196
พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี / Re: มุนีนารถทีปนี การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โดย พระพรหมโมลี วิลาศ ญาณวโร
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2012, 12:21:39 PM »
ฝ่ายท่านที่มีบุญน้อยด้อยวาสนา หรือว่าผู้มีปัญญาเขลามัวเมาไปด้วยทิฐิมานะอหังการ์ ไม่เห็นคุณค่าแหงพระศาสนา แม้ว่าพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระชินวรพุทธเจ้ายังปรากฏอยู่ ก็มิสู้จะปลงใจให้เชื่อลงได้ ให้มีอันเป็นคิดวิจารณ์ไปต่างๆ ตามประสาคนที่ยังมีทิฐิกิเลสและวิจิกิจฉากิเลสอยู่ บูชาความคิดเห็นของตน อันค่อนข้างจะใช้ไม่ได้เป็นใหญ่ มิใคร่จะเชื่อฟังในพระโอวาทานุสาสนี หรือมิฉะนั้นก็ตีความดูประหนึ่งว่าพระพุทธพจน์อันลึกล้ำคัมภีร์ภาพของสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงอบรมบ่มพระสัมโพธิญาณมานานช้า อยู่ภายใต้ปัญญาความดีของตนเท่านั้นเอง เลยเป็นเหตุให้ไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง เมื่อไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจังแล้ว การบรรลุมรรคผลอันเป็นวิเศษเบื้องสูง ซึ่งสามารถขจัดความสงสัยในพระรัตนตรัย จักบังเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อ วิจิกิจฉา ความสงสัยยิ่งมากมูลอากูลอยู่ในจิตสันดาน ก็เลยมักให้พาลคิดไปว่า "ฮึ...พระธรรมคำสั่งสอนมีค่าควรแก่การปฏิบัติจริงหรือ... พระพุทธศาสนาเป็นนิยยานิกธรรมนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้จริงหรือ... ที่ว่าพระพุทธเจ้านี่ มีจริงหรือๆ ว่าเป็นเรื่องราวที่มนุษย์อะไร ใครคนหนึ่งเสกสรรเป็นทำนองเทพนิยายปรัมปราเรื่องหนึ่งดอกกระมัง?" ให้คิดสงสัยวนเวียนอยู่อย่างน่ากลุ้มใจแทนอยู่เช่นนี้ ก็เพราะขาดสิ่งสำคัญอยู่อย่างเดียว คือขาดการปฏิบัติ จึงอาจเห็นธรรมบรรพตปรากฎอยู่โดยแท้ แต่ก็ไม่อาจจะรู้จะเห็นได้ ตาบอดตาใส เลยถูกความสงสัยสะกิดใจอยู่เนืองๆ ว่า พระพุทธเจ้ามีปรากฎในโลกจริงฤา?
ธรรมเมฆ
ธรรมดา มหาเมฆหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า จตุทีปกะ เมื่อตั้งขึ้นจะให้ฝนตกใหญ่นั้น ท่านผู้ได้ฌานชำนาญฤทธิ์ทั้งหลายย่อมจะเห็นนิมิตบังเกิดขึ้นเป็นสำคัญก่อน คือเบื้องบนอากาศจะปรากฎเป็นกลุ่มก้อนห้อยย้อยดุจสร้อยสังวาลย์ และปรากฎมีดอกไม้สวรรค์บันดาลตกลงมามากมาย มีมหาวาตลมอ่อนละเอียดค่อยพัดมาเรื่อยๆ เย็นน้อยเฉื่อยชื่นสบาย มนุษย์นิกรทั้งหลายก็สโมสรชื่นชมยินดี อนึ่ง ย่อมมีเสียงอึงมี่แห่งหัตถีโปดก ลูกช้างและอัสสโปดกลูกม้าทั้งสองร้องโกญจนาท ทั้งสกุณชาติทั้งหลาย ก็มาบินว่อนร่อนร่าปราโมทย์ยินดี สายอสุนีฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่วทิศา มีกลิ่นมหาเมฆมากมายกว่าหมื่นพันสีสันต่างๆ บ้างก็เขียว