เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Webmaster

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 16
61


แนะนำหลักการแนวทางอีกรูปแบบหนึ่งในการปฎิบัติ
ตามจริตสายหลวงปู่ดู่หลวงตาม้า . . . (บทความตอนเดียวจบ)

ขั้นตอนที่ ๑
ให้ท่านกล่าว นะโม ขึ้นมา ๓ ครั้งดังนี้

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
(๓ ครั้ง)

ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบนมัสการนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่จะเกิดขึ้นข้าพเจ้าขอระลึกถึงพระปัญญาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งบังเกิดขึ้นแล้ว ทำให้จิตของพระพุทธองค์เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์แจ่มใสเรียกว่า พระบริสุทธิคุณ และเมื่อพระองค์มีพระบริสุทธิคุณ และมีพระปัญญาธิคุณแล้ว ก็มิได้นิ่งนอนใจ หวังเพียงเพื่อที่จะช่วยให้สัตว์โลกทั้งหลาย ที่กำลังระทมไปด้วยความทุกข์ได้พ้นทุกข์ ซึ่งมีวิธีการที่จะทำให้จิตของตนเองนั้น เกิดความสว่างจากความดี จากคุณธรรม เป็นพระคุณในข้อที่ ๓ อันนี้เรียกว่า พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมรับ ระลึกถึงพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับตั้งแต่บัดนี้ . . .

พุทธัง ชีวิตัง เมปูเชมิ
ธัมมัง ชีวิตัง เมปูเชมิ
สังฆัง ชีวิตัง เมปูเชมิ

ข้าพเจ้าขอเอาชีวิตจิตใจ ร่างกาย ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ในบางครั้งที่เราทำสมาธิ เราอาจจะไม่มีดอกไม้ธูปเทียนเราก็ใช้วิธีเอาชีวิต จิตใจ ถวายเป็พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เพราะว่าพระพุทธองค์ พระธรรม พระสงฆ์ จะเป็นผู้ชุบชีวิต ทำจิตของเราจากการที่เป็นผู้ที่มีสันดานบาปหยาบช้า เป็นปุถุชน ให้เป็นสาธุชนหรือกัลยาณชน ในที่สุดจนเป็นพระอริยบุคคล เนื่องจากว่า ในพระพุทธศาสนานั้น ไม่ได้สอนเพียงให้ทำดี และละความชั่ว แต่มีขั้นตอนอีกอย่างหนึ่งคือ วิธีการทำจิตให้บริสุทธิ์ เมื่อจิตที่บริสุทธิ์แจ่มใสแล้ว จะเป็นจิตที่เป็นเหมือนพระอริยะ จึงกล่าวได้ว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาเอกของโลก เนื่องจากพระพุทธองค์ ทรงค้นพบสัจจะธรรม ทรงพบทุกข์ - เหตุของทุกข์ - วิธีการดับทุกข์ และผลที่ได้รับจากการดับทุกข์ . . .

หลังจากนั้น ให้ตั้งใจสมาทานศีล เนื่องจากว่าในวันหนึ่งๆ นั้น เราอาจจะไปทำผิดศีลข้อหนึ่งข้อใด การสมาทานศีลจะป็นการทำจิตให้พร้อม เพราะเมื่อสมาทานศีลแล้ว จิตของเราก็จะบริบูรณ์ โดยให้ระลึกนึกถึงดังนี้

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (กราบ 3 ครั้ง)
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ตติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ตติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ตติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ อทินนาทานา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ (หรือ: อพรัมจริยา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ :ก็ได้ข้อนี้เป็นการระงับในกามสำหรับเวลาก่อนเราจะปฎิบัติ) มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ สุราเมรยะ มัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ

** อิมานิ ปัญจสิกขา ปทานิ สมาธิยามิ ** (3 ครั้ง)

สีเลนะ สุคติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปทา สีเลนะ นิพพุตติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโส ธะเย

ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก ทั้งครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓ การที่เราได้กล่าวไตรสรณคมน์นี้ ก็เป็นการประกาศตนเองเป็นพุทธมามกะ เมื่อประกาศตนเป็นพุทธมามกะได้ ก็จะต้องมีศีล ศีลของฆราวาส หรือศีลของปุถุชนทั่วไป คือ ศีล ๕ ศีลแปลว่า ความปกติ จะเป็นปกติได้ก็อยู่ที่กฎเกณฑ์ของสังคม พระพุทธเจ้าทรงมองสังคมว่า ถ้าไม่มีการล่วงละเมิดศีลทั้ง ๕ ข้อนี้ สังคมนั้น ก็จะเป็นสังคมที่สงบ เนื่องจากว่า ถ้าคนทุกรูป ทุกนาม ถือศีล รักษาศีล ศีลก็จะรักษาตัวเรา และรักษาสังคม . . .

หลังจากนั้น ให้พึงกำหนดจิต
กล่าวอาราธนาบารมีพระ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะะหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ ครั้ง)

พุทธัง อาราธนานัง กะโรมิ
ธัมมัง อาราธนานัง กะโรมิ
สังฆัง อาราธนานัง กะโรมิ

นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (๓ ครั้ง)
นะโม โพธิสัตโต พรหมปัญโญ (๓ ครั้ง)

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขออารธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทั้งแสนโกฎิจักรวาล พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทั้งแสนโกฎิจักรวาล พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อันมีบารมีหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด บารมีของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด และหลวงตาม้า ขอได้โปรดได้ควบคุมการปฏิบัติสมาธิของข้าพเจ้า ให้มีจิตใจที่สะอาด ให้มีจิตใจที่สว่าง และมีจิตใจที่สงบด้วยเทอญ . . .

ลำดับต่อไปให้นึกถึง ความผิดที่เราได้เคยกระทำมา ด้วยกาย วาจา ใจ หรืการประมาทพลาดพลั้งในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งการกระทำของเราจะเป็นไปด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม เราตั้งใจที่จะขอขมาโทษ เพราะว่ากรรมที่ได้ประมาทในพระรัตนตรัยนั้น จะทำให้จิตของเราเนิ่นช้าต่อคุณธรรมที่ควรจะได้ จงดำริขึ้นในใจว่า

โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา
ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

โยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโต มะยา
ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโต มะยา
ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

ทำจิตของเรานึกถึงบารมีของ หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ทำจิตของเรานึกถึงบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมทั้งบุญที่เราเคยทำมาตั้งแต่อดีตชาติ ปัจจุบัน และในขณะนี้ แผ่เมตตาไปโดยไม่มีประมาณไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายว่า

พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะปัจจะโยโหตุ

การที่เราจะทำสมาธิต่อไปนั้น ให้นั่งเอาเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาวางไว้บนมือซ้าย มือขวากำพระไว้ในมือ กำพระไว้ในอุ้งมือโดยให้หัวแม่มือชนกันตั้งกายให้ตรง ทำกายให้ตรงไม่ต้องยืดหรือเกร็งตัวจนเกินไปนั่งให้สบายๆ เสร็จแล้วนำความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดมาวางไว้ที่ตรงหน้าผากเหมือนเราคิดอะไรในใจ ความคิดอะไรวางไว้ตรงนั้นซึ่งหน้าผากนี้ จะเป็นฐานหนึ่งของลมหายใจเช่นกันไม่ต้องนึกถึงลมหายใจเข้าออกเพราะลมหายใจเป็นของที่ละเอียด แต่จิตของเราจะเป็นของที่หยาบของที่หยาบจะไปจับของที่ละเอียดนั้น เป็นไปได้ยากอันแรกเราก็ำหนดฐานของลมหายใจไว้ตรงที่กลางหน้าผาก หรือจะใช้การกำหนดภาพองค์พระ กำหนดภาพ หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ในใจ ก็ได้ เบาๆสบายๆ ไม่เพ่ง นึกสบายๆ เหมือนเวลานึกถึงพ่อกับแม่ แล้วบริกรรมในใจว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

หรือใช้คาถามหาจักรพรรดิเป็นองค์บริกรรมก็ได้เช่นกัน

การบริกรรมนี้ก็ให้บริกรรมไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบไม่ต้องร้อนไม่ต้องเร่ง ทำใจให้สบายๆทีนี้ บางครั้งก่อนที่เราจะบริกรรมนั้น เราอาจจะสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆเพื่อเป็นการปรับอารมณ์ ให้จิตของเราสบายโปรดจำไว้อย่างหนึ่งว่า ให้ปฏิบัติหรือให้ทำอย่างสบายๆอย่าไปเคร่งเครียด อย่าไปเร่งรัดเพราะจะทำให้ไม่ได้อะไรขึ้นมาให้ทำใจเราให้ยึดอยู่แต่คำภาวนา

หน้าที่ของเราก็คือ การบริกรรมนี้ เขาเรียกว่า การทำงานของจิตเนื่องจากว่าจิตของคนเรานั้นจะสนองทันทีในการคิด วุ่นวาย สับสน ปรุงแต่งเมื่อมีการปรุงแต่งแล้ว จิตของเราก็จะหาความสงบไม่ได้เมื่อจิตหาความสงบไม่ได้ ก็เป็นจิตที่วุ่นวายสับสนเมื่อจิตวุ่นวายสับสน ก็หาความสุขไม่ได้ดังพุทธภาษิตของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่า

