เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - DHAMMASAMEE

หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 15
136
... ตั้งแต่วันนั้นมา พระผู้เป็นเจ้าก็มารับน้ำมันพันธุ์ผักกาดจากปราสาทของเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี ไปทำประทีปบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์สาวกเป็นนิตย์ทุกวัน
     
... ฝ่ายเจ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารีนั้นเล่า ครั้นเวลาอรุณรุ่งเช้า ก็ให้จัดแจงอาหารอันประณีตเป็นอันมาก พร้อมด้วยเครื่องสักการะบูชามีมาลาและของหอมเป็นอาทิ

... แวดล้อมด้วยบริวารเข้าสู่มหาวิหาร ถวายบิณฑบาตทาน(สังฆทาน)แก่หมู่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

... ก็จำเดิมแต่กาลนั้นมา เจ้าฟ้าหญิงก็มีให้พระหฤทัยเบื่อหน่ายจากความที่ได้อัตภาพเป็นสตรีเพศยิ่งนัก สู้อุตส่าห์ก้มหน้าบำเพ็ญกุศล

... เป็นต้นว่าบริจาคทาน รักษาศีล เจริญภาวนาในพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นอาจิณ

... ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก ก็เป็นอันว่า

... บัดนี้ สมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าของเราทรงหมดสิ้นจากเศษปรทารกรรมความล่วงเกินภรรยา ของผู้อื่นแต่เพียงนี้


... *** ได้ยินว่า พระผูัเป็นเจ้ารูปที่รับบิณฑบาตน้ำมันจากเจ้าหญิงสุมิตตานั้น เป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาพุทธภูมิ จวนจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

... และในกาลต่อมา พระผู้เป็นเจ้ารูปนั้นได้ตรัสเป็น พระพุทธทีปังกรบรมครู ผู้ทรงตรัสพยากรณ์ท่านสุเมธดาบสว่า ต่อไปในกาลข้างหน้า จะได้ตรัสเป็น พระสมณโคดมบรมศาสดา

... และด้วยผลบุญที่พระผู้เป็นเจ้าโพธิสัตว์รูปนั้น ตกแต่งทำประทีปบูชาองค์สมเด็จพระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์สาวกเป็นนิตย์ทุกวัน ชาติที่ได้ตรัสเป็น พระทีปังกรวิริยาธิกะพุทธเจ้านั้น ทรงมีพระพทธรัศมีแผ่ไป ๑๒ โยชน์ (๑๙๒ กิโลเมตร)เป็นนิตย์ ทั้งกลางวันกลางคืน


137
... ลำดับนั้น สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า

... จึงทรงพิจารณาดูในอดีตชาติก็ทรงทราบว่า พระกนิษฐภิคินีสุมิตตรากุมารีเจ้าได้ เคยมีพุทธภูมิปณิธานไว้นานนักหนา

... แต่ครั้งเป็นมาณพแบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทรเป็นเดิม

... เมื่อทรงพิจารณาดูในกาลส่วนอนาคตกาล ก็ทรงทราบว่าพระน้องนางเจ้าอาจสำเร็จซึ่งพระพุทธภูมิปณิธานได้ จึงทรงมีพระพุทธฎีกาว่า
     
... " ดูกรภิกษุ  ! กาลข้างหน้าอีกไม่นาน จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระทีปังกรพุทธเจ้า ซึ่งเป็นนามเสมอกับด้วยเรานี้ จักเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก

... ในกาลนั้นแล สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จักได้กล่าวพยากรณ์ซึ่งพระภคินีของเรา พระน้องนางจักได้รับลัทธยาเทศในสำนักของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น"
     
... เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรสัมมา สัมพุทธเจ้าตรัสฉะนี้แล้ว

... พระภิกษุรูปนั้นก็ถวายนมัสการกระทำปทักษิณแล้ว ก็ไปสู่ปราสาทเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตากุมารี

... เล่าแจ้งความตามที่ได้ฟังมาจากพระโอษฐพระผู้มีพระภาคเจ้า

... พอได้ทรงสดับคำบอกเล่าจบจง เจ้าฟ้าหญิงก็ทรงมีพระกมลโสมนัสยิ่งนัก มีพระเสาวณีย์ถวายนิตยปวารณาว่า

... " ข้าแต่พระคุณเจ้าขา! แต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระคุณเจ้าจงอย่าได้เที่ยวไปแสวงหาที่อื่นเลย พระคุณจงมารับน้ำมันในสำนักแห่งข้าพเจ้านี้เป็นนิตย์ทุกวันเถิด "

138
... ฝ่ายพระภิกษุผู้เป็นเจ้ารูปนั้น ครั้นได้น้ำมันตามความประสงค์มากกว่าทุกวันแล้วก็ดีใจนักหนา

... รีบอุ้มบาตรน้ำมันกลับมาสู่มหาวิหารในราตรีกาลวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็ได้มีโอกาสกระทำประทีปบูชาให้สว่างไสวมากกว่าทุกวัน

