เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ศรีโคมคำ

หน้า: [1] 2 3
1


สมณศักดิ์ของพม่ากับของไทยนั้นมีส่วนที่เหมือนกันคือมีจุดเริ่มมาจากศรีลังกา โดยสมณศักดิ์ พม่าในปัจจุบันอาจแบ่งได้เป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกแบ่งได้เป็น ชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นสูง ในกลุ่มนี้จัดได้หลักๆด้วยกัน ๓ สาย คือสายวิชาการ สายเผยแผ่ และสายกรรมฐาน ในแต่ละสายแบ่งออกเป็น ๓ ชั้น ดังนี้

สายวิชาการ เรียกว่า คัณธะวาจะกะ แปลว่า ผู้สอนพระคัมภีร์หรือตำรา สมณศักดิ์นี้มอบทั้งแก่พระสงฆ์และแม่ชี

ชั้นต้น เรียกว่า มูละคัณธะวาจะกะ
ชั้นกลาง เรียกว่า มหาคัณธะวาจะกะ
ชั้นสูง เรียกว่า อัครมหาคัณธะวาจะกะ

สายเผยแผ่ เรียกว่า สัทธัมมโชติกะ แปลว่า ผู้ประกาศพระสัจธรรม สมณศักดิ์นี้มอบทั้งแก่พระสงฆ์และแม่ชี

ชั้นต้น เรียกว่า มูละสัทธัมมโชติกะ
ชั้นกลาง เรียกว่า มหาสัทธัมมโชติกะ
ชั้นสูง เรียกว่า อัคคมหาสัทธัมมโชติกะธะชะ

สายกรรมฐาน เรียกว่า กัมมัฏฐานาจริยะ แปลว่า อาจารย์สอนกรรมฐาน สมณศักดิ์นี้มอบแก่พระสงฆ์เท่านั้น

ชั้นต้น เรียกว่า มูละกัมมัฏฐานาจริยะ
ชั้นกลาง เรียกว่า มหากัมมัฏฐานาจริยะ
ชั้นสูง เรียกว่า อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ

กลุ่มที่ ๒ เป็นสมณศักดิ์ชั้นสูงที่สุดจริงๆ ที่มีมาจากเดิมจนถึงปัจจุบัน จะมีอยู่ด้วยกัน ๓ ชั้น

ชั้นต้น เรียกว่า ตรีปิฏกธร แปลว่า ผู้ทรงจำพระไตรปิฏก ( ผู้ที่สามารถท่องพระไตรปิฏกได้ทั้ง ๓ ปิฏก )
ชั้นกลาง เรียกว่า อัครมหาบัณฑิต พระเถระที่จะได้สมณศักดิ์ชั้นนี้ต้องมีอายุอย่างน้อย ๖๐ ปี
ชั้นสูงสุด เรียกว่า อถิธชมหารัฐคุรุ แปลว่า บรมครูแห่งแผ่นดินผู้ซึ่งชูธงแห่งพระศาสนา ผู้ที่จะได้รับสมณศักดิ์ชั้นนี้จะเป็น พระสังฆราช หรือ สมเด็จพระราชาคณะผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะได้ และจะต้องมีอายุอย่างน้อย ๘๐ ปี

เมื่อสรุปดูแล้วสมณศักดิ์ของพม่าไม่ค่อยเกี่ยวกับการปกครอง ซึ่งต่างจากสมณศักดิ์ของไทย ที่มีเงื่อนไขว่า ใครจะได้สมณศักดิ์ก็จะต้องเป็น พระสังฆาธิการ ระดับผู้ช่วยเจ้าอาวาสขึ้นไป โดยคณะสงฆ์พม่ายกอำนาจการปกครองคณะสงฆ์ให้กับ องค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ในพม่าที่เรียกว่า สังฆมหานายกสมาคม ซึ่งก็คือ มหาเถระสมาคมของพม่า ในสมาคมนี้มีกรรมการทั้งหมด ๔๗ รูป.

ที่มา. วีดีทัศน์ ธัมมปฏิสันถารแสดงมุฑิตาสักการะ โดย พระพรหมบัณฑิต ( ประยูร ธมฺมจิตฺโต ) วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เนื่องในงานสดุดีเกียรติคุณ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ( สมศักดิ์ อุปสโม ) วัดพิชยญาติการาม ผู้ซึ่งรัฐบาลพม่าถวายสมณศักดิ์ “ อัครมหาบัณฑิต ” สรุปความ โดย ศรีโคมคำ.

http://www.youtube.com/watch?v=M-rC3iUGYqo

2


ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ที่ว่าฆราวาสสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว อยู่นานไม่ได้ต้องนิพพานไป ในกรณีที่สามีสำเร็จอรหันต์แล้ว สามารถจะบอกภรรยาได้หรือไม่ว่า น้องจ๋า... พี่สำเร็จแล้ว

หลวงพ่อ : คงจะบอกได้นะ

ผู้ถาม : แล้วถ้าภรรยาจะบอกว่า “เมือพี่เข้านิพพานแล้ว ขอได้โปรดสงเคราะห์ให้น้องร่ำรวย” อย่างนี้จะขัดกับพระนิพพานหรือเปล่าคะ

หลวงพ่อ : เจ้าของจดหมายกับฉันคิดผิดกัน ฉันคิดว่า “ถ้าพี่ไปนิพพาน ขอฉันมีสามีใหม่ได้ไหมคะ” (หัวเราะ)

ผู้ถาม : เออ.. ดีเหมือนกันนะ

หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้ซิ พระอรหันต์ท่านยอมรับกฎของกรรม มันจะรวยหรือไม่รวยอยู่ที่ กฎของกรรม ถ้าชาติก่อนทำทานไว้ดี กฎของกรรมแห่งทาน ก็บันดาลให้เราร่ำรวย แต่ทานก็เป็นเขต การให้ทานแก่สัตว์หรือให้ทานกับบุคคลอื่น ให้ทานกับบุคคลเป็นคนมีศีลหรือไม่มีศีล ทรงฌานสมาบัติไหม เป็นพระอริยเจ้าไหม แต่ทานที่ดีที่สุดคือ สังฆทานเป็นต้นเหตุเป็นต้นทานของมหาเศรษฐีตรง

ผู้ถาม : ฉะนั้น จักรพรรดิก็ไม่ได้เป็น จักรเพชรก็ไม่ได้เป็น

หลวงพ่อ : ได้ ก็ไปรวมอยู่ที่นิพพานไงล่ะ ทรัพย์สินต่างๆ ก็ไปรวมที่พระนิพพานหมด ที่นิพพานจะเห็นว่า
พื้นแผ่นดินก็เป็น เพชร
กำแพงบ้านก็เป็น เพชร
บ้านทั้งหลายก็เป็น เพชร
เครื่องใช้ทั้งหมดก็เป็น เพชร
ตัวเองก็เป็น เพชร
แถมส้วมถ้ามีก็เป็น เพชร

ที่มา :หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่390 เดือน กันยายน พ.ศ.2556 หน้าที่107-108

3


ซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพังตายแล้วไปเกิดเป็นสาวสวยไม่เปลี่ยนแปลงจนอายุ 120 ปี

     "..พูดถึงคนสวยชั้นยอด ว่ากันแค่ร่างกายภายนอก อย่ามองเข้าไปถึงกระเพาะ ตับ ไต ไส้ ปอด ภายในร่างกายเพราะมันเต็มไปด้วยความสกปรกน่าเกลียดไม่มีความสวย ในที่นี้หมายถึงรูปร่างภายนอกไม่เปลี่ยนแปลง คลอดบุตรคนแรกสวยขนาดไหนก็เป็นสาวขนาดนั้นจนกระทั่งถึงวันตาย


อานิสงส์ซ่อมพระพุทธรูป

     ตัวอย่างก็คือ พระนางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านสวยด้วยอำนาจเบญจกัลยาณี ตามที่ท่านเจ้าคุณราชเมธี วัดประยูรวงศาวาส ท่านแต่งเป็นคำกลอนไว้ว่า


งามผมสมพักตร์ลักขณา     งามโอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา
งามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด     ผิวทัดกณิการ์งามราศี
คลอดบุตรสักเท่าไรวัยยังดี     หญิงเช่นนี้ใครได้มางามหน้าเอย

     คำว่า "งามผมสมพักตร์ลักขณา" ก็เพราะว่าผมจะเรียบอยู่ตลอดเวลา ถ้าต้องการให้เป็นคลื่นก็จะเป็น และก็เรียบโดยไม่ต้องหวี ไม่ต้องแต่ง และก็ยาวไม่มากถ้ายาวไปถึงเอวก็จะช้อนงอนขึ้นไม่ยาวลากดิน ผมก็ไม่เหม็นสาบเหม็นสาง ไม่ต้องสระไม่ต้องล้าง

     คำว่า "โอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา" ก็เพราะว่าริมฝีปากแดงระเรื่อไม่แดงมากนัก แล้วเรียบไม่มีริ้วไม่มีรอย ปากสวย