นัตถิ สันติปะรัง สุขังสุขยิ่งกว่าความสงบไม่มี

การที่เราได้มาบำเพ็ญสมาธิ ได้ชื่อว่า เรากำลังทำให้จิตได้ทำงานเพื่อให้เกิดความสงบเพราะจิตที่สงบเท่านั้นจึงจะเป็นการพักจิต ฟอกจิตคนเราทุกวันนี้ อาบน้ำชำระร่างกายวันละ ๓ เวลาแต่ว่าไม่ได้ฟอกจิตของตัวเองเลยเรารับประทานอาหารวันละหลายมื้อ แต่ว่าเราไม่ได้ให้อาหารแก่จิตเลยเมื่อจิตซึ่งปราศจากความสงบ ความสมบูรณ์พูนสุขเข้าไปสะสมอยู่ในตัวจิตนั้นจะไปเกิดเป็น อาสวะ เป็นกิเลสซึ่งหมักหมมพอหมักหมมแล้วก็จะเกิดเป็นพิษต่อเจ้าของเขาเหล่านั้นจะหาหนทาง หรือหาตัวเองไม่พบเนื่องจากว่า ไม่ได้เข้ามาสู่การปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนาเพราะการปฏิบัติภาวนาเป็นวิถีทางที่พระอริยเจ้าทั้งหลายได้ดำเนินมาเราซึ่งได้ชื่อว่า เป็นลูกหลานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ควรกะทำตาม ประพฤติยึดแนวตามที่เรากล่าวกันว่าเรานับถือบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น

การนับถือบูชาคือการยอมรับและนำมาปฏิบัติตามพระพุทธองค์ทรงสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณได้ก็ด้วยวิถีแห่งการบำเพ็ญสมาธิ

เพราะเมื่อจิตสงบแล้ว ก็จะเกิดกำลังของจิตขึ้นเมื่อเราวิเคราะห์ไตร่ตรองได้แล้วเราก็มีปัญญารู้ตามว่า สิ่งนั้นผิด สิ่งนั้นถูกโดยจิตใจของเราเองหรือเรียกว่า เป็นคนที่รู้จริง ไม่ได้รู้ตามทฤษฎีคนที่รู้ตามทฤษฎีนั้น โอกาสที่จะทำจิตใจของตนเองเพื่อที่จะค้นคว้าเข้าไปหาจิตของตนเองนั้นเป็นไปได้ยาก
การที่เราบำเพ็ญภาวนาและกล่าวไตรสรณคมน์นั้นเมื่อจิตของเรายังไม่สงบนิ่งก็ให้กำหนดให้จิตเห็นเป็นตัวหนังสือปรากฎขึ้นในห้วงใจของเราที่จิตของเรา เหมือนกับเรากำลังเขียนหนังสือลงบนกระดานดำหรือเขียนหนังสือฉายลงบนจอภาพพอเราภาวนาว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิก็ให้เขียนเป็นตัวหนังสือไปตามนั้นทั้ง ๓ อย่างพอจิตของเราชำนาญก็จะทำได้ดีเนื่องจากว่าเราใช้จิตของเราทำงานถึง ๒ อย่างคือ

๑. การบริกรรมในใจ
๒. การกำหนดตัวหนังสือ หรือ กำหนดภาพองค์พระ

เมื่อจิตมีงานทำทั้ง ๒ อย่างการที่จิตจะส่ายก็จะลดน้อยลงจิตก็จะมุ่งมั่นอยู่กับการภาวนาอย่างสม่ำเสมอภาวนาไปเรื่อยๆ อย่างที่บอก ไม่ต้องรีบให้ถือ มัชฌิมา ปฏิปทาคือว่าในตอนแรกๆ ไม่ต้องนั่งนาน ทั้งนี้ เพราะจิตยังไม่คุ้นเคยก็จะเกิดทุกขเวทนาขึ้นมา คือการปวดเมื่อยตามร่างกายแรกๆ เราก็อย่าไปฝืนนั่งพอจิตของเราเริ่มมีกำลังขึ้น เราก็ค่อยๆ เพิ่มทีละนิดๆเพื่อให้จิตคุ้นอยู่กับคำภาวนา เมื่อจิตสงบแล้วมันจะมีตัวชี้ความสงบนั้นแสดงผลอยู่ที่ใจ
คือ ใจหรือจิตของเราจะไม่ฟุ้งซ่านจะมีความสบายกาย เบาเนื้อ เบาตัว เบาจิต เบาใจเนื่องจาก จิตกับกายกำลังแยกออกจากกัน

การที่จิตกับกายเริ่มแยกออกจากกันนั้นเกิดจากจิตที่เป็นสมาธิในขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียดเป็นลำดับๆไม่มีวิธีการใดเลย ในทางพระพุทธศาสนา ที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าการบำเพ็ญสมาธิเพราะเมื่อมีสมาธิแล้ว สิ่งที่ติดตามมาก็คือ ปัญญาเราจึงมีปัญญาเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เนื่องจากว่าเราจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในขณะที่เราไม่ได้บำเพ็ญสมาธิ เข้ามาอยู่ในสายตาของเราเข้ามาอยู่ในอารมณ์ของเราอยู่ตลอดเมื่อจิตของเราได้รับการทำสมาธิแล้ว จิตมีกำลังแล้วก็เริ่มที่จะพิจารณาความเป็นจริงความเป็นจริงที่แสดงออก เมื่อแสดงออกมาแล้ว เราจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นอันนี้คือ วิถีทางหรือกระบวนการที่ทำให้จิตเกิดวิปัสสนาวิปัสสนาคือปัญญา

ปัญญาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมที่จะไปคุมศีล หรือคุมสมาธิคือว่าเราจะรักษาศีล ทำสมาธิโดยไม่ต้องมีใครมาบังคับเพราะปัญญาเราเริ่มจะรู้แจ้งเห็นจริงแล้วว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นคุณ เหมือนกับเราต้องรับประทานอาหาร หรือเราต้องหายใจพอสิ่งเหล่านี้เป็นคุณ เราก็ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งจะประจำตัวของเรา

การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มาพบพระพุทธศาสนาและได้มาปฏิบัติธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ยากเย็นมากเพราะบารมีของผู้ที่จะมาศึกษา มาปฏิบติภาวนานั้นเป็นบารมีขั้นสุดท้ายในการที่จะตัดภพ ตัดชาติการที่จะตัดภพตัดชาติได้ บารมีของท่านผู้นั้นจะต้องเข้มข้นจึงสามารถจะตัดสินได้เลยว่า บุคคลนั้นมีบารมีเข้มข้นหรือยังถ้าเราเริ่มที่จะพอใจในการบำเพ็ญสมาธิ ปฏิบัติภาวนานั่นแหละขอให้รู้ว่า บารมีของเรากำลังบังเกิดขึ้นและกำลังจะดำเนินไปสู่ทางที่ดีงามที่สุด

ให้บริกรรมไปเรื่อยๆ บริกรรมไป ทำจิต ทำใจ ตั้งสติให้คุมคำภาวนาไว้ตลอด
ไม่ให้จิตส่ายโอนเอียงไปข้างหน้าไปข้างหลังให้ทำจิตใจของเราให้เหมือนเรากำลังเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรากำลังอยู่เบื้องพระพักตร์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรากำลังอยู่ในแวดวงพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
เมื่อเราได้บำเพ็ญมาแล้วด้วยดีทุกครั้งก่อนที่เราจะเริ่มทำสมาธิหรือเริ่มภาวนาให้ตั้งจิตของเราให้มีเมตตา อ้างเอาบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
ขอบุญบารมีของหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด หลวงปู่ดู่ วัดสะแกรวมทั้งบุญบารมีของข้าพเจ้าที่ได้กระทำมาด้วยดีขอแผ่ผลบุญนี้ไปไม่มีประมาณ ณ กาลบัดนี้

พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะปัจจะโย โหตุ

สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพะลัง
อะระหันตานัญจะเตเชนะรักขัง พันธามิสัพพะโส

ขออำนาจบุญบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
จงมาสถิตติดอยู่ในใจของข้าพเจ้าตลอดไป

พุทธังกำลังกล้า ธัมมังกำลังแกร่ง สังฆังกำลังแรงด้วยฤทธิ์แห่งพระกำลัง ขอเชิญพระปัจเจกมาช่วยเสกกับพระอรหันต์ให้เป็นวิมานแก้วล้อมรอบครอบตัวพัวพัน คอยป้องกันภยันตราย

พุทธัง อธิษฐามิ
ขอการอธิษฐานของข้าพเจ้า จงสำเร็จได้ด้วยอานุภาพพระพุทธเจ้า
ธัมมัง อธิษฐามิ
ขอการอธิษฐานของข้าพเจ้า จงสำเร็จได้ด้วยอานุภาพพระธรรม
สังฆัง อธิษฐามิ
ขอการอธิษฐานของข้าพเจ้า จงสำเร็จได้ด้วยอานุภาพพระอริยสงฆ์ทั้งหลายด้วยเทอญ