... ครั้นแล้วจึงเข้าไปถวายอภิวาทสมเด็จพระสรรเพชญ์ปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงกราบทูลว่า
     
... " ข้าแต่พระผู้ทรงพระภาค พระเจ้าข้า! เวลาราตรีนี้ข้าพระองค์ได้ตกแต่งประทีปบูชามากขึ้นกว่าทุกราตรีเช่นที่เห็นอยู่เวลานี้ ด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันภคินีของพระองค์ถวายมา และพระนางเจ้าได้ทำพุทธภูมิปณิธานว่า

... ด้วยเดชะผลทานที่ถวายด้วยใจเลื่อมใสยิ่งนักนี้ พระกนิษฐภคินีเจ้าปรารถนาขอได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สิทธัตถะในอนาคต

... ข้าพระองค์โอกาสกราบทูลถามว่า ความปรารถนาของพระภคินีเจ้าจะสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า? "
     
... สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงสดับแล้ว จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
     
... " ดูกรภิกษุ! บัดนี้ สุมิตตาราชกุมารีกนิษฐภคินีของเรานั้น เจ้ายังตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นสตรีเพศ จึงยังไม่สมควรที่จะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์ก่อน "
     
... " พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ! ก็พระกนิษฐภคินีของพระองค์จักไมมีโอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ พระเจ้าข้า "

... พระคุณเจ้ารูปนั้นถวายนมัสการกราบทูลขึ้นอีก

139
... ทรงได้ฟังพระคุณเจ้าเล่าถวายให้ฟังดังนี้ เจ้าสุมิตตาราชบุตรีก็มีจิตยินดีเลื่อมใสหนักหนา

... จึงทรงถือขันสุพรรณภาชน์ ยุรยาตรไปตักตวงน้ำมันพันธุ์ผักกาดจนเต็มขันแล้วก็ ทูนเหนือเศียรเกล้านำมา

... ในขณะนั้นเจ้าหญิงราชธิดาก็ทรงบังเกิดความคิดขึ้นมาว่า
     
... " สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชของเรา ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลสัตว์โลกเป็นอันมากฉันใด กาลนานไปเบื้องหน้า ขอจงอาตมาได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง เพื่อจะอนุกูลแก่สัตว์โลกฉันนั้นเถิด "
     
... เมื่อเกิด ความคิดคำนึง ฉะนี้แล้ว พระราชธิดาเจ้าจึงนำสุพรรณภาชน์น้ำมันนั้น ลงจากเบื้องบนพระเศียรเกล้าแล้วก็รินลงในบาตรของพระคุณเจ้าจนเต็มบาตร พร้อมกับทรงตั้งมโนปณิธานว่า
     
... " ข้าแต่พระ คุณเจ้าผู้เจริญ ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าสำเร็จดังมโนรถเถิด

... พระคุณเจ้าขา ขอพระคุณเจ้าจงเอาน้ำมันนี้ไปบูชาองค์สมเด็จพระบรมเชษฐาธรรมิกราช ซึ่งตรัสเป็นองค์พระสัพพัญญูของข้าพเจ้าแล้ว ขอพระคุณเจ้าจงมีจิตการุณช่วยกราบทูลพระองค์ด้วยว่า

... พระราชบุตรีกนิษฐภคิณีของสมเด็จพระพุทธองค์เจ้านี้ ซึ่งมีนามว่า สุมิตตากุมารี มีกาลประสาทโสมนัสศรัทธายิ่งนักหนา

... ขอน้อมพระเกศถวายอภิวาทพระบาทยุคลสมเด็จพระทศพลญาณ และขอตั้งปณิธานปรารถนาดังนี้ว่า

... ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้เป็นปัจจัยนานไปในอนาคต จักขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง

... แลขอให้ทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เหมือนด้วยชื่อแห่งน้ำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด "
     
... ครั้นมีพระดำรัสไปดังนี้แล้ว สุมิตตาราชกุมารีก็ถวายอภิวาทพลางส่งพระผู้เป็นเจ้านั้นกลับไป

140
... วันหนึ่งเป็นเวลาสายัณหสมัยใกล้ค่ำแล้ว เจ้าหญิงสุมิตตาราชบุตรี ประทับยืนอยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗

... ทอดพระเนตรลงมาข้างล่าง ก็ทอดทัศนาการเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งทรงสมณสารูป มีกิริยาอาการน่าเลื่อมใสยิ่งนัก

... เจ้ากูมาประดิษฐานบิณฑบาตอยู่แทบพระทวารวัง พระนางเจ้าจึงทรงจินตนาว่า

... "ภิกษุมาบิณฑบาตในเวลาเย็น อันมิใช่กาลที่ควรบิณฑบาตเช่นนี้ ชะรอยจะมีประสงค์สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นมั่นคง"

... ทรงจินตนาดังนี้แล้ว จึงดำรัสใช้บุรุษคนหนึ่งว่า

... "ท่านจงลงไปถามความต้องการของพระผู้เป็นเจ้าให้รู้แจ้งแล้วจงมา"

... ราชบุรุษรับพระดำรัสถวายบังคม ลงมาถามได้ความแล้ว กลับขึ้นไปทูลว่า

... "พระผู้เป็นเจ้า ประสงค์จะบิณฑบาตน้ำมัน "

... เจ้าหญิงสุมิตตาราชบุตรีนั้น จึงให้ไปอาราธนาพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมาเอง ณ อาสนะอันสมควรแล้ว จึงมีพระดำรัสถามว่า
     
... "พระผู้เป็นเจ้า ต้องประสงค์น้ำมันเอาไปเพื่อประโยชน์สิ่งใด?"
     
