เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ศรีโคมคำ

หน้า: [1] 2 3
1


สมณศักดิ์ของพม่ากับของไทยนั้นมีส่วนที่เหมือนกันคือมีจุดเริ่มมาจากศรีลังกา โดยสมณศักดิ์ พม่าในปัจจุบันอาจแบ่งได้เป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกแบ่งได้เป็น ชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นสูง ในกลุ่มนี้จัดได้หลักๆด้วยกัน ๓ สาย คือสายวิชาการ สายเผยแผ่ และสายกรรมฐาน ในแต่ละสายแบ่งออกเป็น ๓ ชั้น ดังนี้

สายวิชาการ เรียกว่า คัณธะวาจะกะ แปลว่า ผู้สอนพระคัมภีร์หรือตำรา สมณศักดิ์นี้มอบทั้งแก่พระสงฆ์และแม่ชี

ชั้นต้น เรียกว่า มูละคัณธะวาจะกะ
ชั้นกลาง เรียกว่า มหาคัณธะวาจะกะ
ชั้นสูง เรียกว่า อัครมหาคัณธะวาจะกะ

สายเผยแผ่ เรียกว่า สัทธัมมโชติกะ แปลว่า ผู้ประกาศพระสัจธรรม สมณศักดิ์นี้มอบทั้งแก่พระสงฆ์และแม่ชี

ชั้นต้น เรียกว่า มูละสัทธัมมโชติกะ
ชั้นกลาง เรียกว่า มหาสัทธัมมโชติกะ
ชั้นสูง เรียกว่า อัคคมหาสัทธัมมโชติกะธะชะ

สายกรรมฐาน เรียกว่า กัมมัฏฐานาจริยะ แปลว่า อาจารย์สอนกรรมฐาน สมณศักดิ์นี้มอบแก่พระสงฆ์เท่านั้น

ชั้นต้น เรียกว่า มูละกัมมัฏฐานาจริยะ
ชั้นกลาง เรียกว่า มหากัมมัฏฐานาจริยะ
ชั้นสูง เรียกว่า อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ

กลุ่มที่ ๒ เป็นสมณศักดิ์ชั้นสูงที่สุดจริงๆ ที่มีมาจากเดิมจนถึงปัจจุบัน จะมีอยู่ด้วยกัน ๓ ชั้น

ชั้นต้น เรียกว่า ตรีปิฏกธร แปลว่า ผู้ทรงจำพระไตรปิฏก ( ผู้ที่สามารถท่องพระไตรปิฏกได้ทั้ง ๓ ปิฏก )
ชั้นกลาง เรียกว่า อัครมหาบัณฑิต พระเถระที่จะได้สมณศักดิ์ชั้นนี้ต้องมีอายุอย่างน้อย ๖๐ ปี
ชั้นสูงสุด เรียกว่า อถิธชมหารัฐคุรุ แปลว่า บรมครูแห่งแผ่นดินผู้ซึ่งชูธงแห่งพระศาสนา ผู้ที่จะได้รับสมณศักดิ์ชั้นนี้จะเป็น พระสังฆราช หรือ สมเด็จพระราชาคณะผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะได้ และจะต้องมีอายุอย่างน้อย ๘๐ ปี

เมื่อสรุปดูแล้วสมณศักดิ์ของพม่าไม่ค่อยเกี่ยวกับการปกครอง ซึ่งต่างจากสมณศักดิ์ของไทย ที่มีเงื่อนไขว่า ใครจะได้สมณศักดิ์ก็จะต้องเป็น พระสังฆาธิการ ระดับผู้ช่วยเจ้าอาวาสขึ้นไป โดยคณะสงฆ์พม่ายกอำนาจการปกครองคณะสงฆ์ให้กับ องค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ในพม่าที่เรียกว่า สังฆมหานายกสมาคม ซึ่งก็คือ มหาเถระสมาคมของพม่า ในสมาคมนี้มีกรรมการทั้งหมด ๔๗ รูป.

