เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Webmaster

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 16
31


ความเมตตาผูกพันของครูบาอาจารย์ต่อเหล่าลูกศิษย์
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญนั้น
เป็นพระสุปฏิปัณโณที่ท่านเอาใจใส่กับการสอนลูกศิษย์
เป็นอย่าง มาก มีคนเคยพูดเอาไว้ว่า

"พระ สงฆ์เป็นผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครูบาอาจารย์สูง
ถ้าพระท่านเป็นอาจารย์ของใคร พระท่านจะเคี่ยวกรำ
จนลูกศิษย์ผู้นั้นได้ดี ท่านจะไม่ปล่อยปละละเลยเด็ดขาด"

"เขา มาจากไกล ๆ เป็นร้อยเป็นพันกิโล ถ้าไม่เจอข้า เขาจะผิดหวัง
ผู้ที่มาหาข้านี้ล้วนแต่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า ข้าก็จะนั่งคอยอยู่นี้แหละ"

คำพูดนี้แสดงถึงมหาเมตตาบารมีของหลวงปู่ดู่
ที่มีต่อมหาชนอย่างมากมายเกินกว่าที่จะกล่าวได้...

ครั้งหนึงหลวงตาม้าท่านพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำได้ใจความว่า

"...ให้ นึกถึงหลวงปู่(ดู่) แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า ขอยกให้หลวงปู่เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า
ขอให้หลวงปู่ช่วยดูแลทั้งทางโลกและทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่ นับตั้งแต่บัดนี้
ไปจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน..."



หลวงตาม้าท่านพูดต่อไปได้ใจความว่า...

"อย่าง ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านผูกพันกับสมเด็จองค์ปฐมเป็นพิเศษก็เพราะท่านเคย
อธิษฐานอย่างนี้กับสมเด็จองค์ปฐมเนี่ยแหละ คราวนี้ถึงแม้สมเด็จองค์ปฐมท่านเข้านิพพานไป
ท่านก็ยังตามมาดูแลหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้"

และท่านได้อธิบายเพิ่มถึงข้อดีของการถวายตัว
กับครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสุปะฐิปันโนได้ใจความว่า...

"ถ้าทำอย่างนี้ ต่อไปเรื่องซวยๆจะไม่ค่อยมีในชีวิต เพราะเราฝากดวงไว้กับหลวงปู่แล้ว"

การ ฝากดวงไว้กับหลวงปู่นี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับลูกหลานหลวงปู่ดู่หลวงตาม้าเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเราฝากตัวเป็นลูกหลานท่านอย่างเต็มตัวแล้ว เราก็ควรจะทำตัวให้สมกับ
ที่เป็นลูกศิษย์ลูกหลานของพระมหาโพธิสัตว์บารมีเต็ม ที่จะมาตรัสรู้เป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเบื้องหน้า

ครั้งหนึ่ง หลวงตาม้าท่านเคยพูดกับบรรดาลูกศิษย์ว่า

"กลับลงไปจากถ้ำแล้ว อย่าไปทำให้เสียชื่อนะ อย่าลืมว่าเทวดาเขารู้จักหลวงตาเยอะนะ
กลับลงไปแล้วที่สอนไปก็ให้ทำด้วย เจอกันครั้งหน้าเดี๋ยวก็รู้ว่าใครทำหรือไม่ทำ(หัวเราะ)"[SIZE="5"]

หลวงตาม้าท่านเมตตาย้ำว่า......
"รักทุกคน ไว้ใจบางคน ไม่เกลียดใครเลยสักคนนี่คือสูตรของหลวงปู่ดู่

32


การจุดธูป เทียน เพื่อบูชาพระ

การจุดธูป เทียน เพื่อบูชาพระในพิธีกรรมต่าง ๆ มักจะไม่เหมือนกัน บางท่านต้องการไหว้พระแต่ยังตกลงใจไม่ได้ว่า จะใช้ธูปกี่ดอกจึงจะเหมาะสม หลวงปู่ดู่เคยตอบปัญหาเรื่องนี้กับผู้ที่สงสัยว่า

หลวงพ่อ : "จุดกี่ดอกก็ได้ ส่วนใหญ่
มักใช้ 3 ดอก บูชา พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ กี่ดอกก็มีความหมายทั้งนั้น"

ผู้ถาม : "อย่างนั้นถ้าจุดดอกเดียว
ไม่ถือว่าไหว้ผี หรือไหว้ศพหรือครับ"

หลวงปู่ดู่ :
"จุด 1 ดอก หมายถึง จิตหนึ่ง
จุด 2 ดอก หมายถึง กายกับจิต โลกกับธรรม
จุด 3 ดอก หมายถึง พระรัตนตรัย หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จุด 4 ดอก หมายถึง อริยสัจ 4
จุด 5 ดอก หมายถึง พระเจ้า 5 พระองค์ นะโมพุทธายะ
จุด 6 ดอก หมายถึง สิริ 6 ประการ ที่แกกราบพระ 6 ครั้ง
จุด 7 ดอก หมายถึง โพชฌงค์ 7
จุด 8 ดอก หมายถึง มรรคแปด
จุด 9 ดอก หมายถึง นวโลกุตรธรรม
จุด 10 ดอก หมายถึง บารมี 10 ประการ
อยู่ที่เราจะคิดให้ดี เอาอะไรก็ได้"

ผู้ถาม : "ถ้า 11 ดอก หมายถึง... "

หลวงพ่อ : "ก็บารมี 10 ประการกับจิตหนึ่ง
ว่าไปได้เรื่อย ๆ แหมแกถามซะข้าเกือบไม่จน"

ผู้ถาม : "ถ้าไม่มีธูปเทียน"

หลวงพ่อ : "ก็ใช้ชีวิตจิตใจบูชา
ไม่เห็นต้องมีอะไร พุทธัง ธัมมัง
สังฆัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ"

หลวงพ่อหัวเราะมองหน้าผู้ถาม
ที่รู้สึกทึ่งในปฏิภาณของหลวงพ่อ

33


ล้มให้รีบลุก

เป็นปกติของผู้ปฏิบัติธรรม ช่วงใดเวลาใดที่สามารถปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้า จิตใจสงบเย็นเป็นสมาธิได้ง่าย สามารถพิจารณาอรรถธรรมให้ผ่านทะลุจิตใจได้โดยตลอดสาย ช่วงดังกล่าวมักจะต้องมีปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามาไม่ในรูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง เพื่อมาขวางกั้นการปฏิบัติธรรมของผู้ปฏิบัติคนนั้นๆ ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมไม่สามารถเตรียมใจรับกับสถานการณ์นั้นๆ ได้ ธรรมที่กำลังพิจารณาดีๆ ก็ต้องโอนเอนไปมา หรือล้มลุกคลุกคลานอีกได้

เคยมีคนกราบเรียนให้หลวงปู่ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคที่กำลังประสบอยู่

หลวงปู่ท่านจึงสอนว่า "พอล้มให้รีบลุก รู้ตัวว่าล้มแล้วต้องรีบลุก แล้วตั้งหลักใหม่ จะไปยอมมันไม่ได้ "

ท่านเมตตาสอนต่อว่า "ก็เหมือนกับตอนที่แกเป็นเด็กคลอดออกมา กว่าจะเดินเป็น แกก็ต้องหัดเดิน จนเดินได้ แกต้องล้มกี่ทีเคยนับไหม พอล้มแกก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่ใช่ไหม ค่อยๆ ทำไป"

หลวงปู่เพ่งสายตามาที่ลูกศิษย์แล้วสอนต่ออีกว่า "ของข้าเสียมากกว่าอายุแกซะอีก ไม่เป็นไรตั้งมันกลับไป"

ลูกศิษย์ "แล้วจะมีวิธีป้องกันไม่ให้ล้มบ่อยได้อย่างไร"

หลวงปู่ "ต้องปฏิบัติธรรมให้มาก ถ้ารู้ว่าใจเรายังแข็งแกร่งไม่พอ ถูกโลกเล่นงานง่ายๆ แกต้องทำให้ใจแกแข็งแกร่งให้ได้ แกถึงจะสู้กับมันได้"

เพื่อเป็นการเพิ่มกำลังใจของนักปฏิบัติ ไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้งก็ตาม แต่ทุกๆ ครั้งเราจะได้บทเรียน ได้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป ให้น้อมนำสิ่งที่เราเผชิญมาเป็นครู เป็นอุทาหรณ์สอนใจของเราเอง เตรียมใจของเราให้พร้อมอีกครั้ง ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก

เรียบเรียงจาก คติธรรมคำสอนของ
หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ
วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

34


ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง เราแก่ลงทุกวัน เวลาเหลือน้อยแล้ว ต้องรีบสร้างกำลังเพื่อจะเคลื่อนภพภูมิ จะออกจากทุกข์ จะสร้างบารมี จะช่วยเหลือพระศาสนา ก็แล้วแต่คำอธิษฐาน ปฏิบัติมาทั้งหมด ก็เพื่อจะเตรียมตัวไป สร้างกำลังของเราเอง ต้องรีบทำ

ให้เตรียมตัวตาย ยังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว ระลึกนึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ได้ก็จบ ง่าย แต่ทำยาก อยู่ที่จะนึกออกไหม

ในการปฏิบัติธรรมนั้น หลวงตาม้าท่านเมตตาแนะนำสอนว่า

"หลวงตาเพียงแต่แนะนำให้ได้เท่านั้น ครูบาอาจารย์อื่นๆ ก็เหมือนกัน ท่านทำได้เพียงแต่แนะนำ และชี้แนะทางที่ถูกให้เท่านั้น ส่วนการปฏิบัตินั้น อยู่ที่ตัวของผู้ปฏิบัติเองที่จะทำได้แค่ไหน ต้องทำจริงๆ ไม่ใช่พอครูบาอาจารย์แนะนำทีก็ทำที พอนานๆ ไปก็เลิกทำ ถ้าเป็นอย่างนี้จะก้าวหน้าได้อย่างไร ช่วงนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะปฏิบัติธรรม เพราะตอนนี้พวกเราก็ได้พบทั้งหลวงปู่ดู่ และพระอริยสงฆ์ต่างๆ มากมาย ได้พบครูบาอาจารย์ที่ดี พบหมู่คณะที่ดี สถานที่ปฏิบัติธรรมก็มีแล้วตั้งหลายที่ การปฏิบัติสายหลวงปู่ดู่ก็ไม่ลำบาก ไม่เคร่งจนเกินไป ปฏิบัติไปอย่างสบายๆ จะหาได้ที่ไหนอีก ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปทำตอนไหนแล้ว เดี๋ยวเกิดต้องตายก่อนจะตามพวกไม่ทัน เพราะเมื่อชาติก่อนเขาทำบุญกันมา เรามัวแต่รบจนไม่มีเวลาปฏิบัติ มาชาตินี้เวลามี สถานที่ก็เหมาะ แล้วช้าอยู่ทำไม...."

" . . . ภพชาติมันเหมาะแล้วนะ การปฏิบัติ การบวช มันตัดภพตัดชาติได้เลยนะ อย่างจะเกิดอีก ๑๐๐ ชาติ ก็เกิดแค่ ๕๐ ชาติ มันจะลดไปเรื่อยๆ แต่ถ้าปฏิบัติจนถึงขั้นโสดาบันก็แค่ ๗ ชาติเท่านั้น ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ต้องเกิดเลยไม่ดีหรือ"

พระธุดงค์เวลาจะออกธุดงค์ ท่านอธิษฐานจิตตายเลย การปฏิบัติควรทำให้จริงจัง นับวันคนเราก็อายุมากขึ้น จะมัวรอช้าอยู่ทำไม เวลาไม่คอยใคร ควรเริ่มทำได้แล้ว"

หลวงตายังเตือนอีกว่า "เริ่มปฏิบัติซะ เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเราจะไปเมื่อไหร่ อย่างน้อยๆ เราก็ ๑ ใน ๕๐ หรือ ๑๐๐ ก็ยังดี จะรอครูบาอาจารย์มาคอยชี้ คอยเตือนคงไม่ไหว มาหาหลวงตาลองคิดดู ถ้าหลวงตาเข้ากุฏิ ปิดประตูไปก็เรียบร้อย เราต้องไล่ของเราเองแล้ว ใครก็ไล่ให้เราไม่ได้ เวลาเราไปไหนกับเขา เราได้รู้ได้ฟังอะไรมา เราก็ต้องนำเอากลับมาพิจารณาเองทุกครั้ง ต้องทำนะ"

การปฏิบัติหลวงปู่ดู่ ท่านเคยเมตตาสอนว่า

"ต้องแลกด้วยความตาย ตายเป็นตาย
ถ้ากลัวตายก็ไปไม่ได้ นักปฏิบัติถ้า
กลัวตายเสียแล้วก็จะไม่ก้าวหน้า"

. . .

"หลวงตาม้า (พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) จ.เชียงใหม่"

35


จะเดิน.. นั่ง.. กิน.. แม้แต่ตอนนอน ภาวนาไว้ อย่าได้ขาด..
ปฏิบัติ ทุกลมหายใจเข้าออก ทรงอารมณ์ดีดี
อย่าให้กระแสไม่ดี เข้ามากระทบ...

หากเรานึกในสิ่งดีๆ จิตจะเพิ่มแต่ในสิ่งที่ดีๆ
อย่าจุดประกายในสิ่งที่ไม่ดี เพราะจิตจะเพิ่มในสิ่งที่ไม่ดี
อย่ามัวนึกแต่กรรมเก่าในอดีต มันทำให้เราเศร้าหมอง

การคิดถึงในสิ่งที่ไม่ดี นอกจากกรรมจะเข้าเราเร็ว
ตามสิ่งที่เราคิดแล้ว ยังทำให้เราตายผ่อนส่ง
คือตายเร็วกว่ากำหนดอีกด้วย

ทุกวันนี้เราฝึกไว้เพื่อเตรียมตัวตาย
ถ้าไม่ฝึกไว้ เวลาตาย มันจะเคว้งไม่รู้จะไปไหน
การฝึกสมาธิ ไม่เกี่ยวกับการนั่งนานหรือไม่นาน
แต่เกี่ยวกับว่า ทำแล้วอารมณ์สบายๆใหม

อย่าจมอยู่กับความเศร้าหมอง...
ไม่มีใครไม่มีทุกข์ เกิดมาก็ทุกข์
เพียงแต่ว่าจะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย

ผู้ปฎิบัติธรรม ให้ดูที่จิต อารมณ์ดี จิตสบาย
ไปไหนก็มีแต่คนรัก ทำอะไรก็มีแต่คนช่วยเหลือ
ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เกินกำลัง

การบันทึกบุญอยู่ที่อารมณ์ หากอารมณ์ดี
ก็จะบันทึกบุญได้ตลอด หากอารมณ์ไม่ดี
จะบันทึกบุญไม่ได้เลย...