... "ขอถวายพระพร พระราชธิดา! อาตมภาพโคจรบิณฑบาตน้ำมันได้เป็นอันมากแล้ว

... ก็แต่งประทีปมากมายนักหนาทำสักการะบูชาแด่องค์สมเด็จพระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า จนสิ้นราตรียันรุ่ง

... ครั้นเวลาสายสว่างแล้ว พระอริยสงฆ์สาวกมาประชุมพร้อมกัน ณ สำนักแห่งพระบรมครู

... อาตมภาพก็ตามประทีปบูชาพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายอีกเล่า แต่เฝ้ากระทำอยู่อย่างนี้เป็นนิตย์เสมอมานะ พระราชธิดา ขอถวายพระพร"

141
... ก็ในสมัยนั้น เป็นกัปที่มีชื่อว่า " สารกัป "

... เพราะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้พระองค์เดียว

... ทรงพระนามว่า องค์สมเด็จพระพุทธปุราณทีปังกรวิริยาธิกะสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า

... พระองค์ทรงเป็นพระราชบุตรของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช เช่นกัน

... ฉะนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเราซึ่งทรงพระนามว่า เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตราชกุมารี

... จึงทรงเป็นพระกนิษฐภคินีของสมเด็จพระปุราณทีปังกรมหามุนีเจ้าพระองค์นั้น แต่ต่างพระมารดากัน
     
... เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรจอมไตรโลกุตมาจารย์เจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก

... กาลครั้งนั้น หมู่มนุษย์นิกรนานาประชาชาติ

... มีสมเด็จพระพุทธบิดา คือ พระเจ้าสุปปบุตรมหาราชาธิราชเป็นประธาน

... ได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอันมาก พากันจัดสรรทำสักการะบูชาอุทิศเป็นพระพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

... และอุปัฏฐากบำรุงด้วยจตุปัจจัยในสังฆมณฑล

... พระพุทธศาสนาถึงความเจริญรุ่งเรืองนักหนา ประชาสัตว์ต่างได้ลิ้มรสอมตธรรม

... สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลเป็นจำนวนมาก ตามสมควรแก่อุปนิสัยวาสนาบารมีของตนที่สร้างไว้

142
เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี
(เมื่อกาลครั้งนั้น องค์พระปัจจุบันยังเป็นพระโพธิสัตว์บารมีต้น)
     
... เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าของเรา แต่ครั้งมีพระบารมียังอ่อนถูกราคะกิเลสครอบงำ ทำให้ประกอบกรรมล่วงกามมิจฉาแล้วไปสืบปฏิสนธิเกิดในนรกเสวยทุกข์แสนสาหัส เป็นเวลานานนักถึง ๑๔ มหากัปดังกล่าวแล้ว

... แต่ต่อจากนั้น ด้วยอำนาจเศษกรรมยังตามให้ผลอยู่ไม่เสื่อมคลายไปง่ายๆ ครั้นจุติจากนรกแล้ว

... จึงต้องไปสืบปฏิสนธิถือกำเนิดเกิดเป็นลา เป็นเวลานานนับได้ ๕๐๐ ชาติ

... แล้วจึงไปถือกำเนิดเป็นโคอีก ๕๐๐ ชาติ

... แล้วจึงถือกำเนิดเป็นคนพิการ ตาบอด หูหนวกแต่กำเนิดอีก ๕๐๐ ชาติ

... แล้วมิหนำซ้ำให้ถือกำเนิดเป็นกระเทยอีก ๕๐๐ ชาติ

... แล้วจึงมาถือกำเนิดเป็นสตรีอีก เป็นเวลานานถึง ๕๐๐ ชาติ
     
... ในกรณีนี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย พึงสันนิษฐานลงเถิดว่า

... แต่เพียงเศษของอกุศลกรรมที่ทำด้วยความประมาทมาตามสนอง ก็น่าสะพึงกลัวยิ่งนักหนา

... ฉะนั้น จงอย่าได้ประมาทในอกุศลกรรมความชั่วทั้งปวงเลย

... ดูแต่พระโพธิสัตว์เจ้าของเรานี่เถิด ทั้งๆ ที่ตั้งพระหฤทัยไว้แล้วว่า

... จะขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าอนุกูลสงเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลายอยู่โดยแท้

... ควรแลหรือที่พระองค์ยังต้องถูกราคะกิเลสมาครอบงำเหยียบย่ำบีฑา

... แต่ครั้งเป็นมาณพหนุ่มช่างทอง ให้เกิดปรองดองรักใคร่กับภรรยาของผู้อื่น ได้ชมชื่นรื่นรมย์อยู่เพียงสามเดือน