ที่มา. วีดีทัศน์ ธัมมปฏิสันถารแสดงมุฑิตาสักการะ โดย พระพรหมบัณฑิต ( ประยูร ธมฺมจิตฺโต ) วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เนื่องในงานสดุดีเกียรติคุณ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ( สมศักดิ์ อุปสโม ) วัดพิชยญาติการาม ผู้ซึ่งรัฐบาลพม่าถวายสมณศักดิ์ “ อัครมหาบัณฑิต ” สรุปความ โดย ศรีโคมคำ.

http://www.youtube.com/watch?v=M-rC3iUGYqo

2


ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ที่ว่าฆราวาสสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว อยู่นานไม่ได้ต้องนิพพานไป ในกรณีที่สามีสำเร็จอรหันต์แล้ว สามารถจะบอกภรรยาได้หรือไม่ว่า น้องจ๋า... พี่สำเร็จแล้ว

หลวงพ่อ : คงจะบอกได้นะ

ผู้ถาม : แล้วถ้าภรรยาจะบอกว่า “เมือพี่เข้านิพพานแล้ว ขอได้โปรดสงเคราะห์ให้น้องร่ำรวย” อย่างนี้จะขัดกับพระนิพพานหรือเปล่าคะ

หลวงพ่อ : เจ้าของจดหมายกับฉันคิดผิดกัน ฉันคิดว่า “ถ้าพี่ไปนิพพาน ขอฉันมีสามีใหม่ได้ไหมคะ” (หัวเราะ)

ผู้ถาม : เออ.. ดีเหมือนกันนะ

หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้ซิ พระอรหันต์ท่านยอมรับกฎของกรรม มันจะรวยหรือไม่รวยอยู่ที่ กฎของกรรม ถ้าชาติก่อนทำทานไว้ดี กฎของกรรมแห่งทาน ก็บันดาลให้เราร่ำรวย แต่ทานก็เป็นเขต การให้ทานแก่สัตว์หรือให้ทานกับบุคคลอื่น ให้ทานกับบุคคลเป็นคนมีศีลหรือไม่มีศีล ทรงฌานสมาบัติไหม เป็นพระอริยเจ้าไหม แต่ทานที่ดีที่สุดคือ สังฆทานเป็นต้นเหตุเป็นต้นทานของมหาเศรษฐีตรง

ผู้ถาม : ฉะนั้น จักรพรรดิก็ไม่ได้เป็น จักรเพชรก็ไม่ได้เป็น

หลวงพ่อ : ได้ ก็ไปรวมอยู่ที่นิพพานไงล่ะ ทรัพย์สินต่างๆ ก็ไปรวมที่พระนิพพานหมด ที่นิพพานจะเห็นว่า
พื้นแผ่นดินก็เป็น เพชร
กำแพงบ้านก็เป็น เพชร
บ้านทั้งหลายก็เป็น เพชร
เครื่องใช้ทั้งหมดก็เป็น เพชร
ตัวเองก็เป็น เพชร
แถมส้วมถ้ามีก็เป็น เพชร

ที่มา :หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่390 เดือน กันยายน พ.ศ.2556 หน้าที่107-108

3


ซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพังตายแล้วไปเกิดเป็นสาวสวยไม่เปลี่ยนแปลงจนอายุ 120 ปี

     "..พูดถึงคนสวยชั้นยอด ว่ากันแค่ร่างกายภายนอก อย่ามองเข้าไปถึงกระเพาะ ตับ ไต ไส้ ปอด ภายในร่างกายเพราะมันเต็มไปด้วยความสกปรกน่าเกลียดไม่มีความสวย ในที่นี้หมายถึงรูปร่างภายนอกไม่เปลี่ยนแปลง คลอดบุตรคนแรกสวยขนาดไหนก็เป็นสาวขนาดนั้นจนกระทั่งถึงวันตาย


อานิสงส์ซ่อมพระพุทธรูป

     ตัวอย่างก็คือ พระนางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านสวยด้วยอำนาจเบญจกัลยาณี ตามที่ท่านเจ้าคุณราชเมธี วัดประยูรวงศาวาส ท่านแต่งเป็นคำกลอนไว้ว่า


งามผมสมพักตร์ลักขณา     งามโอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา
งามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด     ผิวทัดกณิการ์งามราศี
คลอดบุตรสักเท่าไรวัยยังดี     หญิงเช่นนี้ใครได้มางามหน้าเอย