บ้างก็เหลือง บ้างก็แดง บ้างก็ขาว บ้างก็เป็นสีหงสบาท มีสีอ่อนแซมซ้อนสลับกัน พลันก็มีคฤโฆษอื้ออึงกึกก้องไปด้วยเสียงฆ้องกลองสวรรค์ บังเกิดเป็นมหันตนิมิตเอนกจะนับจะประมาณมิได้! เมื่อจตุทีปกะมหาเมฆนี้บันดาลฝนตกลงมา ฝ่ายมนุษย์นิกรแลส่ำสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกา เห็นฝนตกลงมาที่โกรก ตรอกซอกธาร ละหานห้วยหนองคลองบึงบางบ่อและสระ ทุกสถานที่เต็มเปี่ยมด้วยน้ำ และทั่วพื้นปฐพีแผ่นดินชุ่มคล่ำไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าใหญ่น้อยเขียวชะอุ่มเป็น คราบอยู่ดูร่มเย็น หมู่มหาชนครั้นได้เห็นกาลนี้ ก็ย่อมจะมีความรู้อนุมานด้วยปัญญาได้ว่า "ฝนนี้เป็นฝนห่าใหญ่ ตกลงมาแล้วหนอ" ข้อนี้มีอุปมาฉันใด
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารย์เจ้าเมื่อเสด็จมาอุบัติและตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณในโลกเรานี้แล้ว องค์พระประทีปแก้วก็ทรงยังธรรมเมฆให้ตกลงมาเหมือนกัน ด้วยว่าสมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยังโลกสวรรค์และโลกมนุษย์ให้เอิบอิ่มเกษมสานต์หรรษาด้วยห่าฝนคืออมตธรรม ส่ำสัตว์ทุกแหล่งหล้า เมื่อถูกหยาดห่าฝนของพระองค์ราดลงในดวงจิต บางหมู่ก็สถิตตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ บางหมู่ก็บวชเป็นพระภิกษุภาวะในพระบวรพุทธศาสนาทรงพระปาติโมกข์สังวรศีล บางหมู่ผู้มีวาสนามิได้บรรลุถึงธรรมวิเศษ สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบันชั้นพระสกิตทาคามีและชั้นพระอนาคามี บางหมู่มีวาสนาสูงสุด จัดเป็นพุทธบุตรผุ้วิเศษ ได้บรรลุธรรมวิเศษเป็นพระอรหันต์อริยบุคคลพ้นจากราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฐิ กำจัดเสียซึ่งเครือลดากล่าวคือความยินดีในกามคุณ ๕ ประการ ให้พินาศขาดจากสันดาน บรรลุพระนิพพานอันเกษมสานต์สิ้นทุกข์ทั้งมวล เช่นนี้เป็นจำนวนมากกว่ามาก ครั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาพอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยังธรรมเมฆให้ตกลงมา ให้ประชาสัตว์ได้รับอมตธรรมชุ่มฉ่ำในดวงหฤทัยอย่างนี้แล้ว ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป
ฝ่ายบัณฑิตชนคนมีปัญญาในสมัยหลังต่อมา ได้เห็นวารีคือธรรมของพระชินสีห์ อันเกิดจากธรรมเมฆห่าฝน ยังเปี่ยมล้นปรากฎอยู่ในโลกา ก็สู้อุตส่าห์ปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนีจนสามารถที่จะนำเอาธรรมวารีนั้นมา ดื่มกิน แต่พอกระแสสินธุ์คืออมตธรรมนั้นตกลงถึงดวงฤทัยก็พลันให้เกิดมหัศจรรย์ใจ เป็นล้นพ้น ถึงแม้ว่าตนจะเกิดมา ณ โอกาสสุดท้ายภายหลังมิทันได้เห็นสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าก็ตาม แต่เมื่อได้ดื่มอมตธรรรม มีธรรมวารีซาบซ่านอยู่ใในหฤทัยบัดนี้ ย่อมจะอนุมานได้ด้วยปัญยาเป็นอันดีว่า "โอ้หนอ! ธรรมวารีอันเป็นอมตรสนี้ ใครผู้ใดฤา จักสามารถให้ปรากฎมีขึ้นได้ นอกจากพระผู้ห่างไกลจากกองกิเลสคือองค์สมเด็จพระโลกเชษฐสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์เดียวเท่านั้น สมเด็จพระภควันต์ทรงยังธรรมเมฆให้ปรากฎแล้ว ประทานอมตธรรมคือฝนห่าใหญ่ สำหรับดับไฟ คือกองทุกข์ของส่ำสัตว์ในโลกนี้ โอ... สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกนี้จริงแล้ว หนอ" ดังนี้
ฝ่ายผู้ที่มีบุญน้อยด้อยวาสนา หรือผู้ที่มีปัญญาโฉดเขลามัวเมาไปด้วยทิฐิมานะ ไม่เห็นคุณค่าพระพุทธศาสนา แม้ว่าธรรมวารีอันเกิดจากธรรมเมฆ ยังปรากฎอยู่เปี่ยมล้นเต็มโลกอยู่ขณะนี้ แทนที่จะเกิดปิติยินดีรีบวักรีบตักมาดื่มกินให้รู้รสกระแสสินธุ์ คืออมตะรรมว่าล้ำเลิศวิเศษสุดปานใด แต่ก็ให้มัวเมาตกอยู่ในความประมาท ขาดการปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี เมื่อไม่มีการปฎิบัติคือการกระทำแล้ว ปฏิเวธความดี การบรรลุธรรมวิเศษอันเปรียบเสมือนการนำเอาธรรมวารีมาอาบใจหรือดื่มกินให้รู้ รส จักมีได้แต่ที่ไหน เมื่อไม่รู้รสธรรมวารี ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนเหลือเกิน คน โซปัญญาทรามเหล่านี้ จักไม่มีโอกาสได้มองเห็นความสามารถแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้า พระองค์ผู้ทรงบันดาลธรรมเมฆยังธรรมวารีให้ตกลงมาในโลกนี้ได้เลยอย่างแน่นอน คราใด ที่อนุสรณ์ถึงพระพุทธศาสนา ก็มักให้มีวิจิกิจฉาความสงสัย ผุดขึ้นในใจอยู่เสมอว่าพระพุทธเจ้าปรากฎขึ้นแล้วจริงฤา?
ธรรมนที
ธรรมดาว่าคงคาทั้งหลาย ย่อมไหลมาแต่ป่าเขาใหญ่แล้ว และไหลหลั่งลงมาทางพื้นภูมิภาคฝ่ายใต้ลงสู่มหาสมุทรทะเลใหญ่ในคราวที่มหาเมฆ มโหฬาร บันดานฝนให้ตกลงมาเป็นห่าใหญ่ ท่วมบ่อสระสถานที่ทั้งหลายแล้ว ก็เป็นน้ำป่า พัดพาเอาขอนไม้ใหญ่น้อย และรากใบเป็นสวะลอยไป สัตว์จตุบท ทวิบาททั้งหลายเช่นแมลงปอ ตะขาบ มด หนู งู พังพอน สุนัข กระต่ายและเสือป่าเป็นอาทิ ก็พากันหนีอุทกภัยขึ้นไปอาศัยบนดอย สัตว์ที่มีกำลังน้อยน่าสงสารหนีไม่พ้น น้ำฝนก็ท่วมตายและไหลพัดพาไปสู่มหาสมุทร ใช่แต่เทานั้น อุทกขันธ์คือห้วงน้ำอันมีกระแสเชี่ยวแกร่งกล้าเป็นน้ำป่ายังพัดพาเอาสิ่ง โสโครกบรรดามีให้ไหลไปหมดสิ้น ชำระท้องถิ่นผืนปฐพีให้สะอาดหมดลามก และน้ำนั้นก็ไหลไปสู่มหาสมุทรจนแห้งหมดไม่เหลือเลยในไม่ช้านาน กาลต่อมา มนุษย์นิกรได้สัญจรมา ณ ประเทศที่นั้น ครั้นได้เห็นคราบน้ำปุ่มเปือกติดอยู่ตามกอหญ้าและตามยอดไม้ และเห็นรวงรังของสัตว์ที่เคยอยู่พื้นดิน มันขึ้นไปทำรังอาศัยอยู่ตามเชิงซุ้มพุ่มไม้อันเป็นที่สูง ก็ย่อมจะจูงใจให้เกิดความคิด อนุมานด้วยปัญญาแห่งตนโดยไม่ต้อมีใครบอกก็ได้ว่า "นั่นแน่ ที่นี้เคยมีห้วงน้ำไหลมาท่วมแล้ว ดูซิ...ที่กอหญ้าก็มีคราบน้ำ หรือที่ยอดไม้ก็มีคราบน้ำท่วมขึ้นไปถึง สกุณีปักษีชาติไม่อาจอยู่พื้นที่ต่ำได้ อุตส่าห์ขึ้นไปทำรังอยู่บนต้นไม้สูง ต้องมีคงคาสายน้ำป่าใหญ่ไหลผ่านประเทศที่นี่แล้วเป็นแม่นมั่น" ข้อความที่เสกสรรมานี่มีอุปมาฉันใด