... แต่ต้องถูกกรรมมาซัดทำให้วิบัติขัดขวางเสียเวลาที่จะสร้างบารมีเพื่อโพธิญาณ นับเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ได้

... ก็จะป่วยกล่าวไปใยถึงสามัญชนสัตว์ทั่วไปนี่เล่า อย่าได้ประมาทเลย
     
... เมื่อถือกำเนิดเกิดเป็นสตรีเพศได้สี่ร้อยกว่าชาติแล้ว

... ครั้นถึงพระชาติเป็นที่สิ้นสุด เศษปรทากรรมคือการล่วงเกินภรรยาของผู้อื่น

... พระชาติสุดท้ายที่เกิดเป็นสตรีเพศครบห้าร้อยนั้น ด้วยอปราปรเวทนียกรรมตามสนองจึงเป็นเหตุให้พระองค์ถือกำเนิดเป็นขัตติยกุมารี ทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี เป็นพระธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชผู้เป็นใหญ่

143
พระพุทธเจ้าเป็นนักเสียสละไม่มีใครเสมอเหมือน
โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
   
... ศาสดาองค์เอกเป็นนักเสียสละ ไม่มีใครเสมอพระศาสดาแต่ละพระองค์ๆ เลย

... ก่อนที่จะได้มาตรัสรู้นี้เสียสละจนไม่มีอะไรๆ เหลือเลย อย่างศาสดาของเรานี้สละลูกแล้วทานเมีย
   
... บางองค์อยู่ข้างหน้ามีอีกนะ อนาคตวงศ์ ๑๐ องค์ นอกจากพระอริยเมตไตรยซึ่งอยู่ในภัทรกัปนี้ ๕ พระองค์ พระพุทธเจ้า ของเราแล้ว ก็เป็นพระอริยเมตไตรยที่จะมาตรัสรู้นี้ จากนี้แล้วก็มีพระอนาคตวงศ์อีก ๑๐ องค์ ท่านเล็งไว้เรียบร้อยๆ

... ที่นี้ดูแต่ละองค์ๆ นี้แหม! เรียกว่าไม่มีใครทำได้เลย อ่านแล้วสลดสังเวชนะเรา นี่ท่านเหล่านี้ท่านจะทำได้อย่างนั้นว่างั้นเลย คือ พระพุทธเจ้านี้เล็งญาณดูแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ชื่อว่าอย่างนั้น ถึง ๑๐ องค์

... แล้วองค์นี้ท่านดำเนินเรื่องนักเสียสละแบบเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าแยกกันๆ เสียสละคนละอย่างๆ เด่นคนละอย่างๆ แต่เป็นนักเสียสละเหมือนกันหมด
   
... บางรายยักษ์มาขอลูก โอ๋ย! นี่ที่เราสลด พอยกลูกให้มัน มันไปกินลูกต่อหน้า กร้วมๆ กินลูกต่อหน้าเลย ท่านสลดใจปึ๋ง

... ในหนังสือบอกว่ามองเห็นดาบ ว่างั้นนะ จะฟันยักษ์ ทางนี้ก็รับกันปึ๋ง ลงจะเป็นศาสดาลูกคนเดียวเท่านี้ยังสละไม่ได้เหรอ เท่านั้นหยุดปึ๊กเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ก็ลูกเราทั้งคนเลือดในหัวอกเรา มอบให้เขาแล้ว เขาไปกินต่อหน้า กินแบบยักษ์ว่างั้นเถอะกินต่อหน้า ทางนี้ก็สลดใจปึ๋งขึ้นมาทันทีเลย มองเห็นดาบจะคว้าดาบฟันนี่โพธิสัตว์นะ ทางนี้ก็ขึ้นต้อนรับกัน

... ขนาดจะเป็นพระพุทธเจ้าขนาดนั้นแล้ว ลูกคนเดียวเท่านี้ยังทานไม่ได้เหรอ เรื่องข้างหน้ายังหนาแน่นกว่านี้อีก หยุดปึ๊กเลย ให้ยักษ์เอาไปกิน นี่ในพระประวัติของพระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เป็นระยะๆ
   
... นั่นล่ะท่านได้เป็นศาสดาแต่ละองค์ โอ๋ย! ไม่มีใครทำได้ว่างั้นเลยนะ เพียงอ่านเท่านี้สลดเลย เราทำไม่ได้ เห็นแต่เรื่องของท่านที่เป็น อย่างพระพุทธเจ้าเป็นมาแล้วเป็นลำดับลำดามา อันนี้เอาลูกไปกินต่อหน้า นี้ก็มี ๑๐ องค์เป็นระยะๆ คือ ท่านทรงทำนายไว้ ทางนี้ก็จดจารึกเอาไว้ ท่านทำนายอย่างไร ต้องเป็นอย่างนั้น อย่างพระพุทธเจ้า ๑๐ พระองค์นี้ ก็มีพระนามว่าอย่างนั้นๆ ต่อจากพระอริยเมตไตรยเราไป
   