     คำว่า "งามผมสมพักตร์ลักขณา" ก็เพราะว่าผมจะเรียบอยู่ตลอดเวลา ถ้าต้องการให้เป็นคลื่นก็จะเป็น และก็เรียบโดยไม่ต้องหวี ไม่ต้องแต่ง และก็ยาวไม่มากถ้ายาวไปถึงเอวก็จะช้อนงอนขึ้นไม่ยาวลากดิน ผมก็ไม่เหม็นสาบเหม็นสาง ไม่ต้องสระไม่ต้องล้าง

     คำว่า "โอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา" ก็เพราะว่าริมฝีปากแดงระเรื่อไม่แดงมากนัก แล้วเรียบไม่มีริ้วไม่มีรอย ปากสวย

     คำว่า "งามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด" ก็เพราะว่าฟันเรียบแลดูเป็นเงาเหมือนมุกน่าชม ไม่ต้องใช้แปรงสีฟัน ไม่ต้องขัด ไม่ต้องแต่ง

     คำว่า "ผิวทัดกณิการ์งามราศี" ขึ้นชื่อว่าผิวไม่มีไฝไม่มีฝ้า ถ้าขาวก็ขาวเนื้อละเอียดดี ถ้าดำก็ดำนวล ๆ เรียกว่าพอสวยสำหรับในสมัยที่เขาต้องการ

     คำว่า "คลอดบุตรเท่าไรวัยยังดี" หมายความว่าเวลาที่คลอดบุตรคนแรกอายุเท่าไร ท่านคลอดบุตรคนแรกอายุ 16 ปี แล้วก็เลยเป็นสาวแค่ 16 อยู่แบบนั้น ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไปจนกระทั่งอายุ 120 ปี พระนางวิสาขามีบุตรหญิง 20 คน แล้วบุตรหญิงของท่านคลอดบุตรมาอีกคนละ 20 คน ระหว่างที่บรรดาหลาน ๆ เป็นสาวคราว 15-16 ปี ท่านวิสาขานั่งอยู่ท่ามกลางหลาน ท่านชีวกโกมารภัจนำพระเจ้าปเสนทิโกศลไปดู อยากจะทราบว่าพระนางวิสาขาคนไหน ก็ดูไม่ออกเพราะสาวเท่ากัน เรียกว่าท่านสาวเท่าอายุ 16 ตลอดกาล

     อานิสงส์ที่พระนางวิสาขามหาอุบาสิกามีความสาวความสวยไม่เปลี่ยนแปลง ก็เพราะว่าในชาติก่อนท่านซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ทรุดโทรม คือมีผิวแตกทองลอกไปเสียแล้ว ท่านซ่อมพระพุทธรูปด้วยกุศลเจตนาจริง ๆ เกิดมาชาตินี้จึงกลายเป็นคนสวย

     และการที่ท่านมีเครื่องประดับประกอบไปด้วยแก้วเพชรนิลจินดาและทองคำ เสื้อคลุมตั้งแต่ศรีษะถึงเท้า มีนกยูงรำแพน มีแก้วมณีตั้ง 20 ทะนาน และมีแก้วประพาฬ แก้วอินทนิล อะไรต่ออะไรอีก เสื้อตัวนั้นไม่มีด้ายเลย ที่ทำเป็นด้ายก็ทำด้วยเงินหรือเป็นทองคำ ก็เพราะอาศัยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในอดีตชาติ.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 117 หน้า 241 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

4


พุทธานุภาพไม่มีวันเสื่อม

ถาม : ................................
ตอบ: ถ้าเราตั้งใจจะให้เสื่อม แล้วก็ไปลอดราวผ้า ถ้าอย่างนั้นก็เสื่อม แล้วเรามีโทษปรามาสพระรัตนตรัยด้วย แต่ขณะเดียวกันว่าถ้าหากว่าเป็นของจากสำนักที่ทำตามแบบของไสยศาสตร์ เขาจะมีข้อห้ามของเขาอยู่ เช่น ห้ามลอดใต้ถุนร้าน ห้ามกินฟัก แฟง แตง น้ำเต้า ห้ามด่าแม่เขา ถ้าเราไปละเมิดข้อนี้ของเขาก็จะเสื่อมไปเลย

เพราะฉะนั้น..ไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์ต่างกัน พุทธศาสตร์จะเป็นอานุภาพของพระ พรหม เทวดา จะยั่งยืนกว่า