อย่าจมอยู่กับความเศร้าหมอง...

ต้องทำตัวเองให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

. . .

เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

36


บารมีธรรมหลวงปู่ดู่ช่วยผีตายโหงอยากมีเมียมนุษย์

เรื่องที่จะนำมาพรรณนาดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องของวิญญาณที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แม้เรื่องนี้จะมิใช่ประสบการณ์ขณะท่านเดินธุดงค์ แต่ก็เป็นเรื่องวิญญาณของบุคคลผู้หนึ่งซึ่งตายไปแล้ว ทว่ายังวนเวียนคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างโลกมนุษย์ และโลกวิญญาณด้วยอำนาจแห่งโมหะ คือ ยังหลงอยู่ในกิเลสตัณหา ไม่รู้ว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว

กล่าวคือ มีครอบครัวหนึ่งอยู่ที่อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ครอบครัวนี้อยู่กันมาด้วยความปกติสุข กระทั่งวันหนึ่งลูกสาวคนหนึ่งไปธุระนอกบ้าน พอกลับมาถึงบ้านก็ล้มฟุบลงไปเหมือนคนหมดสติกระทันหัน พ่อแม่ญาติพี่น้องพากันตระหนกตกใจ รีบเข้าไปปฐมพยาบาลเป็นโกลาหล

ครั้นลูกสาวฟื้นคืนสติ กลับมีลักษณะท่าทางผิดแปลกไปจากเดิมดุจคนละคน แววตาขุ่นขวางน่ากลัว เวลาเอ่ยปากพูดออกมา น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นแหบห้าว ประหนึ่งเป็นเสียงผู้ชาย รวมทั้งถ้อยคำวาจาดุจเป็นผู้อื่นพูด มีการเรียกเอา อาหารสด อาหารคาว มากินอย่างมูมมาม คล้ายกับอดอยาก หิวโหยมาช้านาน

พ่อแม่เห็นลูกสาวมีกิริยาอาการผันแปรไปอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังพูดกันไม่รู้ความดุจเสียสติ ก็รู้แน่ว่าคงมีวิญญาณร้ายมาเข้าสิง จึงออกไปตระเวนหาหมอผีผู้มีวิทยาอาคมขลังมาขับไล่วิญญาณที่เข้าสิงให้ออกไป เมื่อหมอผีมาถึงบ้านเริ่มทำพิธีไล่ผีด้วยกฤตยาคม ผีที่มาเข้าสิงลูกสาวก็รีบถอนถอยหนีออกไปง่าย ๆ ทำให้พ่อแม่ญาติพี่น้องโล่งอกโล่งใจ คิดว่าเหตุร้ายคงจะยุติลงเพียงเท่านี้

ที่ไหนได้อีกไม่กี่วันต่อมา วิญญาณร้าย หรือผีตนเดิมก็มาเข้าสิงลูกสาวอีก คราวนี้ถึงกับประกาศว่า มันคือวิญญาณของชายคนหนึ่ง ซึ่งถูกยิงตายบริเวณหลังวัดใกล้ ๆ บ้าน เมื่อลูกสาวเจ้าของบ้านรายนี้เดินผ่านไป มันก็เกิดความพอใจรักใคร่ ต้องการได้ไปเป็นเมีย และตั้งใจจะเอาไปเป็นเมียให้ได้

คราวนี้พ่อแม่ญาติพี่น้องของหญิงสาวก็ยิ่งตื่นตระหนกตกใจ เพราะถ้าผีตายโหงที่มาเข้าสิงถึงขั้นจะเอาลูกสาวตนไปเป็นเมียเช่นนี้ ก็เท่ากับวิญญาณร้ายมีเจตนาจะกระทำให้ถึงตายแน่ ๆ ผู้เป็นพ่อแม่พยายามพูดจาอ้อนวอนกับวิญญาณผีตายโหงที่สิงร่างลูกสาว ให้ละเว้นเจตนาซึ่งเป็นทุจริตคิดร้ายนี้เสีย แต่วิญญาณของผีตายโหงไม่สนใจใยดี ยังคงยืนกรานตามความประสงค์ของมันไม่เปลี่ยนแปลงพ่อแม่ของหญิงสาวก็ต้อง เที่ยวตระเวณหาหมอผี ผู้มีไสยเวทอาคมขลังมาขับไล่วิญญาณร้ายให้ออกไปจากร่างของลูกสาวทั่วทุกทิศ แต่ไม่มีผู้ใดกระทำได้สำเร็จเด็ดขาดแม้แต่รายเดียว

หมอผีบางคนที่มีวิชาอาคมยังไม่แก่กล้า วิญญาณผีตายโหงยิ่งไม่ยำเกรงแม้แต่น้อย จะเสกคาถาสาดน้ำมนต์เข้าใส่อย่างไรมันก็วางเฉย จนฝ่ายหมอผีต้องยอมพ่ายแพ้ไปเอง ถ้าหมอผีคนใดมีพลังวิชาอาคมเข้มขลัง วิญญาณร้ายก็จะรีบถอนออกจากร่างหญิงสาว ที่มันปรารถนาจะได้เป็นเมียไปง่าย ๆ ทำทีคล้ายกับกลัวเกรงอำนาจเหลือหลาย แต่พอหายไปสักพัก มันก็จะย้อนกลับมาสิงใหม่ ที่น่าประหลาดก็คือ แม้หญิงสาวจะมีพระเครื่องรางของขลัง ด้ายสายสิญจน์ลงอาคม ติดตัวเต็มคอเต็มแขน เพื่อคุ้มครองป้องกันอย่างไร วิญญาณผีร้ายก็ยังมาเข้าสิงจนได้

น่าเวทนาหญิงสาวเคราะห์ร้ายรายนี้ ที่วิญญาณผีตายโหงจับจ้องหมายปองชนิดไม่ยอมเลิกรา ทำให้เธอแทบจะเสียสติด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่รู้ว่ามันจะมาเข้าสิงอีกเมื่อไหร่ เวลาที่ถูกผีสิงหญิงสาวจะมีอาการเหมือนคนหมดสติ ไม่รู้สึกตัวว่าได้กระทำอะไรลงไปบ้าง ตราบกระทั่ววิญญาณผีตายโหงออกไปเมื่อใด เมื่อนั้นสติสัมปชัญญะจึงจะกลับคืนมาเป็นปกติเหมือนเดิม

เป็นเวลานานถึง ๓ ปีเต็ม ๆ ที่หญิงสาวถูกวิญญาณผีร้ายเข้าสิงไม่ขาดระยะ สภาพของเธอผู้นี้ไม่ผิดกับคนตกเป็นทาสของผีตายโหง ซึ่งจะมารังควานเป็นพัก ๆ ชนิดไม่มีทางหลบหนีไปไหน เพราะไม่ว่าจะแอบซ่อนอยู่ที่ใด วิญญาณร้ายก็จะติดตามไปเข้าสิงจนได้ กระทั่งหญิงสาวหวาดผวาไม่ไม่เป็นอันกินอันนอน ร่างกายผ่ายผอมทรุดลงอย่างน่าใจหาย และภาวะน่าพรั่นพรึงดังกล่าว ได้กดดันบีบคั้นครอบครัวนี้ให้เผชิญกับความทุกข์ทรมานใจอย่างสาหัส

ผู้เป็นพ่อโกรธแค้นวิญญาณผีตายโหง ที่ตามรังควานลูกสาวไม่ยอมเลิก ถึงกับระเบิดโทสะออกมา ขู่ว่าจะยิงผีร้ายให้แหลกกระจายคามือ แทนที่วิญญาณซึ่งมาเข้าสิงลูกสาวจะหวาดหวั่นพรั่นพรึง มันกลับเยาะเย้ยท้าทายให้ยิงได้เลย เพราะถ้ายิงมันก็เท่ากับยิงลูกสาวตัวเอง จะกล้าทำล่ะหรือ

การที่วิญญาณผีตายโหงมาเข้าสิงหญิงสาวอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลายาวนานเช่นนี้ โดยไม่มีอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ มาขัดขวางมันได้ อาจจะเป็นเพราะวิบากที่เธอผู้นี้ กับวิญญาณของชายผู้ถูกยิงตายมีกรรมพัวพันต่อกัน และถึงวาระจะต้องชดใช้ จึงไม่สามารถสกัดกั้นหรือหยุดยั้งทุกกรณี และหากไม่ได้รับการช่วยเหลือให้ผ่อนคลายหลุดพ้นจากวิบากนี้ ก็เชื่อแน่ได้ว่าหญิงสาวคงต้องถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน

หรือเหตุที่เกิดนี้ อาจเนื่องจากวิญญาณผีตายโหงเพราะถูกผู้อื่นยิงตาย สิ้นชีวิตเพราะกรรมมาตัดรอนก่อนถึงอายุขัย วิญญาณจึงกลายเป็นผีเร่ร่อนไม่รู้จะไปทางไหน ประกอบกับจิตยังหลงมัวเมาอยู่ในกามตัณหา มีความอยากในกิเลสราคะรุนแรง จนไม่อาจแยกผิดชอบชั่วดีได้ ไม่รู้ว่าตนกับหญิงสาวอยู่กันคนละภพภูมิ มีอัตภาพที่แตกต่างกัน ครั้นมีความปรารถนาในหญิงสาวที่ตนพึงพอใจ จึงกระทำทุกวิถีทางจะครอบครองเป็นของตน แม้กระทั่งพยายามเบียดเบียนจะเอาชีวิตหญิงสาวให้ได้ แต่วาสนากรรมดีของหญิงสาวผู้นี้ยังมีอยู่ วิญญาณผีตายโหงจึงทำลายล้างชีวิตเธอไม่ได้ และคล้ายดั่งเป็นวาระที่หญิงสาวจะหลุดพ้นจากเงื้อมเงาของวิญญาณร้าย ได้มีคนรู้จักกับพ่อของหญิงสาวมาบอกว่า ควรไปของความเมตตาจาก หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก เถิด เพราะท่านเป็นพระเถระที่มีจิตตานุภาพสูงมาก อาจจะช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ทรมาน ที่ยำยีบีฑาลูกสาวจากวิญญาณร้ายได้ ผู้เป็นพ่อจึงตกลงใจเดินทางไปวัดสะแกทันที

วันที่ผู้เป็นพ่อหญิงสาวซึ่งถูกวิญญาณผีตายโหงเข้าสิงไปถึง วัดสะแก หลวงปู่ดู่กำลังพูดคุยอยู่กับศิษย์คนหนึ่งของท่าน พ่อหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายจึงเข้าไปกราบนมัสการท่าน หลวงปู่ก็ทักทายปราศรัยถามไปว่าอยู่ที่ไหน มีเรื่องอะไรถึงได้มาที่นี่ ชายผู้แบกทุกข์เรื่องของลูกสาวก็เล่าเนื้อความถวาย ที่มีวิญญาณผีตายโหงตามรังควานลูกสาวให้ท่านฟังโดยละเอียด ลงท้ายด้วยการขอความเมตตาจากท่านช่วยกรุณาเปลื้องทุกข์ให้ด้วยเถิด

หลวงปู่ดู่นั่งรับฟังเงียบ ๆ เมื่อทราบจุดประสงค์ของผู้เป็นพ่อหญิงสาวที่ถูกผีสิง ท่านก็หันไปบอกลูกศิษย์ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ ว่า “แกช่วยเขาที เอาบุญ” ศิษย์ผู้นี้เป็นผู้ปฏิบัติธรรม กระทำความเพียรทางจิตอยู่กับหลวงปู่มานานพอสมควร จนเป็นที่ไว้วางใจของหลวงปู่ ก็ประนมมือรับคำ พ่อหญิงสาวรีบนมัสการเรียนถามหลวงปู่ว่า จะให้นำตัวลูกสาวมาที่วัดนี้หรือไม่

หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า “ไม่ต้อง”

จากนั้น หลวงปู่และศิษย์ของท่าน ก็นั่งหลับตาเจริญสมาธิสงบจิตพร้อม ๆ กัน ณ ที่ตรงนั้น มิได้เคลื่อนย้ายไปไหน หรือให้จัดเครื่องสักการะบัดพลีมาประกอบพิธีอย่างใดเลย แม้แต่ดอกไม้ธูปเทียนก็ไม่มีแม้แต่สิ่งเดียว พ่อของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายแอบคิดลังเลสงสัยว่า หลวงปู่ดู่จะช่วยลูกสาวให้พ้นจากอำนาจผีร้ายได้อย่างไร เพราะไม่เห็นมีพิธีกรรมอันเข้มขลัง ดังเช่นที่เคยเห็นพวกหมอผีมิวิชาอาคมกระทำกันมา

เวลาผ่านไปไม่ถึงอึดใจเสียด้วยซ้ำ หลวงปู่ดู่ก็พูดขึ้นเพื่อบอกกับศิษย์ของท่านว่า “เรียกผีมารับบุญหลวงปู่ทวด รับบุญข้า ให้โมทนาซะ จะได้ไปดี เป็นผีก็ไปเอาเมียผี ไม่ใช่เอาเมียคน รับบุญไปจะได้เมียนางฟ้าเยอะแยะ ดูด้วยว่าผีรับแล้วหรือยัง”

ศิษย์ของท่านนั่งลงสงบนิ่งอยู่ในสมาธิ คงจะติดต่อกับหลวงปู่ดู่โดยจิต จากนั้นหลวงปู่ก็กล่าวขึ้นอีก “รับแล้วใช่ไหม.....ไปเกิดซะ.....เอาละหมดเรื่อง”

พ่อของหญิงสาวที่ถูกวิญญาณผีตายโหงเข้าสิงเป็นพัก ๆ นานถึง ๓ ปี แม้จะเคารพหลวงปู่ดู่เพียงไร ก็ยังไม่วายลังเลสงสัยว่า บารมีธรรมของหลวงปู่จะช่วยลูกสาวให้พ้นจากอำนาจผีร้ายได้อย่างไร เพราะไม่เห็นท่านประกอบพิธีที่ชวนให้เกิดความขลังอย่างใดเลย อีกทั้งลูกสาวก็อยู่ไกลถึงอำเภอนครหลวง ซึ่งท่านไม่รู้ว่าบ้านเรือนตั้งอยู่ที่ไหน กิริยาอาการที่วิญญาณผีตายโหงเข้าสิงลูกสาวเป็นอย่างไร และท่านไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า เป็นลูกสาวคนไหนของตนถูกผีสิง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผีตายโหงมันจะหวาดกลัวหวั่นระย่อหลวงปู่ดู่ถึงกับยอมผละหนีไปจากลูกสาวง่าย ๆ ล่ะหรือ