... นี่ละคำว่า พุทธศาสนา นี้หมายถึง ศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งเป็นคู่โลกคู่สงสารเรื่อยมา คือ ศาสนาเดียวนี้เท่านั้น นอกจากนั้นก็เป็นศาสนาของคนมีกิเลส ไม่เรียกว่าศาสดาเป็นคู่บ้านคู่เมืองได้แหละ อันนี้เป็นศาสดาเป็นคู่บ้านคู่เมือง คู่โลกคู่สงสาร สืบทอดกันมาเรื่อยอย่างนี้ตลอดไป อันนี้เป็นมานานเท่าไรแล้ว เป็นอย่างนี้เรื่อย

... ทางนี้เป็นทางเดินของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่รื้อขนสัตว์โลก ทางสายของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์นี้ล่ะเป็นลำดับลำดาท่านแสดงไว้อย่างนี้   

144
... พระอุปคุตท่าน ก็ขอร้องให้พระยามาร แสดงเป็นรูปพระพุทธเจ้า สมัยยังทรงพระชนม์อยู่ให้ดู

... พระยามาร ตอบว่า ได้ๆๆ เรื่องเล็ก แต่สัญญากันก่อนนะ จะไหว้ผมไม่ได้นะ ห้ามไหว้

... โดยเฉพาะ พวกท่านเป็นอรหันต์ เป็นพระอริยะ มาไหว้ผมละไม่เป็นเรื่องหรอก

... พระอุปคุตก็ตกลง

... พระยามาราธิราช บอกว่า ผมจะเดินไปทางหลังเขา ถ้าออกมา ห้ามไหว้เด็ดขาดนะ เพราะบาปจะตกอยู่กับผม

... พอพระยามารไปหลังเขา พระอุปคุตก็ให้สัญญาณ เรียกพระอรหันต์มาทั้ง ๒ แสนรูป

... สักครู่หนึ่ง พระยามารก็ออกมาเป็นพระพุทธเจ้า มีฉัพพรรณรังสี รัศมีสว่างไสว สวยสดงดงามมาก

... มีพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร อยู่เบื้องซ้ายขวา ครบเครื่องมาเลย

... พระทั้งหมด ลืมสัญญา ลุกขึ้นกราบพร้อมกัน กราบพระพุทธเจ้า

... พระยามารรีบคลายตัวทันที บอกว่า ท่านทำไมทำยังงี้ เป็นโทษกับผม

... ท่านอุปคุตก็บอกว่า ท่านไม่ต้องวิตก เพราะว่าการกราบนี้ เขาไม่ได้กราบท่าน เขากราบพระพุทธเจ้า โทษของท่านไม่มี

... พระยามาราธิราชก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ขอพระคุณเจ้าทั้งหมดงดโทษให้ผมด้วย พร้อมด้วยพระรัตนตรัย

... เพราะว่า ผมเองก็ปรารถนาพุทธภูมิ แล้วท่านก็กลับไป เรื่องก็จบลงแต่เพียงนี้

145
... พอพระเจ้าอโศกมหาราช ฉลองศาสนาเสร็จ

... ไปถึง พระยามารก็บ่นว่า โธ่เอ๋ย พระสมณโคดม ท่านก็ใจดีนะ แต่สาวกนี่แหมใจร้ายเต็มที

... ท่านอุปคุตไปถึงก็ต่อว่า สาวกสมัยก่อน อย่างพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระบิณโฑลภารทวาชะ ใครๆ ก็มีฤทธิ์ มากกว่าท่านเสียอีก แต่ไม่ใจร้าย มีท่านคนเดียว ใจร้ายกับเรา

...  ท่านอุปคุตก็โต้ว่า รู้แล้วไม่ใช่หรือ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ท่านกับเราเท่านั้น ที่เป็นคู่ปรับกัน

... ความจริงแล้ว ท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหมดน่ะ ตัวท่านสู้ไม่ได้หรอก ไม่มีทางสู้

... เวลานี้ แม้แต่เณร ๗ ขวบ ที่ไปตามเรา ท่านก็สู้ไม่ได้ แต่ที่ท่านทั้งหลายไม่ทำ ก็เพราะไม่ใช่หน้าที่ของท่าน แต่เป็นหน้าที่ของเรา

... ผลที่สุดพระอุปคุตท่านก็ปล่อย แต่บอกว่า ก่อนปล่อย ต้องสัญญากับเราก่อนว่า จะไม่รบกวน บรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสิกา ผู้ปรารถนาในธรรม ถ้ารบกวนเมื่อไร โทษจะหนักกว่านี้หลายพันเท่า พระยามารก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ไอ้ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน นี่ก็พอแล้ว

146
... ทีนี้พอวันเริ่มต้นงาน พระยามารก็แสดงเดช ทำมืดครึ้ม ไม่ให้เห็นแสงอาทิตย์เลย

... พระทั้งหลายก็เตือนว่า นั่นไง ท่านอุปคุต พระยามารแสดงแล้ว

... ท่านบอกว่า ไม่เป็นไรเรื่องเล็กพอแต่งตัวรัดประคดเรียบร้อย ก็ไปหาพระยามาร บอกว่า

