เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Webmaster

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 16
76


ไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม

การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ เมื่อเราจะออกจากบ้าน ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัยทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา

การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเอง และเราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่า สิ่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ

คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ ว่า ที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง

เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงอย่าทำ นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้ว ปัญญาก็เกิด เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก

จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม คือ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผล มาอยู่เหนือความจริง

พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์ การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์ คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือ รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ แล้ว ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์

ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์ เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง

- ธรรมะ หลวงปู่ทวด

77
นานาสาระและเสวนาทั่วไป / ทำไว้ตั้งแต่วันนี้
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:10:52 PM »


ทำไว้ตั้งแต่วันนี้

การปฎิบัติธรรมควรทำไว้ตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้ หากไม่ฝึก ไม่รู้จักเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ตอนจะตายมันจะทรมาน เพราะจิตไม่ได้มีการเตรียมพร้อม จิตจะเคว้ง ไม่รู้จะไปไหน เมื่อตายไปแล้วจะลำบาก เพราะไม่ได้สะสมพลังงานบุญไว้ ไม่ได้ฝึกจิตให้ละเอียดไว้ เพราะฉะนั้นคนที่ได้มีบุญเข้าหาธรรมะตั้งแต่ตอนนี้ ถือว่าได้เตรียมตัวตายก่อนตาย เพราะเราต้องตายกันทุกคน

เราควรที่จะเข้าหาธรรมะไว้ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว เพราะต่อไปในการดำเนินชีวิต เราจะต้องพบเจอกับทั้งความสุข ความทุกข์ ความดีใจ ความเสียใจ หากเราไม่มีธรรมะประจำใจแล้ว ก็เหมือนเราขาดภูมิคุ้มกันที่ดีในการดำเนินชีวิต เมื่อพบเจอกับสิ่งต่างๆมากระทบ

เรานักปฏิบัติทั้งหลาย อย่าปล่อยเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ ให้หมั่นภาวนาไว้ตลอดเวลา พอลืมตาตื่นก็ให้ภาวนาไปจนถึงเวลานอน ให้คำภาวนานั้นหายไปพร้อมกับการหลับ ทำเช่นนี้ให้เคยชิน ไม่ว่าขณะนั้นกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในรถ ในเรือ หรือเดินอยู่ ก็ต้องภาวนา อย่าประมาท การภาวนานี้นอกจากจะเป็นบุญ และทำให้จิตได้ทำงานแล้ว ยังช่วยให้เราไม่ประมาทในความตายด้วย เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่า ตัวเองจะตายเมื่อไหร่ นอกจากพระอรหันต์ท่านเท่านั้น ฉะนั้น จงภาวนาไป ไม่เสียหาย ไม่เสียตัง มีแต่กำไร..

. . .

เรียบเรียงจากคติธรรมของ หลวงตาม้า
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
www.watthummuangna.com
www.facebook.com/watputtaprompanyo

78
นานาสาระและเสวนาทั่วไป / ธรรมะคือยาอายุวัฒนะ
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:10:24 PM »


ธรรมะคือยาอายุวัฒนะ

สมัยก่อนเคยมีกรณีบางครั้งที่มีญาติโยมที่ได้มารู้จักหลวงตาม้าท่านใหม่ๆ มาปฎิบัติธรรมที่วัด บางคนมารู้สึกตะขิดตะขวงใจเข้า และสอบถามเพื่อนที่มาด้วยกันว่า เหตุใดคนจึงเรียกหลวงตาม้าว่า "หลวงตา" ทำไมไม่เรียก "หลวงพ่อ" หรือ "หลวงพี่" เพราะดูๆแล้วอายุท่านน่าจะเพิ่ง 40 ปลายๆเท่านั้นเอง การเรียกกันว่า "หลวงตา" นี้เหมาะสมหรือไม่ เหตุใดจึงเรียกให้ดูแก่ หรือเพื่อต้องการเพิ่มศรัทธากันแน่?

สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเมื่อญาติโยมที่สงสัย ได้มาทราบอายุที่แท้จริงของหลวงตาจากแหล่งต่างๆก็พากันตกใจ เมื่อมารู้เข้าว่าจริงๆแล้ว หลวงตาม้าท่าน เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2487 ปัจจุบันท่านมีอายุ 70 ปีกว่าๆแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ที่ไม่ทราบอายุท่านมักจะเข้าใจกันว่าท่านอายุประมาณ 40-50 ปี เท่านั้นเอง.. ด้วยเหตุนี้ลูกศิษย์ที่ทราบอายุท่านจึงพากันเรียกท่านว่าหลวงตา มีเพียงลูกศิษย์อาวุโสบางท่านที่เรียกท่านว่า "หลวงพ่อ" เพราะอายุใกล้เคียงกัน

แต่หากย้อนมาดูถึงคำสอนที่หลวงปู่ดู่หลวงตาม้าท่านมักจะกล่าวให้ลูกศิษย์ฟังจะไม่แปลกใจเลย เพราะหลวงตาท่านจะพูดเสมอเรื่องจิตกับธาตุ(กาย) ท่านบอกว่าการที่พวกเรามาปฎิบัติธรรมนี้ เพื่อให้จิตมีอำนาจเหนือธาตุ อย่าให้ธาตุมีอำนาจเหนือจิตใจ เมื่อใดที่เรามีอำนาจจิตเหนือธาตุได้ในระดับต่างๆแล้ว อาการต่างๆความทุกข์ต่างๆของธาตุก็จะบรรเทาลงเรื่อยๆไม่รบกวนจิตใจ เมื่อจิตเหนือธาตุแล้ว อารมณ์ต่างๆก็จะอยู่ในความควบคุมของเรา ไม่แปรเปลี่ยนไปง่ายๆ ตามสิ่งรอบข้าง สิ่งยั่วยุต่างๆ หรืออาการต่างๆของกายเรา ซึ่งจะลดอาการเศร้า เสียใจ โกรธ โมโห ความเครียด และอารมณ์ด้านลบต่างๆ ให้ลดน้อยลง และจะส่งผลโดยตรงให้ร่างกายทำงานหนักน้อยลงตามไปด้วยนั้นเอง ด้วยเหตุนี้ ธรรมะจึงเป็นยาอายุวัฒนะ อย่างแท้จริง นอกจากจะชลอความแก่ และทำให้อายุยืนขึ้น ยังทำให้ดูมีราศีเปล่งปลั่งเบิกบาน พลอยทำให้ดูอายุน้อยกว่าความเป็นจริง ดังที่ครูบาอาจารย์พระสุปฏิปันโนทั้งหลายท่านทำเป็นตัวอย่างให้เราเห็นกันมาแล้ว..

