของการปฏิบัติ ท่านได้ศึกษาจากหลวงพ่อกลั่น โดยใช้คำภาวนาว่า “พุทโธ” นอกจากหลวงพ่อกลั่นแล้ว อาจารย์ของท่านอีกองค์หนึ่งก็คือหลวงพ่อเภา วัดพระญาติการาม ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่าน ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ต่าง ๆ ให้ จากนั้นท่านก็ได้ค้นคว้าศึกษาปฏิบัติทางจิตด้วยตนเองภายใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ตลอดมา
ในทางปริยัติธรรม ท่านได้ศึกษาตามสถานภาพของวัดจากตำรับตำราที่มีอยู่ จากชาดกบ้าง จากธรรมบทบ้าง ซึ่งท่านมักยกเอาข้อธรรมที่เป็นพุทธประวัติ ธรรมบทหรือชาดกมาเป็นตัวอย่างสั่งสอนศิษย์เสมอ
ในการสอนของท่าน ท่านมักใช้คำแนะนำสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งโดยเล่าจากประสบการณ์การปฏิบัติของท่านบ้าง จากพุทธประวัติ หรือชาดกต่าง ๆ เรื่องที่ท่านมักยกมาเล่าให้ศิษย์ฟังอยู่บ่อย ๆ คือ เรื่อง กุมารหูตุ้ม
“กุมารหูตุ้มเป็นบุตรพราหมณ์ บิดามารดาเป็นคนร่ำรวยแต่ขี้ตระหนี่มาก เมื่อกุมารหูตุ้มป่วยก็มิได้พาไปรักษา เพียงต้มยาให้ทานเองเท่านั้น จนในที่สุดกุมารหูตุ้มป่วยหนักใกล้จะถึงแก่ความตาย ทุกขเวทนาบีบคั้นมาก จึงนึกถึงพระพุทธองค์ซึ่งเคยได้ยินว่าท่านมีเมตตามาก โดยที่ตัวของกุมารหูตุ้มเองไม่เคยได้เจอ ได้ปฏิบัติ หรือ ได้ทำบุญกับท่านเลย
พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณอันบริสุทธิ์ และด้วยพระเมตตาธรรมที่เปี่ยมล้นในพระทัย จึงเสด็จดำเนินผ่านมายังบ้านของกุมารหูตุ้มและเปล่งพระฉัพพรรณรังสีอันมีรัศมีรุ่งเรืองสว่างไสว กุมารหูตุ้มได้เห็นแสงสว่างดังนั้น ก็คิดว่าแสงนี้มิใช่แสงพระอาทิตย์ต้องเป็นแสงของพระพุทธเจ้าแน่นอน
เวลานั้นทุกขเวทนาบังเกิดขึ้นมาก กุมารหูตุ้มไม่มีแรงแม้จะยกมือไหว้ คงมีเพียงใจที่เคารพเลื่อมใสเท่านั้น แล้วก็สิ้นใจไปในขณะนั้น อานิสงส์นี้ทำให้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรมีนามว่า “มัฏฑกุณฑลีเทพบุตร” มีวิมานสูงถึง 30 โยชน์ เสวยทิพยสมบัติตราบสิ้นกาลนาน
เพียงการระลึกถึงพระพุทธเจ้า ด้วยความเคารพยังมีอานิสงส์ถึงเพียงนี้ ที่พวกแกปฏิบัติกันบ่อย ๆ ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นประจำ จะมีอานิสงส์เพียงไร” นี้เป็นสิ่งที่หลวงพ่อเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังเพื่อให้เกิดกำลังใจในการปฏิบัติธรรม
ปฏิปทาของหลวงพ่อที่เห็นได้เด่นชัด คือ ท่านมีเมตตาต่อทุก ๆ คน ไม่ว่าผู้ใดมาหาท่าน ท่านจะต้อนรับด้วยเมตตาจิตเสมอ โดยเฉพาะ ผู้ที่สนใจในการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ท่านจะรักและเมตตาเป็นพิเศษ
ท่านเคยเล่าว่า เมื่อแรกเริ่มปฏิบัติ ท่านอยากเด่น อยากดัง ไม่ใช่อยากดี วิชา หลาย ๆ อย่าง รวมทั้งรอยสักที่ปรากฏบนกายของท่านนั้น ล้วนแต่เป็นตอนที่อยากเด่นดังทั้งสิ้น