... คลายฤทธิ์เดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่คลายเป็นพัง เราอุปคุต

... พระยามารได้ยินก็ชักขนลุกซู่ ๆ รู้ฤทธิ์ รู้เดช ฉะกันมาหลายชาติแล้ว ตาเขาก็หนึ่ง ในตองอูเหมือนกัน

... เอ้า เก่งจริง ก็เชิญเลย นี่พระยามาราธิราชไม่เคยกลัวใคร แม้แต่พระสมณโคดม ก็ยังไม่กลัวเลยสู้กัน

... ความจริง เอาเสียที่เดียวก็ได้ เหนือชั้นกว่ามาก ล่อกันไปล่อกันมา

... ท่านอุปคุต ท่านขี้เกียจขึ้นมา ก็จับเอามือไพล่หลัง อธิษฐานให้แก้ไม่ออก

... ไม่ใช่แต่เท่านั้น อธิษฐานเอาหมาเน่ามาผูกคอเสียอีกด้วย

... พระยามาราธิราชแกก็เทวดาองค์หนึ่ง เทวดานี่แต่กลิ่นคนเขาก็เหม็นเสียแล้ว

... โดนหมาเน่าเข้าวิ่งโร่ไปหาพระอินทร์เจ้านายใหญ่

... พระอินทร์บอกว่า อ้าว ทำไมไปเล่นกับพระอุปคุตเล่า เขาจะทำบุญพระศาสนากันดันไปแกล้งเขา ใครจะไปมีฤทธิ์เท่าพระอรหันต์ ได้ไม่มี

... มีทางเดียวท่านไปขอขมาท่านอุปคุตเสีย แล้วสัญญาว่า จะไม่ทำพยศอีก พระอุปคุตก็จะอภัยแก่เธอ

... ท่านก็จำเป็นจำยอมไปขอโทษขอโพย

... พระอุปคุตถามว่า ยังไง สิ้นฤทธิ์แล้วรึ ?

... แกบอกว่า ยอมๆ ยอมทุกอย่าง ต่อไปไม่แกล้งอีกแล้ว

... พระอุปคุต ก็แก้หมาเน่า แก้มัดมือออก แต่ยังเอารัดประคต ผูกเข้าไว้กับเขาพระสุเมรุเสียอีกหลายเปลาะ

... ปล่อยพระยามารดิ้นด็อกแด็กอยู่ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ดิ้นเสียเขาพระสุเมรุหวั่นไหว ดาวดึงส์สะเทือนไปหมด

147
... พอพระอุปคุตมาถึง พระทั้งหลายก็ว่า

... " นี่อุปคุตเป็นอรหันต์แล้ว หาความสุขแต่ผู้เดียว ไม่ช่วยกันบำรุง พระพุทธศาสนา ไปเข้านิโรธสมาบัติ อยู่กลางทะเลอย่างนี้ ต้องถูกลงทัณฑกรรม "

... เอาอีกแล้ว ทัณฑกรรมเฟ้อจริงๆ

... พระอุปคุตก็ยอมรับว่า ไม่เป็นไรครับ เอาไงก็ว่ามาเถอะ

... เลยได้รับมอบหมายให้ต่อต้าน พระยามาราธิราช ในอีก ๗ วันข้างหน้า

... พระอุปคุตก็ยอม แต่ขอกินข้าวให้อ้วนเสียก่อน ไม่อ้วนนี่ ท่าจะไม่เป็นเรื่อง เอา ๗ วันก็พอ

... ตอนเช้าท่านก็เดินย่องแย่งเป็นขี้ยาเข้ามาในเมือง

... มีคนเขาบอกว่า นี่องค์นี้แหละที่เขาไปตามมาต่อต้านพระยามาร

... พระเจ้าอโศกมหาราชว่า โถ ! พระขี้ยา ผอมเหลือแต่กระดูกยังงี้หรือ จะไปต่อต้านพระยามาราธิราช ไม่ได้ต้องลอง

... เลยเอาช้างพระที่นั่ง ตัวดุที่ตกมัน มายืนดักข้างทาง

... พอพระอุปคุต คล้อยหลังก็ไสช้างไล่แทงเลย

... พระอุปคุตได้ยินเสียงข้างหลัง เอ๊ะ อะไรกันแน่

... เห็นช้างวิ่งเข้ามาใกล้ท่านก็ เอานิ้วจิ้มปั๊บ บอกว่า "หยุด" ช้างกันจ้ำเบ้าเลย นั่งเหมือนกะหินอยู่ตรงนั้น จะขี้แตก ด้วยหรือเปล่าจำไม่ได้

... พระเจ้าอโศกมหาราชเลยบอกว่า ไม่ต้องไปบิณฑบาตหรอก แล้วท่านก็เอามาเลี้ยงเสียอ้วนปี๋เลย

148
... มาในระยะหลังๆ ที่พระเจ้าอโศกมหาราช จะฉลองพระศาสนา

... อีตอนนั้นซี พระอุปคุต ท่านไปคุดอยู่กลางมหาสมุทร

... บรรดาพระทั้งหลายนั่งประชุมกันว่า พระเจ้าอโศกมหาราช จะฉลองพระศาสนา เจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน คราวนี้ ยังไง ๆ พระยามารต้องเล่นงานแน่ แล้วเราจะมีใครป้องกันได้บ้าง

... พระอรหันต์ตั้งสองแสนองค์ ปฏิสัมภิทาญาณก็มีอภิญญาก็มี ไม่มีใครสู้พระยามารได้หรือ ?