บทความโดย.. กระดึง
facebook.com/watputtaprompanyo

79
นานาสาระและเสวนาทั่วไป / ระงับความโกรธ
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:09:51 PM »


การระงับความโกรธ

ความโกรธนั้นทุกคนต้องมีเป็นธรรมดาตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ต้องมีจะมีมากบ้างน้อยบ้าง แต่เราก็ต้องระวังระงับให้ได้โดยใช้สติควบคุม การมาปฏิบัติธรรมก็สามารถช่วยให้ความโกรธน้อยลงได้บ้าง คือ ระงับได้เร็วขึ้น

หลวงตาท่านแนะวิธีการแก้อารมณ์โกรธว่า ให้หาภาพพระพุทธรูป หรือพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที่เราเคารพนับถือ อัดขยายภาพให้ใหญ่แล้วใส่กรอบตั้งไว้ในที่ที่เหมาะสม และเราสามารถมองเห็นได้บ่อยๆ แล้วนั่งมองดูทุกวันๆ

พอเวลาโกรธใครก็ให้นึกถึงหน้าท่าน แล้วอารมณ์โกรธก็จะหายไปเอง ให้ทำเช่นนี้เรื่อยๆ จนกลายเป็นความเคยชินพอเกิดอารมณ์โกรธปั๊บก็ให้นึกเห็นหน้าท่านปุ๊บ กลายเป็นสมาธิเลย

เวลาคนโกรธนั้นจะแสดงออกทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทางกายก็ออกมาทางสีหน้าและแววตา การกระทำบ้าง ทางวาจาก็ด่าบ้าง ทางใจก็คิดมุ่งร้ายต่อเขาบ้าง

รู้หรือเปล่าว่า เวลาโกรธ ร่างกายต้องทำงานมากขนาดไหน ธาตุทั้งสี่นั้นทำงานป่วนไปหมด คือ ทำงานไม่เป็นระบบ กระทบถึงหัวใจด้วย เป็นแบบนี้บ่อยๆเข้า โกรธบ่อยๆ อายุจะสั้น เพราะมันกระทบร่างกายโดยตรง เพราะจิตควบคุมธาตุอยู่ จิตเป็นอย่างไร ก็กระทบธาตุด้วย

บางคนโกรธมาก มีอาวุธอยู่กับตัวก็ถึงขั้นทำร้ายกัน ฆ่าเขาติดคุกติดตาราง ต้องเดือดร้อนไปทั่วเพราะอารมณ์โกรธเพียงแค่นี้

เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่มีสติคอยควบคุม สิ่งเหล่านี้อยู่ที่การฝึกจิต ฝึกสมาธิ ให้สังเกตจากพอตาเห็นภาพปั๊บ หูก็ได้ยิน การสัมผัส อารมณ์จะเริ่มปรุงแต่งเสริมทันที ถ้าไม่มีตัวสติคอยควบคุมก็จะไปเรื่อย

เหมือนกับการภาวนา เรากำลังภาวนาอะไรอยู่ก็ตาม เผลอแป๊บเดียว จิตก็ไปคิดเรื่องอื่นแล้ว นี่เป็นเพราะเราไม่มีสติเข้าไปควบคุม พอนึกได้ก็กลับมาภาวนาใหม่

ฉะนั้น เวลาทำอะไร ต้องใช้สติเป็นตัวควบคุมตลอด
ทำด้วยความมี "สติสัมปชัญญะ"

เรียบเรียงจากคติธรรมคำสอนโดย
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
facebook.com/watputtaprompanyo

80


สูตรทำบุญไม่เสียเงินของ หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ

พอตื่นเช้ามาขณะล้างหน้า หรือดื่มน้ำให้ว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมังสรณัง คัจฉามิ สังฆังสรณัง คัจฉามิ” ก่อนจะกินข้าว ก็ให้นึกถวายข้าวพระพุทธ (เป็นอนุสสติอย่างหนึง) ออกจากบ้านเห็นคนอื่นเขากระทำความดี เป็นต้นว่า ใส่บาตรพระ จูงคนแก่ข้ามถนน ข่าวงานบุญต่างๆ ฯลฯ ก็ให้นึก อนุโมทนา กับเขา

ผ่านไปเห็นดอกไม้ที่ใส่กระจาดวางขายอยู่ หรือดอกบัวในสระข้างทาง ก็ให้นึกอธิฐานถวายเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย โดยว่า “พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ” แล้วต้องไม่ลืมอุทิศบุญให้แม่ค้าขายดอกไม้ หรือรุกขเทวดาที่ดูแลสระบัวนั้นด้วย ตอนเย็นนั่งรถกลับบ้าน เห็นไฟข้างทางก็ให้นึกน้อมบูชาพระรัตนตรัยโดยว่า “โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา” (เป็นการบูชาระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ก่อเกิดอานิสงค์แห่งบุญในดวงจิต) เวลาไปที่ไหนเห็นข่าว คนตาย คนเจ็บ คนป่วย คนที่กำลังมีความทุกข์ ก็ดี ผ่านจุดที่คนตายบ่อยๆ เห็นศาลเจ้า ศาลพระภูมิ ก็ดี ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า บารมีรวมของครูบาอาจารย์ อันมีหลวงปู่ดู่เป็นที่สุด แผ่บุญไป (เป็นการเจริญเมตตา ฝึกให้จิตมีพรหมวิหาร เป็นการบำเพ็ญบุญ)

ก่อนนอนก็นั่งสมาธิ เอนตัวนอนลง ก็ให้นึกคำบริกรรมภาวนาไตรสรณะคมนี้จนหลับ ตื่นขึ้นมาก็บริกรรมภาวนาต่ออีกตลอดวัน

เหล่านี้คือตัวอย่างเทคนิคการตะล่อมจิตให้อยู่แต่ในบุญกุศลตลอดวัน และได้บุญมากกว่าการทำทาน โดยไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว เป็นการทำให้ดวงจิตเราเกิดแสงแห่งบุญทุกขณะลมหายใจเข้าออก สะสมบุญได้ตลอดทั้งวัน

เวลาทำบุญ ควรอธิษฐานอย่างไร

คนส่วนใหญ่เวลาทำบุญมักอธิษฐานว่า ขอให้รวย ขอให้สุขภาพแข็งแรง ขอให้ได้ยศตำแหน่ง ฯลฯ แต่ที่จริงแล้วมีคำอธิษฐานที่ง่าย สั้น ครบวงจรเป็นประโยชน์ครบถ้วนกว่ามาก