หลวงพ่อเดิมวัดหนองโพธิ์ ท่านทำเครื่องรางของขลังให้ลูกศิษย์เอาไปใช้ มีลูกศิษย์คนหนึ่ง ถามว่า "หลวงพ่อครับ วัตถุมงคลของหลวงพ่อลอดราวผ้าได้ไหม ? ลอดใต้ถุนร้านได้ไหม ? "

หลวงพ่อเดิมบอกว่า "งูเห่าเลื้อยลอดราวผ้า แล้วลอดใต้ถุนร้านมากัดเอ็ง..เอ็งจะตายไหม ? "
คนถามบอกว่า "ตายครับ"

หลวงพ่อเดิมบอกว่า "ของ ๆ ข้าก็เหมือนกับงูเห่านั่นแหละ ลอดเท่าไรก็ไม่เสื่อมหรอก" นั่นแสดงว่าเป็นพุทธานุภาพ


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

5


พระที่เสกด้วยพุทธานุภาพ อยู่ที่ต่ำอย่างไรก็ไม่เสื่อม
[/b]

ถาม : โยมนำสร้อยพระไปวางแล้วคนอื่นเดินข้าม เกิดไม่มั่นใจขอหลวงพ่อเสกให้หน่อยเจ้าค่ะ

ตอบ : จำเอาไว้นะ..มีคนไปถาม หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อครับ แขวนพระหลวงพ่อแล้วลอดใต้ถุนบ้านได้ไหม ?" “หลวงพ่อครับ แขวนพระหลวงพ่อแล้วลอดราวผ้าได้ไหม ?” หลวงพ่อเดิมบอกว่า “งูเห่าเลื้อยลอดใต้ถุนบ้าน เลื้อยลอดราวผ้ามากัดเอ็ง เอ็งตายห่..ไหม ?” ตายสิครับ..หลวงพ่อเดิมบอกว่า“เออ..พระที่ข้าเสกก็เหมือนกันนั่นแหละ ลอดไปเถอะ ถ้าไม่ได้เจตนาจะลอดให้เสื่อมก็ไม่เป็นไร”

(ท่านอธิษฐานให้) เอ้า...เอาไป แสดงว่ากำลังใจยังไม่พอ แค่นี้เราก็ฝ่อแล้ว พระที่เสกด้วยพุทธานุภาพ อยู่ที่ต่ำอย่างไรก็ไม่เสื่อม แต่อย่าไปตั้งใจทำ อย่างเช่นตั้งใจเดินข้าม ตั้งใจลอดใต้ถุนบ้าน ตั้งใจลอดราวผ้าเพื่อให้เสื่อม ถ้าอย่างนั้นจะเสื่อมจริงๆ แต่เสื่อมแล้วคนทำลงนรก เพราะข้อหาปรามาสพระรัตนตรัยด้วย ถ้าไม่ได้เจตนาก็มุดไปเถอะ ตรงไหนก็ไปได้

ต้องบอกว่าใจเสื่อมจากคุณพระ ตั้งใจทำให้เสื่อมแปลว่าไม่เคารพแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เสื่อมจริงๆ แต่ตัวเองลงอเวจีไปด้วย


สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕

6


ผู้ถาม “(หัวเราะ) พระที่ห้อยคอจะมีวันเสื่อมไหมคะ..?”

หลวงพ่อ “ถ้าพระกร่อนก็เสื่อม”

ผู้ถาม “(หัวเราะ) ไม่ใช่คะ หนูหมายถึงว่าจะไม่คงความศักดิ์สิทธิ์ไว้น่ะคะ...”

หลวงพ่อ “อ๋อ... ไม่หรอก ไม่มีเสื่อม”

ผู้ถาม “แล้วเวลานอนมีคนอื่นมาข้าม พระจะหนีไหมคะ... ?”

หลวงพ่อ “จะหนีอะไร.. ก็อยู่ที่คอ”

ผู้ถาม (หัวเราะ)

หลวงพ่อ “ไม่เป็นไรหนู... ถึงแม้ว่าเราจำเป็นต้องรอดส้วมก็ไม่เป็นไร มันอยู่ที่ใจนะ”


ที่มา : นิตยสารธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๒๔) ฉบับที่ ๑๔ หน้า ๗๓.