ก่อนที่เราจะลืมตาขึ้นมานั้น ให้พึงพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างพอเกิดขึ้น แล้วมาตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปนี่เป็นของจริงแท้แน่นอน เป็นสัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณอันประเสริฐว่า ขึ้นชื่อว่าโลกแล้วจะต้องถึงคราวอันตรธานสูญหายวิบัติไปโลกภายนอกเช่น บุคคล สิ่งของทั้งหลายโลกภายใน คือโลกของเราเอง เปรียบเสมือนพวกร่างกาย
เมื่อถึงวันเวลาซึ่งเรายืมเขามา คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุมาประชุมรวมกันเป็นร่างกาย โดยมีจิตปฏิสนธิวิญญาณของเราครองอยู่ สิงสถิตรวมอยู่
จึงถือได้ว่า พ่อแม่เป็นผู้ที่ให้ร่างกายให้เรามาอาศัยอยู่ถึงเวลาแล้วเขาก็ต้องเรียกคืนไป โลกก็จะต้องกลับคืนไปสู่โลกไม่มีคนหนึ่งคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติอะไรไปได้ แม้แต่เพียงหยิบมือ หรือเพียงธุลีเดียวสิ่งที่จะติดตัวไปได้นั้นคือ บุญ บาป ชั่ว ดี เท่านั้นหมั่นพิจารณาอยู่เสมอๆ ว่า พอร่างกายนั้นตาย เราไม่สามารถจะนำเอาอะไรไปได้การที่เราได้คิดอยู่ทุกวัน คิดถึงความตายอยู่เสมอๆจิตของเราก็จเป็นจิตซึ่งทรงอานุภาพ และเป็นจิตที่ไม่ประมาท
ในการที่จะสร้างคุณงามความดียิ่งๆ ขึ้นไปสมดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสบอกกับพระอานนท์ว่าตถาคตคิดถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
พระดำรัสนี้ย่อมแสดงถึงว่าผู้มีสติพร้อมบริบูรณ์ก็จะระลึกความตายเหมือนสายฟ้าแลบเมื่อระลึกดังนี้ได้อยู่อย่างสม่ำเสมอ จิตของเราก็จะเป็นจิตที่เมตตาไม่อาฆาต ไม่พยาบาท บุคคลหนึ่งบุคคลใด

และก่อนที่จะลืมตา ให้ทำจิตของเราให้แจ่มใสแผ่เมตตาและสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆอธิษฐานถึงความดีอันนี้ ขอให้ติดตัวตลอดไป . . .

. . .

เรียบเรียงบทความมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆใน
watthummuangna.com

ศึกษาเพิ่มเติมโดยละเอียดได้ที่
http://www.watthummuangna.com/home/practice

62
อภิญญาปฎิบัติ / คาถา บทนี้เป็นของดี
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:24:01 PM »


"คาถา บทนี้เป็นของดี หมั่นท่องไว้ทุกวัน ปกติเขาไม่ให้กันหรอกเพราะเขากลัวลูกศิษย์จะดีกว่าอาจารย์ แต่ข้าไม่เคยกลัวและไม่ปิดบัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามาบอกพวกแก ข้าทดลองมาแล้วทั้งนั้น เมื่อดีแล้วจึงมาบอก ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ศรัทธาและหมั่นฝึกฝนปฏิบัติ"

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

63


เราได้เกิดมาในยุคนี้นับว่่ามีบุญหนุนนำยิ่งแล้ว

ที่กล่าวเช่นนี้เป็นเพราะ ยุคนี้สมัยนี้มีสิ่งให้เรียนรู้มากมาย ทุกประการเราสามารถหยิบยกมาเป็นธรรมะสอนใจได้เป็นอย่างดี คนดีจากเบื้องบนลงมาเกิดกันก็เยอะ(เทวดา นางฟ้า พรหมฯ) คนไม่ดีจากเบื้องล่างขึ้นมาเกิดกันก็แยะ(สัตว์นรก เปรต อสูรกายฯ) แต่ไม่ว่าจะเกิดมาจากชั้นไหนภูมิใดก็ตามที่ เมื่อเกิดมาแล้ว ทุกสิ่งเริ่มใหม่หมด เริ่มการบันทึกข้อมูลใหม่ ทั้งข้อมูลที่ดีและไม่ดีจะถูกบันทึกลงที่จิต ยุคนี้เป็นยุคของธรรมะเฟื้องฟู สื่อธรรมะมีอยู่มากมาย หากใฝ่เรียนรู้ในธรรมแล้วไซร้ จะไม่ผิดหวังเลย สมดังเจตจำนงค์ที่มุ่งไว้ทุกประการ แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นยุคกึ่งพุทธกาล หากแต่ยังมีพระอรหันต์ขีนาสพที่บรรลุธรรมมากอยู่ จึงมีแนวทางการปฏิบัติวางเอาไว้เพื่อเป็นแบบอย่าง เป็นแนวทางให้ได้เดินตามรอยกันหลายจริตหลายแนวทาง

สรุปว่า เมื่อเราได้เกิดมาแล้ว จงอย่าไปมองย้อนแสวงหาอดีตกันเลย อย่าไปตามหาภพชาติ อย่าไปผูกจิตไว้กับอดีตกาลเบื้องหลัง กรรมใดที่ได้เคยสร้างไว้แล้วในอดีตกาลเบื้องหลังนั้น มันได้ผ่านพ้นไปแล้ว จงวางเอาไว้เสีย แล้วเพียรสร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน จงบันทึกบุญให้บังเกิดขึ้นในทุกขณะจิต ทำเช่นนี้จึงจะนับว่าเข้าใจถึงคำตอบ ของคำถามที่ว่าเราเกิดมาทำไม...?

พ่อแม่ พี่น้อง กัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นแสงสว่างที่ส่องนำทางชีวิตให้แก่เรา แต่แสงใดใดก็ไม่เท่า แสงแห่งธรรมที่นำเราให้พ้นโลก เหนือโลก.....จงตามหาแสงแห่งธรรมของตนเองให้เจอ เมื่อนั้นเราจะพบกับความสุขสงบที่แท้จริง

"ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ แปลว่า พระธรรมอันผู้บรรลุจะพึงรู้เฉพาะตัว"

64
อภิญญาปฎิบัติ / กุศโลบายการนอน
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:22:51 PM »


หลวงตาม้ากล่าวถึงกุศโลบายการนอน ที่เกิดประโยชน์กว่าที่คิด

พลังงานบุญ หลวงตาม้าอธิบายให้ฟังถึงพลังงาน ที่เราหากฉลาดในการกำหนด จะมีพลังงานหลายประเภท ที่มาเสริมกันให้แก่จิตของเรา ทั้งด้านไตรสรณาคม กำลังพระจักรพรรดิ กำลังพรหมวิหารสี่ ผู้ที่รักและศรัทธาหลวงปู่ หลวงตา ฟังให้เข้าใจ แล้วนำไปใช้ตอนก่อนจะนอนทุกๆวัน พิสูจน์สิ่งที่หลวงตานำมาแจกแจงให้ลูกหลานได้รับประโยชน์ ในการบันทึกพลังงานบุญ ในจิตของเราเพิ่มขึ้นทุกๆวันมากมายมหาศาล หรือว่าเราต้องการขอให้หลวงปู่พาไปชมอะไรที่ไหน ที่เราติดใจต้องการจะไป ก็บอกหรือขอกับหลวงปู่ก่อนที่เราจะนอนหลับก็ได้ หรือขอหลวงปู่ในทุกๆเรื่อง เนื่องจากรูปหลวงปู่มีชีวิต ตามที่หลวงตาได้เล่าให้ฟัง เมื่อจิตเรานิ่งมีความเหมาะสมก็จะสามารถคุยกับภาพหลวงปู่ได้เสมือนหลวงปู่มีชีวิตอยู่ใกล้ๆกับเรานั่นเอง

เดินทางลัดในชีวิตที่เหลือ เมื่อได้ลองปฏิบัติดูแล้ว ได้รับประสพการณ์ดีๆ สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราก็จะเจริญงาม ออกไปในอีกหลายๆมิติทั้งภารกิจทางโลกปัจจุบัน และทางจิตสู่ความเป็นหนึ่งหรือเอกคตา โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายค่าที่ปรึกษาอะไรเลย เพียงแต่ให้จิตของเราตั้งอยู่ในบุญกุศล อยู่ในสายตา และความปรารถนาดีของหลวงปู่ หรืออยู่บน 'ทาง' ของเราก็แล้วกัน ใครจะมุ่งทำมรรคให้สมบูรณ์ถึงสภาวะนิพพานก่อนหลวงปู่ หลวงปู่ก็ยินดีด้วยไม่ว่าอะไร โมทนาด้วยกับทุกๆคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตสุดท้าย