หลวงปู่ดู่เคยสอนไว้ว่า เวลาทำบุญให้อธิษฐานสั้นๆไปเลยว่า "ขอให้ประสบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์" เพราะคำว่า ความดี นั้นรวมครบหมด ทั้งรวย สุขภาพดี มียศตำแหน่ง มีคนรักเมตตา ฯลฯ ส่วนปราศจากความทุกข์ก็ตัดสิ่งไม่ดีหมดทุกอย่าง ไม่มีทุกข์ ไม่มีโรคภัย ไม่มีอุปสรรค ไม่มีศัตรู ฯลฯ

ที่สำคัญคือ การ "พบแต่ความดี" นั้นสำคัญมาก เพราะแม้เราจะขอพรจนร่ำรวยจริง แต่ไม่ดี เงินนั้นเราอาจเอาไปเล่นพนัน ไปซื้อยาบ้า สุดท้ายก็พาไปนรก แม้จะมียศตำแหน่งแต่ปราศจากความดี ก็อาจเอาตำแหน่งไปข่มเหงคนอื่น คดโกงประเทศชาติ ก็มีนรกเป็นที่ไป แม้จะมีแต่ใครๆก็รักเมตตา แต่หากเราไม่ดี เราก็อาจกลายเป็นคนเจ้าชู้ หลอกคนนี้ให้รัก คนนั้นให้หลง สุดท้ายก็ทะเลาะตบตีกัน และไปนรกกันทั้งหมู่

"การขอให้พบความดี" จึงถือเป็นพรอันสำคัญที่สุด เพราะผู้ที่จะทำความดี ต้องมีปัญญาพอที่จะรู้ว่าความดีมีประโยชน์เช่นใด ดังนั้นเมื่อมีปัญญา แม้จะเกิดมาจน ก็ใช้ปัญญาหาเงินจนรวยได้ แม้จะเกิดมาต่ำต้อย ก็ใช้ปัญญาทำงานหายศตำแหน่งมาได้ไม่ยาก แม้เกิืดมาไม่มีใครรัก แต่หากมีปัญญารู้จักพูดจา ใครๆก็จะหันมารัก ที่สำคัญคือเมื่อมีปัญญา ก็รู้ว่าความชั่วไม่มีประโยชน์ ไม่ควรทำ ความดี มีแต่ประโยชน์และควรทำ ดังนั้นจึุงเป็นผู้มีความสุขทั้งโลกนี้ และโลกหน้า มีแต่สุคติเป็นที่ไป นรกไม่ได้เยี่ยมเยือน ใครอยู่ใกล้ก็มีความสุข

ดังนั้น เวลาทำบุญครั้งใด อธิษฐานง่ายๆก็ได้เช่นกันว่า "ขอให้พบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์..."

หลวงปู่สอนเรื่องการจบของทำบุญ - อธิษฐานรับพร

พวกเราในเพจวัดถ้ำเมืองนะล้วนแล้วแต่ชอบการทำบุญและไปทำบุญตามที่ต่างๆกันบ่อยมาก บางคนสงสัยว่าควรจะอธิษฐานอย่างไรในการทำบุญ เลยขอนำข้อมูลที่หลวงปู่ดู่ท่านเคยสอนลูกศิษย์มาเป็นแนวทางให้กับทุกคนลองนำไปใช้ดู

ก่อนที่ท่านมีศรัทธาทั้งหลาย จะถวายของแก่พระภิกษุสงฆ์ มักจะมีการอฐิษฐานหรือที่เรียกว่า จบของ บางคนจบนาน บางคนจบช้า หลวงพ่อท่านให้ข้อคิดว่า "ก่อนที่เราจะถวาย ให้จบมาเสียก่อนจากบ้าน เนื่องจากพอมาถึงวัด มักจะจบไม่ได้เรื่อง คนมากมายเดินไปเดินมา จะหาสมาธิมาจากไหน เราจะทำอะไรก็ตามอธิษฐานไว้เลย เวลาถวายจะได้ไม่ช้า เสียเวลาคนอื่นเขาอีกด้วย บางคนก็ขอไม่รู้จบให้ตัวเองไม่พอให้ลูกให้หลาน จิตเลยส่ายหาบุญไม่ได้"

การที่หลวงพ่อให้จบก่อนนั้น มีความประสงค์ให้ตั้งเจตนาให้ดี บุญที่ได้รับจะมีผลมาก ญาติโยมจึงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า "ควรอธิษฐานอย่างไร" หลวงพ่อตอบว่า "อธิษฐานให้พ้นทุกข์ หรือขอให้พบแต่ความดีตลอดไปจนพ้นทุกข์ ถ้าเป็นภาษาบาลี ก็ว่า สุทินนัง วะตะเม ทานัง อาสวะขะ ยาวะหัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ คนเราจะพ้นทุกข์ได้ ต้องพบกับความดี มีความสุขใช่ไหม ไม่ต้องอธิษฐานยืดยาวหรอก"

เมื่อทำบุญแล้ว มักจะมีการรับพรจากพระ มีการกรวดน้ำ บางทีไม่ได้เตรียมไว้ต้องวิ่งหากันวุ่นวาย หลวงพ่อบอกว่า "ใช้น้ำใจ น้ำจิต ของเรากรวดก็ได้ เขาเรียกกรวดแห้ง ไม่ต้องกรวดเปียก เรื่องการกรวดเปียก เขาเริ่มมาจากสมัยพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อถวายของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านกรวดน้ำให้เปรต ญาติพี่น้องที่มาร้องขอบุญจากท่าน ตอนแรกท่านไม่รู้ เลยทูลถามพระพุทธเจ้า ที่เขาเรียกว่า ทุสะนะโส คือ หัวใจเปรตนั่นแหละ" หลวงพ่อท่านตอบเพื่อให้คลายกังวล สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลากรวดน้ำเช่น คนที่รีบใส่บาตรก่อนจะไปทำงาน เป็นต้น

ส่วนการอธิษฐานรับพรนั้น ท่านแนะนำว่า ตั้งจิตว่า "ข้าพเจ้าขอรับพรที่ได้นี้ขอให้ติดตามข้าพเจ้าตลอดไปในชาตินี้ชาติหน้า" แล้วก็อธิษฐานเรียกพระเข้าตัว เวลาเขามีพิธีอะไร อย่างเช่น เวลาเขาปลุกเสกพระ เราก็สามารถรับพรจากพระองค์ไหน ๆ ก็ได้ทั้งนั้น

81


ความทุกข์จากความรัก?