เมื่อหลวงปู่ดู่และศิษย์ถอนจิตจากสมาธิ ผ่อนคลายอิริยาบถแล้ว ศิษย์ของท่านก็บอกกับชายคนนั้นว่า “ตอนนี้เขาไปเกิดแล้ว ผีเป็นเหตุ ลุงกลับบ้านไปลองดู ถ้าลูกสาวไม่เป็นอะไร แสดงว่าหาย”

ผู้เป็นพ่อของหญิงสาวเคราะห์ร้าย ก้มกราบหลวงปู่ดู่ด้วยความปีติยินดี แล้วนมัสการกราบลากลับไปบ้านตนที่อำเภอนครหลวง เวลาผ่านไปเกือบเดือน ชายคนเดิมก็เดินทางมาที่วัดสะแกอีก เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ดู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แล้วรายงานให้หลวงปู่ทราบว่า

“ลูกสาวหายดีแล้วครับ ตั้งแต่วันนั้น ไม่มีอาการผีสิงอีกเลย เพราะหลวงปู่เมตตาไว้ครับ”

บารมีธรรมของ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เรื่องวิญญาณผีตายโหงเข้าสิงหญิงสาวอยู่อำเภอนครหลวงที่นำมาเสนอไว้ ณ ที่นี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงจิตตานุภาพเป็นอัศจรรย์ของผู้บำเพ็ญธรรมระดับสูง และบ่งชี้ให้รับรู้อีกประการหนึ่งนั่นคือ วิญญาณของผู้ที่ตายไปในลักษณะไม่ปกติ ตายเพราะมีกรรมมาตัดรอนก่อนถึงอายุขัยวันตายของตน ย่อมไปผุดเกิดในภพภูมิอื่นต่อไปไม่ได้ จึงต้องวนเวียนทุกข์ทรมานอยู่ในมิติของวิญญาณที่คาบเกี่ยวกับโลกมนุษย์ อีกทั้งยังมืดมัวด้วยกิเลสตัณหา หลงอยู่ในโมหะ อวิชชา ไม่ยอมรับรู้ตามความเป็นจริงว่า ตนเองตายไปแล้ว มีอัตภาพผิดแผกแตกต่างจากมนุษย์ ไม่อาจสามารถสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับมนุษย์ได้ทุกกรณี เหตุนี้ เมื่อมีกิเลสกามฟูขึ้นมากับหญิงสาวที่ตนหมายปอง จึงได้ตามรังควาน สร้างทุกข์ให้แก่ผู้อื่นนานถึง ๓ ปี

หากมิใช่บารมีธรรมของหลวงปู่ดู่ ที่แผ่ให้วิญญาณของผีตายโหง วิญญาณนี้คงจะไม่พ้นจากสภาวะที่จมอยู่ในห้วงกิเลสซึ่งรัดรึงเอาไว้ ส่วนที่จะไปผุดเกิดในภพภูมิใดต่อไป ก็คงเป็นไปตามยถากรรมของตน


โดย มนต์ พันลาย
จากหนังสือ “วิญญาณอาถรรพณ์”
www.facebook.com/watputtaprompanyo

37
อภิญญาปฎิบัติ / "การบวชจิต บวชใน"
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:41:41 PM »


"การบวชจิต บวชใน" เนี่ย เป็นสูตรของหลวงปู่ดู่ท่านเลยนะ หลวงปู่ดู่ท่านบอกว่าการบวชทั้งในและนอกมันลำบากในยุคนี้เราบวชใน คนไม่รู้.... แต่ผีรู้ เทวดารู้การบวชในเป็นกรรมฐานอย่างหนึ่ง เวลาทำบุญให้นึกว่าตัวเองเป็นพระ ...จะได้ชิน ..ถ้าทำบ่อยๆ จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

เวลาทำความดีอะไรก็ตามให้นึกว่าตัวเองเป็นพระมันจะปรับออกมาข้างนอกเองเป็นการบวชจากข้างในไปหาข้างนอกข้างนอก คือด้วยรูปลักษณ์บวชในที่เป็นพระเนี่ยพอเราบวชแล้วเราจะไม่กล้าทำอะไรที่ไม่ดีเวลาเราแผ่บุญออกไป พลังงานก็ผ่านเราออกไปได้มากกว่าไม่ได้บวชเพราะข้างในเราเป็นพระ

พลังงานเนี่ย จะผ่านพระได้มากกว่าฆราวาสนะลองคิดดูสิ เราเป็นพระนะ (กายใน) แค่เรานึกเนี่ย ก็เป็นแล้ว ทำไม่เกิน ๓ ปี จะรู้สึกว่าเราเป็นพระ เรื่องอะไรที่ไม่ดีเราจะไม่พูด ไม่ทำ แม้แต่ในฝัน ยังเป็นพระเลย

บวชจิตแล้วต้องสึกไหม..ไม่ต้อง มันไม่เกี่ยวกัน เรื่องโลกกับเรื่องธรรมเป็นคนละเรื่อง เวลาอยู่ทางโลกก็อยู่ไป เมื่อไรอยู่ทางธรรมเราก็บวชใน

ตื่นขึ้นมาก็ให้ทำแล้ว กราบพระ ๖ ครั้ง แล้วทำวัตรสั้นๆ อาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่องค์ปฐมถึงองค์ปัจจุบัน เวลากินข้าว อาบน้ำ เวลาว่าง เวลานอน ให้สวด ให้ภาวนา จนกว่าจะหลับ ๓ ปี จะรู้สึกว่าข้างนอกจะเปลี่ยน ทรงอารมณ์แบบนี้ อานิสงค์มหาศาล เป็นบุญทุกลมหายใจเข้าออก

หลวงปู่ดู่ท่านได้เคยแนะเคล็ดในการบวชจิตไว้ว่า.....

" ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น

คำกล่าวว่า

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา

ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ...
ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์

สังฆัง สรณัง คัจฉามิ...
ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี
มีความยินดีในการบวช

ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ
หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี

อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก
จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว "

. . .

เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
www.facebook.com/watputtaprompanyo

38


เทวดา พรหม นาค ครุฑ...ฯลฯ ชอบ.....อยู่ใกล้ผู้มีบุญ

สมัยก่อนหลวงตาม้า ท่านกักตน ปลีกวิเวก ตั้งสัจจะอธิษฐานจะไม่ออกจากถ้ำใหญ่ เป็นเวลา ๔ ปี ตลอดระยะเวลาที่อยู่บนถ้ำ หลวงตาเพียรปฏิบัติ กรรมฐาน เร่งทำกำลังอย่างยิ่งยวด สำหรับเราท่านทั้งหลาย ระยะเวลา ๔ ปีนั้นนับว่ายาวนานมาก แต่หลวงตาท่านก็ได้ ปฏิบัติตามที่ได้ลั่นวาจาอธิษฐานไว้ได้ครบ ๔ ปี บุญที่เกิดขึ้นจากการอธิษฐานสำเร็จนั้น มีกำลังมาก เป็นบุญใหญ่ ฉะนั้นตลอดระยะเวลาที่หลวงตาปฏิบัติอยู่ในถ้ำใหญ่นั้น ท่านมิได้อยู่ผู้เดียวแต่อย่างใด หากแต่มีเทวดา พรหม นาค ครุฑ...ฯลฯ อยู่รอบข้างคอยอารักษ์ขาและร่วมอนุโมทนาบุญกับหลวงตาอยู่ตลอดเลยนะ

เหตุใด เทวดา พรหม นาค ครุฑ ฯลฯ จึงมาอยู่กับหลวงตา นั้นเป็นเพราะว่า หลวงตาเป็นแหล่งกำเนิดบุญ หลวงตามีรูปนามครบ และหลวงตาได้กระทำบุญอยู่ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออกเป็นบุญ ประกอบกับหลวงตาได้ตั้งสัจจะอธิษฐานสร้างมหาบุญปฏิบัติบูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอปฏิบัติอยู่แต่ภายในถ้ำใหญ่ วัดถ้ำเมืองนะ จะไม่ออกจากอาณาบริเวณที่ได้อธิษฐานไว้ เป็นกำหนดเวลา ๔ ปี ด้วยแรงบุญกุศล และแรงอธิษฐาน รวมกัน บังเกิดเป็นบุญใหญ่มีกำลังมาก เป็นบุญที่ถึงพร้อมทั้งผู้ที่ได้กระทำบุญ และผู้ที่ได้ร่วมอนุโมทนาบุญทุกประการ ฉะนั้น จงอย่าสงสัยเลยว่าเหตุใด เทวดา พรหม นาค ครุฑ ฯลฯ จึงมาประชุมรวมกันอยู่เคียงข้างองค์หลวงตาม้า กันมากมายมหาศาล

แม้กระทั่งเราท่านทุกคนก็ตามที หากเป็นผู้มีประโยชน์ เป็นผู้สร้างบุญกุศล อยู่เสมอ รอบข้างของท่านก็จะเต็มไปด้วย หมู่เทวดา และพรหม ที่มาคอยดูแลปกปักรักษา และร่วมอนุโมทนาในบุญที่ท่านได้สร้างได้ทำไว้ดีแล้วทุกประการ

"เห็นไหมว่าถึงแม้ว่าเราจะทำดีแล้วไม่มีใครเห็นก็ตามที.... แต่เทวดา พรหม เค้าอยู่เคียงข้างเราเสมอ เปรียบเสมือน "อับดุล" ที่รู้เห็นในทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง...ถามอะไรตอบได้ เพียงแต่เค้าไม่ตอบเราหรอก เพราะไม่ใช่เรื่องของเค้า กรรมใครก็กรรมมัน"

"ใครจะใหญ่เกินกรรม" หลวงปู่ หลวงตา......ท่านว่าไว้ดีแล้ว


บทความโดย
ทิพยโอภาส

39


"ทุกข์มากก็เบนซะ....."

หลวงตาสอนว่า....เวลาคนเราเกิดทุกข์ คนเรามักจะย้ำอยู่ในความทุกข์ ฟังเพลง ยังเลือกฟังเพลงที่เกี่ยวข้องกับความทุกข์ที่เกิดในขณะนั้น...มันเป็นการตอกย้ำกระแสนะ ความทุกข์ เป็นพลังงานไม่ดี สะสมไว้มากๆ จะส่งผลต่อธาตุขันธ์ของเรา ถึงขั้นล้มป่วยลงได้ ให้พากันรีบเบนกระแสโดยด่วน...

การเบนกระแสออกจากทุกข์...
หากกำลังนั่งอมทุกข์อยู่ เมื่อเราอยากเบนกระแส(ต้องอยากเองนะ ตนทำเอง คนอื่นทำแทนไม่ได้ หากไม่อยากเบนกระแส ก็นั่งจมอยู่กับทุกข์ไป เราก็ทุกข์เอง คนอื่นเขาไม่ได้มาทุกข์กับบเรานะ) ให้เราหาเพลงมาฟัง....ฟังไม่ผิดหหรอก หาเพลงมาฟัง ในใจสบายผ่อนคลายออกจากทุกข์ หากเป็นเพลงบรรเลงได้จะดีมาก...
เมื่อใจผ่อนคลายออกจากทุกข์บ้างแล้ว ให้หารูป พุทธะ ธรรมะ สังฆะ ที่เราเคารพบูชา เช่นพระพุทธชินราช พระพุทธนิมิตร(วัดหน้าพระเมรุฯ) พระแก้วมรกต หรือพระแก้วแดง......(พระสังฆะ คือภาพพระอริยะสงฆ์ พระอรหันต์ ทั้งหลาย รูปหลวงปู่ดู่ก็ได้ ฯลฯ) นำรูปมาพกติดตัว แล้วให้หมั่นหยิบภาพพระออกมามองบ่อยๆ มองแบบใจสบายๆ ไม่เพ่งนะ มองไปเรื่อยๆ จน "ตาเห็น ใจเห็น ลืมตาก็เห็นภาพพระ หลับตาก็เห็นภาพพระ"
แบบนี้ดีแล้ว ต่อไป เวลามีปัญหาอะไร เราสามารถถามพระได้ทุกเรื่อง..นับเป็นผลพลอยได้จากการฝึกเบนกระแส...ถึงตอนนี้ ทุกข์ที่อยู่ในใจเรา น่าจะคลายออกไปมากแล้ว..

" ใจสบาย กายสบาย จิตเกิดอัศจรรย์ "

เมื่อเรามีพื้นฐานจากการเบนกระแสแล้ว....เรานับว่าเป็นผู้มีประโยชน์แล้ว เราจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ และถ้าหากเราสามารถสวดจักรพรรดิ สัพเพฯ แผ่บุญ ปรับภพภูมิเป็น ก็ยิ่งเป็นการดี ฝึกหัดหมั่นสวดให้ได้ทุกวัน เป็นการสร้างกำลัง ทำไปเรื่อยๆ......เราจะมีความสุขกับการช่วยเหลือผู้อื่น เราจะเป็นผู้มีประโยชน์ต่อทุกรูปนามโดนปริยาย

มาถึงตอนนี้ความทุกข์ในใจเราคงไม่มีเหลืออยู่แล้ว...เพราะเราแปลงความทุกข์ให้เป็นกำลัง ใหห้มีประโยชน์ต่อผู็อื่น....