ปรับใช้สติปัญญา (ที่เหนือชั้นยิ่งกว่าสิ่งที่เกิดจากเซลล์สมองของมนุษย์) เมื่อพิจารณาตามที่หลวงตาม้าอธิบายอย่างตรงไปตรงมา เกี่ยวกับหลวงปู่แล้ว ทำให้มีความดำริขึ้นว่า เมื่อเรายังต้องใช้สมองคิด ในเรื่องต่างๆบนโลกนี้ ซึ่งก็ไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพเท่าใดนัก ผิดบ้างถูกบ้าง บางคราวเสียทั้งเงินและเวลาและโอกาส ปัญญาโลกๆที่ได้จากการเรียนรู้วิชาต่างๆ ยังไม่ได้ออกมาจากจิตเดิมแท้โดยตรง หรือได้คำตอบจาก ญาณทัสสนะ หรือการหยั่งรู้

ทางลัดของชีวิตที่สุดประเสริฐ ถ้าหากมนุษย์เราส่วนใหญ่ ที่จิตยังไม่ถึงระดับการหยั่งรู้ เราก็พึ่งพาขอพลังสติปัญญาจากดวงจิตของหลวงปู่ จุดประกายต่อเชื่อมเข้าสู่จิตของเรา ออนไลน์กับหลวงปู่ตลอดเวลา โดยเราขอคำแนะนำในเรื่องต่างๆจากหลวงปู่ในแต่ละเรื่องโลกและธรรมที่เราต้องการ จะทำให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตของเรา ครอบครัว หมู่ชน หรือประเทศชาติ หรือมนุษยชาติ และต่อจิตวิญญาณทั้ง 3 โลกก็ตาม หลวงปู่มีอยู่พร้อมมูล พร้อมช่วยเหลือให้เราได้เดินทางลัดทางตรงของธรรมชาติ ด้วยเหตุปัจจัยที่ดีงาม ยิ่งโดยเฉพาะท่านผู้ใดที่ได้ฝากจิตฝากใจฝากชีวิตเอาไว้ ขอเป็นลูกของหลวงปู่ด้วยแล้ว ท่านผู้นั้นก็จะมีพ่อ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ผู้ประเสริฐคอยดูแลช่วยเหลือ ให้เดินถูกทางอยู่ตลอดเวลาไปตลอดชีวิต

ผู้ใดนึกถึงหลวงปู่ หลวงปู่จะคิดถึงไปกลับเป็น 10 รอบ ส่วนใครที่ไม่นึกถึงหลวงปู่หลวงปู่ก็คิดถึงเขาแผ่เมตตาไปให้ หากเรายังไม่ได้ขอร้องหลวงปู่ หลวงปู่ก็จะรอ เนื่องจากตัวเรายังไม่มีดำริ หรือยังไม่ถึงจังหวะโอกาส หรือยังไม่รู้วิธีนั่นเอง วันนี้ หากทุกคนได้ฟังหลวงตาให้เข้าใจ และเข้าถึงแล้ว ชีวิตทีเหลือของเราก็จะมีแต่ความสว่างไสวไปตลอดทีเดียว พร้อมๆกับตั้งจิตของเราให้อยู่ในสภาวะจิตเดิม ได้เกือบตลอดเวลา สำหรับผู้ที่ถึงทางของตนแล้ว โดยใช้ หมวดหนึ่งหมวดใดของมหาสติปัฏฐาน ให้จิตสะสมพลังงานคลื่นความถี่สูงจนบรรลุถึง 'ทาง' แห่งตนแล้ว ไม่ต้องไปใช้ความคิดฟุ้งซ่านอันใด

เมื่อมีเหตุปัจจัยสิ่งใดเกิดขึ้น ก็สามารถนำมาปรารภถามหาคำตอบจากหลวงปู่ จิตของเราก็จะมีเวลาสะสมพลังงานคลื่นความถี่สูง อยู่บน 'ทาง' ของเราได้มากยิ่งขึ้น ไม่ต้องไปเสียเวลาใช้ชีวิตทางโลกเกินความจำเป็น ที่สะสมสมบัติโลกเอาไว้เท่าใด ตายไปต้องก็ทิ้งไว้บนโลกนั่นเอง ก็มันเป็นสมบัติของโลกเขา หาใช่ของใครคนใดคนหนึ่งไม่ เราไปอุปทานยึดเอาเองว่ามันเป็นของเรา

เมื่อมีความสมบูรณ์บนทางของตนได้ระดับหนึ่ง ก็จะพึ่งพาจิตเดิมของตนเองได้ เริ่มพึ่งตนเองได้ เมื่อจิดเดิมเริ่มได้เห็นภาพคำตอบต่างๆด้วยตนเองแล้ว หากจะนำมาหารือกับหลวงปู่ เป็นการตรวจสอบทานคำตอบนั้นๆก็ไม่เสียหายอันใด

โอกาสดีของชีวิต หลายๆท่านคงจะได้รับโอกาส และแสงสว่างในชีวิต ที่ยังเหลืออยู่ในอายุขัย นำไปส่งเสริมประยุกต์ใช้ทั้งงานทางโลก และงานพัฒนาจิต ให้อยู่บนทางของตน จากคำแนะนำหลวงตาม้า ผู้ชำนาญทางและอยู่ใกล้ชิดหลวงปู่มาก่อน ชี้แจง ให้เราเกิดปัญญา ได้รับโอกาสดี ยังเหลือแต่ให้เราพิจารณานำไปใช้ ในชีวิตประจำวันของเรา ทั้งกลางวันและกลางคืน ก่อนที่จะหลับนอน ให้ธาตุขันธ์พักผ่อนนอนหลับ แต่ให้จิตทำภารกิจของจิตอยู่กับหลวงปู่ตลอดเวลาต่อไป

. . .

เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
www.facebook.com/watputtaprompanyo

65
จักรวาลแบบพุทธ / จงเข้าใจความเป็นจริง
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:21:54 PM »


จงเข้าใจความเป็นจริง

...สมาธิหรือจิตสงบนั้น สามารถที่จะทำได้ 2 อย่าง คือทั้งในอิริยาบถนิ่ง และอิริยาบถเคลื่อนไหวและทำได้ในทุกท่า โดยไม่จำกัดท่าใดๆ ด้วยเพราะใช้ใจทำ ใช้กายเป็นสถานที่ทำ คือใช้ใจจับดูกายเท่านั้น กายจะอยู่ท่าไหนก็ได้ เพียงแต่ให้พยายามสนใจดูตัวเองว่า ปัจจุบันนี้เดี๋ยวนี้ขณะนี้ กายเรา กำลังทำอะไรอยู่ ก็กำหนดย้ำความรู้สึกนั้นลงไปอีกทีว่า กำลังทำอะไรอยู่ ข้อสำคัญให้ย้ำความรู้สึกอีกครั้งซ้ำลงไปเรียก..ว่ารู้ในรู้...หรือสติสัมปชัญญะก็คือตัวน...ี้แหละ มันจะเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ตามปัจจุบันขณะนั้นอยู่เสมอ คือให้ใจรู้กาย หากจิตนั้นตั้งมั่น รู้อยู่ภายในการในใจอันเป็นปัจจุบันที่รู้จริงๆ แล้วจิตจะเกิดความสงบ ปกติ โปร่ง ว่าง เบาสบาย พอกำลังสติมันเต็มรอบ มันจะเกิดปัญญาอันเป็นความรู้แจ้ง คือตื่นและอิสระเบิกบานในสิ่งที่รู้นั้นทันทีมันจะเกิดปัญญาแห่งธาตุรู้ ที่จะรู้ว่าเหตุทุกข์แท้ๆ นั้นเกิดตรงไหน เกิดจากอะไร ทำไมมันถึงเกิดแก้อย่างไร ควรจะทำอย่างไรจึงจะดับทุกข์ได้สิ้น มันจะบอกเองหมดจากภายในจิตใจของใครของมันอีกที มันจะเป็นทั้งผู้สอนผู้เรียนและผู้ตัดสินต่อผลนั้นทั้งหมด แปลกจริงๆ เรียนเอง สอนเอง รู้เองมันเป็นการรู้จากภายในสู่ภายนอก เป็นรู้จริง รู้แท้ ที่ได้พบเห็น ได้สัมผัสถึงจริงๆ ด้วยการกระทำของตนเอง ธรรมแท้เป็นเรื่องตัวเองต้องพึ่งตนเองจริงๆ หลวงตาทดลองมาแล้วพวกเอ็งรู้ใหม ฮ่าๆๆๆๆๆ ต่อการดับทุกข์ทางใจ ด้วยปัญญาจากใจภายในของตนจริงๆ อันเกิดจากกระทำที่ถึงจุดของมันเท่านั้นจึงจะดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง ดับสนิทจริงๆ ไม่มีส่วนเหลือ

หลวงตาพูดเสมอว่า...การปฏิบัติธรรมนั้นมิใช่การปฏิบัติเพื่อได้อะไรมันเป็นไปเพื่อความออกจากทุกข์ใจต่างหาก เป็นเรื่องตนเห็นจิตตนซึ่งภาษาธรรมเรียกว่า "ปัจจัตตัง"

1.อยู่กับกิเลสได้โดยใจไม่เป็นทาสของกิเลส
2.อยู่กับทุกข์กาย โดยไม่ทุกข์ใจ
3.อยู่กับงานวุ่นโดยใจไม่วุ่น
4.อยู่กับการรีบด้วยใจสบาย
5.อยู่กับความสมหวังและความผิดหวังได้โดยใจไม่ทุกข์อีกต่อไป
6.อยู่กับโลกได้ด้วยใจเป็นธรรม กายส่วนกายใจส่วนใจแต่อาศัยกันอยู่เท่านั้นเอง
7.อยู่กับหน้าที่โดยไม่ยึดหน้าที่ เพียงแต่จะทำหน้าที่นั้น ให้ดีที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้ในขณะปัจจุบันนั้นเท่านั้นเอง ที่ทำไม่ได้ก็ปล่อยไป

พวกเอ็งยังต้องปฏิบัติไปอีกเยอะนะรู้่ใหม หลวงตาสอนพวกเอ็งไปตลอดไม่ได้ พวกเอ็งต้องเรียนรู้เอง หรือถามหลวงปู่ดู่เอง ห้อยพระท่านไว้ตลอดนะอยากถามอะไรก็ถามท่าน จิตพวกเอ็งยังไม่สะอาด แต่พลังงานในองค์พระมีเต็มตลอด (หลวงตาหัวเราะ)

. . .

เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

66
อภิญญาปฎิบัติ / ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:21:10 PM »


ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ

ช่วงที่ ๑

ในการปลุกเสกอธิษฐานของหลวงปู่แต่ละครั้ง จะไม่มีพิธีอะไรมาก บางครั้งท่านจะชุมนุมเทวดาก่อน แล้วจึงอธิษฐานปลุกเสกตามลำดับ ท่านบอกว่า "อาราธนามาหมด พระทั้งแสนโกฏิจักรวาล" พระพุทธเจ้าไม่ใช่มีแต่จักรวาลนี้ สมัยเมื่อพระโมคคัลลาน์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านท่องไปในจักรวาลต่างๆ ไปจักรวาลไหนก็เอาเม็ดถั่วเขียวทิ้งไว้ ไปจนหลงกลับไม่ถูก ไปพบพระพุทธเจ้าอีกจักรวาลหนึ่ง ท่านเลยบอกให้นึกถึงพระพุทธเจ้าที่พระโมคคัลลาน์เป็นอัครสาวกอยู่ เมื่อนึกแล้ว พระโมคคัลลาน์จึงกลับมาได้ การเสกของคนคนเดียวน่ะขลังยาก ต้องอาศัยบารมีพระ บารมีพรหม เทวดาช่วย คนเราต้องไหวดี เอาตัวเองเก่งคนเดียวนั้นยาก พระโมคคัลลาน์ท่านเก่งทางฤทธิ์ แต่อย่างไรก็สู้ทางปัญญาไม่ได้ ดังเช่นคราวหนึ่ง พระพุทธเจ้าให้พระโมคคัลลาน์นับเม็ดฝนที่ตกในจักรวาล พระโมคคัลลาน์ใช้ฤทธิ์เหาะไปนับ แต่พระสารีบุตรไม่ไป อยู่กับที่ใช้ปัญญาถามพระพุทธเจ้า ผลออกมาเหมือนกัน แต่เหนื่อยผิดกัน

สำหรับคาถาที่ท่านใช้ปลุกเสกมีหลายบท แต่ท่านสรุปว่า "บรรดา มนต์ดลต่างๆ นั้น สู้บทสวดมนต์ไม่ได้ เพราะมีอานุภาพมากกว่ากัน บทไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้น ดีทั้งนั้น เมื่อก่อนข้าเรียนมาหมด เวทมนต์คาถาว่าเละไปด้วยกัน เดี๋ยวนี้ทิ้งหมดแล้ว เอาคุณพระดีกว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง น่ะยอดคาถาอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าบทไหนก็ตาม จะต้องมีการปลุกเสกด้วยบท "มหาจักรพรรดิ์" ทั้งสิ้น พระที่ข้าทำน่ะ ข้าก็ว่าทำดีแล้ว แต่คนที่ไปใช้จะทำดีตามหรือเปล่า บางคนก็กลัวว่าไปรอดราวตากผ้า ไปทำไม่ดี พระจะเสื่อมหรือไม่ ของดีน่ะไม่มีเสื่อม ไอ้ที่เสื่อมน่ะ ใจคนเสื่อม"

ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ

ช่วงที่ ๒

ที่หลวงปู่บอกว่า การสวดมนต์นั้นจะดีกว่าการใช้มนต์ดล การใช้มนต์ดลคือ คำหน้า ที่ใช้คำว่า "โอม" ก็ดี หรือคำที่ใช้คำกล่าวถึงเทพหรือฤาษีต่างๆ นั้น หลวงปู่บอกว่าใน ๗ ตำนาน หรือ ๑๒ ตำนานนั้น เป็นการแสดงถึงบารมีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ บารมีเหล่านี้เป็นสิ่งที่ซึ่งแสดงออกมาได้ และเมื่อท่านผู้หนึ่งผู้ใด สำเร็จในพลังจิตแล้ว มีแต่การนำเอาบทสวดมนต์ใน ๗ ตำนาน มาสวดในการปลุกเสก โดยยังไม่ทันเข้าสมาธิ ก็สามารถทำให้วัตถุนั้น เกิดเป็นพลังงาน พลังจิตขึ้นมาได้ อย่างเช่นหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง เจ้าคุณนรรัตน์ ราชวานิต เวลาท่านปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านจะสวดมนต์หลายบท ซึ่งมนต์หลายบทนั้นก็อยู่ใน ๗ ตำนาน หรือแม้แต่ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆัง การปลุกเสกพระสมเด็จ ท่านก็ใช้คาถาชินบัญชร ซึ่งแสดงว่าพระที่ท่านมีพลังจิตแล้ว แม้ท่านจะกล่าวอะไรขึ้นมาก็ตาม ก็ย่อมเกิดเป็นพลังงานได้ง่าย สำหรับการปลุกเสกพระของหลวงพ่อวัดประดู่ทรงธรรมนั้น จะต้องมีธาตุทั้ง ๕ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ อันนี้ก็หมายถึง ในคนเช่นมนุษย์ทั่วไป ก็จะมีธาตุเหล่านี้ประกอบอยู่ ดังนั้นวัตถุหรือรูปเปรียบ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งยังไม่มีการปลุกเสกก็เสมือนเป็นตุ๊กตาหรือเป็นรูปธรรม แต่เมื่อมีการปลุกเสกหรือการอธิษฐานแล้ว ก็เป็นการเชิญพลังงานเหล่านี้ มาสถิตอยู่ในองค์พระเหมือนกับบรรจุลงไป เมื่อบรรจุลงไปแล้ว ก็จะทำให้วัตถุนั้นเป็นวัตถุที่มีพลังขึ้นมาได้ หรือแม้แต่หลวง พ่อคล้าย วัดจันทร์ดี การปลุกเสกของท่าน ท่านก็อธิษฐานเอาความว่างเปล่าลงไปไว้ในวัตถุเหล่านั้น ความว่างเปล่านั้น ไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย มีแต่ความบริสุทธิ์ เมื่อมีความว่างเปล่าไปบรรจุในวัตถุ วัตถุนั้นก็ย่อมมีพลานุภาพขึ้นมาได้ จึงมีทั้งรูปธรรม และนามธรรมเกิดขึ้นในวัตถุมงคลเหล่า

ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ

ช่วงที่ ๓

ข้าพเจ้า "พระเครื่องที่ทำด้วยโลหะกับเนื้อผง เนื้อผงน่าจะแรงกว่าใช่ไหมครับ"

หลวงปู่ "ไม่จำเป็น ดูอย่างหลวงพ่อเกษม ท่านเสกก้านธูป คนเอาไปยิงไม่ออก อยู่ที่ผู้เสกหรือตัวอาจารย์นั่นแหละ"

ข้าพเจ้า "แล้วพระที่มีการจารด้วยเหล็กจาร กับไม่จารนั้นต่างกันหรือไม่"

หลวงปู่ "การจารนั้นก็คือ นำมาทำอีกครั้งหนึ่ง อธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง"

ข้าพเจ้า "การปลุกเสกพระด้วยคณาจารย์หลายๆ องค์ กับองค์เดียวทำ หรืออธิษฐานจากที่หนึ่ง ไปช่วยอีกที่หนึ่งนั้นเป็นไปได้ไหม"

หลวงปู่ "เป็นไปได้ อำนาจจิตน่ะเป็นของวิเศษ ไปได้เกินกว่าแสนโยชน์ แต่การที่เขาต้องมีพิธีปลุกเสก โดยให้มีคณาจารย์นั่งรวมกันหลายๆ องค์ ก็เพื่อประโยชน์ของผู้ที่จะนำไปใช้ คือเกิดกำลังใจดีกว่ากัน ที่จริงผลเหมือนกัน"