หลวงตาม้าท่านสอนว่า ความทุกข์จากความรักนั้นมันเป็นพลังงานที่เสียเวลายาวนาน บางคนยึดมั่นในรัก ติดอยู่ในภพภูมิ เสียเวลายาวนาน กว่าจะได้เจอกัน และมารอกันอีก หากอีกคนแยกไปก็เกิดการฆ่ากันอีก เกิดเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันอีก หรือเรียกว่าทั้งรักทั้งแค้น ผูกกันไปอีก ยาวนาน นี่คือทุกข์ของความรักที่เจือปน ไม่ใช่ความรักที่แท้จริง การอธิษฐานแก้ไขในกรรมประเภทนี้ หลวงตา ให้ใช้ กรรมฐาน การฝึกจิต สมาธิ ฝึกให้ขึ้นพรหม (อันมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) จะแก้ไขในเรื่องทุกข์ของความรักนี้ได้ เพราะว่าพรหมไม่มีเพศ จึงหมดเรื่องพวกนี้โดยปริยาย หลวงตากล่าวเน้นว่า "ความรักคือความปรารถนาดีกับทุกๆคน ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด โดยไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไร นี่แหละความรักที่แท้จริง"

หลวงตาม้า อธิบายว่า เจ้ากรรมนายเวรโดยตรงต่อเราในชาติปัจจุบัน ก็คือ คนที่รักเราหรือคนที่เรารักมากที่สุดนั่นแหละ ที่งี้เราไม่รู้หรอกว่าเจ้ากรรมนายเวรเราอยู่ที่ไหน หากอยู่เทวดาหรือพรหม เขาก็ไม่เอาเรื่องเราหรอก ถ้าติดอยู่ข้างล่างก็เหมือนติดคุก เขาก็เอาเรื่องเราไม่ได้ ดังนั้นเจ้ากรรมนายเวรเราอยู่ที่โลกมนุษย์เรานั้นแหละ หากเราทำกรรมฐานอยู่ แผ่ให้เจ้ากรรมนายเวรเราเสมอ หากเจ้ากรรมนายเวรเราอยู่ในภูมิที่ลำบาก ถามว่าจะทำอันตรายเราใหม หลวงตาตอบว่าไม่ทำหรอก เพราะว่าเราเป็นตัวบุญอย่างดี ดังนั้นเจ้ากรรมนายเวรที่อันตรายที่สุดคืออยู่ในมนุษย์เรานั้นแหละ (ญาติ ลูก เมีย เรา รวมถึงเพื่อนรักเรา พี่น้อง เจ้านาย หรือคนที่เราไม่ชอบ นี่คือ เจ้ากรรมนายเวรเราในโลกมนุษย์ทั้งนั้น)

การเวียนว่ายตายเกิด ในช่วงที่เกิดเป็นมนุษย์ จะมารับเศษกรรมในอดีต และมาทำเพิ่มใหม่ต่อไปทั้งดีและไม่ดี พอตายไปก็จะไปรับกรรมตอนที่ทำอยู่ในมนุษย์ ทั้งดีและไม่ดี แต่ถ้าเราฝึกจิต โดยการทำกรรมฐานไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้แล้วว่าเราจะเกิดหรือไม่เกิด หรือสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี หลวงตาท่านสอนว่า “พวกเราตายแน่ๆ และเกิดแน่ๆ”

จะเดิน.. นั่ง.. กิน.. แม้แต่ตอนนอน ภาวนาไว้ อย่าได้ขาด..
ปฏิบัติ ทุกลมหายใจเข้าออก ทรงอารมณ์ดีดี
อย่าให้กระแสไม่ดี เข้ามากระทบ...

หากเรานึกในสิ่งดีๆ จิตจะเพิ่มแต่ในสิ่งที่ดีๆ
อย่าจุดประกายในสิ่งที่ไม่ดี เพราะจิตจะเพิ่มในสิ่งที่ไม่ดี
อย่ามัวนึกแต่กรรมเก่าในอดีต มันทำให้เราเศร้าหมอง

การคิดถึงในสิ่งที่ไม่ดี นอกจากกรรมจะเข้าเราเร็ว
ตามสิ่งที่เราคิดแล้ว ยังทำให้เราตายผ่อนส่ง
คือตายเร็วกว่ากำหนดอีกด้วย

ทุกวันนี้เราฝึกไว้เพื่อเตรียมตัวตาย
ถ้าไม่ฝึกไว้ เวลาตาย มันจะเคว้งไม่รู้จะไปไหน
การฝึกสมาธิ ไม่เกี่ยวกับการนั่งนานหรือไม่นาน
แต่เกี่ยวกับว่า ทำแล้วอารมณ์สบายๆใหม

อย่าจมอยู่กับความเศร้าหมอง...
ไม่มีใครไม่มีทุกข์ เกิดมาก็ทุกข์
เพียงแต่ว่าจะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย

ผู้ปฎิบัติธรรม ให้ดูที่จิต อารมณ์ดี จิตสบาย
ไปไหนก็มีแต่คนรัก ทำอะไรก็มีแต่คนช่วยเหลือ
ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เกินกำลัง

การบันทึกบุญอยู่ที่อารมณ์ หากอารมณ์ดี
ก็จะบันทึกบุญได้ตลอด หากอารมณ์ไม่ดี
จะบันทึกบุญไม่ได้เลย...

อย่าจมอยู่กับความเศร้าหมอง...

ต้องทำตัวเองให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

. . .

เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
facebook.com/watputtaprompanyo

82


สวดมนต์ไหว้พระไม่มีประโยชน์?

บางคนบอกว่าสวดมนต์ไหว้พระไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่นะ ประโยชน์มหาศาลนะ แม้แต่ฝันเรายังฝันไปวัดเลย ยังฝันไปฝึกเลย บางคนไม่มีเวลากลางวันน่ะ สมัยก่อนที่อยู่กับท่าน(หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ) ท่านบอก เอาเวลากลางคืน ท่านบอก กลางคืนนี่ เปลี่ยนกระแสที่ร้ายให้ดีให้ได้ ท่านบอก โดยการสวดแล้วหลับ พยายามสวดแล้วให้หลับ มันก็ตัดการฝันร้ายไปแล้ว มันก็เป็นการบันทึกบุญในความฝัน เสร็จแล้วเนี่ย เราก็มาเช็คดู ว่าเดือนนี้ เราฝันเนี่ย ฝันร้ายมีไหม มีเกิดขึ้นไหม แสดงว่าถ้าเกิดเนี่ย แสดงว่าหนักเป็นเบาแล้ว เบาคือเป็นหายละ ถ้าหายแล้วก็ไม่มี นี่คือประโยชน์จริงๆ เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนหลวงตาทำงานอยู่ ก็ใช้เวลากลางคืนนะ กลางคืนนอนแล้วก็สวดจนหลับ