"แล้วเราจะรู้ว่าเป็นผู้ให้ สุขใจยิ่งกว่าเป็นผู้รับ"


บทความโดย
ทิพยโอภาส

40


นับว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ทุกวันนี้มักมีกลุ่มคนที่มาพิมพ์ข้อความด่าทอหรือดูหมิ่นพระสงฆ์องค์เจ้าที่ท่านกล่าวถึงนรกภูมิต่างๆ หรือสวรรค์ภูมิต่างๆ ทั้งๆที่เรื่องเหล่านี้พระพุทธเจ้าได้อธิบายไว้อย่างละเอียดในพระไตรปิฎก ว่านรกแต่ละภูมิมีสภาวะเช่นใด สวรรค์และพรหมโลกแต่ละชั้นมีสภาวะเช่นใด รวมถึงระยะเวลาในภูมินั้นๆ ตลอดจนถึงภูมิต่างๆที่ซ้อนอยู่กับโลกมนุษย์

เป็นเรื่องจริงที่ว่าชาวพุทธไม่สมควรที่จะไปหลงงมงายทำบุญเพื่อหวังไปถึงชีวิตหลังความตาย หากแต่ควรที่จะสนใจในการทำให้ธรรมะเกิดแก่จิตในทุกปัจจุบันขณะมากกว่า แต่ต้องไม่ประมาทโดยควรสร้างเสบียงไว้เลี้ยงตัวด้วยเพื่อการเดินทางต่อไปในวัฐฐะสงสาร โดย ทาน ศีล ภาวนา และก็เป็นเรื่องที่เถียงไม่ได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านกล่าวถึงความเป็นสัมมาทิฐิว่ามีกี่ประการด้วยกัน และหนึ่งในนั้นคือการเห็นชอบเห็นถูก ซึ่งการที่เราจะปฎิเสธว่า นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นั้นก็ถือได้ว่าเป็นความเห็นที่สุดโต่งเกินไป ในแง่ที่ว่าพระพุทธองค์เองเป็นคนตรัส มีหลักฐานในพระไตรปิฎก การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีอยู่จริง และทำกรรมอะไร ถึงเคลื่อนจุติไปภพภูมิใดๆหลังความตาย สิ่งเหล่านี้ล้วนมีหลักฐานอยู่ทั้งสิ้นในพระไตรปิฐก และพระพุทธเจ้าให้แม้กระทั้งเครื่องมือในการพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ นั้นก็คือการปฎิบัติ ซึ่งเมื่อทำแล้วการที่จะรู้เห็นสิ่งเหล่านี้ได้ก็ควรถือว่าเป็นผลพลอยได้ ไม่ควรมุ่งหวังโดยตรง แต่ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้จริง

ทุกวันนี้ชาวพุทธจำนวนมากที่มีความเข้าใจและรู้ถึงเรื่องนรกสวรรค์ตามหลักศาสนาพุทธไม่ใช่แค่การเป็นนรกสวรรค์ในสภาวะจิตเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงนรกสวรรค์ที่เป็นสภาวะทิพย์ด้วย กลับต้องพูดถึงเรื่องเหล่านี้เฉพาะกลุ่ม เฉพาะบุคคล และหากพูดเปิดเผยออกไปคนทั่วไปอาจจะมองว่าสติไม่สมประกอบ ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงในหลักพุทธศาสและเป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เข้าใจความเป็นมาของโลกมากยิ่งขึ้น เข้าใจเรื่องกรรมมากยิ่งขึ้น และสุดท้ายก็จะเข้าใจตนเองมากยิ่งขึ้น

สุดท้ายนี้จึงขอฝากไว้ว่า การที่ครูบาอาจารย์ท่านจะกล่าวถึงภพภูมิต่างๆ ตามหลักศาสนาพุทธ กล่าวถึงการกระทำกรรมและจุดหมายเป็นอย่างไร ทำอย่างไรเราจะหลีกหนีภูมิซึ่งเป็นอบายภูมิได้ หากครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้กล่าวในเชิงที่เป็นการอวดอุตริแล้วไซร่ ก็ควรจะถามถึงท่านที่กล่าวปรามาสจาบจ้วงด่าทอท่าน ว่าสอนให้คนงมงาย หรือเอามาหลอกหากินกับญาติโยมนั้น ท่านเหล่านั้นได้ศึกษาศาสนาที่ท่านเองนับถือดีแล้วหรือ และเป็นความจริงที่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรเอามาเป็นหลัก แต่การปฎิเสธการมีอยู่ถึงสิ่งเหล่านี้เลยก็ถือว่าเราไม่มีความเห็นที่เป็นสัมมา จะกลายเป็นว่าเราสุดโต่งเกินไป แน่ละตัวอย่างในอดีตมีอยู่ที่มีการนำเอาเรื่องนรกสวรรค์มาเป็นเครื่องมือในการทำให้สาธุชนเคารพศรัทธา แต่สำหรับครูบาอาจารย์ที่ท่านกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ไปตามหลักธรรม หลักแห่งสภาวะความจริง อานิสงค์ของบุญและบาป เราก็ควรจะฟังและพิจารณาตาม และสามารถไปค้นคว้าดูได้ว่าสิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านได้เคยตรัสพูดถึงไว้บ้างหรือเปล่า หากเราออกตัวไปก่อนเพราะมานะทิฐิของเรา สุดท้ายแล้วเราอาจจะปรามาสพระที่ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบไปโดยไม่รู้ตัว จะเป็นบาปเป็นกรรมไปเปล่าๆ

เปรียบเสมือนเราๆท่านๆเป็นปลาอยู่ในน้ำ และครูบาอาจารย์ท่านเป็นเต่า การที่เต่าอธิบายสภาวะบนบกให้ปลาฟัง แล้วปลาไม่เข้าใจเลยกล่าวตู่ว่าไม่มี ก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่...

ข้อทิ้งท้ายบทความโดยอาราธนาพุทธพจน์มาเป็น
คติธรรมเตือนใจให้เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้วจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิดในนรก มีประมาณมากกว่า

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้วจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้วจะกลับมาเกิดเป็นเทพยดามีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า


บทความโดย
ธรรมรักษา

41
จักรวาลแบบพุทธ / ทัวร์นรก ตอนที่ 1
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:38:52 PM »


ทัวร์นรก ตอนที่ 1

ประเภทนรก

นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ล้วนๆ เป็นโลกที่ปราศจากความสุขโดยสิ้นเชิง สัตว์ผู้ไปเกิด อยู่ในโลกนรกนี้ ไม่มีความสุขแต่สักนิดหนึ่งเลย เพราะฉะนั้น โลกนี้จึงได้ชื่อว่า นิรยภูมิ = โลกที่ไม่มี ความสุขสบาย

มหานรก ๘ ขุม
(เทวทูตสูตร อุปริปัณณาสก์
มัชฌิมนิกาย ข้อ ๕๒๑
หน้า ๓๔๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)

นิรยภูมิ หรือโลกนรกประเภทใหญ่ที่สุด เรียกว่า มหานรก มีอยู่ทั้งหมด ๘ ขุม ด้วยกัน ตั้งซ้อนเรียงกันอยู่เป็นชั้นๆ ไป ห่างกันแต่ละชั้นประมาณ ๑๕,๐๐๐ โยชน์ ดังนี้

๑. สัญชีวมหานรก สัญชีวนรก = นรกที่ไม่มีวันตาย คนใจบาปหยาบช้าลามก ตายไปตกนรกขุมนี้แล้ว เขาก็จะเป็นคล้ายๆ กับว่ามีตัวตน เป็น "กายสิทธิ์" คือไม่มีวันที่จะต้องตายกันเลย แม้ว่า จะได้รับการลงโทษอย่างสาหัสจนทนไม่ไหว ขาดใจตายไป ถึงกระนั้น ก็ต้องกลับมีชีวิตชีวากลับเป็นขึ้นมา รับทุกข์โทษ ต่อไปอีก เป็นๆ ตายๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในสัญชีวนรกนี้ มีประมาณ ๕๐๐ ปีนรก! ซึ่งเทียบกันกับเวลาของ มนุษยโลกเราดังนี้ คือ ๙ ล้านปีของมนุษยโลก เท่ากับ วันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา

๒. กาฬสุตตมหานรก เหล่าสัตว์ ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ เขาย่อมถูกลงโทษ โดยนายนิรยบาลเอาด้ายดำมาตีเป็นเส้นเข้าตาม ร่างกาย แล้วก็เอาเลื่อยมาเลื่อย บางทีก็เอาขวานมาผ่า หรือเอามีดนรกมาเฉือนกรีด ตามเส้นด้ายดำที่ตีไว้ ไม่ให้ผิดรอยได้ ฉะนั้น นรกขุมนี้ จึงมีชื่อว่า กาฬสุตต- มหานรก = นรกที่ลงโทษตามเส้นด้ายดำ ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในกาฬสุตตนรกนี้ ประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้ คือ ๓๖ ล้านปี จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา

๓. สังฆาฏมหานรก เหล่าสัตว์ ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์โทษ โดยลูกภูเขาเหล็กนรกบดขยี้ร่างกาย ให้ได้รับทุกขเวทนา อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาสร่างว่างเว้น ฉะนั้น นรกขุมนี้ จึงมีชื่อว่า สังฆาฏมหานรก = นรกที่บดขยี้ร่างกายสัตว์ เหล่าสัตว์ในสังฆาฏมหานรกนี้ มีร่างกายวิกลวิการ ต่างๆ กัน และมีรูปร่างแปลกพิลึก เช่น บางตนมีหัวเป็น ควาย มีตัวเป็นคน บางตัวมีหัวเป็นหมา หมู เป็ด ไก่ แต่มีตัวเป็นคน เป็นต้น มีความวิปริตแห่งกายสุดที่จัก พรรณนาให้ถูกต้องหมดสิ้นได้ ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในสังฆาฏนรกนี้ มีประมาณ ๒๐๐๐ ปี ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้คือ ๑๔๕ ล้านปี จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา

๔. โรรุวมหานรก เหล่าสัตว์ ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์โทษอย่าง แสนสาหัส ต้องร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลา ในนรกขุมนี้ จะได้ยินแต่เสียงร้องครวญครางอย่างน่าสมเพชเวทนา เป็นยิ่งนัก ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า โรรุวมหานรก = นรก ที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญคราง ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในโรรุวนรกนี้ มีประมาณ ๔,๐๐๐ ปีนรก ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้ คือ ๒๓๔ ล้านปี จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของนรกขุมนี้

๕. มหาโรรุวมหานรก เหล่าสัตว์ ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมถูกลงโทษโดยวิธี อันแสนจะทรมาณเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ต้องร้องโอดโอย ครวญครางเสียงดังกระหึ่มมากมายยิ่งนัก เสียงร้อง ครวญครางมากกว่ามหานรกขุมที่ ๔ ที่กล่าวมาแล้ว มากกว่ามาก ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงชื่อว่า มหาโรรุวนรก = นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญครางมากมาย นรกขุมนี้ มีชื่ออีกอย่างว่า ชาลโรรุวนรก = นรกที่เต็มไป ด้วยเสียงร้องครวญครางเพราะเปลวไฟ ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในมหาโรรุวนรกนี้ มีประมาณ ๘,๐๐๐ ปีนรก ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกดังนี้ คือ ๙,๒๑๖ ล้านปี จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา

๖. ตาปนมหานรก เหล่าสัตว์ ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์โทษ โดยวิธีการถูกย่างให้ได้รับความเร่าร้อน และนรกขุมนี้ ก็มีความเร่าร้อนเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงชื่อว่า ตาปนนรก = นรกที่ทำสัตว์ให้เร่าร้อน ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในตาปนนรกนี้ มีประมาณ ๑๖๐๐๐ ปีนรก ซึ่งมีการเทียบกับเวลาของมนุษยโลก เราดังนี้ คือ ๑๘๔,๒๑๒ ล้านปี จึงเป็นวันหนึ่งกับ คืนหนึ่งของเขา

๗. มหาตาปนมหานรก เหล่าสัตว์ ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์อันเกิด จากความร้อนแรงแห่งไฟนรกเป็นที่สุด ได้รับทุกข์เพราะ ความเร่าร้อนเหลือประมาณ ไม่มีความร้อนในที่ไหน จักเปรียบปานกับความร้อนในนรกขุมนี้ ฉะนั้น นรกขุมนี้ จึงชื่อว่า มหาตาปนนรก = นรกที่เต็มไปด้วยความ เร่าร้อนอย่างมากมายเหลือประมาณ ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในมหาตาปนมหานรกนี้ มีประมาณ ครึ่งอันตรกัป ซึ่งนับเป็นเวลาที่นานไม่ใช่น้อยเลย

๘. อเวจีมหานรก เหล่าสัตว์ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์โทษ อย่างหนักที่สุด เพราะระหว่างแห่งเปลวไฟและความทุกข์ ไม่มีว่างแม้แต่สักนิดเลย ในนรกนี้ไม่มีการหยุดพักแม้แต่ สักชั่วระยะเวลาหนึ่ง สัตว์นรกต้องได้รับความทุกข์อย่าง หนักอยู่เสมอตลอดเวลา ไม่ใช่บางคราก็หนักบางคราก็ เบาเหมือนนรกขุมอื่นๆ เพราะฉะนั้น นรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า อเวจีนรก = นรกที่ปราศจากคลื่น คือความบางเบาแห่ง ความทุกข์ ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในอเวจีมหานรกนี้ มีประมาณ ๑ อันตรกัป ซึ่งนับเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่าบรรดา มหานรกทั้งหมด

ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย มหานรกซึ่งเป็นนรกขุมใหญ่ มีอยู่ทั้งหมดด้วยกัน ๘ ขุมดังกล่าวมานี่แล ก็บรรดา มหานรกทั้ง ๘ นี้ หาได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ระดับเดียวกันไม่ ความจริงอยู่ห่างไกลกันมาก จะเรียกว่าขุมหนึ่งๆ เป็น โลกๆ หนึ่งก็เห็นจะได้

42
จักรวาลแบบพุทธ / ทัวร์นรก ตอนที่ 2
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:38:24 PM »


ทัวร์นรก ตอนที่ 2

นรกบริวาร ๑๖ ขุม

มหานรกแต่ละขอมุนอกจะมี ขุมใหญ่ ซึ่งคล้ายกับเป็นเมืองใหญ่เป็นประธานแล้ว ยังมีขุมเล็กเป็นบริวารล้อมรอบอีก ๔ ทิศ ทิศละ ๔ ขุม รวมทั้งหมดเป็น ๑๖ ขุมด้วยกัน นรกที่เป็นบริวารนี้ มีชื่อเรียกว่าอุสสุทนรก

-อุสสุทนรก-

อุสสุทนรก นี้ ล้อมรอบเป็นบริวารมหานรกทั้ง ๘ มหานรกๆ ละ ๑๖ ขุม เพราะฉะนั้น อุสสุทนรกนี้ จึงมีอยู่รวมด้วยกันทั้งหมดมากถึง ๑๒๘ ขุม คือ ๑. ล้อมรอบสัญชีวมหานรก ๑๖ ขุม ๒. ล้อมรอบกาฬสุตตมหานรก ๑๖ ขุม ๓. ล้อมรอบสังฆาฏมหานรก ๑๖ ขุม ๔. ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๑๖ ขุม ๕. ล้อมรอบมหาโรรุวมหานรก ๑๖ ขุม ๖. ล้อมรอบตามปนมหานรก ๑๖ ขุม ๗. ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก ๑๖ ขุม ๘. ล้อมรอบอเวจีมหานรก ๑๖ ขุม จึงรวมเป็นอุสสุทนรกทั้งสิ้น ๑๒๘ ขุม

เฉพาะในที่นี้ จักขอกล่าวถึงอุสสุทนรกเพียง ๔ ขุม ซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารในทิศบูรพาของมหานรกขุมที่ ๑ คือ สัญชีวมหานรกเท่านั้น เพราะอุสสุทนรกในทิศอื่นๆ ก็ดีและที่ล้อมรอบเป็นบริวาร ในมหานรกขุมอื่นๆ ก็ดี ก็มีชื่อเหมือนๆ กัน จะต่างกันก็แต่เพียงโทษหนักเบา เท่านั้น อุสสุทนรกทั้ง ๔ ที่ล้อมรอบเป็นบริวารมหานรก หรือนรกขุมใหญ่ซึ่งจะกล่าวถึงในที่นี้ มีชื่อตามลำดับ ดังต่อไปนี้

๑. คูถนรก ครั้นพ้นทุกข์โทษจากมหานรกขุมใหญ่แล้ว หากเศษบาป กรรมยังไม่สิ้น สัตว์นรกทั้งหลายก็เคลื่อนออกไปรับทุกข์ โทษอยู่ในนรกบริวารที่ใกล้ชิดมหานรกอันดับที่ ๑ นี้ อันเต็มไปด้วยหมู่หนอนเป็นอันมาก คอยแทะกัดกินเนื้อ สัตว์นรกอย่างเอร็ดอร่อย

๒. กุกกุฬนรก ครั้นพ้น จากกำแพงแห่งคูถนรกแล้ว หากเศษบาปกรรม ยังไม่สิ้น สัตว์นรกทั้งหลายก็ต้องเคลื่อนออกไปรับทุกข์ โทษ ในอุสสุทนรกอันดับที่ ๒ นี้ อันเต็มไปด้วยเถ้ารึงซึ่งรุ่มร้อนสำหรับเผาสัตว์นรกทั้งหลาย ให้ได้รับความทุกขเวทนาอันแรงกล้า

๓. อสิปัตตนรก ครั้งพ้น จากกำแพงแห่งกุกกุฬนรกแล้ว ก็ถึงบริเวณ อุสสุทนรกอันดับที่ ๓ นี้ ที่ต้นมะม่วงนรกใบดกครึ้ม ครั้นถูกลมกรรมพัดมาอย่างแรงใบก็กลายเป็นหอก เป็นดาบอันคมกล้าหลุดร่วงลงมาถูกกายเป็นแผล เหวอะหวะ บางทีก็กายขาดเป็นท่อนๆ ฯลฯ

๔. เวตรณีนรก ครั้นพ้น จากกำแพงอสิปัตตนรกแล้ว ก็ถึงบิรเวณ อุสสุทนรกอันดับที่ ๔ นี้ อันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วย น้ำเค็มน้ำแสบตั้งอยู่ชั่วกัป มีเครือหวายหนามเหล็ก ล้อมอยู่โดยรอบเป็นขอบขัณฑ์ ในท่ามกลางนั้นปรากฏ เป็นดอกปทุมหลากหลาย เมื่อสัตว์นรกได้เห็นเข้า ก็เข้าใจว่าเป็นแม่น้ำอันเย็นสนิทน่าอาบ น่าดื่มนัก ก็รีบกระโจนลงไป เครือหวายเหล็กก็บาดร่างกาย ทำให้เป็นแผลในน้ำเค็ม

ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย อุสสุทนรกทั้ง ๔ นี้ ตั้งอยู่เรียง ลำดับกันไป ในทิศบูรพาเบื้องหน้าแห่งสัญชีวมหานรก แม้ในทิศอื่นอีก ๓ ทิศ คือ ทิศหลัง ทิศเบื้องขวา ทิศ เบื้องซ้าย ก็มีอุสสุทนรกทั้ง ๔ นี้ ตั้งอยู่เรียงลำดับไป เช่นเดียวกัน รวมอุสสุทนรกทั้ง ๔ ทิศที่ล้อมรอบสัญชีวนรก จึงเป็น ๑๖ ขุมพอดี ก็มหานรกมี ๘ ขุม แต่ละขุม มีอุสสุทนรกนี้ ล้อมรอบเป็นบริวารขุมละ ๑๖ จึงรวมเป็น อุสสุทนรกทั้งหมด ๑๒๘ ขุม

-ยมโลกนรก-

สัตว์นรก ทั้งหลาย เมื่อได้เสวยทุกข์โทษในมหานรกและ อุสสุทนรกดังกล่าวมาแล้ว หากกรรมยังไม่สิ้น ก็จำต้อง ไปเสวยกรรมในนรกอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ยมโลกนรก ก็ยมโลกนรกนี้ ตั้งอยู่ในสถานที่ต่อจาก อุสสุทนรกไป เป็นนรกบริวารของมหานรกทั้ง ๘ มหานรกแต่ละขุมนั้น มียมโลกนรกล้อมเป็นบริวาร อยู่ทิศเบื้องหน้า ๑๐ ขุม ทิศเบื้องหลัง ๑๐ ขุม ทิศขวา ๑๐ ขุม ทิศซ้าย ๑๐ ขุม รวมทั้ง ๔ ทิศ ก็เป็น ๔๐ ขุมพอดี

มหานรกมีอยู่ ๘ ขุม ขุมหนึ่งๆ มียมโลกนรกล้อมรอบ เป็นบริวารชั้นนอก ๔๐ ขุม จึงรวมเป็นยมโลกนรก ทั้งหมด ๓๔๐ ขุม

ในที่นี้จะขอกล่าวแต่เพียงยมโลกนรก ๑๐ ขุม ซี่งตั้งอยู่ ล้อมรอบเป็นบริวารแห่งสัญชีวมหานรก เพียงทิศเดียว เท่านั้น เพราะว่ายมโลกนรกในทิศอื่นๆ ก็ดี และยมโลก นรกที่ล้อมเป็นบริวารมหานรกอื่นๆ ก็ดี ก็มีชื่อและมี อาการเสวยทุกข์โทษเหมือนๆ กัน จะแตกต่างกันอยู่บ้าง ก็เพียงแต่ว่ามีการเสวยทุกข์โทษหนักเบา ตามชั้นแห่ง มหานรกนั้นๆ เท่านั้น ฉะนั้น เมื่อทราบและเข้าใจได้ เพียง ๑๐ ขุมในทิศเดียว ก็เป็นอันทราบยมโลกนรก ในทิศอื่นและในชั้นอื่นทั้งหมด เพราะมีชื่อและมีลักษณะ เหมือนกัน

ก็ยมโลกนรกทั้ง ๑๐ ขุมที่จะกล่าวในที่นี้ มีชื่อตามลำดับดังนี้

๑. โลหกุมภีนรก มีหม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยน้ำแสบ น้ำร้อนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา ตั้งอยู่บนเตาไฟนรก นายนิรยบาลร่างกายใหญ่โต จับสัตว์ผู้พลัดมาอยู่ที่นี่ ที่ข้อเท้าเอาหัวคว่ำลง แล้วหย่อนทิ้งลงไปเสียงดังซ่าใหญ่ ฯลฯ ทำอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายคาบ นับเป็นหมื่นๆ ปี กรรมที่นำมาให้เสวยทุกข์โทษในนรกขุมนี้ได้แก่ปาณาติบาต คือทำการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เช่นจับเอาสัตว์เป็นๆ มาใส่ลง ในหม้อน้ำร้อนให้ตายแล้วเอามากินเป็นอาหาร หรือมิฉะนั้น ก็ทำกรรมชั่วหยาบอื่นๆ ควรจะเสวยทุกข์ในมหานรกแล้ว แต่ภายหลังกลับสำนึกตน พยายามประกอบกองการกุศล บาปกรรมที่ติดอยู่ในจิตค่อยคลายลง จึงต้องได้รับโทษ เพียงตกมาในขุมนี้

๒. สิมพลีนรก ปรากฏเป็นป่าเต็มไปด้วยต้นงิ้วนรกทั้งหลาย ต้นงิ้วแต่ละ ต้น มีหนามเหล็กคมเป็นกรด ยาวประมาณ ๑๖ องคุลี ลุกเป็นเปลวไฟอยู่เสมอเป็นนิตย์ไม่มีวันที่จะดับไปเลย แม้สักชั่วระยะเวลาหนึ่ง ขุมนี้เต็มไปด้วยสัตว์นรกหญิง และสัตว์นรกชาย ที่ต้องมาเกิดในสิมพลีนรกนี้ ก็เพราะว่าเมื่อเขาเป็นมนุษย์ ได้ประพฤติล่วงกาเมสุมิจฉาจาร คือคบชู้ผิดศีลธรรม ประเพณี

๓. อสินขะนรก เหล่าสัตว์ที่อยู่ในนรกขุมนี้ มีรูปร่างพิกล เล็บมือเล็บเท้า ของตนซึ่งแหลมยาว กลับกลายเป็นอาวุธ เป็นหอก เป็นดาบ เป็นจอบ เป็นเสียมอันคมกล้า เสวยทุกขเวทนา ประหนึ่งเป็นบ้าวิกลจริต บ้างนั่ง บ้างยืน เอาเล็บมือถาก ตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นภักษาหาร เป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดกาลนาน สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อครั้งเขาเป็นมนุษย์มีใจเป็นคนพาล กระทำอทินนาทาน ชอบลักเล็กขโมยน้อย ลักขโมยของ ในสถานที่สาธารณะ ของที่เขาถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือลักขโมยของใช้เช่นเสื้อผ้า อาหาร เป็นต้น

๔. ตามโพทกะนรก ในนรกขุมนี้ มีหม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงอยู่มากมาย มีน้ำทองแดงกำลังเดือดพลุ่งอยู่เสมอ พร้อมกับมี ก้อนกรวดก้อนหินปะปนอยู่ด้วยในหม้อเหล็กทุกๆ หม้อ นายนิรยบาลจับสัตว์บาปให้นอนหงาย เหนือแผ่นเหล็ก อันรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ แล้วเอาน้ำทองแดงพร้อมทั้ง ก้อนกรวดก้อนหิน ซึ่งกำลังเดือดพล่านในหม้อนรกนั้น กรอกเข้าไปในปาก ฯลฯ การที่สัตว์ต้องมาเสวยทุกขโทษอันน่ากลัวเห็นปานนี้ ก็เพราะในชาติก่อนเขาเป็นคนใจอ่อนมัวเมาประมาท ดื่มกินซึ่งสุราเมรัย แสดงอาการคล้ายคนบ้าวิกลจริต เป็นนิจศีล

๕. อโยคุฬะนรก ในนรกขุมนี้ เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด ลุกเป็นไฟอยู่ทั้งนั้น เหล่าสัตว์นรกทั้งหลาย ล้วนมีแต่ ความหิวโหยทั้งสิ้น ครั้นเห็นก้อนเหล็กแดงก็ดีเนื้อดีใจ เพราะอกุศลบันดาลให้สัตว์นรกเหล่านั้นตาลาย เห็นก้อน เหล็กแดงกลายเป็นโภชนาหารไป จึงรีบวิ่งเข้าไปยื้อแย่ง กันกิน ฯลฯ การที่เขาจะมาเป็นสัตว์นรกที่นี่ ก็เพราะว่าในชาติก่อน เขาเหล่านั้นมีโลภเจตนาหนาแน่น แสดงตนว่าเป็นคน ใจบุญใจกุศล เที่ยวป่าวร้องเรี่ยไรเอาทรัพย์ของเขา มาว่า จะทำการกุศลสาธารณประโยชน์ ครั้นได้ทรัพย์ มาแล้วก็ยักยอกใช้สอยตามสะดวกสบายของตน การกุศลก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้างตามที่อ้างไว้ บ้างทีก็ไม่ ทำเลย หลอกลวงคนอื่นได้ด้วยเล่ห์ นึกว่าตนเป็น คนฉลาด

๖. ปิสสกปัพพตะนรก ในนรกขุมนี้ มีภูเขานรกใหญ่ตั้งอยู่ทั้ง ๔ ทิศ เป็นภูเขา เคลื่อนที่ได้ไม่หยุดหย่อน กลิ้งบดสัตว์นรกทั้งหลายให้ บี้แบนกระดูกแตกป่นละเอียด ถึงแก่ความตายแล้วก็ กลับเป็นขึ้นมาใหม่ ให้ได้รับความทุกข์ทรมาณอยู่ อย่างนี้ ตลอดเวลาไม่ว่างเว้น ที่ต้องมาทนทุกขเวทนาอยู่ในนรกขุมนี้ ก็เพราะในชาติ ก่อน สัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้น เคยเป็นนายบ้าน เป็น นายอำเภอ เป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง แต่ประพฤติตนเป็น คนอันธพาล กดขี่ข่มเหงราษฎร ทำให้ประชาชนพลเมือง เดือดร้อน เช่น ทุบตีเขา เอาทรัพย์เขามาให้เกิดพิกัดอัตรา ที่กฏหมายกำหนด ไม่มีความกรุณาแก่คนทั้งหลาย

๗. ธุสะนรก สัตว์ที่มาเกิดในนรกขุมนี้ ล้วนแต่มีความหิวกระหายน้ำ ทั้งสิ้น วิ่งวุ่นกระเสือกกระสนไปทั่วทั้งนรก ครานั้น ก็ ปรากฏมีสระเต็มไปด้วยน้ำใสเย็นสะอาด สัตว์นรก ทั้งหลายเห็นเข้า ต่างก็ดีเนื้อดีใจ วิ่งมาถึงแล้วกระโดด ลงเพื่อจะกินจะอาบ แต่ครั้นได้กินดื่มเข้าไป ด้วยอำนาจ กรรมบันดาล พอน้ำนั้นตกถึงท้องก็กลายเป็นแกลบเป็น ข้าวลีบลุกเป็นเปลวไฟ แล้วไหม้ไส้ใหญ่น้อย ตับปอด เครื่องในอวัยวะเหล่านั้นก็ไหลออกมาทางทวารเบื้องล่าง ให้ได้รับความเจ็บปวด เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส ที่ต้องมาเสวยทุกข์โทษในนรกขุมนี้ ก็เพราะว่าในชาติก่อน ครั้งที่เป็นมนุษย์เขาเป็นคนคดโกง ไม่มีความซื่อสัตย์ เป็นพานิชย์พ่อค้า แม่ค้า มีโลภเจตนาหนาแน่นในดวงจิต เอาของชั่วปนของดี เอาของแท้ปนของเทียม แล้วหลอก ขายผู้อื่น ได้ทรัพย์มาโดยมิชอบ เช่นนี้เป็นต้น

๘. สีตโลสิตะนรก ในนรกขุมนี้ มีน้ำเย็นยะเยือกยิ่งกว่าความเย็นทั้งหลาย เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายตกลงไปก็ต้องตายด้วยความเย็น ด้วยอำนาจอกุศลกรรม ก็ทำให้กลับเป็นขึ้นมาอีก ฯลฯ ที่ต้องมาเสวยทุกข์โทษในนรกขุมนี้ ก็เพราะในชาติก่อน เมื่อครั้งที่เขายังเป็นมนุษย์ เป็นผู้มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ เป็นคนใจบาปหยาบช้า ไม่มีเมตตากรุณาในสันดาน เป็นคนใจพาลประกอบอกุศลกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆ โยนลงไปในบ่อในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์ทิ้งน้ำ ให้จมน้ำตาย ทำเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ให้ได้รับความ ทุกข์และตายเพราะน้ำ เช่นนี้เป็นต้น