7


ผู้ถาม: "เวลามีคนมาขอทานหน้าบ้าน เขามักจะขอโดยการร้องเพลงยาวๆ ฟังแล้วอดสงสารไม่ได้ค่ะ แต่บางทีก็รำคาญต้องรีบบอกให้หยุดร้อง ให้สตางค์แล้วก็ให้เขาไปเร็วๆ อย่างนี้จะเป็นอะไรไหมคะ....?"

หลวงพ่อ: "ไม่เป็นไรหรอกหนู เมื่อสมัยบวชใหม่ ๆ หลวงพ่อปานบอกว่า ถ้าจะให้ทานคนขอทานอย่าให้เขาพูดมาก หมายความว่าพอมาถึงไม่ต้องให้ยกมือไหว้พูดขอ ถ้าเขาจะขอก็บอกไม่ต้องฉันให้แล้ว ฉันเต็มใจให้แล้ว คือว่าเราจะให้ใคร อย่าให้เขาพูดมาก อย่าให้เสียเวลา ให้เร็ว ๆ ที่สุด ตั้งใจเป็นการสงเคราะห์จริงๆ แล้วผลมันให้ในชาตินี้ ฉันทดสอบมาแล้วเป็นความจริง....

การให้ทานโดยไม่เตรียมการไว้ก่อน ใครมาเราก็ได้เราให้ได้ ถ้าทำอย่างนี้เสมอ ๆ คนมาขอทาน เราไม่ยอมให้พูดขอ รีบควักเลย แล้วมันจะมีผลในชาตินี้ คือสิ่งที่เราขัดข้องคิดว่าจะไม่ได้มันจะโผล่ เราก็ให้เท่าที่จะให้ได้ เขาไม่บังคับเรานี่ พอทำไปไม่กี่ปีก็เริ่มให้ผล ของที่มันจะได้มามันมีการคล่องตัวมากขึ้น

แต่เวลาให้ เราอย่าไปคิดถึงผลอันนี้นะ ต้องให้ด้วยการสงเคราะห์จริง ๆ คือตัดไปเลย มันได้เท่าไหร่ก็ช่าง ถ้าไปคิดว่าเราต้องการให้เพื่อต้องการผลตอบแทนผลจะถูกตัดเพราะเป็นการให้ทานที่ประกอบด้วยความโลภ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง" ธรรมของเรามิใช่เป็นเครื่องเนิ่นช้า ต้องเร็ว ๆ ไว ๆ

คัดบางส่วนจากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 3

8

ตายจากคนที่ปรารถนาพุทธภูมิไปรอที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
[/b]
   
 "..วันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2531 ท่านลุงทั้งสองมาชวนอาตมาไปสำนักงานของท่าน เพราะมีการสอบสวนพระโพธิสัตว์ พระท่านมาบอกว่า "ฉันไปด้วย เพราะคนนี้เป็นพระโพธิสัตว์บารมีต้น ความรอบคอบยังน้อย แต่มีความเข้มแข็งดี" ท่านลุงนำหน้าไป มีคนยืนเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ พวกจะลงนรกสอบสวนง่าย ถามอะไรก็พูดไม่ได้ ถามเรื่องบาปก็นิ่ง ถามเรื่องบุญก็นิ่ง พวกนี้เขาจูงไปนรกต่อหน้านับร้อย ต่อมาได้ยินเสียงท่านลุงพูดว่า "เอาพระโพธิสัตว์เข้ามา" เป็นชายร่างใหญ่รูปร่างสมส่วน หน้าผากกว้าง ผิวคล้ำ บ้านอยู่ทางทิศเหนือไม่ไกลภูเขานัก ฐานะพอทำพอกิน แต่กำลังใจเรื่องบุญความเด็ดเดี่ยวมีมาก ชายผู้นี้ตายเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2531 เมื่อเจ้าหน้าที่พาเข้ามาแล้ว พนักงานสอบสวนถามถึงบาป ท่านผู้นี้ตอบได้ฉาดฉานชัดถ้อยชัดคำ