     คำว่า "งามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด" ก็เพราะว่าฟันเรียบแลดูเป็นเงาเหมือนมุกน่าชม ไม่ต้องใช้แปรงสีฟัน ไม่ต้องขัด ไม่ต้องแต่ง

     คำว่า "ผิวทัดกณิการ์งามราศี" ขึ้นชื่อว่าผิวไม่มีไฝไม่มีฝ้า ถ้าขาวก็ขาวเนื้อละเอียดดี ถ้าดำก็ดำนวล ๆ เรียกว่าพอสวยสำหรับในสมัยที่เขาต้องการ

     คำว่า "คลอดบุตรเท่าไรวัยยังดี" หมายความว่าเวลาที่คลอดบุตรคนแรกอายุเท่าไร ท่านคลอดบุตรคนแรกอายุ 16 ปี แล้วก็เลยเป็นสาวแค่ 16 อยู่แบบนั้น ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไปจนกระทั่งอายุ 120 ปี พระนางวิสาขามีบุตรหญิง 20 คน แล้วบุตรหญิงของท่านคลอดบุตรมาอีกคนละ 20 คน ระหว่างที่บรรดาหลาน ๆ เป็นสาวคราว 15-16 ปี ท่านวิสาขานั่งอยู่ท่ามกลางหลาน ท่านชีวกโกมารภัจนำพระเจ้าปเสนทิโกศลไปดู อยากจะทราบว่าพระนางวิสาขาคนไหน ก็ดูไม่ออกเพราะสาวเท่ากัน เรียกว่าท่านสาวเท่าอายุ 16 ตลอดกาล

     อานิสงส์ที่พระนางวิสาขามหาอุบาสิกามีความสาวความสวยไม่เปลี่ยนแปลง ก็เพราะว่าในชาติก่อนท่านซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ทรุดโทรม คือมีผิวแตกทองลอกไปเสียแล้ว ท่านซ่อมพระพุทธรูปด้วยกุศลเจตนาจริง ๆ เกิดมาชาตินี้จึงกลายเป็นคนสวย

     และการที่ท่านมีเครื่องประดับประกอบไปด้วยแก้วเพชรนิลจินดาและทองคำ เสื้อคลุมตั้งแต่ศรีษะถึงเท้า มีนกยูงรำแพน มีแก้วมณีตั้ง 20 ทะนาน และมีแก้วประพาฬ แก้วอินทนิล อะไรต่ออะไรอีก เสื้อตัวนั้นไม่มีด้ายเลย ที่ทำเป็นด้ายก็ทำด้วยเงินหรือเป็นทองคำ ก็เพราะอาศัยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในอดีตชาติ.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 117 หน้า 241 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

4


ผู้ถาม “(หัวเราะ) พระที่ห้อยคอจะมีวันเสื่อมไหมคะ..?”

หลวงพ่อ “ถ้าพระกร่อนก็เสื่อม”

ผู้ถาม “(หัวเราะ) ไม่ใช่คะ หนูหมายถึงว่าจะไม่คงความศักดิ์สิทธิ์ไว้น่ะคะ...”

หลวงพ่อ “อ๋อ... ไม่หรอก ไม่มีเสื่อม”

ผู้ถาม “แล้วเวลานอนมีคนอื่นมาข้าม พระจะหนีไหมคะ... ?”

หลวงพ่อ “จะหนีอะไร.. ก็อยู่ที่คอ”

ผู้ถาม (หัวเราะ)

หลวงพ่อ “ไม่เป็นไรหนู... ถึงแม้ว่าเราจำเป็นต้องรอดส้วมก็ไม่เป็นไร มันอยู่ที่ใจนะ”


ที่มา : นิตยสารธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๒๔) ฉบับที่ ๑๔ หน้า ๗๓.

5


ผู้ถาม: "เวลามีคนมาขอทานหน้าบ้าน เขามักจะขอโดยการร้องเพลงยาวๆ ฟังแล้วอดสงสารไม่ได้ค่ะ แต่บางทีก็รำคาญต้องรีบบอกให้หยุดร้อง ให้สตางค์แล้วก็ให้เขาไปเร็วๆ อย่างนี้จะเป็นอะไรไหมคะ....?"

หลวงพ่อ: "ไม่เป็นไรหรอกหนู เมื่อสมัยบวชใหม่ ๆ หลวงพ่อปานบอกว่า ถ้าจะให้ทานคนขอทานอย่าให้เขาพูดมาก หมายความว่าพอมาถึงไม่ต้องให้ยกมือไหว้พูดขอ ถ้าเขาจะขอก็บอกไม่ต้องฉันให้แล้ว ฉันเต็มใจให้แล้ว คือว่าเราจะให้ใคร อย่าให้เขาพูดมาก อย่าให้เสียเวลา ให้เร็ว ๆ ที่สุด ตั้งใจเป็นการสงเคราะห์จริงๆ แล้วผลมันให้ในชาตินี้ ฉันทดสอบมาแล้วเป็นความจริง....

การให้ทานโดยไม่เตรียมการไว้ก่อน ใครมาเราก็ได้เราให้ได้ ถ้าทำอย่างนี้เสมอ ๆ คนมาขอทาน เราไม่ยอมให้พูดขอ รีบควักเลย แล้วมันจะมีผลในชาตินี้ คือสิ่งที่เราขัดข้องคิดว่าจะไม่ได้มันจะโผล่ เราก็ให้เท่าที่จะให้ได้ เขาไม่บังคับเรานี่ พอทำไปไม่กี่ปีก็เริ่มให้ผล ของที่มันจะได้มามันมีการคล่องตัวมากขึ้น

แต่เวลาให้ เราอย่าไปคิดถึงผลอันนี้นะ ต้องให้ด้วยการสงเคราะห์จริง ๆ คือตัดไปเลย มันได้เท่าไหร่ก็ช่าง ถ้าไปคิดว่าเราต้องการให้เพื่อต้องการผลตอบแทนผลจะถูกตัดเพราะเป็นการให้ทานที่ประกอบด้วยความโลภ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง" ธรรมของเรามิใช่เป็นเครื่องเนิ่นช้า ต้องเร็ว ๆ ไว ๆ

คัดบางส่วนจากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 3

6

ตายจากคนที่ปรารถนาพุทธภูมิไปรอที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
[/b]
   
 "..วันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2531 ท่านลุงทั้งสองมาชวนอาตมาไปสำนักงานของท่าน เพราะมีการสอบสวนพระโพธิสัตว์ พระท่านมาบอกว่า "ฉันไปด้วย เพราะคนนี้เป็นพระโพธิสัตว์บารมีต้น ความรอบคอบยังน้อย แต่มีความเข้มแข็งดี" ท่านลุงนำหน้าไป มีคนยืนเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ พวกจะลงนรกสอบสวนง่าย ถามอะไรก็พูดไม่ได้ ถามเรื่องบาปก็นิ่ง ถามเรื่องบุญก็นิ่ง พวกนี้เขาจูงไปนรกต่อหน้านับร้อย ต่อมาได้ยินเสียงท่านลุงพูดว่า "เอาพระโพธิสัตว์เข้ามา" เป็นชายร่างใหญ่รูปร่างสมส่วน หน้าผากกว้าง ผิวคล้ำ บ้านอยู่ทางทิศเหนือไม่ไกลภูเขานัก ฐานะพอทำพอกิน แต่กำลังใจเรื่องบุญความเด็ดเดี่ยวมีมาก ชายผู้นี้ตายเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2531 เมื่อเจ้าหน้าที่พาเข้ามาแล้ว พนักงานสอบสวนถามถึงบาป ท่านผู้นี้ตอบได้ฉาดฉานชัดถ้อยชัดคำ

     1)เขาถามถึงปาณาติบาต ท่านรับว่า เคยตกปลา ดักลอบ ดักไซ ดักจั่น ทอดแห ลงข่าย เชือดไก่ เชือดเป็ด
     2)เขาถามถึงอทินนาทาน ท่านตอบว่าไม่ได้ทำ
     3)เขาถามถึงกาเมสุมิจฉาจาร ท่านตอบว่ามี 3 คน เพราะเขาเหงา เขามาหาท่านเพื่อให้บรรเทาความเหงา ท่านก็สงเคราะห์ไปทั้ง 3 คน
     4)เขาถามถึงมุสาวาท ท่านบอกว่า โกหกแน่เพราะชอบสาวโสดวัยรุ่น ต้องโกหกจึงจะมีผล
     5)เขาถามถึงสุรา ท่านบอกว่ากิน