๙. สุนขะนรก ในนรกขุมนี้ เต็มไปด้วยสุนัขนรกทั้งหลาย มีอยู่มากมาย หลายฝูง แต่เมื่อจะจำแนกสุนัขหรือหมานรกเหล่านั้น ก็มีอยู่ ๕ จำพวกคือ หมานรกดำ หมานรกขาว หมานรก เหลือง หมานรกแดง หมานรกด่าง บรรดาหมานรกทั้งห้าจำพวกนี้ มีรูปร่างใหญ่โตและดู น่าเกรงกลัวเป็นนักหนา ส่งเสียงเห่าหอน เหมือนดังฟ้า ลั่นฟ้าร้องก้องทั่วนรกไปหมด คนบาปที่มาอุบัติเกิด ในนรกขุมนี้ ย่อมถูกหมานรกไล่ขบกัดอยู่ตลอดเวลา

๑๐. ยันตปาสาณะนรก ยมโลกนรก ขุมที่ ๑๐ ซึ่งเป็นขุมสุดท้าย ในนรกขุมนี้ ปรากฏว่ามีภูเขา ๒ ภูเขา แต่เป็นภูเขานรกแปลก ประหลาด คือ เป็นภูเขายนต์หันกระทบกันเสมอเป็น จังหวะไป ไม่ขาดระยะ พอสัตว์มาเกิดในนรกนี้แล้ว นายนิรยบาลผู้มีร่างกายกำยำล่ำสันใหญ่โต ก็จับ ศีรษะสัตว์นรกทั้งหลายโยนใส่เข้าไปในระหว่าง ภูเขายนต์ทั้ง ๒ การที่ต้องมาเกิดเป็นสัตว์นรกทนทุกข์อยู่ ณ ที่นี้ ก็เพราะเหตุว่าในชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์หญิงชาย ผู้มีใจบาปหยาบช้าตีด่าคู่ครองของคนด้วยความโกรธ เช่นเป็นสามีเมื่อโกรธภรรยาแห่งตนขึ้นมา ก็ฆ่าตีเตะถีบ ประหัตประหารเอาด้วยกำลังชาย หรือไม่เช่นนั้น ตนเป็นภรรยา เมื่อโกรธขึ้นมาก็ด่าว่าสามี คว้าไม้ คว้ามีดไล่ตีไล่ฟัน แล้วก็เหหันประพฤตินอกใจ ไปคบชู้ คบหาเป็นสามีภรรยาของคนอื่นตามใจชอบ

ท่านทั้งหลาย นรกที่กล่าวมานี้ คือ ยมโลกนรก ทั้ง ๑๐ ขุม ก็ยมโลกนรกทั้ง ๑๐ ขุมนี้ ตั้งอยู่ในลำดับ ถัดกันไป ต่อจากอุสสุทนรกทั้ง ๔ ในทิศบูรพาเบื้องหน้า แห่งสัญชีวนรก แม้ในทิศอื่นๆ อีก ๓ ทิศ คือ ทิศหลัง ทิศซ้ายทิศขวา ก็มียมโลกนรกนี้ปรากฏตั้งอยู่ต่อจาก อุสสุทนรกที่กล่าวแล้วทิศละ ๑๐ ขุมเช่นกัน และมีชื่อ กับทั้งมีลักษณะอย่างเดียวกัน จึงเป็นอันว่าใน สัญชีวมหานรกนี้ มียมโลกนรกล้อมรอบเป็นบริวาร ชั้นนอก ๔๐ ขุม นอกจากนี้ ยมโลกนรก ยังมีอยู่ใน มหานรกขุมอื่นอีกขุม ขุมละ ๔๐ ฉะนั้น จึงรวมทั้งหมด เป็นยมโลกนรก ๑๒๐ ขุมพอดี

43
จักรวาลแบบพุทธ / ทัวร์นรก ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:37:44 PM »


ทัวร์นรก ตอนที่ 3 (ตอนจบ)

-โลกันตนรก-

โลกันตนรก นี้ เป็นนรกขุมพิเศษ เป็นนรกขุมใหญ่ แปลกประหลาดกว่าบรรดานรกทั้งหลาย เพราะอยู่ นอกจักรวาล สถานที่ตั้งของนรกขุมนี้ อยู่ในระหว่าง โลกจักรวาล ๓ โลก ก็เหมือนกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอก เอามาตั้งชิดติดกันเข้า ก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลาง จักรวาลต่างๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอกนั้น บริเวณตรงช่องว่างนั่นเอง เป็นสถานที่ตั้ง แห่งโลกันตนรก ซึ่งแปลว่านรกที่อยู่สุดโลกจักรวาล

ก็ในโลกันตนรกนั้น มีความมืดมนยิ่งนัก แสงดาว แสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง เป็นสถานที่มืดมน อนธการ สามารถห้ามเสียงซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่ง จักษุวิญญาณเปรียบปานดังคนหลับตาในคราวเดือนดับ ข้างแรมฉะนั้น การที่มีสภาพมืดมนมากเช่นนี้ ก็เพราะ อยู่นอกจักรวาลพ้นจากโลกสวรรค์โลกมนุษย์ ออกไปนั่นเอง

สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันตนรกนี้ มีร่างกายใหญ่โตยิ่งนัก มีเล็บมือเล็บเท้ายาวนักหนา ต้องใช้เล็บมือเล็บเท้าเกาะ อยู่ตามชายเชิงจักรวาลห้อยโหนโยนตัวอยู่ชั่วนิรันดร์ เปรียบปานเหมือนเช่นกับค้างคาว ห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ ฉะนั้น ครั้นได้ประสบการณ์ทรมานอย่างแสนสาหัส เช่นนี้ เขาก็ได้แต่รำพึงอยู่ในใจว่า "ทำไม ตูจึงมาอยู่ที่นี่ ชะรอยที่นี่ จะมีแต่ตูผู้เดียว ดอกกระมัง"

ที่เขารำพึงออกมาเช่นนี้ ก็เพราะว่าสถานที่นั้นมันเป็น สถานที่มืดแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์โลกันตนรก ด้วยกัน หรือมองไม่เห็นอะไรเลยนั่นเอง ตลอดเวลานาน เหล่าสัตว์นรกเหล่านั้นไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหน โยนตัวเปะปะไป ด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ ครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องมือของกันและกันเข้าแล้ว ก็สำคัญว่าพบปะอาหารจึงต่างก็ดีเนื้อดีใจ มีกิริยา ขวนขวายคว้าฉวยจับกุมกัน ต่างคนต่างก็จะตะครุบ กันกินเป็นอาหาร เมื่อต่างก็ปล้ำฟัดกัดกันอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือที่เกาะอยู่ เลยพากันพลัดตก ลงไปข้างล่าง

สถานที่เบื้องล่าง ซึ่งเขาพลัดตกลงมานั้น มันไม่ใช่ พื้นที่ธรรมดา โดยที่แท้เป็นทะเลน้ำกรดอันเย็นยะเยือก ซึ่งมีความเย็นอย่างร้ายกาจนัก ครั้นเขากอดคอพากันพลัด ตกลงมา พอถึงพื้นน้ำแล้ว บัดเดี๋ยวใจ ตัวตนร่างกาย ของเขาก็เปื่อยพังแหลกลงสิ้นไม่มีชิ้นดีเพราะฤทธิ์ น้ำกรดอันเยือกเย็นกัดเอา ให้เหลวแหลกละลาย ประดุจดังก้อนอุจจาระซึ่งตกลงไปในน้ำฉะนั้น เขาก็ถึงแต่ความสิ้นใจตายไปในบัดใจนั้นเอง แล้วก็กลับเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาเหมือนเก่า ให้รู้สึกหนาวเย็นเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกาย ปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบาก ยากเย็น แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวแสวงหาอาหาร ด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม ฯลฯ เฝ้าเวียนตายเวียนเกิด ด้วยความทุกข์ทรมาน อยู่อย่างนี้ ไม่มีวันสิ้นสุดชั่วพุทธันดรหนึ่ง จึงจะพ้นทุกข์โทษจากโลกันตนรกนี้

มีเรื่องที่ควรทราบ ซึ่งจะกล่าวแทรกไว้ในที่นี้ ก็คือว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเรา ท่านทั้งหลาย ได้ทรงมีพระมหากรุณาโปรด ประทานพระพุทธฎีกาไว้ว่า "รูปปติ โข ภิกขเว" เป็นอาทิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ที่ชื่อว่า รูป เพราะอรรถว่าเป็นสิ่ง ที่จะต้องสลายไป เพราะความเย็นบ้าง เพราะความ ร้อนบ้าง" ดังนี้เป็นต้น

จึงมีปัญหาว่า ที่ว่ารูปต้องสลายไป เพราะความเย็น นั้นคืออย่างไรกัน? ก็รูปของสัตว์ที่เกิดในโลกันตนรก นี่เอง ที่จะต้องแตกสลายฉิบหายไปเพราะความเย็น ฯลฯ

สัตว์ทั้งหลายได้ก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่า จึงต้อง มาตกอยู่ในโลกันตนรกนี้? สัตว์ทั้งหลายได้เคย ประกอบกรรมร้ายกาจหยาบช้าลามกนัก คือ ประทุษร้ายทรมานบิดามารดา เพราะปราศจาก กตัญญูกตเวที หรือเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคล ไม่เชื่อ บุญบาป ไม่เชื่อนรกสวรรค์แล้วประกอบการ อันเป็นบาปอยู่เป็นนิตย์ อีกประการหนึ่ง ได้ประกอบ กรรมชั่วยิ่งนัก เช่นประทุษร้ายท่านผู้ทรงศีลทรงธรรม หรือกระทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจำ ทุกวัน อำนาจกุศลอันหนักเหล่านั้น จึงชักนำให้ ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้ ซึ่งมีปกติมืออยู่เป็นนิตย์ ต่อเมื่อมีองค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลก จึงจะมีโอกาสปรากฏเป็น แสงสว่างขึ้นแวบหนึ่งประมาณชั่วฟ้าแลบ หรือชั่วระยะ มาตรว่าลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น นี่แหละคือสภาพ แห่งโลกันตนรก

ปิดท้ายทัวร์นรก
-จำนวนนรก-

เพื่อให้จำกันง่ายๆ บรรดานรกทั้งหมดที่กล่าวมา มีอยู่ทั้งหมด ๔๕๗ ขุม คือ

๑. มหานรก ๘ ขุม

๒. อุสสุทนรก ๑๒๘ ขุม

๓. ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม

๔. โลกันตนรก ๑ ขุม

จบ นิรยภูมิ

44


อธิบายสวรรค์หกชั้นแบบละเอียด ตอนที่ 1
จาตุมหาราชิกาภูมิ, ดาวดึงส์ภูมิ และ ยามาเทวภูมิ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเป็นผู้ถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ในสวรรค์ เหมือนสิ่งของที่นำมาประดิษฐานไว้ ธรรม ๑๐ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำหยาบ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ ไม่อยากได้ของผู้อื่น ไม่มีจิตคิดปองร้าย มีความเห็นชอบ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการนี้แล เป็นผู้ถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ในสวรรค์ เหมือนสิ่งของที่เชิญมาประดิษฐานไว้ ฯ

จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ-สวรรค์ชั้นที่ ๑

เทวภูมิอันดับที่ ๑ นี้ เป็นแดนสุขาวดี มีเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ ๔ พระองค์ ทรงเป็นผู้ปกครองดูแล จึงได้ชื่อว่า จาตุมหาราชิการเทวภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพ ซึ่งมีท้าวจาตุมหาราชทรงเป็นอธิบดี

เมืองสวรรค์ชั้นฟ้าจาตุมหาราชิกานี้ มีเมืองใหญ่เป็น เทพนครอยู่ถึง ๔ เทพนคร (ธตรฐมหาราช วิรุฬหกมหาราช วิรูปักษ์มหาราช เวสสุวัณมหาราช) แต่ละเทพนครมีป้อมปราการ กำแพงทองทิพย์เหลืองอร่ามงามนัก ประดับประดาไป ด้วยสัตตรัตนะแก้ว ๗ ประการ … ภายในเทพนครอัน กว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีปราสาทแก้วซึ่งเป็นวิมานที่อยู่ ของเทพยดาชาวฟ้าทั้งหลายปรากฏตั้งเรียงรายอยู่ เรียงรายมากมาย พื้นภูมิภาคก็หาใช่เป็นพื้นแผ่นปฐพี เช่นมนุษยโลกเรา โดยที่แท้ เป็นพื้นแผ่นสุวรรณทองคำ มีสีเหลืองอร่ามรุ่งเรืองเลื่อมพรรณรายเรียบเสมอมี ครุวนาดุจหน้ากลอง และมีความวิเศษอ่อนนิ่มดังฟูกผ้า เมื่อฝูงเทพยดาทั้งหลายเหยียบลงไป ก็มีลักษณาการ อ่อนยุบลง แล้วก็เต็มขึ้นมาเช่นเดิม มิได้เห็นรอยเท้า ของเทพยดาทั้งหลายเหล่านั้นเลย

สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาเทวภูมินี้ นอกจากจะมีสมบัติ ทิพย์อันอำนวยความสุขนานาประการแล้ว ยังมีสระ โบกขรณีซึ่งมีน้ำใสยิ่งกว่าแก้ว เต็มไปด้วยปทุมชาติ นานาชนิด ส่งกลิ่นทิพย์หอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ เป็นดั่งเช่นมีใครแสร้งเอาน้ำอบน้ำหอมไปประพรมไว้ ตลอดกาลฉะนั้น มีดอกไม้นานาพรรณสีสันวิจิตร ตระการตาและมีรุกขชาติต้นไม่สวรรค์อันแสน ประเสริฐนักหนา เพราะมีผลอันโอชารสยิ่ง และอันว่า มิ่งไม้ในสรวงสวรรค์นั้น ย่อมมีดอกมีผลเป็นทิพย์ ปรากฏให้เหล่าชาวสวรรค์ได้ชื่นชมอยู่ตลอดกาล ไม่มีวันร่วงโรยและหมดไปเลย

ทางไปสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ก็คือต้องประกอบกรรมอันเป็นบุญเป็นกุศล เช่น ให้ทานรักษาศีลเป็นต้น นี่กล่าวอย่างกว้างๆ

ทานสูตร

(อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ หน้า ๖๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)

"ดูกรสารีบุตร! ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวัง ให้ทาน มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน มุ่งการ สั่งสมทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้ เสวยผลแห่งทานนี้ เขาผู้นั้น เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึง ความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช"