ข้าพเจ้า "แล้วการที่ปลุกเสกหลายๆ วัน กับปลุกเสกช่วงระยะเวลาเดี๋ยวเดียว อย่างหลวงปู่แหวนปลุกเสกไม่เกิน ๑๕ นาที หรือหลวงปู่เสก ก็เห็นเต็มหมดแล้วนี่ครับ"

หลวงปู่ "อยู่ที่เชื่อ หลวงพ่อเกษมท่านให้คนถือของหรือกล่องที่จะเสก เดินผ่านช่องกุฏิ ท่านเป่าพรวดเดียวก็ใช้ได้ การปลุกเสกนานๆ อย่างเช่น ในไตรมาส ก็เป็นการบังคับให้ต้องทำเสมอ เสกนานก็ทำให้เพิ่มเติมอะไรที่เห็นว่าขาดตกบกพร่อง ถ้าใครเชื่อข้า ข้าก็ไม่ต้องเสก หยิบให้แล้วนำไปใช้ได้เลย"

ข้าพเจ้า "พระอรหันต์ประเภท สุกขวิปัสสโก ท่านจะมีความสามารถในการเสกพระหรือไม่ครับ"

หลวงปู่ "สุกขวิปัสสโก ก็ประเภททำให้หมดทุกข์คนเดียว แต่แกเอ๋ย พระอรหันต์น่ะ ท่านทำอะไรก็ได้ เพียงแต่การอธิษฐานว่า ขอให้วัตถุเหล่านี้ จงศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำไปใช้จงมีความสำเร็จ เช่นเดียวกับข้าพเจ้าก็ใช้ได้แล้ว"

ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ

ช่วงที่ ๔

หลวงปู่ยังได้เล่าถึง วิธีการปลุกเสกพระ ตามแบบฉบับของ วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดอยุธยา ดังนี้

"การปลุกเสกพระจริงๆ แล้ว จะต้องมีผู้ทำอย่างน้อย ๔ คน หมายถึง ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ โดยมีตัวอาจารย์เป็นผู้ควบคุม และหมายถึงอากาศธาตุ ต้องทำให้สว่าง เวลาจะลงเป็นอย่างไหนต้องรับรองได้ การนำไปใช้จึงสัมฤทธิผล สมัยโบราณเขาต้องมีการยิงปืน ตีดาบให้ได้ยินเสียง เพื่อเป็นการปลุกจิตปลุกใจเพื่อเสก เพื่อให้เกิดความขลังได้ง่าย"

ข้าพเจ้า "การที่หลวงปู่จะทำอะไรทุกครั้งเห็นต้องมีคนคุม คือคอยตรวจสอบดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเกิดไม่มีเขาเหล่านั้น แล้วหลวงปู่จะทำอย่างไร"

หลวงปู่ "ไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะเราแน่ใจว่าเมื่อตั้งอธิษฐานอะไรแล้ว ต้องเป็นไปตามนั้น"

ข้าพเจ้า (ยกมือขึ้นสาธุ) "แสดงว่าหลวงปู่ต้องการให้ผู้ที่นั่งอยู่เกิดบุญ เพราะจะได้โมทนาในสิ่งที่ตนรู้เห็น เป็นการช่วยให้เขาได้บุญน่ะครับ"

หลวงปู่ท่านยิ้มอย่างมีเมตตา และทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า หลวงปู่ท่านมีกุศโลบายในการที่จะทำให้คนได้บุญ และท่านยังเสริมอีกว่า "บุญนั้นหมั่นทำไว้ ปฏิบัติไว้ คนไหนที่เขาว่าทำได้ดีได้เห็นอะไรก็ตาม โมทนาไปเลยไม่มีเสีย มีแต่ได้ อย่าไปขัดเขา เวลา เดินผ่านไปไหนเห็นดอกไม้เขาปลูกอยู่ เราก็นึกถวายพระแทนเขา ของอะไรก็ตามนึกถวายพระพุทธเจ้าได้บุญทั้งนั้น เวลาจะเปิดไฟ ถ้าอยากได้บุญก็ว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา ก็ได้แล้ว"

ข้าพเจ้า "ถ้าเราถวายแทนเขาโดยไม่ขออนุญาตนี้ จะผิดศีลข้อ ๒ หรือไม่ครับ"

หลวงปู่ "ก็แกแผ่เมตตาให้เจ้าของเขาหรือเปล่าล่ะ ถ้าแผ่เมตตาให้เขาก็ไม่บาป" (ผู้เขียนเข้าใจว่า ถ้าไม่แผ่เมตตาให้เจ้าของก็ไม่ผิดศีลข้อ ๒ แต่ที่หลวงปู่ว่าไม่บาป คงหมายถึงทำให้ใจเราไม่เศร้าหมอง)

ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ

ช่วงที่ ๕

หลวงปู่ท่านยิ้ม แล้วตอบให้ศิษย์หายข้องใจ โดยท่านสรุปการปลุกเสกพระให้ขลังไว้ดังนี้

"เรื่องของคงกระพันชาตรีน่ะทำง่าย แค่ขนลุกก็เหนียวแล้ว แคล้วคลาดน่ะดีกว่า เพราะไม่เจ็บตัว การเสกพระทำน้ำมนต์ให้ดีให้ขลัง ต้องทำใจของเราให้มีเมตตา คือรักเขายิ่งชีวิตแล้วจะได้ผลดี การเสกพระให้มีพุทธคุณทางเมตตาน่ะ ทำยากที่สุด หมั่นปฏิบัติไปเถิด"

คำพูดของหลวงปู่ถือเป็นสัจธรรม หรืออมตธรรมที่ตรงกับพระพุทธภาษิตที่ว่า "โลโกปัตถัมภิกาเมตตา เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก" คือต้องทำตัวเราเองให้เป็นคนดีเสียก่อน จึงจะมีผลในการดำเนินชีวิต และทำให้คนใกล้ชิดได้รับความสุขไปด้วย

พวกติดคุกติดตะรางหรือไอ้เสือทั้งหลายเหล่านี้ มักจะมีความสามารถทางคงกระพันชาตรี แล้วเกิดฮึกเหิมขาดศีลธรรม ทำให้เขาต้องประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทางไปในที่สุด บางคนไม่มีพระ ไม่มีคาถาอาคม ก็ยังสามารถรอดจากภยันตรายได้ เรื่องมีว่า มีคนเหนือไปทำงานแถบปราจีนบุรี ซึ่งมีพวกเขมรมาก และเกิดไปขัดใจกับพวกนั้น พวกเขมรนั้นเก่งทางทำของ ทำคุณไสย เขาก็ปล่อยมาให้เจ้าคนนี้ แต่ก็น่าแปลกใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้ จนในที่สุดคนทำของเกิดความสงสัยจึงไปถาม เขาตอบว่า "ไม่มีเครื่องรางของขลังอะไรเลย คาถาอาคมก็ไม่มี แต่ก่อนจะนอนทุกคืนต้องกราบหมอน ไหว้พ่อไหว้แม่ เป็นเช่นนี้มิได้ขาด" คนทำของจึงบอกว่า "คืนนี้แกอย่าไหว้พ่อ ไหว้แม่นะ ข้าจะปล่อยของแล้วจะแก้ให้" เขาก็ทำตาม ตอนนี้เป็นเพื่อนกันแล้ว คืนนั้นก็ปล่อยของเข้าตัวได้ แล้วเขาก็แก้ให้ นี่ขนาดไหว้พ่อ ไหว้แม่นะ ทำให้จริงยังสามารถป้องกันตัวได้ หลวงปู่สอนให้พวกเรามีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ และผู้มีพระคุณทั้งหลาย ซึ่งถือเป็นคุณธรรมที่ควรประพฤติปฏิบัติ ดังพุทธภาษิตว่า "นิมิตตัง สาธุ รูปานัง กตัญญูกตเวทิตา" ความกตัญญูกตเวทิตา เป็นเครื่องหมายของคนดี

- จบตอน -

ที่มาบทความจาก: หนังสือกายสิทธิ์
www.watthummuangna.com

หนังสือ "กายสิทธิ์" เป็นหนังสือเก่า หนา 307 หน้า อายุเกือบ 20 ปี หายาก เขียนขึ้นตั้งแต่สมัย วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ยังเป็นสำนักสงฆ์ พุทธพรหมปัญโญ อยู่ เนื้อหาภายในเล่มรวบรวม ประวัติ คำสอน ปฎิปทา หลวงปู่ดู่ และ เรื่องราว ของ หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า รวมถึงเรื่องราวพิเศษต่างๆ เกี่ยวกับ หลวงปู่ หลวงตา ที่หาอ่านได้ยาก

ดาวน์โหลดหนังสือกายสิทธิ์ฉบับเต็ม แบบไฟล์ PDF
คลิ๊ก http://goo.gl/vzf6hu (.rar 68 MB)

67


สาเหตุหนึ่งที่คนเราทุกข์ก็เพราะไม่รู้จักอยู่กับปัจจุบัน เรามักจมอยู่กับอดีตและหวังไปในอนาคต อยู่กับความผิดหวังความไม่พอใจ หรือติดอยู่กับความสุขความสมหวังในอดีตที่ผ่านไปแล้ว รวมทั้งอยู่กับความคาดหวังในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ฝันว่าจะต้องรวย ประสบความสำเร็จ มีครอบครัวที่อบอุ่น จนแม้กระทั่งหวังบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์สำหรับบางท่าน