     รวมความว่ากลัวบาปทุกประเภทที่ทำมาถึงอายุ 40 ปีจึงหยุด เพราะสลดใจจึงเริ่มทำบุญ ท่านบอกว่า เมื่อเริ่มทำบุญก็เลิกทำบาปทั้งหมด บูชาพระ เจริญภาวนา รักษาศีลและกรรมบถ 10 ถวายสังฆทานเป็นปกติ เมื่อ 4 ปีที่แล้วมาได้เจริญสมาธิที่วัดท่าซุง ตั้งใจระงับใจทุกอย่างจากบาป ได้ถวายสังฆทาน 5 ครั้ง อุทิศส่วนกุศลให้สัตว์ที่ฆ่า ขอให้อโหสิกรรมตามที่อาตมาแนะนำ ถามว่า "ปรารถนาพุทธภูมิเมื่อไร" ท่านบอกว่า "เมื่อเจริญพระกรรมฐานพอไปสวรรค์ได้ เห็นพระพุทธเจ้าแล้วอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง จึงปรารถนาพุทธภูมิ" เมื่อเจ้าหน้าที่สอบสวนเสร็จ ท่านลุงเรียกมาพบให้ยืนยันเรื่องบาปและบุญ ท่านผู้นี้พูดได้คล่องและชัดเจนมาก ท่านลุงเรียกเป็ดมาเป็นพยาน เป็ดยืนยันว่า "คนนี้จับเชือดคอแกงกินกับเหล้า เพื่อเลี้ยงเพื่อน"

     ท่านเรียกไก่ตัวแรกเข้ามาเป็นไก่ตัวผู้ก็ยืนยันเหมือนเป็ด ไก่ตัวที่สองเข้ามาบอกว่า "เธอมีลูก ลูกเธอมีขนเต็ม คนนี้เชือดเธอแกงเลี้ยงเพื่อนกินเหล้า" ไก่อีกสองตัวให้การเหมือนกัน มีปลาเข้ามามาก ท่านบอกว่าพอแล้ว ท่านถามว่า "เธอใจดุร้าย รักเพื่อนมากกว่าตัวเธอเอง เวลานี้เธอจะต้องลงนรกเพื่อนไม่ได้มาลงด้วย" ท่านผู้นี้น้ำตาร่วงก้มหน้าและพูดเบา ๆ ว่า "ผมทำบุญอุทิศให้สัตว์ทั้งหมดขอให้อโหสิกรรม และได้ขอให้ท่านเป็นพยานให้ผมแล้วนี่ครับ" ท่านลุงถามสัตว์พวกนั้นว่า "อโหสิกรรมให้เขาหรือเปล่า" ตอบว่า "อโหสิกรรมแล้ว" ท่านบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องลงนรกไปสวรรค์ได้ตามบุญ เธอจะไปสวรรค์ชั้นดุสิตเพราะเป็นพระโพธิสัตว์ หรือจะไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์" ตอบว่า "ชั้นดุสิตยังเข้าไม่ได้เพราะกำลังบารมียังอ่อน ขอไปดาวดึงส์ตามกำลังของบุญ"
ท่านลุงแนะนำพอสมควรแล้วก็ปล่อยให้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 80 หน้า 188 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

7

ตอนเช้ากับตอนหัวค่ำจับพระที่ห้อยคอขอท่านคุ้มครองตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นยามา
[/b][/color]

    "..เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2535 ได้มีท่านผู้หนึ่งไปหาอาตมาที่วัดท่าซุง ไปถามว่า "คุณพ่อตายแล้วไปอยู่ที่ไหน" อาตมาไม่ได้บอกท่านผู้นั้น แต่ให้ไปฝึกพระกรรมฐานกับเขาในมหาวิหาร 100 เมตร ไม่เกิน 3 วันคุณก็พบกับคุณพ่อคุณได้ บอกคุณก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะคุณก็ไม่หายสงสัย คุณก็จะถามเรื่อยไปและก็ไม่มีประโยชน์สำหรับคุณ ในที่สุดท่านผู้นั้นก็ตัดสินใจ วันรุ่งขึ้นก็ไปฝึกพระกรรมฐาน เพียงแค่วันแรกก็สามารถคุยกับคุณพ่อได้

     แต่ในขณะที่ท่านผู้นี้ถามอาตมา ได้บอกชื่อผู้ตาย อาตมาก็นึกถึง เมื่อนึกถึงผู้ตายก็มายืนข้างหน้า จึงถามว่า "เวลานี้คุณไปอยู่ที่ไหน" เขาตอบว่า "เวลานี้ผมไปอยู่บนสวรรค์ชั้นยามาครับ" ถามว่า "ไปอยู่ชั้นยามาได้ ปกติคุณทำอะไรสมัยมีชีวิตอยู่" ตอบว่า "ปกติผมทำสมาธิ" ถามว่า "คุณทำสมาธิเวลาไหน" ตอบว่า "เวลาตอนเช้ากับตอนค่ำครับ ตอนเช้าผมตื่นนอนขึ้นมา ก็จับพระที่สร้อยห้อยคออยู่มาพนมมือ อาราณธนาบารมีพระ หรือที่เรียกกันว่าปลุกพระก็ได้ ตอนค่ำก็เกรงอันตรายจึงทำแบบนั้นอีกเหมือนกัน"

     การทำอย่างนี้ชื่อว่าเป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ทั้งตอนเช้าและตอนค่ำก็เป็นสมาธิ สมาธิไม่จำเป็นต้องไปนั่งขัดสมาธิเฉย ๆ จะทำแบบไหนก็ได้ นั่งแบบไหนก็ได้ถ้าอยู่ที่บ้านของเรา จิตนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ถือว่าเป็นพุทธานุสสติ จิตนึกถึงพระธรรมเป็นธัมมานุสสติ จิตนึกถึงพระสงฆ์เป็นสังฆานุสสติ เขาจึงไปอยู่ชั้นยามาได้.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 48 หน้า 133 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

8

"..สมัยที่อาตมาออกธุดงค์แบบอุกฤษฎ์ในป่าศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ได้มีนางฟ้าหลายองค์ปลอมตัวเป็นชาวบ้านมาใส่บาตรทุกวัน อาตมาบอกกับนางฟ้าทั้งหลายที่มาว่า "ว่าง ๆ ก็มาคุยกันและก็ไม่ต้องปลอมตัวกันมา มาเป็นนางฟ้าไปเลย" และก็ถามว่า "ทำบุญแบบไหนจึงมาเกิดเป็นนางฟ้าอย่างนี้ จะได้ไปเล่าให้ชาวบ้านเขาฟัง" นางฟ้าก็ตอบว่า "คนที่อยู่ใกล้เคียงกับวัดท่านมาเป็นนางฟ้าที่มานี่ก็มีนะ" จึงถามว่า "เป็นอะไรตาย" เธอตอบว่า "เป็นไข้ตาย" และได้เล่าให้ฟังว่า "สมัยที่มีชีวิตอยู่เป็นคนใส่บาตรเสมอ อาศัยการใส่บาตรกับท่าน ฉันก็ไม่รู้ว่าเวลาใส่บาตรท่านภาวนา อิติปิ โสฯ และก่อนจะตายฉันเห็นภาพพระพุทธเจ้าเด่นชัดมาก" และพระท่านก็บอกว่า "เธอใส่บาตรกับพระที่ภาวนาอิติปิ โสฯ จะไปนรกไม่ได้ต้องไปสวรรค์" เมื่อตายแล้วฉันก็ไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถามว่า "โยมชื่ออะไร" เธอตอบว่า "ฉันชื่อภู" คนบางนมโครู้จักคนชื่อภู ทุกคนในสมัยนั้น.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 67 หน้า 163 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

9

"..ขึ้นไปพระจุฬามณีเจดียสถาน บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก พอจะเข้าประตูก็พบพระอรหันต์องค์หนึ่งออกมา ท่านคือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ถามท่านว่า "หลวงพ่ออยู่ที่ไหนครับ" ท่านบอกว่า "แกเสือกบอกเขาไปแล้วว่า ข้าไปอยู่นิพพาน แกมาถามข้าทำไม" ถามต่อว่า "หลวงพ่อไปหรือเปล่า ถ้าไม่ไปผมโกหกเขานะ"

     ท่านตอบว่า "ไม่โกหกหรอก ข้าไปนิพพานแน่" เรื่องที่เขาพูดหาว่าข้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ที่ตั้งฐานกำหนดลมไว้ 7 ฐาน เกินพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ 3 ฐาน เขาเลยหาว่าข้าแข่งบารมีกับพระพุทธเจ้า แต่ความเป็นจริงเจตนาของข้ามันเป็นอย่างนี้ ไอ้คนจิตฟุ้งซ่าน ถ้าจะมีอารมณ์จิตเป็นสมาธิจะต้องจับหลาย ๆ แห่ง เพราะต้องระวังมากอารมณ์จึงจะทรงอยู่ นี่เขาไม่สนใจกัน มีแกคนเดียวที่เข้าใจดี และกายเทพ กายพรหม กายธรรม กายนิพพานก็เหมือนกัน ก็มีแกคนเดียวที่เข้าใจข้า นอกนั้นเขาหาว่าข้าบ้า เอาเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนมาสอน"

     กายทิพย์ หมายความว่า ได้อุปจารฌานเล็กน้อย จัดเป็นกายทิพย์

     กายเทพ ก็เข้าถึงอุปจารฌาน จะเกิดเป็นเทวดาชั้นยามาได้เหมือนกัน ถ้าพูดถึงกายภายในเหมือนกันหมด

     กายพรหม ก็เป็นที่ทรงฌานได้ครบองค์ฌาน พอตายแล้วไปเป็นพรหม ก็เลยเรียกว่ากายพรหม

     กายธรรม ก็หมายถึงว่า ได้อริยเจ้า

     กายนิพพาน ก็หมายถึงว่า คนนั้นได้อรหันต์แล้ว

     ท่านบอกว่า "มีแกคนเดียวที่พอพูดให้ชาวบ้านเขาฟัง มันตรงตามความประสงค์ของข้านอกนั้นเขาหาว่าข้าบ้า ๆ บอ ๆ บางคนหาว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ข้าก็ไม่ว่าอะไรเขาหรอก"

     หลังจากนั้นอาตมาก็ลาท่านเข้าไปในพระจุฬามณี วันนี้พระอรหันต์เต็มเอี๊ยด พรหมออกมาหมดแล้ว เทวดาก็ยังไม่กลับ พระอรหันต์เหมือนเอาดาวไปวางไว้สวยสะพรั่ง ร่างกายเป็นเหมือนแก้ว พระอรหันต์นิพพานแล้วบ้าง พระอรหันต์คนบ้าง ก็สวยเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีต่าง ๆ สวยมาก.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 12 หน้า 56 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

10

มีผู้มาถามหลวงพ่อว่า พ่อของลูกอายุ 90 ปี ก่อนที่ท่านจะตายปรากฏว่า ก่อนตาย 7 วัน ท่านพยายามฆ่าตัวเอง ปิดประตูอยู่ในห้องคนเดียวแล้วร้องขึ้นดัง ๆ ว่า "ไฟไหม้ ๆ" ลูกเห็นว่าจะไม่รู้เรื่องก็เลยเอาพระของหลวงพ่อไปห้อยคอ พ่อก็เลยมีจิตสบาย เมื่อจิตสบายแล้วก็หลับ หลับแล้วก็ตายไปจริง ๆ เลย

     ลูกขอเรียนถามหลวงพ่อว่า "วัตถุมงคลของหลวงพ่อช่วยให้การตายของพ่อสบายขึ้นหรือเปล่าเจ้าคะ"

     "..ถ้าตายสบายก็ดีแล้ว คุณลูกแก้ทัน ต้องถือว่าคุณพ่อก็มีบุญได้ลูกที่เป็นบัณฑิต ถ้าไม่อย่างนั้นร่วงเลยนะ

     อาตมาได้ถามลุงพุฒิ (ท่านพระยายมราช) ขณะนั้นเลยท่านลุงพุฒิบอกว่า "ตอนที่เห็นไฟมันชัดมาก ลงนรกแน่นอนไม่ผ่านสำนักพระยายมราชด้วย มาจากโทษปาณาติบาตกับอทินนาทานในอดีตมันตามมาเล่นงานตอนใกล้ตาย แต่ลูกแก้ทัน พอนำพระไปคล้องคอท่านคือบุญเก่าเข้ามาช่วยเหมือนกัน ถ้าบุญเก่าไม่มาช่วยก็ต้องตายเวลานั้นแหละ พอดีบุญเก่าเข้ามาช่วยลูกเอาพระไปห้อยคอก็นึกถึงพระ พอนึกถึงพระบาปก็ถอยเหลือแต่บุญ"

     ก็เป็นอันว่า ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าหรือนึกถึงหรือเห็นสิ่งที่เป็นกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เป็นแค่เชื้อต่อของเก่าเท่านั้นเอง.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 94 หน้า 209 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

11

"..ชายชาวจีนผู้หนึ่งมีอาชีพฆ่าหมูและก็เอาไปขาย พอตอนแก่มีคนมาบอกว่า "ตายแล้วจะตกนรก" แกก็เลยใส่บาตรทุกวัน ก่อนจะใส่บาตรทุกครั้งแกจะยกมือไหว้พระสงฆ์ก่อนและจะท่องคาถา "นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ" แล้วก็ใส่บาตร ทีนี้พอตอนแกตายแกเห็นยมฑูตมา แกก็ว่า "นะโมตัสสะ" ปรากฎว่ายมฑูตเผ่นไปเลย เวลานั้นจิตเขาเป็นกุศล อกุศลจึงเข้าไม่ได้ ถ้ายมฑูตมานี่ยังไม่แน่จะลงนรกหรือไม่ต้องไปสอบสวนก่อน ถ้าแกนึกนะโมตัสสะได้ ท่านพระยายมราชก็ปล่อยให้ไปสวรรค์ก่อน แต่ในเมื่อแกว่า นะโมตัสสะ ตอนก่อนจะตาย ท่านจึงปล่อยให้ไปสวรรค์ทันที.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 75 หน้า 182 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

12

"..อาตมามาสอนพระกรรมฐาน เห็นคนถูกโซ่ล่ามคอ 2 เส้นมีคนนำมา จึงถามว่า "กรรมอะไร" เขาอธิบายกรรมให้ทราบว่า "คนนี้เป็นพระสงฆ์มีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัด มีเงินให้กู้ 4 ล้านบาทและก็มีเงินเก็บ มีซองที่ยังไม่ได้เอาเงินออก เป็นซองคนนั้นจะเป็นพระครู คนนี้จะเป็นเจ้าอาวาส คนนี้จะเป็นเจ้าคณะตำบล"

     อาตมาถามว่า "สำนักพระยายมราชสอบสวนแล้วหรือยัง"

     ท่านพระยายมราชบอกว่า "เขาไม่ผ่านผมหรอกครับ เขาลงนรกเลย"

     พวกลงนรกมี 2 พวก พวกบาปไม่หนักนักบุญก็พอมี แต่เวลาตายไม่นึกถึงบุญก็ผ่านสำนักพระยายามราชเพื่อสอบสวน เป็นการเตือนให้นึกถึงบุญนั้นเอง กับอีกพวกเป็นพวกบาปหนักจะลงดิ่งไปเลยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช เวลาอยู่ในนรกไม่มีเสื้อไม่มีกางเกงใส่ ถูกหอก ดาบ เสียบ ฟันและมีไฟเผาตลอดเวลา นรกทุกขุมมีไฟแต่ร้อนมากร้อนน้อยต่างกันเท่านั้น.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 169 หน้า 350 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

13

"..วันที่ 2 ตุลาคม 2531 เวลา 3.00 น. หลังจากเดินจงกรมแล้ว จึงหยิบหนังสือพระไตรปิฎกมาอ่าน พอเปิดก็พบวิมานวัตถุพอดี อ่านดูแล้วคิดว่าดี ท่านอ้างว่าเป็นปฏิปทาของ พระโมคคัลลาน์ เรื่องการเที่ยวสวรรค์ นรกนี้เป็นปกติธรรมดาของทุกท่านที่ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ถ้ามุ่งเอาจริงตาม อิทธิบาท 4 แล้วไม่พ้นความสามารถ ท่านเขียนไว้อย่างนี้

     ท่านพระโมคคัลลาน์ท่านไปสวรรค์ ท่านไปพบเทพธิดาองค์หนึ่ง ร่างกายเธอมีแสงสว่างไปทั่วจักรวาล มีสวนมะม่วงรื่นรมย์ เป็นสวนที่มีต้นมะม่วงแพรวพราวสว่างไสวมากเหมือนเอาเพชรมาประดับไว้ ภายในสวนมีวิมานใหญ่ มีโคมดวงใหญ่สว่างไสวมาก มีเสียงดนตรีและนางเทพอัปสรมาก ท่านโมคคัลลาน์ถามนางฟ้าองค์นี้ว่า "อยากทราบว่าเมื่อเป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้จึงมีทิพยสมบัติประเสริฐอย่างนี้" เธอตอบว่า "สมัยเป็นมนุษย์ฉันมีจิตเลื่อมใสได้สร้างวิหารถวายสงฆ์แล้วปลูกต้นมะม่วงล้อมวิหารนั้น (วิหารคือ กุฏิใหญ่) เมื่อสร้างเสร็จจึงฉลอง ล้อมต้นมะม่วงด้วยผ้า เอาผ้าทำเป็นผลมะม่วงแล้วประดับด้วยโคมไฟไว้ที่ต้นมะม่วง นิมนต์พระมาฉันภัตตาหารแล้วถวายวิหารแด่พระสงฆ์ ด้วยบุญเพียงเท่านี้จึงมีสวนมะม่วงน่ารื่นรมย์ มีวิมานใหญ่กว้างขวางในสวนมะม่วงนั้น มีเสียงกึกก้องด้วยเสียงดนตรี และเกลื่อนกล่นด้วยนางเทพอัปสร และวิมานนี้มีประทีปดวงใหญ่ประจำ มีแสงสว่างไสวมาก เพราะถวายแสงสว่าง ด้วยบุญแบบนี้ฉันจึงมีวรรณะคือ ผิวงามและแสงสว่างออกจากกายไปทั่วทุกทิศ"

     ที่อาตมาเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเห็นว่าทุกท่านทำบุญอย่างนี้แล้ว จึงต้องการให้ทราบอานิสงส์ที่จะพึงได้ เมื่อยังไปพระนิพพานไม่ได้ก็จะได้ทราบว่ามีที่พักบนสวรรค์น่ารื่นรมย์ใจอย่างนี้ แต่ทางที่ดีควรไปพระนิพพานดีกว่า ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดพบกับความทุกข์อีกต่อไป.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 59 หน้า 155 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

14


อานิสงส์ของบุญ

โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

(เทศนา ณ. วันอังคารที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๓)

นโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( ๓ จบ )

“ ปุญญานิ ปรโลกัสมิง ปติฏฐา โหนติ ปาณินันตีติ ”

ณ.โอกาสบัดนี้ อาตมภาพจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา ในเรื่อง อานิสงส์ของบุญ เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองคศรัทธาบารมี ที่บรรดาท่านนริศราทานบดีทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลประจำปักษ์ในวันนี้

   การทำบุญของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความต้องการก็มีอยู่ว่า ต้องการความพ้นทุกข์ ความพ้นของบรรดาท่านพุทธบริษัทจริงๆ มี ๓ ชั้นด้วยกันคือ
(๑)   สวรรค์
(๒)   พรหมโลก
(๓)   นิพพาน
และเวลานี้ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทท่านใดมีความปรารถนานิพพานไว้เป็นเบื้องหน้า แม้จะตายจากความเป็นคน เป็นเทวดาก็ตาม เป็นพรหมก็ตาม มีหวังพระนิพพานเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ก็เพราะว่าในศาสนานี้ยังมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง มีนามว่า “ พระศรีอาริยเมตไตรย ” จะตรัสไม่นานนัก สมมติว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก บนดาวดึงส์นี่เขามีเวลาอยู่ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ แต่ว่าท่านจะอยู่เพียง ๓๐๐ ปีทิพย์ ก็พบ พระศรีอาริย์ แล้ว เมื่อพบองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ฟังเทศน์เพียงจบเดียว คนที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ก็จะเป็นพระโสดาบัน ถ้าฟังเทศน์เพียงครั้งที่ ๒ เทวดา นางฟ้าพวกนั้นก็จะเป็นพระอรหันต์ ต่อไปเป็นอันว่า ขณะใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ขณะที่พระองค์ทรงเทศน์จบ เทวดากับนางฟ้าและพรหมเป็นพระอริยเจ้ามากว่าเป็นมนุษย์

ในการบำเพ็ญกุศลของบรรดาพุทธบริษัทวันนี้มีอะไรบ้างที่เป็นบุญเป็นกุศล ในอันดับแรก บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนตั้งใจจะมาบำเพ็ญกุศลในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัด คำว่า “ วัด ” ก็มีทั้งพระพุทธรูป มีทั้งพระธรรม มีทั้งพระสงฆ์ การนึกถึงวัดก็คือว่านึกถึง ๓ อย่างคือ
(๑)   นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย
(๒)   นึกถึงพระธรรมด้วย
(๓)   นึกถึงพระอริยสงฆ์ด้วย

การนึกถึงพระพุทธเจ้าจัดว่าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน
การนึกถึงพระธรรมคำที่พระสวด หรือคำที่พระเทศน์เป็น ธัมมานุสสติกรรมฐาน
การนึกถึงพระสงฆ์เป็น สังฆานุสสติกรรมฐาน
กรรมฐานทั้ง ๓ อย่างนี้ ถ้าบรรดาพุทธบริษัทท่านใดต้องการมีความมั่นคงอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเป็นพุทธานุสสติ นึกถึงพระพุทธเจ้าก็ดี เป็นธัมมานุสสติ นึกถึงพระธรรมก็ดี เป็นสังฆานุสสติ นึกถึงพระสงฆ์ก็ดี
โดยเฉพาะไว้ กำลังใจมีความมั่นคงตรงต่อพระพุทธเจ้า หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะ อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตายแล้วลงนรกไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องไปสวรรค์
นอกจากนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านตั้งใจไว้ว่า มาถึงวัดเราจะรับศีล ๕ ก็ดี ขึ้นชื่อว่าศีล อานิสงส์ของศีล ก็มีอยู่ว่า
ที่พระพุทธเจ้าตรับไว้ตอนท้ายว่า

“ สีเลนะ สุคติง ยันติ ”
ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดบนสวรรค์
“ สีเลนะ โภคสัมปทา ”
ศีลเป็นปัจจัยให้เราเกิดไปชาติหน้า มีทิพยสมบัติมาก
“ สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ”
ศีลเป็นปัจจัยให้เข้าพระนิพพานได้โดยง่าย

รวมความว่า กำลังใจขั้นที่ ๒ ของบรรดาท่านพุทธบริษัททำให้เกิดบนสวรรค์ก็ได้ เกิดบนพรหมโลกก็ได้ บนนิพพานก็ได้
ในขั้นที่ ๓ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจรับรสพุทธพจน์เทศนาเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้เป็นตัว “ ปัญญา ” เป็นปัจจัยทำให้เข้าถึงนิพพานโดยง่ายเช่นเดียวกัน



สำหรับวันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน จะขอนำเอาพระสูตร ที่บุคคลคนหนึ่งซึ่งไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์มาก่อน แต่ว่าพอใกล้จะตายจิตใจนึกถึงองค์สมเด็จพระชินวรคือพระพุทธเจ้าเพียงชั่วขณะเดียว เขาตายจากความเป็นคน เขาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ต่อมาขณะที่เป็นเทวดาฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียวเป็นพระโสดาบัน เวลานี้ท่านยังอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เรื่องนี้ความก็มีอยู่ว่า

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับยับยั้งสำราญอิริยาบถปรากฏอยู่ใน พระเชตวันมหาวิหาร เวลานั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารเสด็จมาโปรดบรรดาท่านพุทธบริษัทในที่ต่างๆ ก็มีพราหมณ์คณะหนึ่ง ซึ่งเขาเป็นพราหมณ์ ความจริงพราหมณ์ที่นับถือพระพุทธเจ้าก็มีมาก ขณะที่บรรลุพระอรหันต์ทั้งหลายที่เป็นพราหมณ์น่ะมีมาก แต่ว่าพราหมณ์ก๊กนี้ เขาเป็นครูของพราหมณ์ เขาเป็นคณาจารย์สอนความรู้ของพราหมณ์ ก็เลยไม่นับถือพระพุทธเจ้า เขาถือว่าเขาก็หนึ่งในศาสนาเช่นเดียวกัน ฉะนั้น พราหมณ์ตระกูลนี้ เมื่อเห็นองค์สมเด็จภควันต์บรมศาสดาก็ดี พระสงฆ์ก็ดี
เขาไม่เคยยกมือไหว้ เขาไม่เคยใส่บาตร เขาไม่เคยฟังเทศน์ เพราะศาสนาของเขาก็มี และพราหมณ์ผู้นี้มีนามว่า “ อทินนกปุพพกพราหมณ์ ” แปลเป็นใจความว่า พราหมณ์ผู้ไม่เคยให้อะไรใครมาในกาลก่อน คือคำว่า
“ ทาน ” น่ะ เขาไม่เคยให้ เขาก็สอนลูก สอนหลาน สอนบริวาร ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน แม้แต่ทานก็ไม่เคยให้
แต่ว่าท่านพราหมณ์ผู้นี้มีลูกชายอยู่คนเดียว เป็นมหาเศรษฐีด้วย ต่อมาลูกชายเกิดอาการป่วยขึ้นมา แกจะไปหาหมอมารักษาเกรงว่าจะเสียสตางค์มาก ค่าหมอก็จะเสีย ค่ายาก็จะเสีย ถ้าจะซื้อยามาจากตลาดในร้านค้าของหมอมารักษาก็เกรงว่าจะเสียสตางค์มาก เสียดายทรัพย์ จึงได้ถามหมอ หมอก็ได้บอกยากลางบ้านสำหรับคนเป็นโรคผอมเหลืองให้มารักษาเอง แกก็เก็บสมุนไพรมารักษาเอง ในไม่ช้าลูกชายก็ตาย
แต่ว่าก่อนที่ลูกชายจะตาย ในขณะที่ลูกเจ็บหนัก พราหมณ์มีความรู้สึกว่า เราเป็นคนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี เวลานี้ลูกชายอยู่ในห้อง มีความสวยสดงดงาม เครื่องประดับประดามาก ดีไม่ดีพวกญาติทั้งหลายทราบว่าลูกชายของเราป่วย ถ้าเขามาเยี่ยมลูกชายของเรา เห็นของที่มีค่ามาก เขาขอเราก็จำจะต้องให้ ก็เกิดเสียดายของขึ้นมา เลยยกลูกชายมานอนที่ระเบียงหน้าบ้านออกนอกห้อง
ลูกชายก็มีความรู้สึกว่า เวลานี้พ่อก็ดี แม่ก็ดี ไม่ใช่ที่พึ่งของเรา เราป่วยหนักจะหาหมอมารักษา พ่อกับแม่ก็จะเสียดายเงิน จะซื้อยาจากร้านหมอมา พ่อกับแม่ก็ยังเสียดายเงิน เรานอนในห้องดีๆ เวลานี้เราป่วยหนักเอาเรามานอนไว้ที่ระเบียงบ้าน ไม่มีอะไรแวดล้อม ก็มีความรู้สึกว่า พ่อก็ดี แม่ก็ดี ทรัพย์สินก็ดี ไม่ใช่ที่พึ่งของเรา เวลานี้เราป่วยหนัก เราไม่มีที่พึ่ง เคยได้ยินข่าวเขาลือกันว่า สมเด็จพระสมณโคดม เป็นพระใจดีมาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสงเคราะห์ไม่เลือกว่าผู้ใด เขาจึงคิดในใจว่า “ เวลานี้ ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรคือ พระสมณโคดม มาช่วยโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บด้วยเถิด ”

เวลานั้น ก็เป็นเวลาที่องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตพอดีกับพระอานนท์ พอถึงบ้านนั้น ก็ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ เกิดเป็นแสงสว่างปรากฏข้างหน้าของเธอ ความจริงน่ะ มัฏฐกุณฆลี เธอหันหน้าเข้าข้างฝา พอเห็นแสงแปลกประหลาดก็เหลียวหน้าไปดู เห็นพระพุทธเจ้า ก็นึกในใจว่า “ ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาได้โปรดสงเคราะห์ให้ข้าพระพุทธเจ้าหายจากโรคเดี๋ยวนี้เถิด ”



ขณะที่เขานึกถึงพระพุทธเจ้ามารักษาให้หายจากโรค แต่ความจริงเขาไม่ได้หาย คนมันถ้าจะตายเสียอย่างหนึ่งทำอย่างไรก็ตาย พระพุทธเจ้าเองก็ยังนิพพานเมื่อหมดอายุขัย แต่ว่าพระพุทธเจ้าก็ช่วยเขาได้ คือในขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านไปประเดี๋ยวเดียวเขาก็ตาย ตายทั้งๆ ที่จิตใจนึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ อาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระบรมครูและบุญที่เขานึกถึง ที่เรียกว่า “ พุทธานุสสติ ”
อย่างนี้เขาเรียกว่า “ พุทธานุสสติ ” นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
แกตายจากความเป็นคน ก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร ตามธรรมดาเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ทุกท่านมีสภาพเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อตายจากความเป็นคนปั๊ป ไปเกิดในวิมาน มีวิมานเป็นที่อยู่ มีบริวารเป็นทิพย์ มีความสุข ก็มักจะนึกย้อนถอยหลังว่า “ เดิมทีเราเกิดเป็นมนุษย์ เราทำอะไรจึงได้สมบัติขนาดนี้ ”
มัฏฐกุณฆลี ก็เช่นเดียวกัน
มัฏฐกุณฆลี ก็มีความรู้สึกว่า “ เวลานี้ เรามีวิมานเป็นทิพย์ เรามีการเป็นทิพย์ เรามีนางฟ้าเป็นบริวารเป็นทิพย์ทั้งพันองค์ ทุกอย่างเป็นทิพย์หมดมีความสุขหมด เพราะอาศัยบุญอะไรเป็นเหตุ? ”
ก็ทราบว่าเพราะอาศัยนึกถึงองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ คือพระพุทธเจ้าให้ช่วยรักษาโรคให้หาย แต่กาลเวลาชีวิตของเราเข้ามาถึง โรคไม่สามารถจะหายได้
และแล้วเราก็ตาย เราตายจากความเป็นคนมาเกิดเป็นเทวดามีความสุขมากกว่า เขาก็คิดย้อนถอยหลังไปถึงพ่อของเขาด้วยว่า “ เวลานี้พ่อกับแม่มีความสุขดีหรือเปล่า ” ก็ทราบว่า เวลานี้ท่านผู้เป็นพ่อขี้เหนียวแสนขี้เหนียว เวลาลูกป่วยเสียดายเงินมากกว่าเสียดายชีวิตลูก คือเป็นมหาเศรษฐี เวลานี้มายืนที่ปากหลุมฝังศพ มายืนพรรณนาร้องไห้ลูกกลับมาเกิดใหม่ เพราะมีลูกคนเดียว ท่านจึงมีความรู้สึกว่า “ พ่อของเราเป็นคนพาล ”
คำว่า “ พาล ” น่ะ เขาแปลว่า โง่
พ่อของเราเป็นคนโง่ เวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ไม่มีความเคารพ ถือตัวว่าเป็นคนดีมีธรรมะ แต่ความจริงธรรมะของพ่อเป็นธรรมที่ผิด ไม่ใช่ถูก ไม่สามารถจะช่วยให้พ้นทุกข์ได้ จึงตั้งใจจะไปสงเคราะห์พ่อให้มีความสุข เธอจึงแปลงตัวของเธอเองให้เหมือนร่างเดิม มายืนร้องไห้ใกล้ๆ กับพ่อ
พอท่านพ่อเห็นเข้าก็นึกว่า เด็กหนุ่มคนนี้มีรูปร่างคล้ายๆ ลูกของเรา ถ้าเราได้ไว้แทนลูกก็จะดีจะมีความสุขขึ้น จึงหันไปถามว่า “ ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ พ่อหนุ่ม เธอร้องไห้อยากได้อะไร? ”
พ่อหนุ่มก็ถามว่า “ คุณลุงร้องไห้อยากได้อะไร? ”
คุณลุงก็เลยบอกว่า “ เวลานี้ลูกชายของฉันตาย รูปร่างคล้ายๆ เธอ รุ่นราวคราวเดียวกัน เขาตายศพเขาฝังอยู่ที่นี่ ลุงต้องการให้เขากลับมาเกิดใหม่ เป็นลูกใหม่ เพราะมีลูกชายคนเดียว และก็เธอล่ะร้องไห้เพราะอะไร? ”
เธอก็ตอบว่า “ ผมมีรถทองคำอยู่คันหนึ่ง สวยงามมาก แต่ว่าเวลานี้ไม่มีล้อ อยากจะได้ล้อรถ ”
ท่านลุงนึกในใจว่า “ ถ้าได้เด็กคนนี้ไว้แทนลูกของเรา ความสุขจะมีขึ้น ”
ท่านลุงจึงได้ถามว่า “ เจ้าต้องการอะไร ต้องการล้อทองคำ หรือต้องการล้อแก้วมณี ลุงจะหาให้ ”
มัฏฐกุณฆลี ก็คิดว่า พ่อของเรา เมื่อเรามีชีวิตอยู่ แม้แต่ค่ายาก็ยังขี้เหนียว ไม่อยากจะเสีย ค่าหมอก็ไม่อยากจะจ่าย กลัวเสียเงินมาก เวลานี้เราตายแล้วแปลงกายมาคล้ายรูปเดิมกลับจะให้ล้อรถเป็นแก้วมณี หรือเป็นทองคำ เธอจึงแกล้งบอกว่า “ คุณลุงครับ รถของผมน่ะสวยมาก แก้วมณีก็ดี ทองคำก็ดี นี่เป็นล้อรถไม่สมควรแก่ล้อรถของผม ”
ลุงก็ถามว่า “ อะไรล่ะที่พอสมควรแก่รถของเธอ? ”
เธอก็ตอบว่า “ ผมอยากจะได้ดวงจันทร์เป็นล้อข้างหนึ่ง กับดวงอาทิตย์เป็นล้อข้างหนึ่ง ถ้าได้ ๒ อย่างนี้ จะเป็นที่พอใจของผม ”
ท่านมหาเศรษฐีก็คิดว่า เด็กคนนี้บ้า!
จึงบอกว่า “ เจ้าบ้า! ใครเขาจะต้องการดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มาทำเป็นล้อรถได้ ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์เกินวิสัยที่คนจะนำมาใช้ได้ ”
มัฏฐกุณฆลี ก็ถามว่า “ ผมต้องการสิ่งที่ผมมองเห็น คือ ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ แต่เวลานี้คุณลุงต้องการลูกชายที่ตายไปแล้ว คุณลุงทราบหรือว่าลูกชายอยู่ที่ไหน? ”
พราหมณ์ก็ตอบว่า “ ฉันไม่ทราบ ”
มัฏฐกุณฆลี ก็ถามว่า “ คนที่ต้องการสิ่งที่มองเห็น กับคนที่ต้องการสิ่งที่มองไม่เห็น ใครจะบ้ามากกว่ากัน? ”
ก็รวมความว่า ลุงเสียท่า เธอจึงแสดงความเป็นจริงว่า “ ผมก็คือลูกชาย เวลานี้เกิดเป็นเทวดามีนามว่า มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร มีร่างกายเป็นทิพย์ ที่มานี่ก็ต้องการจะมาแนะนำพ่อกับแม่ให้รู้จักการทำบุญ ”
พราหมณ์ก็ถามว่า “ เจ้าไปเกิดเป็นเทวดาเพราะอาศัยบุญอะไร? ”
เธอก็ตอบว่า “ อาศัยวิชาความรู้ของพราหมณ์นี่ไม่เกิดผล ที่ได้เป็นเทวดาจริงๆ เพราะอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระทศพล คือพระพุทธเจ้า เพราะก่อนที่จะตายเพราะนึกถึงพระพุทธเจ้า ก็คือ พระสมณโคดม ให้มาช่วยรักษาโรคให้หาย แต่ความจริงร่างกายมันจะต้องตาย มันจะหายไม่ได้ แต่ว่าตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดา เพราะอาศัยนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงแค่ชั่วขณะเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ดี ขอพ่อขอแม่ก็ดี ทุกคนในบ้านนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จงมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา คือ พระพุทธเจ้า โดยเฉพาะ พระสมณโคดม และจงรู้จักให้ทาน รู้จักการยกมือไหว้ รู้จักการรักษาศีล รู้จักการฟังเทศน์ ต่อไปเบื้องหน้าจะมีความสุข ”
เมื่อเธอพูดอย่างนี้แล้ว เธอก็แสดงตนเป็นเทวดาสวยงามมาก และก็ลาหายไปในอากาศ ท่านพราหมณ์ฟังแล้วก็เกิดความดีใจว่า “ โอหนอ...พระสมณโคดม มีคุณใหญ่ เรานี้มีความโง่มาก ฉะนั้น วันนี้เราจะเลี้ยงอาหารพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมไปด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด ”
เวลานั้นพระสงฆ์บริวารมี ๕๐๐ องค์เศษ จึงได้กลับบ้านไป บอกกับแม่บ้านว่า “ วันนี้ทำอาหารมากๆ หุงข้าวมากๆ ทำแกงมากๆ ทำขนมมากๆ ฉันจะเลี้ยงพระสมณโคดม พร้อมไปด้วยสาวกทั้งหมดประมาณ ๕๐๐ องค์ และก็จะนิมนต์ พระสมณโคดม เทศน์ ”
พราหมณ์ก็เล่าความเป็นมาให้ทราบ



ดังนั้น เมื่อพราหมณ์สั่งภรรยาแล้ว ก็เดินทางไปจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระพุทธเจ้า เวลานั้นคนที่ฟังข่าวก็เกิดแตกเป็นสองพวก พวกที่เป็นพราหมณ์จริงๆ ไม่เคยเคารพพระพุทธเจ้า เขาก็มีความรู้สึกว่า
“ วันนี้เราอยากจะดูพราหมณ์ผู้นี้ไปย่ำยีพระสมณโคดม ”
พวกที่นับถึงพระพุทธเจ้าก็คิดในใจว่า “ วันนี้เราจะดูลีลาพระสมณโคดม คือพระพุทธเจ้าทรมานพราหมณ์ผู้นี้ ”
คนที่ไปก็ไปกันมาก พวกฟังข่าวก็ไปยืนเป็นสองพวกด้วยกัน เมื่อเข้าไปถึงแล้ว พราหมณ์แทนที่จะนั่งยกมือไหว้เขาก็ไม่ทำ เขายืนเฉยๆ แล้วก็กล่าววาจาเรียกชื่อพระพุทธเจ้า สมัยนั้นการเรียกชื่อกันเขาถือเป็นการไม่เคารพ แต่ว่าพระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงถือ เขาถามว่า “ พระสมณโคดม คนที่นึกถึงชื่อท่านอย่างเดียว ไม่เคยยกมือไหว้ ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ตายจากความเป็นคนเป็นเทวดามีไหม? ”
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ พราหมณะ ดูก่อนพราหมณ์ คนที่นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ไม่ใช่นับร้อยนับพัน นับเป็นโกฏิ ”

หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็โปรดเรียก มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร ให้ มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร มาพร้อมด้วยวิมาน
วิมานของ มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร ก็ลอยมาใกล้ เมื่อต่ำลงมาใกล้แล้วเธอก็ลงจากวิมานเข้าไปกราบองค์สมเด็จพระพิชิตมาร แสดงความเคารพ คนที่นั่งทุกคนมองเห็นเหมือนกันหมด เห็นเทวดาด้วย เห็นวิมานของเทวดาด้วย เห็นบริวารของเทวดาด้วย ก็เกิดความเลื่อมใส ดังนั้น เมื่อเห็นเทวดามากราบองค์สมเด็จพระจอมไตร ก็เกิดความเลื่อมใสมากขึ้น นึกว่า พระพุทธเจ้านี่ดีกว่าเทวดาแน่ สำหรับคนที่ไม่เคยเลื่อมใสพระองค์นะ แต่คนที่มีความเลื่อมใสอยู่แล้ว ก็เกิดปีติมากขึ้น
เวลานั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรด ตั้งใจโปรดเฉพาะ มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร ก็ทรงเทศน์โปรด เมื่อเทศน์จบ มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร ก็เป็นพระโสดาบัน
สำหรับคนที่ฟังทั้งสองฝ่ายนั้น ก็เป็นพระโสดาบันไปตามๆ กัน นี่ก็เป็นผลพลอยได้

หลังจากนั้น พราหมณ์ก็นิมนต์องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปบ้านเลี้ยงอาหารตามที่เขาคิดไว้
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การที่ท่านทั้งหลายตั้งใจมาทำบุญกันวันนี้ ถ้าจะเปรียบบุญบารมีที่ท่านทำกันกับ มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร บุญบารมีและกำลังใจท่านดีกว่า มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร มาก ทั้งนี้ก็เพราะว่า มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร นี่ ไม่เคยเคารพพระพุทธศาสนามาก่อน ไม่เคยเคารพพระพุทธเจ้าด้วย ไม่เคยเคารพพระธรรมด้วย ไม่เคยเคารพพระอริยสงฆ์ด้วย เพราะตระกูลของเขาเป็นอย่างนั้น
แล้วประการที่ ๒ ตัว มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร ไม่เคยให้ทานมาในกาลก่อน แต่อาศัยที่เขามานึกถึงพระชินวรคือพระพุทธเจ้าในเวลาป่วยหนัก แต่เขาก็ไม่ได้นึกถึงด้วยความเคารพอย่างที่บรรดาท่านพุทธบริษัทนึกอยู่เวลานี้ เขานึกถึงแต่เพียงว่า ขอองค์สมเด็จพระชินศรีทรงช่วยเขาให้หายจากการป่วย มันเป็นความรู้สึกที่เบามาก แม้เป็นความรู้สึกที่เบามากก็จริงแหล่ แต่ว่าเขาตายจากความเป็นคน เขาก็เป็นเทวดาได้
ในเมื่อคนที่นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วย่อมไม่พ้นพระพุทธเจ้าที่เขาเรียก “ พุทธานุสสติ ”
บรรดาท่านพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกับ มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดา อาศัย พุทธานุสสติ เบื้องแรก ก็ไปพบพระพุทธเจ้าเป็นครั้งที่สอง ฟังเทศน์อีกจบเดียวเป็นพระโสดาบัน

แล้วเรื่องเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ท่านเป็นพระโสดาบันมันน้อยที่จะโง่กลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์ พวกเทวดา พวกนางฟ้า พวกพรหม มีร่างกายเป็นทิพย์ มีใจเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์ เขามองพวกเรา เขาเป็นทุกข์ทุกอย่าง เขาสามารถที่จะนึกถึงชาติต่างๆ ที่เขาเคยเกิดเป็นมนุษย์ได้ เป็นสัตว์เขาก็นึกได้ว่าการเกิดเป็นสัตว์มันลำบากแค่ไหน การเกิดเป็นคนมันลำบากแค่ไหน การเกิดในอบายภูมิเป็นสัตว์นรกมันลำบากแค่ไหน แต่ว่าทั้งนี้ต้องเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปนะ
เพราะว่า เทวดา นางฟ้า หรือพรหม ถ้าไม่ได้เป็นพระโสดาบันยังมีความประมาท ยังมีความเมามันในความเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ไม่บำเพ็ญกุศลต่อที่เรียกว่า “ เทวดาพาล พรหมพาล ” แบบนี้มีเยอะ
พาล แปลว่า โง่ ไม่บำเพ็ญบุญต่อ
สำหรับท่านที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ย่อมมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ คือคนที่ต้องการเป็นพระโสดาบัน และเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว เขาคิดอย่างอื่นไม่มี เขาคิดอย่างเดียวว่า “ เมื่อไรเราจะเข้าถึงนิพพาน มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ”
ฉะนั้น การบำเพ็ญกุศลต่อย่อมมีกับเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ที่เป็นพระโสดาบัน
นี่ถ้าจะเทียบความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เวลานี้ทำอะไรบ้าง ก่อนจะมาทุกท่านตั้งใจมาด้วยความเคารพ อันนี้ดีกว่า มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร แล้ว
และคนที่จะมานี้ตั้งใจมาด้วยดี ถ้าไม่เคารพในพระพุทธศาสนาทุกคนไม่มา
ที่มานี้มาด้วยความเคารพดีกว่าเขา
ประการที่ ๒ เมื่อพบพระพุทธรูปก็ดี พบพระสงฆ์ก็ดี ไหว้ด้วยความเคารพ ไหว้ด้วยความตั้งใจจริง นี่เราก็ดีกว่าเขา
ประการที่ ๓ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์เป็น สังฆทาน อันนี้ก็ดีกว่าเขา
มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร ไม่ให้เลย
และอีกประการหนึ่ง ท่านทั้งหลายตั้งใจสมาทานศีล อันนี้ก็ดีกว่าเขาอีก
มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร ไม่เคยทำเลย
และก็ตั้งใจฟังเทศน์ ก็ดีกว่าเขา
มัฏฐกุณฆลีเทพบุตร ไม่เคยฟังเทศน์ แต่เขาเป็นพระโสดาบันได้ ในขณะที่เขาเป็นเทวดาได้ด้วยฉันใด ในเมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจสร้างความดี ดีกว่าเขามากอย่างนี้ ก็จงอย่าทิ้งความดี
ความดี ที่ควรจะรักษาไว้ก็คือ ทุกวันทุกคืน เอาเฉพาะเวลาว่างหรือเฉพาะกลางคืนก็ได้ หรือเฉพาะทั้งสองเวลาก็ดี “ ตั้งใจไว้ว่าเราจะบูชาพระ ”
การบูชาพระจะสวดมนต์มาก สวดมนต์น้อย อันนี้ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่กำลังใจ
ถ้าเราสวดมนต์ไม่ได้เลย ก็ตั้งใจว่า “ นะโม ตัสสะ ภะคะว ะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ” ซึ่งแปลว่า ข้าพเจ้าขอเคารพพระพุทธเจ้า พระอรหันต์องค์นี้
เพียงเท่านี้ ก็เหลือแหล่แล้ว ว่าด้วยความเคารพจริงๆ ตั้งใจจริงๆ
หรือถ้าว่ามากกว่านี้
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ไปอีก ๓ วาระ ตามที่ว่ากันมา เวลาที่ว่านั้น ก็ว่าด้วยความตั้งใจ ด้วยเคารพ ด้วยความจริงใจ เวลานั้นอานิสงส์สูงขึ้น
เป็นทั้ง พุทธานุสสติ ด้วย
เป็นทั้ง ธัมมานุสสติ ด้วย
เป็นทั้ง สังฆานุสสติ ด้วย
เอาเพียงแค่อย่างเดียวแค่นี้
บรรดาท่านพุทธบริษัทให้ท่านสังเกตว่าถ้าถึงเวลาจะบูชาพระ ถ้าวันไหนยังไม่ได้บูชาพระ วันนั้นไม่สบายใจ ต้องบูชาพระให้ได้ ถ้าจิตใจของท่านเป็นอย่างนี้ แสดงว่าท่านมีกำลังใจเป็น ฌานในพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ
คำว่า “ ฌาน ” นี่เป็นกำลังสูง
คำว่า “ ฌาน ” ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ต้องไปนั่งขัดสมาธิจนเป็นฌาน ไอ้อย่างนั้นเรียกว่า “ ฝึกความเป็นฌาน ” ฌานจริงๆ ที่ทรงตัวก็คือ จิตนึกอยู่ เมื่อถึงวาระจริงๆ จิตต้องการบูชาพระ
ถ้ามีพระพุทธรูป นั่งมองดูพระพุทธรูปเป็น พุทธานุสสติ กล่าวถึงพระธรรมเป็น ธัมมานุสสติ กล่าวถึงพระสงฆ์เป็น สังฆานุสสติ ถ้าอย่างเก่งจริงๆ ก็ว่า อิติปิ โส อีกสักจบก็จะดีมาก
บท อิติปิ โส บทต้นพรรณนาความดีของพระพุทธเจ้า บท สวากขาโต พรรณนาความดีของพระธรรม บท สุปฏิปันโน พรรณนาความดีของพระสงฆ์



แค่เท่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เพียงแค่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าทำได้ทุกวัน เวลาจะตายมันลงนรกกันไม่ได้แน่
เวลาเหลือ ๒ นาทีจะหมดเวลา
ทางที่ดีบรรดาท่านพุทธบริษัทตัด สังโยชน์ ๓ ให้ได้จะดีมาก ค่อยๆ ทำ สังโยชน์ ๓ นะ เป็นพระโสดาบัน
และเวลานี้ทุกท่านได้ ๒ แล้ว คือ
(๑)   นึกถึงความตาย ทุกคนถ้าไม่นึกถึงความตายจะไม่มีใครทำบุญ เพราะเกรงว่าจะตายจะไปลำบาก จึงทำบุญ อันนี้เรามีแล้ว ที่เรียกว่า “ สักกายทิฏฐิ ”
(๒)   ตัด สังโยชน์ ข้อที่ ๒ วิจิกิจฉา คือ ตัดความสงสัยในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ทุกอย่างมีแล้ว ท่านตัดได้แล้ว ท่านมีความเคารพ
(๓)   ก็เหลือตัวเดียว สีลัพพตปรามาส การรักษาศีลให้เคร่งครัด รักษาศีลอย่างจริงใจ อย่าให้ขาด เคยขาดมาในกาลก่อน ก็เป็นเรื่องของมัน เวลานี้เรารักษาอย่าให้ขาด บางครั้งมันจะเผลอบ้างอะไรบ้าง เป็นของธรรมดา เวลาใหม่ๆ แต่ว่าเมื่อตั้งใจรักษาจริงๆ ในไม่ช้าไม่นานไป ศีลก็จะครบถ้วยบริบูรณ์
ก่อนจะหลับให้นึกทบทวนว่า เวลานี้ศีล ๕ เรามีครบถ้วนไหม วันนี้มันบกพร่องข้อไหนบ้าง ถ้าทราบว่าบกพร่องข้อไหน คิดว่าพรุ่งนี้เราจะไม่ให้บกพร่อง พอตื่นเช้าเราคิดว่า วันนี้ศีล ๕ ของเราจะไม่ยอมให้บกพร่อง พอก่อนจะหลับก็นึกทบทวนใหม่ ทำอย่างนี้ทุกวัน
บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน อาตมาคิดว่า ไม่เกิน ๓ เดือน ทุกท่านจะมีศีลบริสุทธิ์ ถ้ามีศีลบริสุทธิ์ ก็นึกถึงใจว่าใจเราต้องการสวรรค์หรือพรหมโลก หรือว่านิพพาน ถ้าความเป็นพระโสดาบันเข้าถึงใจท่านจริงๆ ท่านจะมีความต้องการอย่างเดียวคือ นิพพาน โดยเฉพาะ
เพียงเท่านี้แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าตายจากความเป็นคน ก็จะลงอบายภูมิไม่ได้ จะเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมก็ตาม ต่อไปก็นิพพานกันแน่ไม่ต้องลงมา

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า เวลาหมดพอดี ก็ขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้
ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้ อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัยมีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ทั้ง ๓ ประการ ขอจงดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านปรารถนาสิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาทุกประการ
อาตมภาพประทานวิสัชนามา ในธัมมิกถาก็ยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

ที่มา : นิตยสารธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๒๖ ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๑
หน้า ๓๒-๔๒. ถอดความโดย ศรีโคมคำ

15


ผู้ถาม: “กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่าสูง ลูกสงสัยว่า ถ้าฆราวาสที่มีจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้ว เวลาประสบสิ่งที่ทำให้ไม่สบายเช่นเรื่องเกี่ยวกับการทำมาหากิน การกระทบอารมณ์ต่างๆ อยากทราบว่า อารมณ์เขาตอนนั้นจะเป็นอย่างไรเจ้าคะ?”

หลวงพ่อ: “พระโสดาบันก็มีอารมณ์คล้ายคลึงกับคนธรรมดา ยังมีความรักในระหว่างเพศ ยังต้องการความร่ำรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในขอบเขตของศีล ฉะนั้นความสะเทือนใจย่อมมี แต่ว่าพระโสดาบันไม่ละเมิดศีล ไม่ผิดกาเม ความต้องการรวยยังมีแต่ว่าไม่โกงใคร ไม่ละเมิดศีล โกรธได้แต่ไม่ฆ่าใคร หลงในชีวิตแต่ไม่คิดว่าร่างกายจะไม่ตาย ขอบเขตเขามีแค่นั้นนะ จะไปนึกว่าโสดาบันเขาไม่มีความรู้สึกไม่ได้ ถือว่าชาวบ้านชั้นดี”

ที่มา : หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑๐ หน้า ๑๒๓-๑๒๔

หน้า: [1] 2 3