     1)เขาถามถึงปาณาติบาต ท่านรับว่า เคยตกปลา ดักลอบ ดักไซ ดักจั่น ทอดแห ลงข่าย เชือดไก่ เชือดเป็ด
     2)เขาถามถึงอทินนาทาน ท่านตอบว่าไม่ได้ทำ
     3)เขาถามถึงกาเมสุมิจฉาจาร ท่านตอบว่ามี 3 คน เพราะเขาเหงา เขามาหาท่านเพื่อให้บรรเทาความเหงา ท่านก็สงเคราะห์ไปทั้ง 3 คน
     4)เขาถามถึงมุสาวาท ท่านบอกว่า โกหกแน่เพราะชอบสาวโสดวัยรุ่น ต้องโกหกจึงจะมีผล
     5)เขาถามถึงสุรา ท่านบอกว่ากิน

     รวมความว่ากลัวบาปทุกประเภทที่ทำมาถึงอายุ 40 ปีจึงหยุด เพราะสลดใจจึงเริ่มทำบุญ ท่านบอกว่า เมื่อเริ่มทำบุญก็เลิกทำบาปทั้งหมด บูชาพระ เจริญภาวนา รักษาศีลและกรรมบถ 10 ถวายสังฆทานเป็นปกติ เมื่อ 4 ปีที่แล้วมาได้เจริญสมาธิที่วัดท่าซุง ตั้งใจระงับใจทุกอย่างจากบาป ได้ถวายสังฆทาน 5 ครั้ง อุทิศส่วนกุศลให้สัตว์ที่ฆ่า ขอให้อโหสิกรรมตามที่อาตมาแนะนำ ถามว่า "ปรารถนาพุทธภูมิเมื่อไร" ท่านบอกว่า "เมื่อเจริญพระกรรมฐานพอไปสวรรค์ได้ เห็นพระพุทธเจ้าแล้วอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง จึงปรารถนาพุทธภูมิ" เมื่อเจ้าหน้าที่สอบสวนเสร็จ ท่านลุงเรียกมาพบให้ยืนยันเรื่องบาปและบุญ ท่านผู้นี้พูดได้คล่องและชัดเจนมาก ท่านลุงเรียกเป็ดมาเป็นพยาน เป็ดยืนยันว่า "คนนี้จับเชือดคอแกงกินกับเหล้า เพื่อเลี้ยงเพื่อน"

     ท่านเรียกไก่ตัวแรกเข้ามาเป็นไก่ตัวผู้ก็ยืนยันเหมือนเป็ด ไก่ตัวที่สองเข้ามาบอกว่า "เธอมีลูก ลูกเธอมีขนเต็ม คนนี้เชือดเธอแกงเลี้ยงเพื่อนกินเหล้า" ไก่อีกสองตัวให้การเหมือนกัน มีปลาเข้ามามาก ท่านบอกว่าพอแล้ว ท่านถามว่า "เธอใจดุร้าย รักเพื่อนมากกว่าตัวเธอเอง เวลานี้เธอจะต้องลงนรกเพื่อนไม่ได้มาลงด้วย" ท่านผู้นี้น้ำตาร่วงก้มหน้าและพูดเบา ๆ ว่า "ผมทำบุญอุทิศให้สัตว์ทั้งหมดขอให้อโหสิกรรม และได้ขอให้ท่านเป็นพยานให้ผมแล้วนี่ครับ" ท่านลุงถามสัตว์พวกนั้นว่า "อโหสิกรรมให้เขาหรือเปล่า" ตอบว่า "อโหสิกรรมแล้ว" ท่านบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องลงนรกไปสวรรค์ได้ตามบุญ เธอจะไปสวรรค์ชั้นดุสิตเพราะเป็นพระโพธิสัตว์ หรือจะไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์" ตอบว่า "ชั้นดุสิตยังเข้าไม่ได้เพราะกำลังบารมียังอ่อน ขอไปดาวดึงส์ตามกำลังของบุญ"
ท่านลุงแนะนำพอสมควรแล้วก็ปล่อยให้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 80 หน้า 188 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

9

ตอนเช้ากับตอนหัวค่ำจับพระที่ห้อยคอขอท่านคุ้มครองตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นยามา
[/b][/color]