... สู้ได้ ไม่ใช่สู้ไม่ได้ แต่ทุกองค์บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา

... ทีนี้ในการประชุมคราวนั้น พญานาคขึ้นมาฟังด้วยพอดี

... พญาครุฑบินมาในอากาศเห็นเข้าก็จะฉะพญานาคละซี ปฏิปักษ์กันนี่ โฉบลงมา

... พญานาควิ่งพรวดเข้าไปกลางวงพระ พระทั้งหลายตกตะลึง

... บอกว่าเณร ช่วยพญานาคเดี๋ยวนี้

... เณรแกอายุ 7 ปีเท่านั้น เป็นพระอนาคามีได้อภิญญา

... พอท่านสั่ง เณรก็ยิ้ม เข้าวาโยกสิณ เอาลมหอบพยาครุฑไปเสียไกล

... พระได้ท่า บอกว่า เณรฉันบอกให้แกช่วยพญานาค แกยิ้มนั่นยิ้มเยาะพระ นี่ต้องลงทัณฑกรรม

... นั่นแน่ ไม่ใช่เล่น หาเรื่องคนเป็นที่หนึ่ง เณรก็ยอม แล้วแต่พระคุณเจ้าจะ ลงทัณฑ์

... ท่านก็สั่งว่า ถ้าอย่างนั้นเธอจงลงไปตามอุปคุตมานั่น

... ตอนแรกปรึกษากันว่า ใครจะเป็นคน ไปนิมนต์พระอุปคุต ที่จำพรรษาอยู่กลางทะเล

... พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า มีอุปคุตคนเดียวเท่านั้น ที่เป็นคู่ปรับพระยามาธิราช ปราบให้แพ้น่ะได้

... แต่คู่ปรับนี้ ต้องปราบให้แพ้ด้วย แล้วทำให้เลื่อมใส กลับเป็นคนดีด้วย

... ความประสงค์เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านจะปราบก็ปราบได้

... แต่ท่านไม่สามารถทำให้ พระยามารเป็นคนดีได้

... ตอนก่อนจะนิพพาน ท่านจึงบอกไว้ว่า พระยามาราธิราชนี้มีคู่ทรมานเป็นพระอรหันต์

... เบื้องหลัง เมื่อเรานิพพานไปแล้ว ๒๐๐ ปี มีนามว่า อุปคุต

149
... ถามท่านว่า ทำไมถึงไปลิดรอนพระพุทธเจ้า

... ตอบว่า ปัดโธ่ ท่านไม่รู้จักความโง่ของผม

... ถามว่า ทำไมล่ะ

... ตอบว่า ผมกลัวพระพุทธเจ้าจะเทศน์สอนเอาคนไปนิพพานเสียหมด พอเวลาผมเป็นพระพุทธเจ้าบ้างแล้ว ผมจะสอนใครล่ะ

... เราก็นึกในใจว่า โธ่ ไม่น่าโง่เลย จะขนไปยังไงหมด

... ถามท่านว่า เวลานี้ยังเป็น พระยามาร ไหม

... ท่านตอบ ไม่ ๆ ๆ ๆ พวกท่านมีหลายคน แหม เขากลัวพระยามารกันจริง ๆ

... ก็ไอ้มารอยู่ในตัวเองน่ะไม่ยักกลัว

... พระยามารนี้เวลานี้ช่วยชาวบ้าน พวกพุทธมามกะทุกคน

... พระยามารต้องบังคับให้ลูกน้องไปช่วยเหลือ คือ ที่ประคับประคอง

... พวกเรานี่แหละ จะเรียกว่า พระยามาร ไม่ได้แล้วนะ

... ต้องเรียกว่า ท้าวมาลัย

... ทีนี้ย้อนมาตอนต้น ตามตำนานที่พระพุทธเจ้าตรัส มีคนถามว่า

... ทำไม่ท่านไม่ทรมานพระยามาราธิราชล่ะ

... ท่านตอบว่า ไม่ใช่คู่ปรับกัน พระยามารนี่จองขัดคอ ให้ปั่นป่วนนิดหน่อย ไม่จองเวรแรงขนาดเทวทัต

... เมื่อสมัยนั้น ท่านเป็นคนเลี้ยงม้าด้วยกันทั้งคู่ จะม้าแข่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ซี

... ท่านไปเกี่ยวหญ้าม้ากัน เกี่ยวไปก็แยกห่างกันไปที

... ทีนี้ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เสด็จจากภูเขาคันธมาทน์

... กุฏิของท่าน มันไม่ค่อยดี ท่านต้องการ ต้นหญ้านี่ ไปผสมกับดินทาฝา เพราะพระจะเกี่ยวหญ้าเองก็ไม่ควร