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารย์เจ้า เมื่อได้ตรัสรู้สำเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว องค์พระประทีปแก้วก็ทรงยังธรรมนทีสายน้ำคือธรรมอันโอฬารยิ่งใหญ่ ให้หลั่งไหลออกมาจากพระโอษฐ์สำเร็จเป็นพระพุทธพจน์รวมกันทั้งหมดมีจำนวนมาก มายถึง ๘ หมื่น ๔ พันพระธรรมขันธ์ ก็ธรรมนทีของพระองค์นั้น เมื่อไหลมาโดยลำดับกัน ย่อมไหลลงสู่ สาครปากอ่าว กล่าวคือพระนิพพาน ซึ่งเป็นสถานที่ปัจจยาการประชุมตกแต่งมิได้ มิรู้แก่ มิรู้ตาย มีสภาวะเป็นสุขสบายยิ่งนักหนา ด้วยว่า เมื่อสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยังธรรมนทีให้หลั่งไหลอยู่นั้น ก็ทรงยังโพไธยยกสัตว์ที่ได้สร้างบารมีมาแก่กล้าสมบูรณ์ ให้ได้รู้ธรรมวิเศษสำเร็จกิจแห่งพรหมจรรย์ ทรงยังชาวโลกสวรรค์หมู่อมรแลมนุษย์นิกร ให้อิ่มเอิบด้วยธรรมปิติเป็นอันมาก ให้กำจัดเสียซึ่งราคะ โทสะ มานะ และมักขะคือความกระด้าง หลู่คุณท่านผู้อื่น ด้วยสันดาลพาลเขลาคิดว่าตนดีกว่า และให้กามคุณอารมณ์เป็นที่สุขสบายน่าพอใจชอบใจ พยาบาทความยินร้ายไม่พอใจในอารมณ์ที่ไม่ถูกกับใจตน สักกายทิฐิ ความเข้าใจผิดในรูปนามว่า เป็นตัวตน อันเปรียบเสมือนหอกปักอก ให้วงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยไม่เชื่อลงไปได้ในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตน์ พระธรรมรัตน์ พระสังฆรัตน์ และตัณหาอันรกชัฏ มิไใช่น้อยให้ลอยเสียซึ่งอกุศลธรรมปาปกรรมอันพิลึกต่างๆ ให้ล่วงเสียซึ่งเปือกตม กล่าวคือโมหะ มานะ และลาภสักการะ ให้เปลื้องเสียให้พ้นจากอกุศลทั้งปวง ให้ล่วงพ้นจนถึงเป็นพระอรหันต์ในที่สุด สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงยังธรรมนที ให้ไหลหลั่งพัดพาประชาสัตว์ไปสู่นิพพานสาครแล้วองค์สมเด็จพระชินวรก็เสด็จ ดับขันธ์ปรินิพพานไป
ฝ่ายบัณฑิตชนคนมีปัญญาซึ่งเกิดในสมัยหลังต่อมา ครั้นได้เห็นรอยธรรมนทีของสมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูเจ้านั้นแล้วก็ดีใจดัง ได้แก้วไม่ประมาทชักช้าให้เสียเวลา ด้วยเกรงว่า ตนนี้เกิดมาจะเสียชีวิตเกิดเสียเปล่า เฝ้าอุตสาหะปฏิบัติดำเนินตามรอยธรรมนมทีนั้นไปมิได้เห็นแก่การเหนื่อยยาก พยายามถอนตนจากเปือกตมโคลนเลน คือโมหะ มานะ และลาภสักการะค่อยดำเนินไปๆ แล้ว ในที่สุด เมื่อมาถึงปากอ่าวเห็นนิพพานสาครเข้า ก็ให้ตะลึงงันอัศจรรย์เป็นล้นพ้น อุทานออกมาว่า "โอ้หนอ นิพพานสาครนี่แสนมหัศจรรย์นัก ใครเล่าหนาจักเป็นผู้สามารถมาพบมาเจอก่อนเป็นคนแรกได้ นอกจากสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเป็นไม่มี สมเด็จพระชินสีห์ทรงพบแล้วทรงแสดงธรรมนทีพัดพาให้สัตว์ทั้งหลายมาถึงนิพพาน สาครนี่แล้วโดยมาก บัดนี้หากพระองค์ดับขันธ์นิพพานแล้วก็จริง แต่สิ่งสำคัญคือร่องรอยแห่งธรรมนทียังมีอยู่ ผู้ใดปฏิบัติตามธรรมนทีแล้ว ต้องมาถึงพระนิพพานสาครนี่แน่นอน โอ้...