    "..เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2535 ได้มีท่านผู้หนึ่งไปหาอาตมาที่วัดท่าซุง ไปถามว่า "คุณพ่อตายแล้วไปอยู่ที่ไหน" อาตมาไม่ได้บอกท่านผู้นั้น แต่ให้ไปฝึกพระกรรมฐานกับเขาในมหาวิหาร 100 เมตร ไม่เกิน 3 วันคุณก็พบกับคุณพ่อคุณได้ บอกคุณก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะคุณก็ไม่หายสงสัย คุณก็จะถามเรื่อยไปและก็ไม่มีประโยชน์สำหรับคุณ ในที่สุดท่านผู้นั้นก็ตัดสินใจ วันรุ่งขึ้นก็ไปฝึกพระกรรมฐาน เพียงแค่วันแรกก็สามารถคุยกับคุณพ่อได้

     แต่ในขณะที่ท่านผู้นี้ถามอาตมา ได้บอกชื่อผู้ตาย อาตมาก็นึกถึง เมื่อนึกถึงผู้ตายก็มายืนข้างหน้า จึงถามว่า "เวลานี้คุณไปอยู่ที่ไหน" เขาตอบว่า "เวลานี้ผมไปอยู่บนสวรรค์ชั้นยามาครับ" ถามว่า "ไปอยู่ชั้นยามาได้ ปกติคุณทำอะไรสมัยมีชีวิตอยู่" ตอบว่า "ปกติผมทำสมาธิ" ถามว่า "คุณทำสมาธิเวลาไหน" ตอบว่า "เวลาตอนเช้ากับตอนค่ำครับ ตอนเช้าผมตื่นนอนขึ้นมา ก็จับพระที่สร้อยห้อยคออยู่มาพนมมือ อาราณธนาบารมีพระ หรือที่เรียกกันว่าปลุกพระก็ได้ ตอนค่ำก็เกรงอันตรายจึงทำแบบนั้นอีกเหมือนกัน"

     การทำอย่างนี้ชื่อว่าเป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ทั้งตอนเช้าและตอนค่ำก็เป็นสมาธิ สมาธิไม่จำเป็นต้องไปนั่งขัดสมาธิเฉย ๆ จะทำแบบไหนก็ได้ นั่งแบบไหนก็ได้ถ้าอยู่ที่บ้านของเรา จิตนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ถือว่าเป็นพุทธานุสสติ จิตนึกถึงพระธรรมเป็นธัมมานุสสติ จิตนึกถึงพระสงฆ์เป็นสังฆานุสสติ เขาจึงไปอยู่ชั้นยามาได้.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 48 หน้า 133 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

10

"..สมัยที่อาตมาออกธุดงค์แบบอุกฤษฎ์ในป่าศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ได้มีนางฟ้าหลายองค์ปลอมตัวเป็นชาวบ้านมาใส่บาตรทุกวัน อาตมาบอกกับนางฟ้าทั้งหลายที่มาว่า "ว่าง ๆ ก็มาคุยกันและก็ไม่ต้องปลอมตัวกันมา มาเป็นนางฟ้าไปเลย" และก็ถามว่า "ทำบุญแบบไหนจึงมาเกิดเป็นนางฟ้าอย่างนี้ จะได้ไปเล่าให้ชาวบ้านเขาฟัง" นางฟ้าก็ตอบว่า "คนที่อยู่ใกล้เคียงกับวัดท่านมาเป็นนางฟ้าที่มานี่ก็มีนะ" จึงถามว่า "เป็นอะไรตาย" เธอตอบว่า "เป็นไข้ตาย" และได้เล่าให้ฟังว่า "สมัยที่มีชีวิตอยู่เป็นคนใส่บาตรเสมอ อาศัยการใส่บาตรกับท่าน ฉันก็ไม่รู้ว่าเวลาใส่บาตรท่านภาวนา อิติปิ โสฯ และก่อนจะตายฉันเห็นภาพพระพุทธเจ้าเด่นชัดมาก" และพระท่านก็บอกว่า "เธอใส่บาตรกับพระที่ภาวนาอิติปิ โสฯ จะไปนรกไม่ได้ต้องไปสวรรค์" เมื่อตายแล้วฉันก็ไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถามว่า "โยมชื่ออะไร" เธอตอบว่า "ฉันชื่อภู" คนบางนมโครู้จักคนชื่อภู ทุกคนในสมัยนั้น.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 67 หน้า 163 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