ปุญญกิริยาวัตถุสูตร

(อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๖ หน้า ๒๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)

"ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคน ในโลกนี้ ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณ ยิ่ง ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป แล้วเขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดา ชั้น จาตุมหาราช
"ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ท้าวมหาราช ทั้ง ๔ นั้น ได้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานเป็น อดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ย่อมก้าวล่วงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาโดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ อายุทิพย์ วรระณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐิพพทิพย์

ตาวติงสเทวภูมิ-สวรรค์ชั้นที่ ๒

เทวภูมิ อันดับที่ ๒ นี้ เป็นแดนสุขาวดี ซึ่งเป็นที่สถิตย์ อยู่แห่งปวงเทพยดาชาวฟ้าผู้อุปปัติเทพ มีเทพผู้เป็น อธิบดีมเหศักดิ์รวม ๓๓ องค์ โดยมีสมเด็จพระ อมรินทราชาทรงเป็นประธานาธิดี จึงได้ชื่อว่า ตาวติงสเทวภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพ ซึ่งมีเทพสามสิบสามองค์ทรงเป็นประธานาธิบดี

แดนสวรรค์นี้เรียกให้ฟังกันง่ายๆ ในหมู่ชาวเราว่า สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตั้งอยู่เหนือจอมเขาสิเนรุราชบรรพต ปรากฏเป็นเทพนครใหญ่กว้างขวางนักหนา ปรางค์ ปราสาทล้วนแล้วไปด้วยแก้วอันเป็นทิพย์ แวดล้อมรอบเทวนครด้วยปราการกำแพงแก้วทิพย์ อีกเช่นกัน มีประตูกำแพงแก้วถึง ๑๐๐๐ ประตู เมื่อประตูเหล่านั้นเปิดออกแต่ละครั้ง ย่อมปรากฏเสียง ดังไพเราะเป็นยิ่งนัก ในท่ามกลางพระนครนั้น มีปราสาท พิมานอันมีชื่อเสียงปรากฏเลื่องลืออยู่วิมานหนึ่ง คือ ไพชยนตปราสาทพิมาน มีรูปทรงสูงเยี่ยม เอี่ยมอ่องไป ด้วยรัศมีสัตตรัตน์ เพราะประดับไปด้วยแก้ว ๗ ประการ งามสุดจะพรรณา เป็นที่ประทับอยู่ แห่ง สมเด็จ พระอมรินทราธิราช

สวนสวรรค์

แดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียงเลื่องลือ รู้กันแพร่หลายทั้งในหมู่เทวดาและมนุษย์ รู้กันว่าเป็น แดนที่อยู่อันแสนจะสนุกเป็นสุขสำราญ รื่นรมย์น่าชม น่าเที่ยวน่าทอดทัศนา ฉะนั้น จึงปรากฏว่า โยคีฤาษี สิทธิทั้งหลายผู้ได้ฌานอภิญญาก็ดี หรือแม้แต่พระ อริยเจ้าในพระบวรพุทธศาสนาผู้ได้บรรลุอภิญญา ประกอบด้วยอริยฤทธิ์ก็ดี ย่อมถือโอกาสมาเที่ยวชม สวรรค์ชั้นนี้อยู่เสมอๆ ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือสวนสวรรค์ อุทยานทิพย์ที่มีอยู่มากมาย แต่ที่ใหญ่ๆ และมีชื่อเสียงมี ๔ อุทยาน คือ นันทวันอุทยานทิพย์ จิตรลดาวันอุทยานทิพย์ มิสกสวันอุทยานทิพย์ ปารุสกวันอุทยานทิพย์

พระเกศจุฬามณีเจดีย์

เบื้องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ มีสถานที่สำคัญที่สุดอยู่ แห่งหนึ่ง คือ พระเกศาจุฬามณีเจดีย์ เป็นพระเจดีย์มี ทรงสัณฐานใหญ่ ประเสริฐวิเศษเป็นมโหฬาริกและ ศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่ในทิศอาคเนย์คือทิศตะวันออกเฉียงใต้ แห่งเทพนคร องค์พระเจดีย์นั้นสวยสดงดงามมีรัศมี รุ่งเรืองนักหนา เพราะว่าสร้างด้วยแก้วอินทนิลอันเป็น ทิพย์ ตั้งแต่กลางถึงยอดประเจดีย์นั้นทำด้วยสุวรรณ ทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ผุดผ่อง และประดับไปด้วยสัตต พิธรัตนะคือแก้ว ๗ ประการ ส่วนสูงทั้งหมด ๘๐๐๐๐ วา มีปราการกำแพงทองคำเนื้อแท้ล้อมรอบทุกด้านเป็น จตุรทิศ แต่ละทิศมีความยาวนับได้ ๑๖๐๐๐๐ วา มีธงประดับนานาชนิดมีสีสันแตกต่างกัน ฝูงเทพยดา ทั้งหลายบางหมู่ถือเครื่องดีดสีตีเป่าสังคีตสรรพดุริยางค์ ต่างๆ มาบรรเลงถวายบูชาพระเจดีย์ทุกวันมิได้ขาด

พระเกศาจุฬามณีเจดีย์นี้ เป็นที่บรรจุสิ่งสำคัญอันหา ค่ามิได้ถึง ๒ อย่างด้วยกัน คือ

๑. พระเกศโมลี แห่งพระพุทธองค์ โดยมีประวัติความเป็นมา ว่า เมื่อครั้งจะเสด็จออกบรรพชา พระองค์ทรงตัดมวยพระ โมลี แล้วทรงอธิษฐานว่า "ถ้าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณแล้ว ขอให้มวยพระเกศโมลีจงลอยขึ้นไป บนนภากาศเถิด อย่าได้ตกลงมาสู่พื้นปฐพีเลย" คราที่นั้น สมเด็จพระอมรินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ จึงทรงนำผอบทองคำมารองรับพระเกศโมลีไว้ แล้วทรงนำขึ้นบนดาวดึงส์สวรรค์ สร้างพระเจดีย์นี้ สำหรับบรรจุพระโมลีนั้น

๒. พระบรมธาตุ เขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระพุทธองค์ โดยมีความเป็นมาว่า เมื่อครั้งถวายพระเพลิงพระพุทธ สรีระเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ท่านโทณพราหมณ์ ซึ่งได้รับ แต่งตั้งให้เป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุเปิดรางทองคำ ออกนั้น โทณพราหมณ์เห็นเหล่ากษัตริย์ทั้งหลาย พิลาปร่ำไห้ถึงพระบรมครูก็พลันฉุกคิดได้ จึงแยกพระเขี้ยว แก้วนี้เสียต่างหากจากพระบรมสารีริกธาตุส่วนอื่น โดยซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะแห่งตน แล้วสาละวนจัดแบ่ง พระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนเพื่อถวายกษัตริย์ เหล่านั้นต่อไป ฝ่ายสมเด็จพระอมรินทราธิราชผู้เลื่อมใส ในพระสัพพัญญูเจ้าอย่างลึกซึ้ง ได้เสด็จมาสังเกตุการณ์ อยู่ ด้วยพระทัยประสงค์จะได้พระบรมสารีริกธาตุเหมือนกัน จึงอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาอันประเสริฐจากผ้าโพก ศีรษะของพราหมณ์เฒ่านั้น ลงสู่ผอบทองคำทิพย์อีกทอด หนึ่ง ด้วยกิริยาอันเลื่อมใสยิ่ง แล้วรีบเสด็จเอามา ประดิษฐานบรรจุไว้ ณ พระเกศจุฬามณีเจดีย์

ทางไปดาวดึงส์สวรรค์

คำตอบง่ายๆ คือ "สร้างเสบียง" กล่าวคือ บุญกุศล พยายามทำตนให้เป็นคนดีมีศีลธรรม ห้ามตนไม่ให้ ทำกรรมอันหยาบช้าลามก ความสกปรกแห่งกายวาจาใจ อย่าให้มีบังเกิด

ทานสูตร

(อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ หน้า ๖๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรสารีบุตร! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวัง ให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า

"ตายไปแล้ว เราจักได้เสวยผลทานนี้"

แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า

"การให้ทาน เป็นการกระทำที่ดี"

เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยา ตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลาย ในชั้น ดาวดึงส์สวรรค์

ปุญญกิริยาวัตถุสูตร

(อังคุตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๖ หน้า ๒๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคน ในโลกนี้ กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมี ประมาณยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีล มีประมาณยิ่ง แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จ ด้วยภาวนาเลย เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้น ดาวดึงส์

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ท้าวสักกะ จอมเทพในชั้นดาวดึงส์สวรรค์นั้น ได้กระทำบุญกิริยาวัตถุ ที่สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก ได้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่ สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก พระองค์จึงทางเจริญก้าวล่วง เหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์โดยฐานะ ๑๐ ประการคือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์

ยามาเทวภูมิ-สวรรค์ชั้นที่ ๓

เทวภูมิ อันดับที่ ๓ มีเทพผู้มเหศักดิ์ทรงนามว่า สมเด็จ ท้าวสุยามเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดีผู้ปกครอง เพราะฉะนั้น จึงมีนามว่า ยามาเทวภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพซึ่งมี สมเด็จพระสุยามเทวาธิราชทรงเป็นอธิบดี

ยามาเทวภูมินี้ เป็นเทพนครที่ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้น ไตรตรึงษ์ขึ้นไปเบื้องบนไกลแสนไกล ภายในเทพนครนี้ ปรากฏว่ามีปราสาทเงินและปราสาททอง เป็นปราสาท พิมานที่สถิตอยู่ของเทพเจ้าชาวสวรรค์ชั้นยามาทั้งหลาย ปราสาทวิมานเหล่านั้นสวยงามวิจิตรตระการยิ่งกว่า ปราสาทวิมานในสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ มีสวนอุทยาน และสระโบกขรณีอันเป็นทิพย์อยู่หลากหลาย จำง่ายๆ คือ ในสวรรค์ชั้นนี้ ไม่ปรากฏมีแสงพระอาทิตย์ และพระจันทร์เลย เพราะว่าอยู่สูงกว่าพระอาทิตย์และ พระจันทร์มากมายนัก เทพยดาทั้งหลายย่อมแลเห็น แสงสว่าง ด้วยรัศมีแห่งแก้วและรัศมีที่ออกมาจากกาย ตัวแห่งเทพเจ้าเหล่านั้นเอง การจักรู้วันคืนได้ก็ด้วย จากบุปผชาติดอกไม้ทิพย์ในสวรรค์ชั้นนี้นั่นเอง หากว่า เห็นดอกไม้ทิพย์บาน ก็แสดงว่าเป็นเพลารุ่งกลางวัน หากดอกไม้ทิพย์หุบลง ก็เป็นนิมิตแสดงว่า เพลาราตรี

เหล่าเทพผู้มีบุญทั้งหลาย ย่อมมีองคาพยพและหน้าตา งดงามรุ่งเรืองนักหนา มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างผาสุก เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ตามสมควรแก่อัตภาพ

ทางไปสวรรค์ชั้นยามา

ต้องพยายามอุตส่าห์สร้างเสบียงกล่าวคือบุญกุศล ต้องเป็นผู้มีกมลสันดานหนักแน่นไปด้วยกุศลสมภาร ไม่หวั่นไหวง่อนแง่นในการบำเพ็ญบุญ

ทานสูตร

(อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ หน้า ๖๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคน ในโลกนี้ กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณ ยิ่ง แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความ เป็นสหายแห่งเทวดาชั้น ยามา

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ท้าวสุยามเทพบุตร จอมเทพในชั้นยามานั้น ทำบุญกิริยาวัตถุด้วยทานเป็น อดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ท้าวเธอจึงทางเจริญรุ่งเรืองก้าวล่วงเหล่าเทวดา ชั้นยามาสวรรค์ โดยฐานะ ๑๐ ประการคือ อายุทิพย์ วรระณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์

45


อธิบายสวรรค์หกชั้นแบบละเอียด ตอนที่ 2 (ตอนจบ)
ตุสิตาเทวภูมิ นิมมานรดีเทวภูมิ และ ปรนิมมิตวสวัสตีเทวภูมิ

ตุสิตาเทวภูมิ-สวรรค์ชั้นที่ ๔

เทวภูมิ อันดับที่ ๔ นี้ เป็นแดนสุขาวดี ที่สถิตย์อยู่ แห่งปวงเทพเจ้าชาวฟ้าทั้งหลาย ผู้มีความยินดีและ ความแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์ โดยมีเทพเจ้าผู้มเหศักดิ์ ทรงนามว่าสมเด็จท้าวสันดุสิตเทวาธิราชทรงเป็น อธิบดี จึงมีนามว่า ตุสิตาเทวภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ของ แห่งทวยเทพ อันมีสมเด็จท้าวสันดุสิตเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดี

แดนสุขาวดีเมืองสวรรค์ชั้นฟ้า ซึ่งมีนามว่าดุสิตาเทวภูมิ นี้ เป็นเทพนครที่ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป ในเบื้องบน ไกลแสนไกล ภายในเทพนครนี้ ปรากฏว่า มีปราสาทวิมานอยู่ ๓ ชนิด

๑. รัตนวิมาน = วิมานแก้ว
๒. กนกวิมาน = วิมานทอง
๓. รชตวิมาน = วิมานเงิน

ปราสาทวิมานเหล่านี้ ตั้งอยู่เรียงรายมากมาย แต่ละ วิมานเป็นปราสาทสวยสดงดงาม มีความวิจิตรตระการตา เหลือที่จะพรรณา และมีรัตนปราการกำแพงแก้วล้อมรอบ ทุกวิมาน มีรัศมีรุ่งเรืองเลื่อมพรรณราย สวยงามยิ่งกว่า ปราสาทพิมานของเทพยดาในสรวงสวรรค์ชั้นยามาภูมิ นอกจากนั้น สถานที่ต่างๆ ในเทวสถานชั้นนี้ ยังมี สระโบกขรณีและอุทยานอันเป็นทิพย์ สำหรับเป็นที่ เที่ยวเล่นให้ได้ความชื่นบานเริงสราญ แห่งเทพเจ้า ชาวสวรรค์ชั้นนี้มากมายนัก