เดี๋ยวนี้ไปนอนที่ไหนก็สวดที่นั่น หลับ บางทีเพลียๆ มากๆ กลางวันเราสวดแปบเดียวก็หลับแล้วหลับแปบหนึ่ง คล้ายๆ เราหลับอยู่ในพลังงาน ในอนุสสติ ในไตรสรณคมน์ หรือในจักรพรรดิ์เนี่ย มันจะมีกำลัง เราพักอยู่ตรงนั้นไง พักในพลังงาน ถ้าเรานิ่งเนี่ย มันยิ่งมีกำลังมาก เรามีกำลังมหาศาล มีกำลัง คำว่ากำลัง คือ กำลังใจไง ไปไหนก็ได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ สามารถจะแยกได้ เสียงเนี่ย คุยกันวู้งๆ วิ้งๆ เนี่ย สามารถที่จะแยกได้นะ

คนเราเนี่ย มีความสามารถมากนะ ไม่ใช่ไม่มี ทำอินเตอร์เน็ตยังได้เลย เกิดจากคนทำทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เราฝึกเนี่ย เราสามารถที่จะแยกเสียงได้ทั้งนั้น ทำไมจะแยกไม่ได้ แยกได้ แยกจนกระทั่งที่ว่า เราสามารถที่จะทำไม่ให้ใครมองเห็นได้ มองไม่เห็นเราก็ได้ ถ้าเราทำได้ ถ้าเราฝึก ก็เหมือนโลกวิญญาณนี่ เราตายไปก็มีกำลัง คนเยอะแยะนี่ไม่สามารถมองเห็นเราได้ ให้เห็นคนเดียวก็ได้ สองคนก็ได้ อย่างนั้นน่ะ คือกำลัง ถึงว่า ยังเสียดายว่า น่าจะฝึกคนทั่วประเทศนะ พูดถึง ถ้าฝึกได้นี่กำลังมากนะ เมืองไทยนี่ ซึ่งทรัพยากรของพระโพธิสัตว์นะ หรือพระอรหันต์ในเมืองไทยนี่มีมาก มากจริงๆ เยอะไปหมดเลย พระพุทธเจ้าสี่องค์ พระอรหันต์นับไม่ไหว ไม่ไปไหนพลังงาน สิ่งที่มนุษย์ทำดี พลังงานมา ทำไม่ดี ไม่มา เหมือนเราคิดดีนี่ สิ่งที่ดีก็มา คิดไม่ดี สิ่งที่ไม่ดีก็มา ถ้าเราไม่คิดล่ะ มีคนถามหลวงตาว่า แก้กรรมได้ไหม บอก ได้ ถ้าคุณไม่คิด มันไม่มา รับรอง

รับประกันเลย มันไม่มาแน่ๆ ถ้าคุณไม่คิด ทำยังไงให้มันไม่คิดล่ะ ทำยังไงล่ะ เออ ถ้าคิดเมื่อไร มันมาเมื่อนั้น มายาวเลย เคยอธิบายเมื่อหลายปีมาแล้ว ผัวเมียสองคนอยู่ด้วยกันนี่นะ มันก็บันทึกทุกวันนั่นละ พอด่ากันมันมาแปบเดียวนั่นล่ะ ไหลเลย ถ้าอยู่ปรกติธรรมดา ไม่มา ยังไงก็ไม่มา ถ้าพูดถึงความดีอยู่ด้วยกันนี่ มันก็อยู่ด้วยกันนั่นน่ะ พอโกรธเมื่อไรล่ะ โอโห มาเป็นยาวเลย ลืมไปแล้ว เมื่อสิบปียังมาเลย เนี่ยเราฝึกให้ลืม โดยการภาวนา โดยทำใจให้นิ่งๆ ทำยังไงก็ได้ให้มันสบายๆ มันก็แยกได้แล้ว

มันไม่ยากอะไรนี่ ไอ้ที่ยากคือเราไม่ทำเท่านั้นเอง มัวแต่ไปบันทึกทีวีบ้าง วีดีอะไรทุกวันเลย ตื่นเช้ามาไม่สวดหรอก คลำแล้วรีโมต ฟั๊บ เอาแล้วบันทึกล่ะ เรื่องราว มันเกินไป

ท่านบอก เอาพอดี ไม่ใช่ไม่ดูนะ ดู แต่อย่าเกินไป อายุสั้น เพราะไปดูแล้วมันเกร็ง อาการ อาการอิงไปตามพลังงาน แล้วก็ติด บางคนหลวงตาเห็นนะ คนแก่อายุห้าหกสิบเนี่ย ดูหนังทั้งคืน เป็นปึกๆ เลย โอโห ถ้ามาภาวนามันจะได้ขนาดไหนเนี่ย มหาศาลเลย

. . .

เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
facebook.com/watputtaprompanyo

83


สักแต่ว่ากราบ?

หลวงตาม้า ถามลูกศิษย์ว่า "เวลากราบพระ กราบกันอย่างไร หรือเพียงแต่กราบเท่านั้น หรือกราบอย่างที่ผู้ใหญ่ทั่วๆ ไปสอนเด็ก เอา...กราบ ๑ กราบ ๒ กราบ ๓" แล้วท่านก็หัวเราะแล้วก็เมตตาสอนว่า

"เวลากราบพระต้องกราบด้วยความเคารพจริงๆ ให้ตั้งจิตระลึกถึงองค์พระตรงหน้า แล้วตั้งจิตตั้งใจกราบ

โดยกราบครั้งที่ ๑ ให้นึกในใจว่า
พุทธัง ชีวิตัง เมปูเชมิ

กราบครั้งที่ ๒ ว่า ธัมมัง ชีวิตัง เมปูเชมิ

กราบครั้งที่ ๓ ว่า สังฆัง ชีวิตัง เมปูเชมิ

ความหมายก็คือ ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า ด้วยชีวิต"

หลวงตาเมตตาแนะนำอีกว่า

"เรานักปฏิบัติทั้งหลาย อย่าปล่อยเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ ให้หมั่นภาวนาไว้ตลอดเวลา พอลืมตาตื่นก็ให้ภาวนาไปจนถึงเวลานอน ให้คำภาวนานั้นหายไปพร้อมกับการหลับ ทำเช่นนี้ให้เคยชิน ไม่ว่าขณะนั้นกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในรถ ในเรือ หรือเดินอยู่ ก็ต้องภาวนา อย่าประมาท การภาวนานี้นอกจากจะเป็นบุญ และทำให้จิตได้ทำงานแล้ว ยังช่วยให้เราไม่ประมาทในความตายด้วย เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่า ตัวเองจะตายเมื่อไหร่ นอกจากพระอรหันต์ท่านเท่านั้น ฉะนั้น จงภาวนาไป ไม่เสียหาย ไม่เสียตังมีแต่กำไร..."

