เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี

หมวดครูบาอาจารย์ => ธรรมะบารมี หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า => ข้อความที่เริ่มโดย: Webmaster ที่ ตุลาคม 02, 2012, 05:18:06 AM

หัวข้อ: ดีแตก
เริ่มหัวข้อโดย: Webmaster ที่ ตุลาคม 02, 2012, 05:18:06 AM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc7/598832_272734856171410_1871380073_n.jpg)

ในสมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านจะเตือนมิให้ลูกศิษย์ท่านเที่ยวเอาผลการปฏิบัติหรือสิ่งที่ปรากฏแก่จิต ในขณะปฏิบัติสมาธิภาวนาไปเที่ยวบอกเที่ยวเล่า ท่านว่า "เดี๋ยวดีแตก" เพราะขาดการสำรวมระวังจิต และเปิดโอกาสให้กิเลสความหลงตัวหลงตนเข้าครอบงำได้โดยง่าย พูดภาษาโลก ๆ ก็คือ ใจคนเรามันคอยจะอวดเก่งอยู่แล้วอีก ประการหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏก็ล้วนเป็นอาการของจิต หรือเป็นปีติ แล้วเรื่องของปีติแม้ในตำรำตำราจะกล่าวไว้ ๕ ประเภทใหญ่ เช่น ขนลุกขนพอง น้ำตาไหล เห็นแสงสว่าง ฯลฯ เป็นต้น แต่ในภาคปฏิบัตินั้นมีปีติปลีกย่อยเป็นร้อยเป็นพันอย่าง หรืออาจมากกว่านั้น

แล้วปีติทุกประเภทก็เป็นเพียงอาการของจิตที่บอกว่าจิตใกล้เข้าสู่ความสงบแล้วเท่านั้น ปีติมิใช่ตัวชี้วัดว่ากิเลสเราลดลงแต่อย่างใด

ดังนั้น ในหมู่นักปฏิบัติจึงมักไม่ค่อยให้ความสำคัญและไม่นำเอาเรื่องปีติมาซักถาม ครูบาอาจารย์เท่าใดนัก สิ่งที่นำมาถามมักเป็นอุบายเพื่อเข้าถึงความสงบ และอุบายพิจารณาธรรมมากกว่า ยิ่งการเห็นนิมิตด้วยแล้ว ยิ่งไม่นำมาพูด เพราะจิตของเรายังไม่หมดโลภโกรธหลง สิ่งที่เห็นจึงอาจเป็นเพียงสังขารการปรุงแต่งของจิตที่ยังมีกิเลสเท่านั้น พูดเล่าไปแล้ว มักจะเสียมากกว่าได้ ถ้าอัดอั้น ก็ควรเล่าถวายครูบาอาจารย์เพื่อแก้ข้อลังเลสงสัย มากกว่าจะเที่ยวเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง เพราะล่อแหลมต่อการให้กิเลสความหลงตัวขึ้นขี่หัว

เล่าปฏิปทาของหลวงปู่ในเรื่องการพูดเล่าผลการปฏิบัติสมาธิภาวนา ก็เพื่อการระมัดระวังไม่ให้ "ดีแตก" นี้ประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง ปฏิปทาในวงกรรมฐาน เวลาเกิดข้อสงสัยในการภาวนา เขาก็จะพยายามปฏิบัติให้มาก หมั่นพิจารณาและสังเกตให้มาก ก็มักค้นพบคำตอบเอง มิใช่เกิดอาการของจิตทีหนึ่ง ก็จะไปพูดเล่าหรือซักถามครูบาอาจารย์ทุกครั้งไป จนกลายป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต พึ่งตัวเองไม่ได้สักที นี่หากครูบาอาจารย์กรรมฐานที่ปฏิบัติอยู่ในป่า ท่านมีอาการทางจิตแปลก ๆ เกิดขึ้น ท่านจะไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหนให้ซักถามกันได้บ่อย ๆ นะ

นี้แหละจึงว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และก็ต้องระวังอย่ามีปฏิปทาเพื่อความหลงตน เพราะจะเสียเป้าหมายเดิมของการปฏิบัติที่ต้องการลดความโลภ ความโกรธ ความหลง