ต่อมาท่านได้พิจารณาเห็นว่า สิ่งเหล่านี้มิใช่หนทางพ้นทุกข์ เป็นบาป ไม่เป็นกุศล ท่านจึงเลิกและไม่ได้สนใจอีกต่อไป แม้ทำได้เรียนสำเร็จ ท่านก็มิได้ใช้วิชาเหล่านั้นไปในทางที่เสื่อมเสีย คงมุ่งปฏิบัติเพื่อบำเพ็ญบารมี อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนาอย่างแท้จริง
หลวงพ่อได้ละสังขารไปด้วยอาการอันสงบด้วยโรคหัวใจ ในกุฏิของท่าน เมื่อวันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2533 สิริอายุได้ 85 ปี 8 เดือน 65 พรรษา
หลวงพ่อเคยสอนว่า...
“ความสำเร็จนั้น มิใช่อยู่ที่การอ้อนวอนพระเจ้ามาประทานให้ หากแต่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง ถ้าตั้งใจทำตามแบบแล้วทุกอย่างต้องสำเร็จ ไม่ใช่ จะ สำเร็จ พระพุทธเจ้าท่านวางแบบเอาไว้แล้ว ครูบาอาจารย์ทุกองค์มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด ก็ได้ทำตามแบบ เป็นตัวอย่างให้เราดู อัฐิท่านก็กลายเป็นพระธาตุกันหมด
เมื่อได้ไตร่ตรองพิจารณาให้รอบคอบแล้ว ขอให้ลงมือทำทันที ข้ารับรองว่า ต้องสำเร็จ ส่วนจะช้าหรือเร็วนั้น อยู่ที่ความเพียรของผู้ปฏิบัติ”
บ่อยครั้งที่มีผู้ถามปัญหากับหลวงพ่อ โดยมักจะนำเอาเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหน้าที่การงาน สามี ภรรยา ลูกเต้า ญาติ มิตรหรือคนอื่น ๆ มาปรารภให้หลวงพ่อฟังอยู่เสมอ
ครั้งหนึ่งท่านได้ให้คติเตือนใจว่า
“โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม”
ซึ่งต่อมาท่านได้ให้ความหมายว่า
“เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้ ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง
ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้ว ต้องกลับเข้ามาหาตัวเอง ถ้าเป็นโลกแล้วจะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา ธรรมแท้ ๆ ย่อมเกิดจากในตัวเรานี้ ทั้งนั้น”
และ สอนเรื่องการทำบุญ แบบประหยัด ว่า…
“บุญนั้น หมั่นทำเข้าไว้ คนไหนที่เขาทำดีอะไรก็ตาม โมทนาไปเลย ไม่มีเสีย มีแต่ได้ อย่าไปขัดเขา เวลาเดินผ่านไปไหน เห็นดอกไม้เราก็นึกถวายพระ ของอะไรก็ตามนึกถวายพระ ได้บุญทั้งนั้น เวลาจะเปิดไฟ ถ้าอยากได้บุญก็ว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ก็ได้แล้ว”
ส่วน เรื่องวัตถุมงคลของท่านนั้น ท่านยืนยันว่า…
“ข้าว่า ของๆ ข้า ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน อยู่ที่คนนำไปใช้ ว่าถึงหรือเปล่า ถ้าถึงจริงๆ แล้ว ก็ไปนิพพานได้” ( หมายถึง ช่วยเป็นกำลังใจในการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี นั่นเอง )
วิดีโอประวัติหลวงปู่ดู่ http://www.youtube.com/watch?v=1dy7uuni6dg