... เมื่อเห็นสองคนนี้เกี่ยวหญ้า ท่านก็เหาะลงมายืนเฉย

... พระพุทธเจ้าของเรา ก็นึกในใจว่า เราเอาของเราถวายท่าน ก็เป็นการสมควร

... อยากจะเอาของเพื่อนถวายบ้างสักก้อนหนึ่ง

... แต่ถ้าเพื่อนกลับมาแล้วแสดงความไม่พอใจ ก็จะมีโทษมาก

... เพราะพระพุทธเจ้าเป็นพระที่มีบุญหนัก ก็เลยไม่ได้ถวายไป

... พอตอนเย็นกลับมารวมกัน ขนหญ้าขึ้นเกวียน ท่านก็เล่าเรื่องให้ฟัง

... เท่านั้นแหละแกโกรธหาว่า กลัวจะดีเท่าเทียม

... เอาละ ท่านไปไหนก็ตาม เราจะตามไปขัดคอ

... แต่ทุกชาติไม่ได้ขัด มาขัดเอาชาติสุดท้าย

... เมื่อพระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยออกมหาภิเนษกรมณ์ เห็นท่าไม่เป็นเรื่องแล้ว สิทธัตถะนี้ไปแน่ กูไม่ทันนี่หว่า

... แล้วก็มาขัดคอ ต่างๆ อย่างที่ทราบ กันดีอยู่แล้ว

150
ท่านท้าวมาลัยโพธิสัตว์
จากหนังสือ ตายแล้วไปไหน ตายแล้วไม่สูญ
โดย พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

... วันที่ไปเยี่ยมจาตุมหาราชที่เล่ามาแล้วนั้น ก็เลยไปดาวดึงส์ ไปยามาแล้วก็ดุสิต

... ที่ชั้นดุสิตหลวงพ่อปานมารับ ก็กราบๆ ท่าน ท่านถามว่า

... " เออ อยากพบพระศรีอาริย์ไหมล่ะ "

.. ตอบว่า " อยากจะ เจอะ จะเจอะ ยังไงได้ล่ะ "

.. ท่านบอกว่า " ไม่ต้องไปหรอก ท่านมาแล้ว "

... สวย ดุสิตนี่สวยจริง ๆ ยามาน่ะ เขาขาวพรึ่ดหมด

... ต้นไม้น่ะมีแค่ ดาวดึงส์แห่งเดียวนะ

... เทวดานักฟ้อนก็มีแต่ดาวดึงส์แห่งเดียวเพราะว่า เป็นเมืองหลวง

... ชั้นยามาสวดมนต์ตะพึด ดุสิตสวยสดงดงาม

... ไปถึงชั้นนิมมานรดี เทวดาที่ทำหน้าที่นิรมิตต่างๆเป็นชั้นที่ ๕

... ที่ว่า "ชั้น"น่ะไม่ใช่เป็นชั้นซ้อนๆ กันนะ

... เป็นพื้นเดียวอย่างโลกเรานี่แหละ แบ่งเป็นเขตเท่านั้นเอง แต่เป็นทิพย์

... ไปถึงแวะ เยี่ยมท่านแก้วจินดาก่อน ท่านแก้วจินดา ท่านก็มาด๊งเด๊ง ๆ ตามมสภาพของท่าน

... องค์นี้เคยทะเลาะกันมาเรื่อย

... ท่านถามว่า มาไงล่ะ ตอบว่า มาเที่ยวซี

... ถามท่านว่า เออ วิมาน พระยามาราธิราช อยู่ไหน หัวเราะก้ากเลย

... บอกว่า พระโง่ยังงี้ก็มีด้วย

... ถามว่า ทำไมล่ะ

... ตอบว่า ที่นี่เขาเรียก ท้าวมาลัย ครับ ที่นี่ไม่มีพระยามาราธิราชหรอก

... มีแต่สมัยพระพุทธเจ้า ชื่อแกจริงๆ ชื่อ ท้าวมาลัย เป็นหัวหน้าเทวดาชั้น ที่ 6 เป็นผู้ว่าการ

... ก็เลยไปหากัน ท่านก็ออกมารับแหม สวยแฉ่งเลย รัศมีกายผ่องใส มารับที่เขตวิมานเชียวนะ

... ที่ไปกันตอนนี้สมทบกันไปหลายชั้น จำนวนมันก็หลายหมื่นซี

... ท่านเชิญเข้าไป ไอ้หน้ามุขมันนิดเดียวแหละถามท่านว่า ขึ้นหมดรึนี่

... ท่านตอบว่า ไม่เป็นไร หรอก วิมานเทวดายืดได้ แน่ะ เก่งเสียด้วย

... ไม่เหมือนเมืองมนุษย์หรอก ตั้งแค่ไหนก็แค่นั้น มองดูกะว่า จุสัก ๒๐๐ ก็แย่แล้ว

... แต่เราเข้าไป เป็นหมื่นยังเต็มไม่ถึงครึ่ง คุยไปคุยมา


หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 15