"...การภาวนานั้น ต้องเอาจิตจับองค์พระตลอดเวลา พระองค์ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป หรือพระอริยสงฆ์ องค์ใดก็ได้ที่เรานับถือ ที่เราคุ้นเคย เวลาตายจะได้มีที่ไป คือไปกับพระ เพราะจิตเราจะระลึกแต่พระตลอดเวลาจนเคยชิน ตัวอย่างมีให้ดูตั้งมากมาย เห็นไหมเวลาคนใกล้ตาย เขาจะมีคนไปคอยบอกอยู่ข้างหูว่า ให้คิดถึงพระเข้าไว้ ให้ภาวนา หรือไม่ก็สวดมนต์ พยายามทำทุกวิถีทางให้จิตของคนที่ใกล้ตาย คิดอยู่แต่เรื่องพระ เรื่องกุศล เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตของคนเราตอนที่ใกล้จะดับนี้แรงนัก ถ้าจิตตอนนั้นคิดแต่เรื่องดีๆ ในที่นี้หมายถึงเรื่องบุญ พอตายไปก็เสวยสุข ไม่ต้องไปนรก ถ้าคิดถึงเรื่องบาป ก็โน่น ไปเลยนรก ไปรับกรรมที่ตัวก่อ จำไว้ให้ดี แล้วก็ไปเลือกเอา จะภาวนาตอนนี้หรือจะรอใกล้ตายค่อยภาวนา ถึงตอนนั้นก็ตัวใครตัวมัน ถือว่าบอกแล้ว..."

. . .

เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
facebook.com/watputtaprompanyo

84


มากราบพระกัน.. เป็นมงคล.. ระลึกถึงความดีแห่งพระพุทธะ.. ในรูปพระแก้วแดงทรงเครื่องจักรพรรดิ ประดับทองคำและอัญมณีแท้ ทั้งองค์ สื่อพุทธบารมีกำลังจักรพรรดิรวมแห่งพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า อฐิษฐานจิตอาราธนาบารมีองค์พระแก้วแดง โดย พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร หลวงตาม้า ประดิษฐาน ณ วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อเป็นศาสนสมบัติสืบทอดอายุพระศาสนาสืบไป และเป็นพุทธบารมีที่พึ่งแด่พุทธศาสนิกชน ตลอดจนภพภูมิทั้งหลายทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุ เพื่อความมงคลร่มเย็นเป็นสุข น้อมนำจิตสู่กระแสแห่งธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..

ชมสารคดีวัด http://youtu.be/Bh6HdoefqMI

ขอบุญนี้จงถึงแด่ทุกท่านทุกรูปนาม ทุกประการเทิอญ..

. . . . . . . . .

The Buddha statue you see in this picture is made of red stone and has been altered to appear glassy transparent, for the decoration they are made of real gold, diamonds and jewelry. This Buddha statue is enshrined at our Temple in the province of Chiangmai, Thailand, and stands to represent the teaching and good will of lord Buddha for Buddhist to remind them self of the teaching and the way of Bodhidharma.

You can watch a documentary about our temple with English subtitle's at this link http://youtu.be/hcC1XkapVrc

Best wishes..

85


หลวงปู่ดู่เล่าเกี่ยวกับอานิสงค์
"พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"

ถ้าจะวิเคราะห์ถึงคำภาวนานี้แล้ว ไตรสรณคมน์มีความสำคัญมาตั้งแต่โบราณคือ ในสมัยที่พระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ได้มีพุทธานุภาพให้พระสาวกทำการบวชกุลบุตรได้ โดยการเปล่งวาจาระลึกถึง ไตรสรณคมน์ แล้วก็เป็นภิกษุได้อย่างสมบูรณ์

หลวงปู่เคยถาม สมเด็จพุฒาจารย์ (เสงี่ยม) วัดสุทัศน์ฯ ว่า ผู้ที่ภาวนาไตรสรณคมน์เป็นนิจศีล ก่อนตายระลึกถึงไตรสรณคมน์ แล้วจะไปสวรรค์ได้หรือไม่

สมเด็จตอบว่า ได้แน่นอน พร้อมกับยกพระบาลีว่า "เยเกจิ พุทธัง สรณังคตา เสนะ เตคมิสสันติ อบายภูมิ ปหาย มานุสัง เทหัง เทวกายัง ปริปูเรส สันติ" แปลว่า บุคคลบางจำพวก หรือบุคคลใดมาถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งแล้ว บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ไปอบายภูมิทั้ง ๔ มีนรก เป็นต้นเมื่อละร่างกายอันเป็นของมนุษย์นี้แล้ว จักไปเป็นหมู่แห่งเทพยดาทั้งหลายดังนี้

ข้อความนี้ อ้างอิงมาจาก สมัยที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระอรหันต์หนุ่ม ๕๐๐ รูป ประทับอยู่ที่ป่ามหาวัน ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ เทวดาทั้งหลายพากันมาดูและกราบนมัสการ พร้อมกับกล่าวคาถานี้ มีลูกศิษย์ที่นั่งสมาธิ และเห็นหลวงปู่ทวดท่านกล่าวว่า "ไตรสรณคมน์เป็นรากแก้วของพระศาสนา พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เข้ามาบวชถือเป็นสมมุติสงฆ์ เมื่อแสวงหาสัจธรรมจนบรรลุมรรคผล ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งเรียกว่า พระธรรม พระองค์ได้ พุทโธ คือ ผู้รู้ กลายเป็น พระพุทธเจ้า และเมื่อเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้รู้ธรรมตามที่สอน ก็กลายเป็นพระอริยสงฆ์สืบต่อๆ กันมา ทำให้ศาสนาไม่สูญหายไปไหน"

พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระเถระองค์สำคัญในยุคปัจจุบัน ท่านกล่าวว่า "สรณะทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญ อันตรธานไปไหน ยังปรากฎแก่ผู้ปฏิบัติเข้าถึงอยู่เสมอ ผู้ใดมายึดถือเป็นที่พึ่งของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่าหรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้ง ๓ ก็ปรากฎแก่เขาทุกเมื่อ จึงว่าเป็นที่พึ่งแก่บุคคลจริง เมื่อปฏิบัติตามสรณะทั้ง ๓ จริงแล้ว จะคลาดแคล้วจากภัยทั้งหลายอันก่อให้เกิด ความร้อนอกร้อนใจ ได้แน่นอนทีเดียว"