สำหรับปวงเทพเจ้าผู้สถิตย์อยู่ในดุสิตสวรรค์นี้ แต่ละองค์ย่อมปรากฏมีรูปทรงสวยงาม มีความสง่ากว่า เหล่าเทพยดาชั้นต่ำๆ ทั้งมีน้ำใจรู้บุญรู้ธรรมเป็นอย่างดี มีจิตยินดีต่อการสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาเป็นยิ่งนัก ทุกวันธรรมสวณะ เทพเจ้าเหล่านี้ย่อมจะมีเทวสันนิบาต ประชุมฟังธรรมกันเสมอมิได้ขาดเลย ทั้งนี้ ก็เพราะ เหตุที่องค์สมเด็จท่านท้าวสันดุสิตเทวาธิราช จอมเทพ ผู้มีอิสริยยศยิ่งใหญ่ในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ทรงเป็นเทพเจ้า ผู้พหูสูต เป็นผู้รู้ธรรมะแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าเป็นอันมาก อีกประการหนึ่ง ตามปกติดุสิตสวรรค์นี้ เป็นที่สถิตย์อยู่แห่งเทพบุตรผู้เป็นโพธิสัตว์ ซึ่งมีโอกาสจัก ได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็น องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคต เพราะฉะนั้นท่านท้าวสันดุสิตเทวาธิบดี จึงมักมีเทวโองการ ตรัสอัญเชิญให้เทพบุตรพระ โพธิสัตว์ผู้ทรงปัญญานั้นเป็นองค์แสดงธรรมเช่นใน ปัจจุบันนี้ สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย พระโพธิสัตว์ ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่รู้จักกันในหมู่พุทธบริษัทว่า จักได้ ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตอันตรกัปที่ ๑๓ แห่ง ภัทรกัปนี้ พระองค์ก็สถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นนี้ และมักได้รับอาราธนาให้เป็นองค์แสดงธรรมโปรดเหล่า เทพบริษัทในดุสิตสวรรค์นี้อยู่เสมอ นอกจากจะเป็น สวรรค์ชั้นสำคัญดังกล่าวมาแล้ว ในขณะนี้ แดนสวรรค์ ชั้นดุสิต ยังเป็นที่สถิตย์อยู่ของเทพเจ้าองค์สำคัญซึ่งเรา ท่านทั้งหลายรู้จักกันดี เทพเจ้าองค์นี้ก็คือพระสิริมหามายา เทพบุตรผู้มีบุรพวาสนาเป็นพระพุทธมารดาแต่ปางบรรพ์

ทางไปสวรรค์ชั้นดุสิต

คือต้องอุตส่าห์พยายามสร้างเสบียง กล่าวคือบุญกุศล ต้องมีกมลสันดานชอบสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา เพื่ออบรมปัญญาให้เจริญผ่องใส ไม่หวั่นไหวโยกคลอน ในการประกอบกุศล ไม่เป็นผู้มัวเมาประมาทในวัย และชีวิตของตน เร่งสร้างกุศลเช่น บำเพ็ญทานและ รักษาศีลเป็นเนืองนิตย์

ทานสูตร

ดูกรสารีบุตร! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวัง ให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า

"บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำ ให้ประเพณี"

แต่ให้ทานด้วยคิดว่า

"เราหุงหากิน แต่สมณะหรือพราหมณ์ไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร"

เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำ กาลกิริยาตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย แห่งเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดุสิต

ปุญญกิริยาวัตถุสูตร

(อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๖ หน้า ๒๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร! บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญ กิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อถึงกาลกิริยา ตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย แห่งเทวดาชั้นดุสิต

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร! ท้าวสันดุสิตเทพบุตร จอมเทพในชั้นดุสิตนั้น ได้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จ ด้วยทานเป็นอดิเรก ได้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วย ศีลเป็นอดิเรก ท้าวเธอจึงทรงเจริญรุ่งเรือง ก้าวล่วง เหล่าเทวดาชั้นดุสิตสวรรค์ โดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์

สังคีติสูตร

(ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ข้อ ๓๔๖ หน้า ๒๗๑ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรสารีบุตร! บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมถวายข้าว น้ำ ผ้าผ่อน ยวดยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่นั่ง ที่พัก ที่อาศัย และสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ ประทีป ให้เป็นทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไป โดยเขาได้ยินมาว่า

"พวกเทพเจ้าเหล่าดุสิตสวรรค์เป็นเทพที่มีอายุยืน มีวรรณะงาม มากไปด้วยความสุข"

ดังนี้แล้ว เขาจึงจินตนาอธิษฐานอย่างนี้ว่า

"โอหนอ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพวกเทพเจ้าเหล่า ดุสิตสวรรค์เถิด"

เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้ อบรมจิตนั้นไว้ จิตของเขา นั้นน้อมไปในสิ่งที่ต่ำ มิได้อบรมเพื่อคุณเบื้องสูง อย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตนั้น ก็ข้อนี้แล เรากล่าวสำหรับบุคคลผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับบุคคลผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลาย ความตั้งใจของบุคคลผู้มีศีล ย่อมสำเร็จลงได้เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ดังนี้

นิมมานรดีเทวภูมิ-สวรรค์ชั้นที่ ๕

เทวภูมิ อันดับที่ ๕ นี้เป็นที่สถิตย์ของปวงเทพเจ้า ผู้มีความยินดีเพลิดเพลินในกามคุณารมณ์ ที่เนรมิตขึ้น ตามความพอใจของตนเอง โดยมีเทพเจ้ามเหศักดิ์ ทรงนามว่า สมเด็จท่านท้าวสุนิมมิตเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดีผู้ปกครอง จึงได้ชื่อว่า นิมมานรดีภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพ อันมีสมเด็จพระนิมมิตเทวา ธิราชทรงเป็นอธิบดี

เทพนครนี้ ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไปในเบื้องบน ไกลแสนไกล ภายในเทพนครมีปราสาทเงิน ปราสาททอง และปราสาทแก้ว ทั้งมีกำแพงแก้วกำแพงทองอันเป็น ของทิพย์ เป็นวิมานที่อยู่ของเหล่าเทวดา นอกจากนั้น พื้นภูมิภาคยังมีสภาวะเป็นทองราบเรียบเสมอกัน มีสระโบกขรณีและสวนอุทยานอันเป็นทิพย์ สำหรับ เป็นที่เที่ยวเล่นสำราญแห่งเหล่าชาวสวรรค์นิมมานรดี ทั้งหลาย เช่นเดียวกับสมบัติทิพย์ในสวรรค์ชั้นดุสิต ต่างกันแต่ว่าทุกอย่างที่นี่มีสภาวะสวยสดงดงามและ ประณีตกว่าทิพยสมบัติในดุสิตเทวพิภพเท่านั้น

เทพยดาทั้งหลาย ย่อมมีรูปทรงสวยงาม น่าดูน่าชม ยิ่งกว่าชาวสวรรค์ชั้นที่ต่ำกว่าทั้งหลาย และมีกายทิพย์ ซึ่งมีรัศมีรุ่งเรืองเป็นยิ่งนัก หากเขาเกิดความปรารถนา จะเสวยสุขด้วยกามคุณารมณ์สิ่งใด เขาย่อมเนรมิต เอาได้ตามความพอใจชอบใจแห่งตนทุกสิ่งทุกประการ ไม่มีความขัดข้องและเดือดเนื้อร้อนในในกรณีใดๆ เลย ปรองดองรักใคร่และได้รับความสุขสำราญชื่นบาน ทุกถ้วนหน้า

ทางไปสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

ต้องอุตส่าห์ก่อสร้างกองบุญกุศลให้ยิ่งใหญ่ อบรมจิตใจ ของตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ให้สกปรกลามกมีมลทิน โดยพยายามรักษาศีลไม่ให้ขาดได้ มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล และมีวิริยะอุตสาหะในการบริจาคทานเป็นอันมาก เพราะผลวิบากแห่งทานและศีลอันสูงส่งเท่านั้น จึงจะบันดาลให้ไปอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้

ทานสูตร

ดูกรสารีบุตร! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวัง ให้ทาน ไม่มีจิตใจผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า

"เราหุ่งหากินได้ แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลาย ไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะ หรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร"

แต่ให้ทานด้วยคิดว่า

เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เช่นเดียวกับท่านฤาษี ทั้งหลายคือ ท่านอัฏฐกฤาษี ท่าวามกฤาษี ท่านวาม เทวฤาษี ท่านเวสสามิตรฤาษี ท่านยมทัคคฤาษี ท่านอังคีรสฤาษี ท่านภารทวาชฤาษี ท่านวาเสฏฐฤาษี ท่านกัสสปฤาษี ท่านภคุฤาษี"

เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำ กาลกิริยาตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย แห่งเทวดาทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

ปุญญกิริยาวัตถุสูตร

(อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิกาย ข้อ ๑๒๖ หน้า ๒๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคน ในโลกนี้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณ ยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อถึง แก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็น สหายแห่งเทวดาชั้น นิมมานรดี

สังคีติสูตร

(ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ข้อ ๓๔๖ หน้า ๒๗๑ บาลีฉบับสยามรัฐ)

บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมถวายข้าว น้ำ ผ้าผ่อน ยวดยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่นั่ง ที่พัก ที่อาศัย และสิ่งเป็นอุปกรณ์แก่ประทีป ให้เป็นทานแก่สมณะหรือ พราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไปโดยเขาได้ศึกษา มาว่า

"พวกเทพเจ้าเหล่านิมมานรดีสวรรค์ เป็นเทพที่มีอายุยืน วรรณะงาม มากไปด้วยความสุข"

ดังนี้แล้ว เขาจึงจินตนาอธิษฐานอย่างนี้ว่า

"โอหนอ! เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึง เข้าถึงความเป็นสหายแห่งพวกเทพเจ้าเหล่านิมมานรดี สวรรค์เถิด"

เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้ อบรมจิตใจนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่ต่ำ มิได้อบรมเพื่อคุณเบื้องสูง อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี นี้ ก็ข้อนี้แล เรากล่าวสำหรับบุคคลผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับ บุคคลผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลาย ความตั้งใจของบุคคล ผู้มีศีลย่อมสำเร็จลงได้ เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ดังนี้

ปรนิมมิตวสวัสตีเทวภูมิ-สวรรค์ชั้นที่ ๖

เทวภูมิ อันดับที่ ๖ นี้ เป็นแดนสุขาวดีสวรรค์เทวโลก ชั้นสูงสุดฝ่ายกามาพจร ซึ่งเป็นที่สถิตย์อยู่แห่งปวงเทพเจ้า ผู้เสวยกามคุณารมณ์ที่เทวดาอื่นรู้ความต้องการของตน แล้วเนรมิตให้ เป็นที่อยู่อันประเสริฐด้วยสุขสมบัติยิ่งกว่า สวรรค์ชั้นฟ้าทั้งหลาย โดยมีเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่นามว่า สมเด็จท่านท้าวปรนิมมิตเทวาธิราชทรงเป็นอธิบดี กับทั้งเป็นที่สถิตอยู่ของเหล่าเทพยดาจำพวกมารทั้งหลาย โดยมีสมเด็จท่านท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราชทรงเป็น อธิบดี จึงได้ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งทวยเทพ อันมีสมเด็จพระปรนิมมิตวสวัตตีเทวาธิราช และสมเด็จพระปรนิมมิตมาราธิราชทรงเป็นอธิบดี

ยอดสวรรค์นี้ เป็นเทพนครที่ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้น นิมมานรดีขึ้นไปเบื้องบนไกลแสนไกล แบ่งเป็นสองแดน

๑. แดนเทพยดา
๒. แดนมาร

อยู่กันฝ่ายละแดน มีเขตแดนกั้นในระหว่างกลาง ต่างฝ่าย ต่างอยู่ หากมีกิจจำเป็นจึงจะไปมาหาสู่แก่กันและกัน ทุกท่านล้วนแต่ได้รับความสุขอันประณีต เสวยทิพยสมบัติ ณ ทิพยสถานพิมานแห่งตนๆ สำราญสุขมากกกว่า สวรรค์ชั้นฟ้าอื่นๆ

ทางไปสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

ต้องอุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่เป็นอุกฤษฎ์ อบรมจิตใจให้สูงส่งด้วยคุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีล ก็ต้องบำเพ็ญกันอย่างจริงๆ มากไปด้วยศรัทธาปสาทะ อย่างยิ่งยวดและถูกต้อง ทั้งนี้ ก็เพราะว่าผลวิบากแห่ง ทานและศีลอันสูงยิ่งเท่านั้น จึงจะบันดาลให้ไปอุบัติ ในสวรรค์ชั้นนี้ได้

ทานสูตร

(อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ หน้า ๖๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรสารีบุตร! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวัง ให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า

"เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เช่นเดียวกับฤาษีทั้งหลาย แต่กาลก่อนคือท่านอัฏฐกฤาษี ท่านวามกฤาษี ท่านวามเทว ฤาษี ท่านเวสสามิตฤาษี ท่านยมทัคคฤาษี ท่านอังคีรสฤาษี ท่านภารทวาชฤาษี ท่านวาเสฏฐฤาษี ท่านกัสสปฤาษี ท่านภคฤาษี" ดังนี้

แต่เขาให้ทานด้วยคิดว่า

"เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตของเราจะเลื่อมใส จะเกิด ความปลื้มใจและโสมนัส"

เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยา ตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี

ปุญญกิริยวัตถุสูตร

(อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๖ หน้า ๑๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคน ในโลกนี้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณ ยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็น สหายแห่งเทวดาชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี

ปิดท้าย

อายุของสวรรค์ 6 ชั้น (โดยประมาณการ)

สวรรค์ เป็นภพที่มีแต่ความสุขอันเลิศล้ำด้วยกามคุณทั้ง ๕ (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายที่น่าใคร่น่าพอใจ) เป็นภพของเทวดาหรือทวยเทพทั้งหลาย โดยปกติหมายถึงสวรรค์ชั้นกามาพจรหรือกามาวจรสวรรค์ ๖ ชั้น
ซึ่งเรียงลำดับจากชั้นแรกถึงชั้นสูงสุดได้ดังนี้

1. ชั้นจาตุมมหาราชิกา 50 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 500 ปีทิพย์ เท่ากับ 9 ล้านปีโลกมนุษย์

2. ชั้นดาวดึงส์ 100 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 1,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 39 ล้านปีโลกมนุษย์

3. ชั้นยามา 200 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 2,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 144 ล้านปีโลกมนุษย์

4. ชั้นดุสิต 400 ปีมนุษย์ เป็นวัน 1 วัน คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 4,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 576 ล้านปีโลกมนุษย์

5. ชั้นนิมมานรดี 800 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 8,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 2,304 ล้านปีโลกมนุษย์

6. ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี 1,600 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 16,000 ปีทิพย์ เป็นอายุทิพย์เท่ากับ 9,216 ล้านปีโลกมนุษย์เรา


จบตอนอธิบายสวรรค์หกชั้นชุดสุคติภูมิชุดต่อไป

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 16