อัศจรรย์แท้ พระผู้ปล่อยกระแสธรรมนที คือองค์สมเด็จพระชินสีห์ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลกจริงเป็นแม่นมั่น"
ธรรมเมฆ
ธรรมดา มหาเมฆหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า จตุทีปกะ เมื่อตั้งขึ้นจะให้ฝนตกใหญ่นั้น ท่านผู้ได้ฌานชำนาญฤทธิ์ทั้งหลายย่อมจะเห็นนิมิตบังเกิดขึ้นเป็นสำคัญก่อน คือเบื้องบนอากาศจะปรากฎเป็นกลุ่มก้อนห้อยย้อยดุจสร้อยสังวาลย์ และปรากฎมีดอกไม้สวรรค์บันดาลตกลงมามากมาย มีมหาวาตลมอ่อนละเอียดค่อยพัดมาเรื่อยๆ เย็นน้อยเฉื่อยชื่นสบาย มนุษย์นิกรทั้งหลายก็สโมสรชื่นชมยินดี อนึ่ง ย่อมมีเสียงอึงมี่แห่งหัตถีโปดก ลูกช้างและอัสสโปดกลูกม้าทั้งสองร้องโกญจนาท ทั้งสกุณชาติทั้งหลาย ก็มาบินว่อนร่อนร่าปราโมทย์ยินดี สายอสุนีฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่วทิศา มีกลิ่นมหาเมฆมากมายกว่าหมื่นพันสีสันต่างๆ บ้างก็เขียว บ้างก็เหลือง บ้างก็แดง บ้างก็ขาว บ้างก็เป็นสีหงสบาท มีสีอ่อนแซมซ้อนสลับกัน พลันก็มีคฤโฆษอื้ออึงกึกก้องไปด้วยเสียงฆ้องกลองสวรรค์ บังเกิดเป็นมหันตนิมิตเอนกจะนับจะประมาณมิได้! เมื่อจตุทีปกะมหาเมฆนี้บันดาลฝนตกลงมา ฝ่ายมนุษย์นิกรแลส่ำสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกา เห็นฝนตกลงมาที่โกรก ตรอกซอกธาร ละหานห้วยหนองคลองบึงบางบ่อและสระ ทุกสถานที่เต็มเปี่ยมด้วยน้ำ และทั่วพื้นปฐพีแผ่นดินชุ่มคล่ำไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าใหญ่น้อยเขียวชะอุ่มเป็น คราบอยู่ดูร่มเย็น หมู่มหาชนครั้นได้เห็นกาลนี้ ก็ย่อมจะมีความรู้อนุมานด้วยปัญญาได้ว่า "ฝนนี้เป็นฝนห่าใหญ่ ตกลงมาแล้วหนอ" ข้อนี้มีอุปมาฉันใด
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารย์เจ้าเมื่อเสด็จมาอุบัติและตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณในโลกเรานี้แล้ว องค์พระประทีปแก้วก็ทรงยังธรรมเมฆให้ตกลงมาเหมือนกัน ด้วยว่าสมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยังโลกสวรรค์และโลกมนุษย์ให้เอิบอิ่มเกษมสานต์หรรษาด้วยห่าฝนคืออมตธรรม ส่ำสัตว์ทุกแหล่งหล้า เมื่อถูกหยาดห่าฝนของพระองค์ราดลงในดวงจิต บางหมู่ก็สถิตตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ บางหมู่ก็บวชเป็นพระภิกษุภาวะในพระบวรพุทธศาสนาทรงพระปาติโมกข์สังวรศีล บางหมู่ผู้มีวาสนามิได้บรรลุถึงธรรมวิเศษ สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบันชั้นพระสกิตทาคามีและชั้นพระอนาคามี บางหมู่มีวาสนาสูงสุด