การเกิดนับไม่ถ้วน
... ทีนี้สำหรับพวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่มันเกิดมาแล้วนับไม่ถ้วนหรือไม่ได้นับก็ไม่รู้ อาจารย์นับหรือเปล่า ไม่นับ เห็นไหม มันเกิดมาแล้วนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ก่อนที่เราจะรู้จักคำว่าบาปบุญคุณโทษประโยชน์ไม่ใช่ประโยชน์ ตั้งแต่สมัยที่เราเลวมากน่ะเวลามันมากกว่าที่เรารู้สึกว่าดี รู้จักความดี กว่าจะรู้จักการให้ทาน รู้จักการรักษาศีล ต้องเกิดมานับไม่ถ้วน หลังจากนั้นแล้วจึงเข้าไปรู้จักความดี และความดีที่รู้จักก็ได้แก่
ความดี ๓ อย่าง
๑. ทาน
๒. ศีล
๓. ภาวนา
... สามอย่างที่เรารู้จักเรียกว่า “ ความดี ” ไอ้ก่อนหน้านั้นมันมากกว่าใช่ไหม ขณะที่เราไม่รู้จักความดีแล้วมันลงนรก ตายแล้วก็ลงนรก ออกจากนรกก็เป็นเปรต ออกจากเปรตเป็นอสูรกาย ออกจากอสูรกายเป็นสัตว์เดรัจฉาน ออกจากสัตว์เดรัจฉานมาเป็นคน จากคนลงนรกใหม่ มันทำเลวอีกนี่ใช่ไหม ก็วนแบบนั้นน่ะไม่รู้กี่เที่ยว
... หลังจากนั้นมาเมื่อรู้จักความดีบ้าง ทำดีได้บ้าง สร้างความดีบ้าง เมื่อตายแล้วไปอบายภูมิบ้างคือนรกเป็นต้น ไปสวรรค์บ้าง ไปพรหมบ้าง มาเป็นคนบ้าง ไปนรกบ้าง ว่ากันไปว่ากันมาแบบนี้
... นี่จนกว่าเราจะมีความเข้าใจว่านิพพานมีจริง และจิตจะต้องนึกถึงพระนิพพานจริงอันนี้ต้องใช้เวลามาก อารมณ์ของคนที่จะรู้จักนิพพานและเข้าใจเรื่องนิพพานนี่ใช้เวลาเยอะ
บารมี ๓ ขั้น
... ที่พระพุทธเจ้าตรัสบารมีไว้ ๓ ขั้น คือ
... ๑. บารมีต้น เขาเรียก “ บารมี ” เฉยๆ อย่างนี้ยังไม่คิดถึงนิพพาน ถ้าอย่างเก่งก็ให้ทานกับรักษาศีลก็ยังไม่แน่นอนนัก เอาแค่นั้นแหละ ถ้าชวนไปเจริญภาวนาเขาบอกไม่ไหว ทำไม่ได้
... ๒. บารมีกลาง ที่เรียกว่า “ อุปบารมี ” ถ้าขั้นนี้ชวนเจริญภาวนาพอทำได้ แต่ทำแค่ฌานโลกีย์ทำได้ ให้หวังนิพพานเป็นที่ไปเขาส่ายหัว บอกไม่ไหวนะ เพราะกำลังใจไม่ถึง
... ๓. บารมีขั้นสูง ต่อไปจะเข้าใจเรื่องนิพพานได้ต้องเป็น “ ปรมัตถบารมี ” ฉะนั้นทุกคนที่มีความตั้งใจคิดว่าอยากจะไปนิพพานเป็นอารมณ์นั่นคนนั้นมีบารมีเป็นปรมัตถบารมี
... และกว่าจะถึงปรมัตถบารมีนี่อย่างน้อยๆ นะ ก็ต้องผ่านโลกมาอย่างน้อยประมาณ ๑๐๐ อสงไขยกัป(๑ อสงไขยกัป เท่ากับ หนึ่งหมื่นล้านกัป) แค่อสงไขยกัปก็ยังแย่ ไอ้ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยน่ะมันดีมากแล้ว ไอ้ก่อนหน้าที่มันเลวน่ะมันมากกว่านี้อีกใช่ไหม
พระพุทธเจ้า ๓ ประเภท
... ถ้าหากว่าเป็น ปัญญาธิกะ อย่างพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกัป ถ้าศรัทธาธิกะ ๘ อสงไขยกัปกับแสนกัป ถ้าวิริยาธิกะก็ ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป
... ทีนี้พวกเรากว่าจะรู้ความดีความชั่วนี่ต้องอาศัยผ่านความเลวมามาก เมื่อรู้จักความดีก็ยังต้องเกิดอีกนับไม่ถ้วน
... ฉะนั้นขอให้ทุกคนพึงมีความเข้าใจว่าความตายมีกับเราแน่ จงอย่าคิดว่าความตายจะเข้าถึงเราในวันพรุ่งนี้ ให้คิดว่าความตายอาจจะถึงเราในวันนี้ไว้เสมอ แต่ไม่ใช่งอมืองอเท้านะ ให้เร่งรัดทำความดี
ตายแล้วต้องการไปไหน
... เราจะไปไหนกันล่ะ จะไปนรกไหม ไปนรกไม่ยาก ไม่ต้องไปด่าชาวบ้านให้เขาโกรธ เราอยู่ในบ้านไปนั่งด่าพระพุทธรูปที่อยู่ในบ้านสบาย เราลงนรกเอง ไปด่าชาวบ้านเดี๋ยวเขาด่าเอาบ้างใช่ไหม
... ถ้าเราอยากจะไปสวรรค์ก็นั่งไหว้พระพุทธรูปในบ้านนั่นแหละ ไม่ต้องไปไหนก็ได้ ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างเดียวนั่งต่อหน้าท่านก็ไปสวรรค์
... ถ้าอยากจะไปเป็นพรหมก็นึกให้จิตทรงตัวก็เป็นพรหม
... ถ้าอยากจะไปนิพพานก็ตั้งใจคิดว่าไอ้ร่างกายเลวๆ อย่างนี้ให้มีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ต่อไปไม่มีสำหรับเราอีก
... ต่อไปข้างหน้าขึ้นชื่อว่าความเกิดเป็นคนก็ดี เป็นสัตว์ก็ดีจะไม่มีสำหรับเรา เราต้องการจุดเดียวคือนิพพาน ถ้ามันตายระหว่างนั้นจริงๆ ก็ไปนิพพาน
ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๓๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑คำสอนที่สายลมปี ๒๕๓๔ หน้า ๗๔ – ๗๖โดย พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง