เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - เฉลิมชัย

หน้า: [1]
1


(ตอนที่ 25) ขั้นสำคัญการอธิษฐาน

ขั้นตอนต่อไป คือ การอธิษฐานให้ตัวเราออกไปข้างหน้าองค์พระ สร้างรูปตัวเองขึ้นใหม่ ว่าเรากำลังกราบท่านอยู่ตอนแรก ๆ อาจไม่ชัด ภายหลังเมื่อมีความชำนาญก็จะชัดเจนขึ้นเอง บางครั้งเราจำเป็นต้องสร้างมโนภาพเสียก่อ...น เช่นอธิษฐานไปในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ที่เราจำได้หรือคุ้นเคยอาจเป็น วัดพระแก้ว วัดมคงบพิตร ถ้ำเมืองนะ วัดป่าธาราภิรมย์ เชียงดาว ฯลฯ วิธีการเช่นนี้ เป็นการช่วยจิตไม่ให้ซัดส่ายไปทางอื่น ๆ ถือว่าเป็นการให้งานแก่จิตเช่นกัน ตอนแรกอาจเห็นไม่ชัด นาน ๆ ไปภาพจะปรากฏชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ อาจมีผู้โต้แย้งว่า การสร้างมโนภาพเป็นอุปทาน แล้วจะได้ประโยชน์อะไรเพราะการนั่งปฏิบัติ ไม่จำเป็นต้องเห็นก็ได้ มิฉะนั้นจะไปติดนิมิตไม่ผิดกับการตะครุบเงาตนเอง ขอความกรุณาอย่าตีความหมายไปเลยที่เดียว เนื่องจากการเห็นตนเองหรือนิมิตต่าง ๆ สิ่งสำคัญต้องมีสติ พิจารณาเทียบเคียงกับใจของตนเองอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ตัวหลงเกิดขึ้น โดยต้องเอาตัวโลภ โกรธ หลง เป็นบรรทัดฐานสำหรับพิจารณาความก้าวหน้าของจิต เป็นความจริงที่บางท่านสามารถเห็นนิมิต พูดกับพระได้หรือไปสถานที่ต่าง ๆ ด้วยอำนาจจิตที่เรียกว่า มโนมยิทธิ แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด เพราะไม่ได้เอานิมิตมาละ นิมิต กล่่าวคือ เมื่อท่านสามารถเห็นตนเอง หรือจะเรียกว่า อาทิสมานกาย หรือเรียกว่ากายทิพย์ก็ได้ ท่านจะต้องเอากายทิพย์นี้มาพิจารณากายเนื้อให้ละเอียด ตั้งแต่ ขน เล็บ ฟัน หนัง ตับ ไต ไส้ ปอด ฯลฯ ที่ทางพระเรียกว่า กายคตานุสติกรรมฐาน จนเห็นเป็น อสุภกรรมฐาน คือสิ่งที่ไม่สวยงามสักแต่เป็นธาตุขันธ์ที่ต้องแตกสลายไป จนจิตสลายตัวในการยึดมั่นในร่างกาย โดยมีตัวจิตหรือผู้รู้เป็นผู้เห็นนิมิตรเหล่านั้น โปรดทราบไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าท่านนั่งปฏิบัติแล้วไม่พบพระ ไม่มีแสงสว่างอย่าได้กังวลกับสิ่งเหล่านี้ เนื่องจาก วาสนา แต่ละคน แต่ละท่านแตกต่างกัน มิเช่นนั้นจะเกิดความเป็นทุกข์จากการปฏิบัติธรรม แทนที่จะปฏิบัติให้พ้นทุกข์ หรือเห็นธรรมสิ่งที่เราพึงระลึกอยู่เสมอ คือ เราจะไม่ปฏิบัติจนเกินพอดี ไม่ดีดลูกคิดรางแก้วเล็งผลเลิศ คิดจะเอากำไรอย่างเดียว ทวงบุญคุณจากการปฏิบัติ สิ่งที่ท่านต้องดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้า และพระอริยะทั้งหลาย คือ การรักษาศิล ทำวสมาธิ และพยายามพิจารณาสภาวะธรรมต่าง ๆ จนเกิดปัญญาตามโอกาส และเวลาที่เอื้ออำนวยอย่างสม่ำเสมอ ท่านก็น่าจะมีวาสนาไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน

2
(ตอนที่ 24)  จับภาพหลวงปู่ดู่

ญาติธรรมเห็นภาพหลวงปู่ดู่ ที่ผมโพสต์ลงไปนั้น เป็นภาพที่ผมเห็นครั้งแรกในนิมิตผมเอง หลวงปู่ดู่มา ท่านั้งแบบนี้แล้วยิ้มหัวเราะให้ผมดูอย่างนี้ แต่ตอนนั้นผมไม่สามารถพูดอะไรได้ ได้แต่นั่งมองหลวงปู่ดู่ หน้ากุฏิท่าน เท่านั้น ในบรรยายกาศนั้นเย็นสบายมีแต่คนนุ้งผ้าขาวเต็มกุฏิ ยิ้มหัวเราะ เห็นภาพนั้นแล้วก็อดคิดอยากจะไปอยู่อย่างนั้นอีก แต่ตอนนี้ผม ขอให้ญาติธรรมทุกท่านลองตั้งใจมองภาพท่านแบบสบาย ๆ นิ่ง ๆ ไม่ต้องนึกอะไรนะครับ ถ้าจิตยังคิดเรื่องอื่นทางโลก ก็ให้ดึงจิตที่คิดเรื่องอะไรก็ไม่รู้นั้นดึงกับมาอีกที แล้วก็ให้มีสติตั้งมั่นดูภาพหลวงปู่ดู่ หรือหลับตาใหม่อีกครั้งหนึ่ง จับภาพท่านไม่ชัดก็มองอีกทีแล้วค่อยหลับตา ทำอย่างนี้ทุกวัน แบบสบาย ๆ มีเรื่องที่ทำงาน การค้า หรือปัญหาต่าง ๆ ก็ให้มองภาพหลวงปู่ดู่ ระบายปัญหาที่ติดค้างให้หลวงปู่ดู่ฟัง เพราะตัวกระผมเองก็ทำอย่างนี้ตลอด  พร้อมสวดมนต์ พระมหาจักรพรรดิ หรือ ภาวนาไตรสรณาคม ดังนี้

                                        พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
                                         ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
                                         สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

 ไปเรื่อยๆ ทุกวัน จากปัญหาที่หนักก็กลายเป็นเบาลง ปัญหาที่ติดขัดก็ไหลรื่นสะดวกไม่มีติดขัด สวดมนต์ไป นึกถึงปัญหาที่เกิดขึ้น หมั่นภาวนาไตรสรณาคม นึกถึงหลวงปู่ดู่ตลอดทุกลมหายใจ แล้วทาสขันฐ์ทั้ง4 จะปรับด้วยตัวของมันเอง จากที่เคยใจร้อนก็กลายเป็นเย็นลงไปทีละนิด หมั่นรักษาศิล ภาวนา พิจารณาปัญญา สิ่งแวดล้อมตัวเรา เช่น พ่อ-แม่ ลูก เพื่อน หรือ ปัญหาทางโลกให้พิจารณาดู เห็นสภาพของความเป็นจริง นึกถึงบุญตลอด ทำใจให้เป็นบุญ แค่นี้คุณก็ขึ้นพรหมแล้ว หลวงปู่ดู่บอกว่า ทำใจให้เป็นพรหม ใครด่า ว่า อะไรเงียบยิ้ม แค่นี้ก็ขึ้นพรหมแล้ว ให้ทำอย่างนี้ทุกวัน แล้วท่านก็จะเห็นว่าจิตท่านมันยังวุ่นวายอยู่หรือเปล่า หรือคิดอะไรที่ไม่เข้าท่าสะเลย ก็ให้มองดูเอง แล้วค่อยๆ ทำแบบสบาย ๆ

3


(ตอนที่ 23) แนะนำสำหรับการปฏิบัติใช้พระผงกรรมฐาน (หลวงปู่ดู่) ให้เกิดประโยชน์ เช่น พระธรรมธาตุเกาะที่องค์พระ (หลวงปู่ดู่)

หมายเหตุ : (ผู้ที่ไม่เชื่อหรือไม่รู้ก็ อย่าปรามาสโดยไม่รู้ตัว ก็ขอให้ท่านข้ามไปนะครับโดยไม่ต้องอ่าน)

เพราะข้อความน...ี้เหมาะสำหรับผู้ที่ปฏิบัติจริงเท่านั้นในสายหลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า ให้ทดลองตั้งใจด้วยตัวท่านเองจึงจะเห็นเอง ผมเป็นเพียงแค่สะพานบุญที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากศิษย์หลวงปู่ดู่โดยตรง แล้วให้ผมทดลองทำจริงด้วยตัวเองแล้วได้ผลอย่างที่เห็นจึงได้บอกกล่าวให้ผู้ที่ยังไม่รู้ หรือเพิ่งเริ่มในสายหลวงปู่ดู่ เท่านั้นได้ปฏิบัติจริง ๆ จัง ๆ เท่านั้น

คำอธิบาย: ส่วนการปฏิบัติสมาธิภาวนา ที่เป็นสัมมาสมาธินั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยศิลเป็นพื้นฐาน ศิลช่วยให้ผู้รักษา มีกายและวาจาอันปกติ ส่วนสมาธินั้นย่อมทำให้ผู้เจริญ มีใจอันปกติหรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ศิลเป็นเครื่องกั้นความคะนองทางกายและวาจา ส่วนสมาธิเป็นเครื่องกั้นความคะนองทางใจสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมจะรักษาศิล 8 ก็อาจรักาษาศิล 5 อย่างที่หลวงพ่อดู่ ท่านเรียกว่าศิล 5 ข้อขั้น อุกฤษฏ์ โดยเปลี่ยนการสมาทานศิลข้อ 3 มาเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ (อพรหมจริยา เวรมณีฯ) แทนก็ได้

ขั้นตอนแรก ให้วางอารมณ์ให้สบาย ๆ นิ่ง ๆ

นั่งขัดสมาธิ สบายๆ ปรับกายให้ตรง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน สูดลมหายใจยาว ๆ ลึกๆ สัก 3 ครั้ง แล้วดำรงสติให้มั่น กำหนดจุดบริกรรมภาวนาไว้ในองค์พระที่เรากำในมือ ให้จิตอยู่ที่พระตลอด และให้นึกภาพหลวงปู่ดู่ นิ่งๆ แล้วตั้งใจสวด

(สวดคำสมาทานพระกรรมฐาน)
ตามต้นฉบับ บทสวดมนต์พระมหาจักรพรรดิ ถ้ำเมืองนะ

1.สวดบทบูชาพระ
2.กราบพระ 6 ครั้ง
3.สมาทานศิล 5
4.อาราธนาพระ
5.คำขอขมาพระรัตนตรัย
6.สวดมนต์พระมหาจักรพรรดิ ตามกำลังวัน หรือแล้วแต่ท่านจะสวดตามใจชอบ แต่ผมสวดตามกำลังวันครับ
7.พอสวดเสร็จแล้วให้ตั้งใจกล่าวคำอธิษฐานแบบต้นฉบับ ถ้ำเมืองนะ แล้วก็ สัพเพ 5 ครั้ง ไปยังองค์พระที่เรากำไว้ในมือ นึกถึงภาพหลวงปู่ดู่นิ่ง ๆ ถ้าภาพไม่ชัด ก็ลืมตามองภาพหลวงปู่ดู่ใหม่ แล้วก็หลับตาทำอย่างนี้จน เห็นภาพหลวงปู่แบบชัด ๆ

พอสวดมนต์พระมหาจักรพรรดิเสร็จแล้วก็ตามด้วย
บทสวดอัญเชิญพระธาตุ
ตั้งนะโม……………(3 ครั้ง) แล้วว่า

คำบูชาพระธาตุในจักรวาลทั้งหลาย
จัตตาฬิส สะมาทันตา เกสา โลมา นะขา ปีจะ
เทวา หะรันติ เอเตกัง จักกะวาฬะ กัง ปะรัมปะรา
ปูชิตา นะระเทเวหิ อะหัง วันทามิ ธา-ตุ โยฯ


พอสวดอัญเชิญพระธาตุเสร็จแล้วก็ ภาวนาไตรสรณาคม ดังนี้

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ภาวนาเรื่อยไปจนกว่าจะเลิก อย่าลืมข้อสำคัญกำหนดจิตอยู่ที่พระตลอด นึกถึงภาพหลวงปู่ดู่นิ่ง ๆ อย่าไปบังคับจิตจับ ทำใจให้สบาย ๆ มองแบบสบาย ๆ ให้มองภาพนิ่ง ๆ สบาย ๆ

(ให้ทำอย่างนี้ทุกวัน อย่าได้ขาดแม้แต่วันเดียว แล้วท่านก็จะเห็นด้วยตัวท่านเองครับ) ส่วนพระธรรมธาตุจะขึ้นมายังองค์พระก็ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยนะครับ เรียนรู้ด้วยตัวเองแล้วจะเห็นเอง สวดมาต์พระมหาจักรพรรดิ เท่านั้น เพราะผมใช้อยู่บทเดียว เพราะเป็นบทที่มีพลังงานเยอะ หลวงปู่ดู่ ท่านเมตตาต่อเรามากครับ สาธุ

4
ศิษย์หลวงปู่ดู่แนะนำ…การใช้พระผงให้เกิดประโยชน์…และปฏิบัติสมาธิภาวนา…อย่างละเอียด

ให้นำพระผงจักรพรรดิมากำไว้ในมือ นึกถึงภาพหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แล้วสวดบทพระคาถามหาจักรพรรดิ 1 จบแล้วอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าขออาราธนาอัญเชิญพระบารมีรวม แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันตาขีณาสพเจ้าทั้งหลาย พระธรรม บารมีรวมแห่งพระอริยะสงฆ์ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอหลวงปู่ได้โปรดรวมบารมีทั้งหมดทั้งม...วล แผ่มายังน้ำบริสุทธิ์นี้ ให้มีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และมหิทธานุภาพ เพื่อใช้ในการมงคลทั้งปวง เพื่อใช้ในการแก้และป้องกันคุณไสย อวิชชาต่างๆ เพื่อใช้ในการปรับธาตุทั้ง 4 และรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกประเภท ขอบารมีรวมของหลวงปู่ ได้โปรดเมตตาให้เป็นไปตามคำอธิษฐานแห่งข้าพเจ้านี้ทุกประการด้วยเถิด” แล้วค่อยๆ จุ่มพระผงจักรพรรดิลงในภาชนะใส่น้ำ สวดบทอัญเชิญพระเข้าตัว(บทสัพเพฯ) น้ำมนต์นี้ใช้ได้ทั้งกิน และอาบ (ผมใช้อาบกินทุกวันครับ ทำเองรู้เองครับ...?...

การปฏิบัติภาวนา…ก่อนทำควรอธิษฐานขอกำลังสมเด็จองค์ปฐมบรมพระมหาจักรพรรดิบารมีรวมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระอรหันตาขีณาสพเจ้าทั้งหลาย ทั้งอดีตตชาติและปัจจุบัน ขอหลวงปู่ดู่ช่วยรวมกำลังบารมีรวมให้กับข้าพเจ้าเพื่อแผ่ให้สามแดนโลกธาตุด้วย เพื่อเพิ่มกำลัง และข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนช่วยเหลือในกิจการที่จะพึ่งเกิดในหมู่คณะทุกกรณี และขอมอบตัวเป็นลูกหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ขอให้หลวงปู่ดู่เป็นผู้นำ เป็นผู้อุปการะในการปฏิบัติธรรมทั้งปวงนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงนิพพานะปัจจะโยโหตุ การกล่าวคำภาวนาพระคาถาไตรสรณาคมณ์นั้น ให้มีความสุขความรู้สึกเหมือนกับเราตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ในใจให้จิตเป็นผู้กล่าวคำภาวนา รับทราบและยินดีในองค์พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ที่เกิดขึ้นในจิต ขั้นตอนการทำสมาธิ

1.ทำใจให้สบายๆ ก่อนอันดับแรก ถ้าจิตใจยังไม่สบายก็หลับไปก่อน เพราะถ้าจิตยังไม่สบายก็ภาวนาไม่ถึงไหนก็ยังขุ่นคิดเรื่องที่เป็นทุกข์อยู่เสมอทุกขณะจิตทั้งอดีตและปัจจุบัณ ควรทำใจให้สบาย ๆ ก่อนที่จะนั่งสมาธิ หรือสวดมนต์ หรือนั่งมองภาพหลวงปู่ดู่ ไปก่อนแบบสบาย ๆ ค่อย ๆ ไป

2.เมื่อทำใจให้สบาย ๆ แล้วอารมณ์ดีแล้ว แจ่มใสแล้ว นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวากำพระที่ได้จากหลวงตาม้าหรือญาติธรรมที่ได้สร้างพระผงหลวงปู่ดู่แล้ว เพราะมีกำลังกระแสอยู่ในองค์พระ แล้วก็ วางบนมือซ้ายให้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองจรดกันวางบนหน้าตักพอสบาย ๆ ปรับกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น กำหนดจุดบริกรรมภาวนาไว้ระหว่างคิ้วทั้งสอง แล้วตั้งใจภาวนาคาถาไตรสรณาคมณ์ หรือนึกถึงหลวงปู่ทวดอยู่บ่าขวา นึกถึงหลวงปู่ดู่อยู่บ่าซ้าย นึกถึงพระจักรพรรดิแบบทรงเครื่องอยู่กลางหน้าผาก นึกถึงหลวงตาม้าอยู่บริเวณหน้าอก ก็ได้แล้วแต่ตามเราชอบ แล้วท่องไตรสรณาคมณ์

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ภาวนาไปเรื่อยไปจนกว่าจะเลิก จนเลิกภาวนาแล้วให้สัพเพ แผ่เมตตาและตั้งจิตอุทิศส่วนบุญกุศลให้แก่คุณมารดา บิดา ครูอาจารย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรทั้งปวง หรือสัตว์ที่เรากินเป็นอาหารทุกวัน และที่เราเห็นสัตว์ตายตามท้องถนน เป็นต้น

บทแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล

พุทธัง อะนันตัง ธัมมัง จักวาลัง สังฆัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
ผลบุญของขาพเจ้าที่ได้ทำมาแล้วในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตขอปวงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่าย ตาย เกิดในสังสารวัฎจงมีส่วนได้รับแห่งบุญของข้าพเจ้าทั้งสิ้นนี้เทอญ.

เมื่อเราออกจากสมาธิภาวนาแล้วให้เพียรตั้งใจรักษาศิลห้า ให้มั่นเบื้องต้นของการปฏิบัติอย่างง่าย ๆ ให้คอยระวังรักษาองค์พระที่เกิดขึ้นที่จิต ทำให้จิตให้เป็นกุศลอยู่เสมอ มีสติอยู่ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน นอน การปฏิบัติภาวนาของท่านก็จะเจริญก้าวหน้าสมดังที่ตั้งใจไว้ทุกประการ.

หลวงพ่อเมตตากล่าวเสริมอีกว่า..คนที่กล้าจริงทำจริง เพียรปฏิบัติอยู่เสมอ จะพบความสำเร็จในที่สุด ถ้าทำจริงแล้วต้องได้แน่ ๆ หลวงพ่อยืนยันหนักแน่นและให้กำลังใจแก่ลูกศิษย์ของท่านเสมอเพื่อให้ตั้งใจ
ทำจริง แล้วผลที่เกิดจากความตั้งใจจริงจะเกิดขึ้นให้ตัวผู้ปฏิบัติได้ชื่นชมยินดีในที่สุด

บัณฑิตนั้น ถึงถูกทุกข์กระทบ ถึงพลาดพลั้งลง
ก็คงสงบอยู่ได้ และไม่ละทิ้งธรรมเพราะชอบหรือชัง

5
...สมาธิหรือจิตสงบนั้น สามารถที่จะทำได้ 2 อย่าง คือทั้งในอิริยาบถนิ่ง และอิริยาบถเคลื่อนไหวและทำได้ในทุกท่า โดยไม่จำกัดท่าใดๆ ด้วยเพราะใช้ใจทำ ใช้กายเป็นสถานที่ทำ คือใช้ใจจับดูกายเท่านั้น กายจะอยู่ท่าไหนก็ได้ เพียงแต่ให้พยายามสนใจดูตัวเองว่า ปัจจุบันนี้เดี๋ยวนี้ขณะนี้ กายเรา กำลังทำอะไรอยู่ ก็กำหนดย้ำความรู้สึกนั้นลงไปอีกทีว่า กำลังทำอะไรอยู่ ข้อสำคัญให้ย้ำความรู้สึกอีกครั้งซ้ำลงไปเรียก..ว่ารู้ในรู้...หรือสติสัมปชัญญะก็คือตัวน...ี้แหละ มันจะเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ตามปัจจุบันขณะนั้นอยู่เสมอ คือให้ใจรู้กาย หากจิตนั้นตั้งมั่น รู้อยู่ภายในการในใจอันเป็นปัจจุบันที่รู้จริงๆ แล้วจิตจะเกิดความสงบ ปกติ โปร่ง ว่าง เบาสบาย พอกำลังสติมันเต็มรอบ มันจะเกิดปัญญาอันเป็นความรู้แจ้ง คือตื่นและอิสระเบิกบานในสิ่งที่รู้นั้นทันทีมันจะเกิดปัญญาแห่งธาตุรู้ ที่จะรู้ว่าเหตุทุกข์แท้ๆ นั้นเกิดตรงไหน เกิดจากอะไร ทำไมมันถึงเกิดแก้อย่างไร ควรจะทำอย่างไรจึงจะดับทุกข์ได้สิ้น มันจะบอกเองหมดจากภายในจิตใจของใครของมันอีกที มันจะเป็นทั้งผู้สอนผู้เรียนและผู้ตัดสินต่อผลนั้นทั้งหมด แปลกจริงๆ เรียนเอง สอนเอง รู้เองมันเป็นการรู้จากภายในสู่ภายนอก เป็นรู้จริง รู้แท้ ที่ได้พบเห็น ได้สัมผัสถึงจริงๆ ด้วยการกระทำของตนเอง ธรรมแท้เป็นเรื่องตัวเองต้องพึ่งตนเองจริงๆ หลวงตาทดลองมาแล้วพวกเอ็งรู้ใหม ฮ่าๆๆๆๆๆ ต่อการดับทุกข์ทางใจ ด้วยปัญญาจากใจภายในของตนจริงๆ อันเกิดจากกระทำที่ถึงจุดของมันเท่านั้นจึงจะดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง ดับสนิทจริงๆ ไม่มีส่วนเหลือ

หลวงตาพูดเสมอว่า...การปฏิบัติธรรมนั้นมิใช่การปฏิบัติเพื่อได้อะไรมันเป็นไปเพื่อความออกจากทุกข์ใจต่างหาก เป็นเรื่องตนเห็นจิตตนซึ่งภาษาธรรมเรียกว่า "ปัจจัตตัง"

1.อยู่กับกิเลสได้โดยใจไม่เป็นทาสของกิเลส
2.อยู่กับทุกข์กาย โดยไม่ทุกข์ใจ
3.อยู่กับงานวุ่นโดยใจไม่วุ่น
4.อยู่กับการรีบด้วยใจสบาย
5.อยู่กับความสมหวังและความผิดหวังได้โดยใจไม่ทุกข์อีกต่อไป
6.อยู่กับโลกได้ด้วยใจเป็นธรรม กายส่วนกายใจส่วนใจแต่อาศัยกันอยู่เท่านั้นเอง
7.อยู่กับหน้าที่โดยไม่ยึดหน้าที่ เพียงแต่จะทำหน้าที่นั้น ให้ดีที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้ในขณะปัจจุบันนั้นเท่านั้นเอง ที่ทำไม่ได้ก็ปล่อยไป

พวกเอ็งยังต้องปฏิบัติไปอีกเยอะนะรู้่ใหม หลวงตาสอนพวกเอ็งไปตลอดไม่ได้ พวกเอ็งต้องเรียนรู้เอง หรือถามหลวงปู่ดู่เอง ห้อยพระท่านไว้ตลอดนะอยากถามอะไรก็ถามท่าน จิตพวกเอ็งยังไม่สะอาด แต่พลังงานในองค์พระมีเต็มตลอด (หลวงตาหัวเราะ)

6
(ตอนที่ 18) หลวงตาม้าสอนศิษย์ "เราเกิดมาทำไม"

เรื่องบางอย่างที่ญาติธรรมยังไม่ได้รับรู้จากหลวงตาม้า และศิษย์หลวงปู่ดู่โดยตรง บทความที่ผมตั้งใจเขียนลงไน facebook ของผม chalermchai Hluangkaew และ ฝากข้อความใน http://buddhapoom.com นี้ คนที่เชื่อหรือไม่เชื่อก็อย่าปรามาสเพราะจะบาปโดยไม่รู้ตัว ทางความคิดต่างๆ อย่างไรแล้วก็ขอให้พิจารณาในการอ่าน และรับรู้เรื่องราวต่างๆ เพราะเป็นศาสตร์หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า โดยตรง คนที่เข้าใจแล้วนำไปปฏิบัติจะเกิดผลกับตัวท่านเองอย่าง ไม่มีจำกัด ชีวิตดีขึ้น ไม่มีคำว่าแ...ย่ลง แต่ก็อยู่ที่ตัวท่านเองว่าปฏิบัติจริงๆ หรือไม่ตั้งใจจะปฏิบัติหรือไม่ (เพราะผมตั้งใจทำจริงๆ จึงเกิดผลให้ผม) ผมเป็นแค่เศษดินที่ค่อยเติมลงไปที่ยังขาดหายไปในดินเท่านั้น

หลวงตาพูด : พวงเอ็งเกิดมาทำไม มาเพื่อจะวนเวียนอยู่คำถามนี้แล้วก็หาคำตอบไปไม่จบสิ้น เพราะคำตอบมีได้สารพัด จริงๆ แล้ว เราเกิดมาสร้างกรรมใหม่ด้วยโดยไม่รู้ตัว จะชดใช้กรรมเก่าก็ชดใช้ไปแต่กรรมใหม่ก็สำคัญ ที่จริงท่านว่าไว้ว่ากรรมเก่านั้นหมดตั้งแต่วันที่เราเกิดแล้ว คือกรรมเก่าส่งมาได้นั้น ส่งให้เรามาลงตรงนี้ให้มาเกิดเป็นคนที่มีอาการอย่างนี้ มีเหตุปัจจัยอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนี้ ทั้งหมดนี้คือกรรมเก่าที่เราสร้างมา ส่วนที่เหลือคราวนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะสร้างเหตุปัจจัยใหม่ต่อไปอย่างไร พวงเอ็งต้องเข้าใจด้วยว่าเราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อเป็นลูกที่ดี มีงานที่ดี เป็นพลเมืองดี "แต่นั่นคือหน้าที่ทางโลก" ซึ่งก็ต้องทำไป แต่ยังไม่พอ ยังมีหน้าที่ที่แท้จริงของการเกิดเป็นมนุษย์อีกอย่างหนึ่งคือ หน้าที่ของจิตดวงหนึ่งที่มาอยู่ในภพภูมิมนุษย์นี้... ถ้าเราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าคือผู้รู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่งเราก็ควรจะฟังท่าน และเมื่อฟังท่านแล้วก็จะได้รู้ว่า เราเกิดมาเพื่อจะเดินไปให้ถึงที่สุดแห่งกองทุกข์นั่นเอง บางคนพอได้น้อมนำคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าแล้วก็พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาทั้งชีวิตผิดหมด บางคนถึงขนาดต้องเอ่ยปากออกมาว่า "ไปอยู่ที่ไหนมาก็ไม่รู้เจ็ดสิบกว่าปี เพิ่งจะพบความจริงวันนี้" จึงต้องปรับเปลี่ยนแปลงวิธีคิดกันใหม่ กว่าจะรู้ก็สาย กว่าจะได้ฟังธรรมก็แก่ บางคนก็ไม่ทัน ตาย..ฟรีไปอีกชาติหนึ่ง...พวกเอ็งทุกคนต้องมั่นใจ เส้นทางนี้เห็นได้ไม่ยาก เพราะฉะนั้นชาตินี้ดีที่สุดแล้ว เดินหน้าต่อไปในทางธรรม พบปะกัลยาณมิตร ค้นหาครูบาอาจารย์ให้เจอสักท่านหนึ่ง ที่ถูกจริต ที่ช่วยให้เข้าใจที่ช่วยให้เห็นธรรมไม่ต้องถึงกับเป็นพระอรหันต์หรอก แค่พระที่ท่านปฎิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ในร่องในรอยที่พระพุทะเจ้าท่านตรัสไว้ แค่นั้นก็พอ.. แต่หลวงตายึดหลักหลวงปู่ดู่องค์เดียวก็เกินพอแล้ว (หลวงตาหัวเราะ)

7


......หลวงตาให้พวกเอ็งจงพิจารณาให้เห็นโทษของการที่จิตขาดสมาธิ ทำให้เกิดผลเสียต่อตัวเองอย่างไร เพราะจิตเรามันวอกแวกไปตามสิ่งยั่วยุภายนอกที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น และสัมผัสทางกายอยู่เสมอ ทำให้สมาธิขาดและไม่แล้วจิตไม่นิงสักที จนกระทั่งมีไฟลนก้นหรือสถานการณ์บีบบังคับ จึงรีบทำออกจากสมาธิและมีผลต่อเรื่องงาน แล้วก็ไม่มีคุณภาพ ฉาบฉวย เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ง่าย หลวงตาให้พวกเอ็งรองกำหนดเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอนท...ี่อยากมีอยากเป็นในชีวิตอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเราจะต้องทำอะไรให้สำเร็จหรือบรรลุอะไรให้ได้ภายในระยะเวลาเท่าไร เช่น จะทำโครงการนี้ให้เสร็จภายในกี่เดือน ชีวิตที่ไม่มีเป้าหมายจะล่องลอย ไม่แตกต่างอะไรกับเรื่อที่ไร้หางเสือ หรือเศษไม้หนึ่งท่อนที่ลอยอยู่บนพื้นน้ำหากถูกลมพัดพาไปในทิศทางใดก็จะล่องลอยไปตามทิศทางนั้นไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง และไร้คุณค่า คำว่า "ไม่เป็นไร" เมื่อผุดขึ้นในใจใครก็ตาม นั่นคือบ่อเกิดแห่งความประมาท ดังนั้นพวกเอ็ง ต้องตัดสินใจทำอะไรเพราะมีความคิดว่า "ไม่เป็นไร" ผุดขึ้นในจิตแล้ว เราต้องระวังเป็นสองสามเท่า และหันกลับมาพิจารณาความคิดดังกล่าวอีกครั้ง มองดูผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว เพื่อป้องกันภัยเวรและผลเสียที่อาจบังเกิดขึ้น พวกเอ็งต้องฝึกการปลีกวิเวก สงบสติอารมณ์อยู่ในที่สงัดจะได้รู้จักการฝึกลับความคิดให้แหลมคมจนสามารถควบคุมความคิดและพฤติกรรม มุ่งไปสู้เป้าหมายของชีวิตได้ ในขณะเดียวกันต้องตระหนักเสมอว่า จิตที่เฝ้ารอคอยแต่ความตื่นเต้นหฤหรรษ์นั้นจะเป็นที่มาของความเบื่อหน่ายได้ง่าย เพราะทุกครั้งที่เสพความสุขจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กระทบมาทางตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัสจิตก็จะปรารถนาให้ได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ หากพวกเอ็ง ไม่สามารถหามาชโลมใจได้ก็จะเบื่อง่าย และไม่เอาอะไรกับชีวิตแล้ว การปลีกตัวจากสังคมหรือคนในครอบครัวเพื่อมาอยู่เงียบๆ หยุดการกระเพื่อมของจิต จึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งเพื่อจะดับพลังราคะที่สุม และ เผาผลาญอยู่ในใจเสมอ (หลวงตาหัวเราะ ฮา ๆๆๆ ) พวกเอ็งทำได้หรือเปล่าหล่ะ หลวงตาฝึกมาแล้ว ฮา ๆๆๆๆๆๆดูเพิ่มเติม

เรียบเรียงจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร
(หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ
(วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

8
(ตอนที่ 16) หลวงตาสอนเรื่องการฝากกระแสลูกแก้วจักรพรรดิ

เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาทำบุญ โดยใช้วิธีส่งบุญกระแสจิต
(ทำใจให้สบายๆ ตั้งจิตระลึกถึงหลวงปู่ดู่ ด้วยความศรัทธา)

...ถ้าเรามีลูกแก้วจักรพรรดิจากถ่ำเมือง หรือ มีลูกแก้วอยู่กับมือ...ที่ยังไม่ได้อธิฐานหรือซื้อมาจากตลาด ให้กำลูกแก้วไว้ในกำมือ แล้วนึกถึงหลวงปู่ดู่แล้วสวดพระมหาจักรพรรดิหนึ่งจบ แล้วสัพเพ สามจบ ไปที่ลูกแก้ว บอกหลวงปู่ว่าขอให้ลูกแก้วของหลวงปู่เกิดเป็นแสงสว่าง ณ สถานที่แห่งนี้ที่ข้าพเจ้าได้ฝากกระแสลูกแก้วพระมหาจักรพรรดิไว้ ตราบใดที่ข้าพเจ้าสวดมนต์พระมหาจักรพรรดิ ขอให้ ณ สถานที่แห่งนี้เกิดเป็นแสงสว่าง ส่งให้ภพภูมิ และ วิญญาณที่ยังตกค้างทั้งหลายที่ตกทุกข์ได้ยากคนหรือสัตว์ เหล่านั้นด้วย มารับบุญที่ข้าพเจ้าและหมู่คณะได้้สร้างขึ้นโดยเทอญ (แล้วอย่าลืมทุกครั้งต้องบอกเขามาร่วมอนุโมทนาบุญกับเราด้วยเมื่อเราทำบุญ ร่างกายเขาจะได้เปลี่ยนจากสีดำ เป็นสีขาว)

ไม่ว่าเราจะไปไหนเห็นพระพุทธรูป ก็น้อมจิตส่งไปฝากกระแสไว้ก็ได้้แบบง่ายๆ แต่อย่าลืมทุกครั้งที่เราสวดบอกเขามาร่วมสวดด้วยทุกที่ ที่เราเริ่มสวด โดยการใช้กระแสจิตนะ พวกเอ็งอย่าลืม มีเพื่อนเป็นผี ดีกว่ามีเพื่อนเป็นมนุษย์ เวลาเราตกทุกข์ให้พวกเขามาช่วยถ้าเขามีกำลัง เขาก็มาช่วยเราโดยไม่มีข้อแม้ดูเพิ่มเติม

หน้า: [1]