จัดเป็นพุทธบุตรผุ้วิเศษ ได้บรรลุธรรมวิเศษเป็นพระอรหันต์อริยบุคคลพ้นจากราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฐิ กำจัดเสียซึ่งเครือลดากล่าวคือความยินดีในกามคุณ ๕ ประการ ให้พินาศขาดจากสันดาน บรรลุพระนิพพานอันเกษมสานต์สิ้นทุกข์ทั้งมวล เช่นนี้เป็นจำนวนมากกว่ามาก ครั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาพอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยังธรรมเมฆให้ตกลงมา ให้ประชาสัตว์ได้รับอมตธรรมชุ่มฉ่ำในดวงหฤทัยอย่างนี้แล้ว ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป
ฝ่ายบัณฑิตชนคนมีปัญญาในสมัยหลังต่อมา ได้เห็นวารีคือธรรมของพระชินสีห์ อันเกิดจากธรรมเมฆห่าฝน ยังเปี่ยมล้นปรากฎอยู่ในโลกา ก็สู้อุตส่าห์ปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนีจนสามารถที่จะนำเอาธรรมวารีนั้นมา ดื่มกิน แต่พอกระแสสินธุ์คืออมตธรรมนั้นตกลงถึงดวงฤทัยก็พลันให้เกิดมหัศจรรย์ใจ เป็นล้นพ้น ถึงแม้ว่าตนจะเกิดมา ณ โอกาสสุดท้ายภายหลังมิทันได้เห็นสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าก็ตาม แต่เมื่อได้ดื่มอมตธรรรม มีธรรมวารีซาบซ่านอยู่ใในหฤทัยบัดนี้ ย่อมจะอนุมานได้ด้วยปัญยาเป็นอันดีว่า "โอ้หนอ! ธรรมวารีอันเป็นอมตรสนี้ ใครผู้ใดฤา จักสามารถให้ปรากฎมีขึ้นได้ นอกจากพระผู้ห่างไกลจากกองกิเลสคือองค์สมเด็จพระโลกเชษฐสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์เดียวเท่านั้น สมเด็จพระภควันต์ทรงยังธรรมเมฆให้ปรากฎแล้ว ประทานอมตธรรมคือฝนห่าใหญ่ สำหรับดับไฟ คือกองทุกข์ของส่ำสัตว์ในโลกนี้ โอ... สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกนี้จริงแล้ว หนอ" ดังนี้
ฝ่ายผู้ที่มีบุญน้อยด้อยวาสนา หรือผู้ที่มีปัญญาโฉดเขลามัวเมาไปด้วยทิฐิมานะ ไม่เห็นคุณค่าพระพุทธศาสนา แม้ว่าธรรมวารีอันเกิดจากธรรมเมฆ ยังปรากฎอยู่เปี่ยมล้นเต็มโลกอยู่ขณะนี้ แทนที่จะเกิดปิติยินดีรีบวักรีบตักมาดื่มกินให้รู้รสกระแสสินธุ์ คืออมตะรรมว่าล้ำเลิศวิเศษสุดปานใด แต่ก็ให้มัวเมาตกอยู่ในความประมาท ขาดการปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี เมื่อไม่มีการปฎิบัติคือการกระทำแล้ว ปฏิเวธความดี การบรรลุธรรมวิเศษอันเปรียบเสมือนการนำเอาธรรมวารีมาอาบใจหรือดื่มกินให้รู้ รส จักมีได้แต่ที่ไหน เมื่อไม่รู้รสธรรมวารี ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนเหลือเกิน คน โซปัญญาทรามเหล่านี้ จักไม่มีโอกาสได้มองเห็นความสามารถแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้า พระองค์ผู้ทรงบันดาลธรรมเมฆยังธรรมวารีให้ตกลงมาในโลกนี้ได้เลยอย่างแน่นอน คราใด ที่อนุสรณ์ถึงพระพุทธศาสนา ก็มักให้มีวิจิกิจฉาความสงสัย ผุดขึ้นในใจอยู่เสมอว่าพระพุทธเจ้าปรากฎขึ้นแล้วจริงฤา?