ข้อความนี้ทรงแสดงไว้ใน "อุณหัสสวิชัยสูตร" ที่พระพุทธองค์เทศน์โปรด สุปฐิตะเทพบุตร เมื่อถึงกาลที่จะต้องจุติจากสวรรค์ เพราะหมดบุญ ทรงรู้ด้วยพระญาณว่า เทพบุตรองค์นี้ทำแต่ความชั่ว แต่ก่อนมรณะ มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเพียงชั่วขณะ ทำให้ไปเกิดเป็นเทวดา แต่เมื่อได้ดีแล้วก็ลืมความดี ตั้งหน้าทำแต่สิ่งที่ไร้สาระ ถ้าสิ้นจากชาตินี้ไปแล้ว เธอจะไปเกิดเป็นสัตว์นรกอีกหลายร้อยชาติ ถ้าเราเทศน์เรื่องธรรมจักร เธอจะรับไม่ได้ต้องเทศน์เรื่องนี้ เมื่อสุปฐิตะเทพบุตรฟังเทศน์แล้ว ก็สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ปิดอบายภูมิได้แน่นอน ซึ่งพระสูตรนี้ (อุณหัสสวิชัยสูตร) แปลเป็นไทยว่า "พระธรรมเป็นของยิ่งในโลกทั้งสาม สามารถชนะ ซึ่งความร้อนอกร้อนใจ อันเกิดแต่ภัยต่างๆ (อุณหัสส) จะเว้นจากอันตรายทั้งหลาย ได้แก่ อาชญาของพระราชา เสือสาง นาค ยาพิษ ภูติผีปีศาจ หากว่ายังไม่ถึงกาลที่จักตายแล้ว ก็จะพ้นไปได้ด้วยอำนาจแห่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ตนน้อมเอาเป็นสรณะที่พึ่ง ที่นับถือนั้น" จึงนิยมเอาพระสูตรนี้มาสวดในงานต่ออายุ จนกระทั่งปัจจุบัน

86


ทำน่ะไม่ยากหรอก...ที่ยากน่ะไม่ทำ ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต พระท่านคอยจะช่วยเราอยู่ เราได้ช่วยเหลือตัวเองก่อนหรือยัง อย่าไปดูคนอื่น...ให้ดูตัวเอง นั่งไปเถอะ สว่างก็ได้บุญ มืดก็ได้บุญ

ขยันก็ให้ทำ ขี้เกียจก็ให้ทำ เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว
ให้พากันปฏิบัติ.. ข้าจะคอยช่วย

- หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

87
อภิญญาปฎิบัติ / แกแน่ใจหรือว่าแกไม่มีอะไรดี?
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:04:12 PM »


แกแน่ใจหรือว่าแกไม่มีอะไรดี?

ผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่มักจะไม่พอใจในผลการปฏิบัติของตน โดยที่มักจะขาดการไตร่ตรองว่าสาเหตุนั้นเป็นเพราะอะไร ดังเช่นที่เคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ดู่ ได้มานั่งบ่นให้ท่านฟังในความอาภัพอับวาสนาของตนในการภาวนา ว่าตนไม่ได้รู้ ไม่ได้เห็นในสิ่งต่างๆ ภายใน มีนิมิตภาวนา เป็นต้น ลงท้ายก็ตำหนิว่าตนนั้นไม่มีความรู้อรรถ รู้ธรรมและความดีอะไรเลย

หลวงปู่นั่งฟังอยู่สักครู่ ท่านจึงย้อนถามลูกศิษย์
จอมขี้บ่นผู้นั้นว่า

“แกแน่ใจหรือว่าไม่มีอะไรดี
แล้วแกรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเปล่า”

ลูกศิษย์ผู้นั้นนิ่งอึ้งสักครู่จึงตอบว่า “รู้จักครับ”

หลวงปู่จึงกล่าวสรุปว่า

“เออ นั่นซี แล้วแกทำไมจึงคิดว่าตัวเราไม่มีดี”

88


15 ก.พ. 2557 งานหล่อพระที่วัดถ้ำเมืองนะ คุณยายผู้นี้ ค่อยๆ เดิน มากราบหลวงตาม้า มีข้าวตอก ดอกไม้ใส่ชาม มาไหว้หลวงตา แล้วหยิบแหวนทองคำ อย่างช้าๆ ยกขึ้นอธิษฐานในการหล่อพระศรีอริยเมตตรัยกับหลวงตาที่วัดถ้ำเมืองนะ ..เห็นแล้ว อดปลื้มไม่ได้ โมทนากับคุณยายท่านนี้ด้วย เห็นการกราบไหว้อย่างช้าๆ เห็นการเคารพหลวงตาอย่างนอบน้อม ทำให้รู้สึกละอายใจในความเป็นลิงทะโมนในตัวเอง...

- Norasing Ja

89


เกิดมาทำไม?

หลวงปู่ท่านว่าพวกเอ็งเกิดมาทำไม มาเพื่อจะวนเวียนอยู่คำถามนี้แล้วก็หาคำตอบไปไม่จบสิ้น เพราะคำตอบมีได้สารพัด จริงๆ แล้ว เราเกิดมาสร้างกรรมใหม่ด้วยโดยไม่รู้ตัว จะชดใช้กรรมเก่าก็ชดใช้ไปแต่กรรมใหม่ก็สำคัญ ที่จริงท่านว่าไว้ว่ากรรมเก่านั้นหมดตั้งแต่วันที่เราเกิดแล้ว คือกรรมเก่าส่งมาได้นั้น ส่งให้เรามาลงตรงนี้ให้มาเกิดเป็นคนที่มีอาการอย่างนี้ มีเหตุปัจจัยอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนี้ ทั้งหมดนี้คือกรรมเก่าที่เราสร้างมา ส่วนที่เหลือคราวนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะสร้างเหตุปัจจัยใหม่ต่อไปอย่างไร