การไม่อยู่กับปัจจุบันดังกล่าว ย่อมนำมาซึ่งความทุกข์ เพราะต้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับความผิดหวังความไม่พอใจ หรืออาจทุกข์เพราะโหยหาความสุขความสมหวังในอดีตที่ผ่านมาแล้วก็ได้ ในขณะเดียวกันก็ตั้งความหวังอันสวยหรูไว้ในอนาคตที่ไม่มีทางรู้แน่ว่าจะมาถึงหรือไม่ จนอาจคิดว่าจะมีความสุขได้จริงก็ต่อเมื่อได้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวแล้ว

บางท่านอาจบอกว่า การจมอยู่กับอดีตที่หอมหวานและวาดหวังถึงอนาคตอันสดใส ก็ยังดีกว่าการต้องอยู่กับปัจจุบันที่ขมขื่นหรือไม่เป็นที่พอใจ ซึ่งฟังดูเผินๆก็น่าจะใช่ แต่ในความเป็นจริงแล้วจิตนั้นเกิดดับเร็วมาก ทั้งความทุกข์และความสุขที่เกิดขึ้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าเรานำมาย้ำคิดครั้งแล้วครั้งเล่า จึงทำให้เกิดความทุกข์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์จากสิ่งที่ไม่น่าพอใจ หรือจะเป็นความทุกข์ด้วยความติดข้องต้องการในสิ่งที่น่าพอใจก็ตาม

ตัวอย่างของความทุกข์จากการไม่อยู่กับปัจจุบันมีให้เห็นทุกวัน เช่น เราโกรธใครบางคนที่ทำงาน นอกจากจะไม่พอใจในตอนนั้นแล้ว หลายครั้งที่เราพกพาความไม่พอใจนั้นกลับบ้านมาด้วย ซึ่งบางครั้งก็กินเวลาหลายวันกว่าจะลืมหรืออาจนานเป็นปีก็เป็นไปได้

ในขณะเดียวกันการหวังไปในอนาคตก็ทำให้เราต้องฝากความสุขของเราไว้กับเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงตลอดเวลา โดยบางเรื่องต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต ซึ่งพอเกิดขึ้นจริงก็ให้ความสุขสมหวังเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่นานความรู้สึกดังกล่าวก็ผ่านไปและกลายเป็นอดีตอีก

ยิ่งเราอยู่กับปัจจุบันได้มากเท่าไร ความทุกข์ก็จะลดน้อยลงได้เท่านั้น เพราะปัจจุบันขณะเกิดดับอย่างรวดเร็ว จะมีจริงก็แต่ทุกข์ทางกาย เช่นในเวลาที่เจ็บป่วย ซึ่งหากทำใจได้ ความทุกข์ที่เหลือส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงความทุกข์ทางกาย อย่างความเจ็บปวดไม่สบายกายหรือความไม่สะดวก เช่น ไม่สามารถเคลื่อนไหว ได้เห็นได้ยิน ฯลฯ ดังคนปกติ ส่วนความทุกข์ทางใจที่เกิดจากการคิดนึกไปในอดีตและอนาคต รวมทั้งการปรุงแต่งก็จะบรรเทาลงได้ตามกำลังปัญญาของแต่ละคนที่จะมีสติระลึกรู้ถึงปัจจุบันขณะด้วยความเห็นถูกนั่นเอง

- มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

68


เวลาทำบุญ ควรอธิษฐานอย่างไร?

คนส่วนใหญ่เวลาทำบุญมักอธิษฐานว่า ขอให้รวย ขอให้สุขภาพแข็งแรง ขอให้ได้ยศตำแหน่ง ฯลฯ แต่ที่จริงแล้วมีคำอธิษฐานที่ง่าย สั้น ครบวงจรเป็นประโยชน์ครบถ้วนกว่ามาก

หลวงปู่ดู่เคยสอนไว้ว่า เวลาทำบุญให้อธิษฐานสั้นๆไปเลยว่า "ขอให้ประสบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์" เพราะคำว่า ความดี นั้นรวมครบหมด ทั้งรวย สุขภาพดี มียศตำแหน่ง มีคนรักเมตตา ฯลฯ ส่วนปราศจากความทุกข์ก็ตัดสิ่งไม่ดีหมดทุกอย่าง ไม่มีทุกข์ ไม่มีโรคภัย ไม่มีอุปสรรค ไม่มีศัตรู ฯลฯ

ที่สำคัญคือ การ "พบแต่ความดี" นั้นสำคัญมาก เพราะแม้เราจะขอพรจนร่ำรวยจริง แต่ไม่ดี เงินนั้นเราอาจเอาไปเล่นพนัน ไปซื้อยาบ้า สุดท้ายก็พาไปนรก แม้จะมียศตำแหน่งแต่ปราศจากความดี ก็อาจเอาตำแหน่งไปข่มเหงคนอื่น คดโกงประเทศชาติ ก็มีนรกเป็นที่ไป แม้จะมีแต่ใครๆก็รักเมตตา แต่หากเราไม่ดี เราก็อาจกลายเป็นคนเจ้าชู้ หลอกคนนี้ให้รัก คนนั้นให้หลง สุดท้ายก็ทะเลาะตบตีกัน และไปนรกกันทั้งหมู่

"การขอให้พบความดี" จึงถือเป็นพรอันสำคัญที่สุด เพราะผู้ที่จะทำความดี ต้องมีปัญญาพอที่จะรู้ว่าความดีมีประโยชน์เช่นใด ดังนั้นเมื่อมีปัญญา แม้จะเกิดมาจน ก็ใช้ปัญญาหาเงินจนรวยได้ แม้จะเกิดมาต่ำต้อย ก็ใช้ปัญญาทำงานหายศตำแหน่งมาได้ไม่ยาก แม้เกิดมาไม่มีใครรัก แต่หากมีปัญญารู้จักพูดจา ใครๆก็จะหันมารัก ที่สำคัญคือเมื่อมีปัญญา ก็รู้ว่าความชั่วไม่มีประโญชน์ ไม่ควรทำ ความดี มีแต่ประโยชน์และควรทำ ดังนั้นจึุงเป็นผู้มีความสุขทั้งโลกนี้ และโลกหน้า มีแต่สุคติเป็นที่ไป นรกไม่ได้เยี่ยมเยีน ใครอยู่ใกล้ก็มีความสุข

ดังนั้น เวลาทำบุญครั้งใด อธิษฐานง่ายๆก็ได้เช้นกันว่า "ขอให้พบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์..."


เรียบเรียงจาก คติธรรมคำสอนของ
หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ

69


ยังไงก็ตาย

คนเราเกิดมามีไม่เท่ากัน บางคนก็เสวยบุญ บางคนก็เสวยกรรม เอาตัวเราให้รอด อย่าไปดูบุญดูกรรมคนอื่น เขาจะดีไม่ดีเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยว แค่ตัวเรา บางวันยังดีมั่งไม่ดีมั่งเลย

ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง เราแก่ลงทุกวัน เวลาเหลือน้อยแล้ว ต้องรีบสร้างกำลังเพื่อจะเคลื่อนภพภูมิ จะออกจากทุกข์ จะสร้างบารมี จะช่วยเหลือพระศาสนา ก็แล้วแต่คำอธิษฐาน ปฏิบัติมาทั้งหมด ก็เพื่อจะเตรียมตัวไป สร้างกำลังของเราเอง ต้องรีบทำ

ให้เตรียมตัวตาย ยังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว ระลึกนึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ได้ก็จบ ง่าย แต่ทำยาก อยู่ที่จะนึกออกไหม


"เรียบเรียงจาก คติธรรมคำสอนของ
หลวงตาม้า (พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร)
วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่"
facebook.com/watputtaprompanyo

70


เข้าวัดไม่ต้องอายคนล้อนินทา

หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวให้แง่คิดไว้เกี่ยวกับคนหนุ่มสาวที่กำลังมาสนใจในเรื่องราวของการปฎิบัติธรรมเข้าวัดไว้ว่า "ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังเป็นเด็กเป็นหนุ่ม เป็นสาวนี่แหละดี เพราะเมื่อแก่เฒ่าไปแล้ว จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย หากจะรอไว้ให้แก่เสียก่อน แล้วจึงค่อยปฏิบัติ ก็เหมือนคนที่คิดจะหัดว่ายน้ำเอาตอนที่แพใกล้จะแตก มันจะไม่ทันการณ์"