ธรรมนที
ธรรมดาว่าคงคาทั้งหลาย ย่อมไหลมาแต่ป่าเขาใหญ่แล้ว และไหลหลั่งลงมาทางพื้นภูมิภาคฝ่ายใต้ลงสู่มหาสมุทรทะเลใหญ่ในคราวที่มหาเมฆ มโหฬาร บันดานฝนให้ตกลงมาเป็นห่าใหญ่ ท่วมบ่อสระสถานที่ทั้งหลายแล้ว ก็เป็นน้ำป่า พัดพาเอาขอนไม้ใหญ่น้อย และรากใบเป็นสวะลอยไป สัตว์จตุบท ทวิบาททั้งหลายเช่นแมลงปอ ตะขาบ มด หนู งู พังพอน สุนัข กระต่ายและเสือป่าเป็นอาทิ ก็พากันหนีอุทกภัยขึ้นไปอาศัยบนดอย สัตว์ที่มีกำลังน้อยน่าสงสารหนีไม่พ้น น้ำฝนก็ท่วมตายและไหลพัดพาไปสู่มหาสมุทร ใช่แต่เทานั้น อุทกขันธ์คือห้วงน้ำอันมีกระแสเชี่ยวแกร่งกล้าเป็นน้ำป่ายังพัดพาเอาสิ่ง โสโครกบรรดามีให้ไหลไปหมดสิ้น ชำระท้องถิ่นผืนปฐพีให้สะอาดหมดลามก และน้ำนั้นก็ไหลไปสู่มหาสมุทรจนแห้งหมดไม่เหลือเลยในไม่ช้านาน กาลต่อมา มนุษย์นิกรได้สัญจรมา ณ ประเทศที่นั้น ครั้นได้เห็นคราบน้ำปุ่มเปือกติดอยู่ตามกอหญ้าและตามยอดไม้ และเห็นรวงรังของสัตว์ที่เคยอยู่พื้นดิน มันขึ้นไปทำรังอาศัยอยู่ตามเชิงซุ้มพุ่มไม้อันเป็นที่สูง ก็ย่อมจะจูงใจให้เกิดความคิด อนุมานด้วยปัญญาแห่งตนโดยไม่ต้อมีใครบอกก็ได้ว่า "นั่นแน่ ที่นี้เคยมีห้วงน้ำไหลมาท่วมแล้ว ดูซิ...ที่กอหญ้าก็มีคราบน้ำ หรือที่ยอดไม้ก็มีคราบน้ำท่วมขึ้นไปถึง สกุณีปักษีชาติไม่อาจอยู่พื้นที่ต่ำได้ อุตส่าห์ขึ้นไปทำรังอยู่บนต้นไม้สูง ต้องมีคงคาสายน้ำป่าใหญ่ไหลผ่านประเทศที่นี่แล้วเป็นแม่นมั่น" ข้อความที่เสกสรรมานี่มีอุปมาฉันใด
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารย์เจ้า เมื่อได้ตรัสรู้สำเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว องค์พระประทีปแก้วก็ทรงยังธรรมนทีสายน้ำคือธรรมอันโอฬารยิ่งใหญ่ ให้หลั่งไหลออกมาจากพระโอษฐ์สำเร็จเป็นพระพุทธพจน์รวมกันทั้งหมดมีจำนวนมาก มายถึง ๘ หมื่น ๔ พันพระธรรมขันธ์ ก็ธรรมนทีของพระองค์นั้น เมื่อไหลมาโดยลำดับกัน ย่อมไหลลงสู่ สาครปากอ่าว กล่าวคือพระนิพพาน ซึ่งเป็นสถานที่ปัจจยาการประชุมตกแต่งมิได้ มิรู้แก่ มิรู้ตาย มีสภาวะเป็นสุขสบายยิ่งนักหนา ด้วยว่า เมื่อสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยังธรรมนทีให้หลั่งไหลอยู่นั้น ก็ทรงยังโพไธยยกสัตว์ที่ได้สร้างบารมีมาแก่กล้าสมบูรณ์ ให้ได้รู้ธรรมวิเศษสำเร็จกิจแห่งพรหมจรรย์ ทรงยังชาวโลกสวรรค์หมู่อมรแลมนุษย์นิกร ให้อิ่มเอิบด้วยธรรมปิติเป็นอันมาก ให้กำจัดเสียซึ่งราคะ โทสะ มานะ และมักขะคือความกระด้าง หลู่คุณท่านผู้อื่น ด้วยสันดาลพาลเขลาคิดว่าตนดีกว่า และให้กามคุณอารมณ์เป็นที่สุขสบายน่าพอใจชอบใจ พยาบาทความยินร้ายไม่พอใจในอารมณ์ที่ไม่ถูกกับใจตน สักกายทิฐิ ความเข้าใจผิดในรูปนามว่า เป็นตัวตน อันเปรียบเสมือนหอกปักอก ให้วงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยไม่เชื่อลงไปได้ในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตน์ พระธรรมรัตน์ พระสังฆรัตน์ และตัณหาอันรกชัฏ มิไใช่น้อยให้ลอยเสียซึ่งอกุศลธรรมปาปกรรมอันพิลึกต่างๆ ให้ล่วงเสียซึ่งเปือกตม กล่าวคือโมหะ มานะ และลาภสักการะ ให้เปลื้องเสียให้พ้นจากอกุศลทั้งปวง ให้ล่วงพ้นจนถึงเป็นพระอรหันต์ในที่สุด สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงยังธรรมนที ให้ไหลหลั่งพัดพาประชาสัตว์ไปสู่นิพพานสาครแล้วองค์สมเด็จพระชินวรก็เสด็จ ดับขันธ์ปรินิพพานไป
ฝ่ายบัณฑิตชนคนมีปัญญาซึ่งเกิดในสมัยหลังต่อมา ครั้นได้เห็นรอยธรรมนทีของสมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูเจ้านั้นแล้วก็ดีใจดัง ได้แก้วไม่ประมาทชักช้าให้เสียเวลา ด้วยเกรงว่า ตนนี้เกิดมาจะเสียชีวิตเกิดเสียเปล่า เฝ้าอุตสาหะปฏิบัติดำเนินตามรอยธรรมนมทีนั้นไปมิได้เห็นแก่การเหนื่อยยาก พยายามถอนตนจากเปือกตมโคลนเลน คือโมหะ มานะ และลาภสักการะค่อยดำเนินไปๆ แล้ว ในที่สุด เมื่อมาถึงปากอ่าวเห็นนิพพานสาครเข้า ก็ให้ตะลึงงันอัศจรรย์เป็นล้นพ้น อุทานออกมาว่า "โอ้หนอ นิพพานสาครนี่แสนมหัศจรรย์นัก ใครเล่าหนาจักเป็นผู้สามารถมาพบมาเจอก่อนเป็นคนแรกได้ นอกจากสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเป็นไม่มี สมเด็จพระชินสีห์ทรงพบแล้วทรงแสดงธรรมนทีพัดพาให้สัตว์ทั้งหลายมาถึงนิพพาน สาครนี่แล้วโดยมาก บัดนี้หากพระองค์ดับขันธ์นิพพานแล้วก็จริง แต่สิ่งสำคัญคือร่องรอยแห่งธรรมนทียังมีอยู่ ผู้ใดปฏิบัติตามธรรมนทีแล้ว ต้องมาถึงพระนิพพานสาครนี่แน่นอน โอ้...อัศจรรย์แท้ พระผู้ปล่อยกระแสธรรมนที คือองค์สมเด็จพระชินสีห์ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลกจริงเป็นแม่นมั่น"