หลวงปู่ดู่ท่านว่าพวกเอ็งต้องเข้าใจด้วยว่าเราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อเป็นลูกที่ดี มีงานที่ดี เป็นพลเมืองดี "แต่นั่นคือหน้าที่ทางโลก" ซึ่งก็ต้องทำไป แต่ยังไม่พอ ยังมีหน้าที่ที่แท้จริงของการเกิดเป็นมนุษย์อีกอย่างหนึ่งคือ หน้าที่ของจิตดวงหนึ่งที่มาอยู่ในภพภูมิมนุษย์นี้... ถ้าเราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าคือผู้รู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่งเราก็ควรจะฟังท่าน และเมื่อฟังท่านแล้วก็จะได้รู้ว่า เราเกิดมาเพื่อจะเดินไปให้ถึงที่สุดแห่งกองทุกข์นั่นเอง บางคนพอได้น้อมนำคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าแล้วก็พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาทั้งชีวิตผิดหมด บางคนถึงขนาดต้องเอ่ยปากออกมาว่า "ไปอยู่ที่ไหนมาก็ไม่รู้เจ็ดสิบกว่าปี เพิ่งจะพบความจริงวันนี้" จึงต้องปรับเปลี่ยนแปลงวิธีคิดกันใหม่ กว่าจะรู้ก็สาย กว่าจะได้ฟังธรรมก็แก่ บางคนก็ไม่ทัน ตาย..ฟรีไปอีกชาติหนึ่ง... หลวงปู่ดู่ท่านว่าพวกเอ็งทุกคนต้องมั่นใจ เส้นทางนี้เห็นได้ไม่ยาก เพราะฉะนั้นชาตินี้ดีที่สุดแล้ว

จงเดินหน้าต่อไปในทางธรรม พบปะกัลยาณมิตร ค้นหาครูบาอาจารย์ให้เจอสักท่านหนึ่ง ที่ถูกจริต ที่ช่วยให้เข้าใจที่ช่วยให้เห็นธรรมไม่ต้องถึงกับเป็นพระอรหันต์หรอก แค่พระที่ท่านปฎิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ในร่องในรอยที่พระพุทะเจ้าท่านตรัสไว้ แค่นั้นก็พอ.. แต่หลวงตายึดหลักหลวงปู่ดู่องค์เดียวก็เกินพอแล้ว(หลวงตาหัวเราะ) หลวงปู่ดู่พระอาจารย์ของหลวงตาม้ามักจะบอกลูกศิษย์อยู่เสมอๆว่า "เรื่องอย่างนี้ต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง" อย่างที่พระพุทธท่านบอกว่า "ปัจจัตตัง" นั้นเอง

. . .

เรียบเรียงจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร
(หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ
(วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

90


ทำบุญอย่าให้เดือดร้อนตัวเอง

หลวงตาม้าท่านมักจะกล่าวสอนอยู่เสมอๆว่า การ สร้างบุญที่เป็นมหากุศล อาทิเช่น การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระมหาเจดีย์ สร้างยอดฉัตรหรือสร้างศาสนสถานอื่นใดก็ตาม รวมถึงธรรมทานด้วย เพื่อลดวิบากกรรมหนักๆ สามารถทำได้ แม้แต่ผู้ที่มีเงินน้อย การทำบุญนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมาก เหมือนที่หลายๆคนในปัจจุบันเข้าใจและติดเป็นค่านิยมกัน เป็นชาวพุทธแล้วต้องรู้จักการทำบุญให้เป็นไม่หลงบุญ จึงจะได้รับอานิสงค์จากการทำบุญนั้นๆอย่างเต็มเปี่ยม

หลวงตาม้าท่านยังมักกล่าวสอนอีกว่า การทำบุญทุกอย่าง ไม่ว่าจะบุญเล็ก บุญใหญ่ ให้ทำตามแต่กำลังของเราที่สามารถจะทำได้ และต้องไม่เดือดร้อนตัวเอง แม้แต่เงินสลึงเดียวก็สามารถสร้างมหากุศลได้ ขอให้เพียงเงินนั้นบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมาก็พอ และที่สำคัญเจตนาตอนที่ทำ ต้องบริสุทธิ์ มีความยินดีในบุญที่ทำ เกิดความสุขและความอิ่มเอมใจ นั่นแหละมหากุศลทั้งสิ้น แต่ ถ้าไม่มีเงินจริงๆ ก็ยังสร้างมหากุศลได้ โดยการใช้แรงกายแรงใจในการช่วยก่อสร้าง หรือแม้แต่การไปชักชวน ป่าวประกาศให้คนมาร่วมสร้างบุญ และขออนุโมทนาบุญกับคนเหล่านั้นด้วยทุกครั้ง ก็จะได้บุญมากเช่นเดียวกัน อยู่ที่เจตนาและความตั้งใจเป็นที่ตั้ง สรุปสั้นๆ ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใดก็ได้บุญเช่นกัน อยู่ที่กำลังใจและกำลังทรัพย์ของเราให้พอดีตัวเป็นสำคัญ หากทำเช่นนี้ได้ในการทำบุญทุกครั้ง จะได้ทั้งบุญและบารมีไปพร้อมๆกัน

หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวว่า ยิ่งการทำบุญใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมากๆ บุญนั้นก็จะมากขึ้นทวีคูณ ไม่มีวันหมด อาทิเช่น พระพุทธรูป สังฆทาน สร้าง โรงทาน วิหาร อุโบสถ ถนน เป็นต้น จนกว่าสิ่งก่อสร้างหรือศาสนสถานนั้นๆที่ร่วมสร้างจะพังทลายไป และบุญจะเกิดขึ้นแก่เราทุกครั้งที่ศาสนสถานที่เรามีส่วนร่วมนั้นได้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นอีกด้วย แม้เราร่วมทำบุญไปแค่เท่าที่กำลังเราจะทำได้ก็ตาม ไม่ว่ามากหรือน้อย ก็ถือว่าเราได้ร่วมด้วยกับบุญนั้นทุกอย่าง และได้อานิสงค์ทุกประการ สำคัญที่ความตั้งใจอันดีของเราเท่านั้น

โยมมากราบหลวงตา

หลวงตาม้าท่านเล่าให้ฟังว่า เคยมีโยมผู้หญิงท่านหนึ่งมากราบ หลวงตาม้าท่าน พอโยมเขามาถึงก็บ่นให้ท่านฟังว่าหาโอกาสมากราบยาก อยากมากราบบ่อยๆ หลวงตาม้าท่านก็ให้โอวาทว่า "ไม่ต้องมาถึงที่ถ้ำหรอก ถ้าเคารพกัน นึกถึงกันจริงๆ อยู่ที่ไหนหลวงตาก็ไปได้" คำพูดนี้เป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่ยังไม่มีโอกาสไปกราบหลวงตาได้เป็นอย่างดี..

. . .

เรียบเรียงจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร
(หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ
(วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 16