หลวงตาม้าท่านก็ได้กล่าวให้แง่คิดไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "การปฎิบัติธรรมควรทำไว้ตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้ หากไม่ฝึก ไม่รู้จักเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ตอนจะตายมันจะทรมาน เพราะจิตไม่ได้มีการเตรียมพร้อม จิตจะเคว้ง ไม่รู้จะไปไหน เมื่อตายไปแล้วจะลำบาก เพราะไม่ได้สะสมพลังงานบุญไว้ ไม่ได้ฝึกจิตให้ละเอียดไว้ เพราะฉะนั้นคนที่ได้มีบุญเข้าหาธรรมะตั้งแต่ตอนนี้ ถือว่าได้เตรียมตัวตายก่อนตาย เพราะเราต้องตายกันทุกคน แม้แต่ในชีวิตชาติปัจจุบันเองก็ตาม เราควรที่จะเข้าหาธรรมะไว้ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว เพราะต่อไปในการดำเนินชีวิต เราจะต้องพบเจอกับทั้งความสุขความทุกข์ ความดีใจความเสียใจ หากเราไม่มีธรรมะประจำใจแล้วก็เหมือนเราขาดภูมิคุ้มกันที่ดีในการดำเนินชีวิต เมื่อพบเจอกับสิ่งต่างๆมากระทบ"

หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ท่านก็เคยบอกว่าเข้าวัดไม่ต้องอายคนล้อนินทา "เมื่อเราเข้าวัดตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม เป็นสาว ก็ยังมีบุคคลบางคนล้อเลียนว่า “เป็นคนแก่ เจ้าธัมมะธัมโม” ก็เลยละอายไม่อยากไปอีก จะไปอายมันทำไม เข้าวัดมาปฏิบัติธรรมมันผิดอะไร มันผิดตรงไหน พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องความละอายความกลัวไว้ แต่ท่านมิได้สอนให้อายอย่างนี้ ท่านสอนให้ละอายต่อความชั่วความผิดอันจะนำชีวิตไปสู่ความเดือดร้อนเสียหาย ให้กลัวผลของความชั่วความผิดที่จะ ตามมาให้โทษ ทุกข์ เวรภัย แก่ตนเอง ท่านให้ละอาย ให้กลัวอย่างนี้ การกระทำความดีมีประโยชน์ การเข้าวัด การปฏิบัติธรรม มันเป็นความดีไม่ใช่เรื่องที่น่าละอาย เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ ดีใจสบายใจ จึงจะถูก เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรจะสนใจ"


"เรียบเรียงจาก คติธรรมคำสอนของ
หลวงตาม้า (พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร)
วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่"
facebook.com/watputtaprompanyo

71


ทำบุญอย่าให้เดือดร้อนตัวเอง

หลวงตาม้าท่านมักจะกล่าวสอนอยู่เสมอๆว่า การ สร้างบุญที่เป็นมหากุศล อาทิเช่น การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระมหาเจดีย์ สร้างยอดฉัตรหรือสร้างศาสนสถานอื่นใดก็ตาม รวมถึงธรรมทานด้วย เพื่อลดวิบากกรรมหนักๆ สามารถทำได้ แม้แต่ผู้ที่มีเงินน้อย การทำบุญนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมาก เหมือนที่หลายๆคนในปัจจุบันเข้าใจและติดเป็นค่านิยมกัน เป็นชาวพุทธแล้วต้องรู้จักการทำบุญให้เป็นไม่หลงบุญ จึงจะได้รับอานิสงค์จากการทำบุญนั้นๆอย่างเต็มเปี่ยม

หลวงตาม้าท่านยังมักกล่าวสอนอีกว่า การทำบุญทุกอย่าง ไม่ว่าจะบุญเล็ก บุญใหญ่ ให้ทำตามแต่กำลังของเราที่สามารถจะทำได้ และต้องไม่เดือดร้อนตัวเอง แม้แต่เงินสลึงเดียวก็สามารถสร้างมหากุศลได้ ขอให้เพียงเงินนั้นบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมาก็พอ และที่สำคัญเจตนาตอนที่ทำ ต้องบริสุทธิ์ มีความยินดีในบุญที่ทำ เกิดความสุขและความอิ่มเอมใจ นั่นแหละมหากุศลทั้งสิ้น แต่ ถ้าไม่มีเงินจริงๆ ก็ยังสร้างมหากุศลได้ โดยการใช้แรงกายแรงใจในการช่วยก่อสร้าง หรือแม้แต่การไปชักชวน ป่าวประกาศให้คนมาร่วมสร้างบุญ และขออนุโมทนาบุญกับคนเหล่านั้นด้วยทุกครั้ง ก็จะได้บุญมากเช่นเดียวกัน อยู่ที่เจตนาและความตั้งใจเป็นที่ตั้ง สรุปสั้นๆ ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใดก็ได้บุญเช่นกัน อยู่ที่กำลังใจและกำลังทรัพย์ของเราให้พอดีตัวเป็นสำคัญ หากทำเช่นนี้ได้ในการทำบุญทุกครั้ง จะได้ทั้งบุญและบารมีไปพร้อมๆกัน

หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวว่า ยิ่งการทำบุญใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมากๆ บุญนั้นก็จะมากขึ้นทวีคูณ ไม่มีวันหมด อาทิเช่น พระพุทธรูป สังฆทาน สร้าง โรงทาน วิหาร อุโบสถ ถนน เป็นต้น จนกว่าสิ่งก่อสร้างหรือศาสนสถานนั้นๆที่ร่วมสร้างจะพังทลายไป และบุญจะเกิดขึ้นแก่เราทุกครั้งที่ศาสนสถานที่เรามีส่วนร่วมนั้นได้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นอีกด้วย แม้เราร่วมทำบุญไปแค่เท่าที่กำลังเราจะทำได้ก็ตาม ไม่ว่ามากหรือน้อย ก็ถือว่าเราได้ร่วมด้วยกับบุญนั้นทุกอย่าง และได้อานิสงค์ทุกประการ สำคัญที่ความตั้งใจอันดีของเราเท่านั้น

โยมมากราบหลวงตา

หลวงตาม้าท่านเล่าให้ฟังว่า เคยมีโยมผู้หญิงท่านหนึ่งมากราบ หลวงตาม้าท่าน พอโยมเขามาถึงก็บ่นให้ท่านฟังว่าหาโอกาสมากราบยาก อยากมากราบบ่อยๆ หลวงตาม้าท่านก็ให้โอวาทว่า "ไม่ต้องมาถึงที่ถ้ำหรอก ถ้าเคารพกัน นึกถึงกันจริงๆ อยู่ที่ไหนหลวงตาก็ไปได้" คำพูดนี้เป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่ยังไม่มีโอกาสไปกราบหลวงตาได้เป็นอย่างดี..

. . .

เรียบเรียงจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร
(หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ
(วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

72


หลวงตาม้าสอน "หลวงปู่บอกว่า กิน นั่งเดิน ยืน นอน ให้สวดมนต์ (ทำสมาธิภาวนา)" อยากรู้อะไรไม่ต้องถามหมอดู อดีตคือปัจจุบัน ปัจจุบันคืออนาคต อยากให้อนาคตเป็นอย่างไรให้ทำปัจจุบันอย่างนั้น..

73


"เราทุกคนมีกรรมเป็นแดนเกิด เราทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ใครทำกรรมอะไร เราไปทำตามเขา เราก็ได้กรรมตามนั้น เพราะฉะนั้นก่อนจะทำอะไรให้คิดให้ดี ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม กรรมใครกรรมมัน..."

คติธรรม หลวงตาม้า วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

74


ใครจะใหญ่เกินกรรม

หลวงตาม้าท่านมักจะกล่าวคำว่า "ใครจะใหญ่เกินกรรม" จนญาติโยมจำได้ขึ้นใจ และเป็นการเตือนสติญาติโยมไปในตัว

หลวงตาท่านว่า "คำนี้กินความกว้างมากนะ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะรวยจะจน จะดีจะเลว จะยิ่งใหญ่มาจากไหน ก็หนีไม่พ้นกรรมที่ตัวก่อทุกคน ดูซิพวกเรา ๆ ที่นั่งตาแป๋วอยู่นี่มีใครบ้างที่ไม่มีกรรม มีใครบ้างที่ใหญ่กว่ากรรม ลองเอาไปคิดดู"

หลวงตาท่านมักจะเล่าให้ญาติโยมฟังว่า สมัยก่อนตอนท่านอยู่กับหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ดู่ท่านก็ใช้คำนี้ไว้สำหรับเตือนลูกศิษย์ของท่านเช่นกัน เมื่อครั้งที่มีลูกศิษย์มานั่งทะเลาะกันต่อหน้าท่าน ท่านก็ไม่ว่าอะไรเพียงแต่พูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า "ใครจะใหญ่เกินกรรม" เพียงคำเดียว ทุกคนถึงได้เงียบและยุติได้..


เรียบเรียงจาก คติธรรม หลวงตาม้า วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

75


ขี้เกียจก็ภาวนา ขยันก็ภาวนา ......

"ถ้าแกกินข้าวสามมื้อ มันก็มีกำลังวังชา เดินไปถึงได้
ถ้าแกกินข้าวมื้อเดียว มันก็พอไปถึงได้แต่ช้าหน่อย
แต่ถ้าแกไม่กินข้าวเลย มันก็คงไปไม่ถึง ใช่ไหมล่ะ"

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 16