11

"..ขึ้นไปพระจุฬามณีเจดียสถาน บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก พอจะเข้าประตูก็พบพระอรหันต์องค์หนึ่งออกมา ท่านคือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ถามท่านว่า "หลวงพ่ออยู่ที่ไหนครับ" ท่านบอกว่า "แกเสือกบอกเขาไปแล้วว่า ข้าไปอยู่นิพพาน แกมาถามข้าทำไม" ถามต่อว่า "หลวงพ่อไปหรือเปล่า ถ้าไม่ไปผมโกหกเขานะ"

     ท่านตอบว่า "ไม่โกหกหรอก ข้าไปนิพพานแน่" เรื่องที่เขาพูดหาว่าข้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ที่ตั้งฐานกำหนดลมไว้ 7 ฐาน เกินพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ 3 ฐาน เขาเลยหาว่าข้าแข่งบารมีกับพระพุทธเจ้า แต่ความเป็นจริงเจตนาของข้ามันเป็นอย่างนี้ ไอ้คนจิตฟุ้งซ่าน ถ้าจะมีอารมณ์จิตเป็นสมาธิจะต้องจับหลาย ๆ แห่ง เพราะต้องระวังมากอารมณ์จึงจะทรงอยู่ นี่เขาไม่สนใจกัน มีแกคนเดียวที่เข้าใจดี และกายเทพ กายพรหม กายธรรม กายนิพพานก็เหมือนกัน ก็มีแกคนเดียวที่เข้าใจข้า นอกนั้นเขาหาว่าข้าบ้า เอาเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนมาสอน"

     กายทิพย์ หมายความว่า ได้อุปจารฌานเล็กน้อย จัดเป็นกายทิพย์

     กายเทพ ก็เข้าถึงอุปจารฌาน จะเกิดเป็นเทวดาชั้นยามาได้เหมือนกัน ถ้าพูดถึงกายภายในเหมือนกันหมด

     กายพรหม ก็เป็นที่ทรงฌานได้ครบองค์ฌาน พอตายแล้วไปเป็นพรหม ก็เลยเรียกว่ากายพรหม

     กายธรรม ก็หมายถึงว่า ได้อริยเจ้า

     กายนิพพาน ก็หมายถึงว่า คนนั้นได้อรหันต์แล้ว

     ท่านบอกว่า "มีแกคนเดียวที่พอพูดให้ชาวบ้านเขาฟัง มันตรงตามความประสงค์ของข้านอกนั้นเขาหาว่าข้าบ้า ๆ บอ ๆ บางคนหาว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ข้าก็ไม่ว่าอะไรเขาหรอก"

     หลังจากนั้นอาตมาก็ลาท่านเข้าไปในพระจุฬามณี วันนี้พระอรหันต์เต็มเอี๊ยด พรหมออกมาหมดแล้ว เทวดาก็ยังไม่กลับ พระอรหันต์เหมือนเอาดาวไปวางไว้สวยสะพรั่ง ร่างกายเป็นเหมือนแก้ว พระอรหันต์นิพพานแล้วบ้าง พระอรหันต์คนบ้าง ก็สวยเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีต่าง ๆ สวยมาก.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 12 หน้า 56 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

12

มีผู้มาถามหลวงพ่อว่า พ่อของลูกอายุ 90 ปี ก่อนที่ท่านจะตายปรากฏว่า ก่อนตาย 7 วัน ท่านพยายามฆ่าตัวเอง ปิดประตูอยู่ในห้องคนเดียวแล้วร้องขึ้นดัง ๆ ว่า "ไฟไหม้ ๆ" ลูกเห็นว่าจะไม่รู้เรื่องก็เลยเอาพระของหลวงพ่อไปห้อยคอ พ่อก็เลยมีจิตสบาย เมื่อจิตสบายแล้วก็หลับ หลับแล้วก็ตายไปจริง ๆ เลย

     ลูกขอเรียนถามหลวงพ่อว่า "วัตถุมงคลของหลวงพ่อช่วยให้การตายของพ่อสบายขึ้นหรือเปล่าเจ้าคะ"

     "..ถ้าตายสบายก็ดีแล้ว คุณลูกแก้ทัน ต้องถือว่าคุณพ่อก็มีบุญได้ลูกที่เป็นบัณฑิต ถ้าไม่อย่างนั้นร่วงเลยนะ

     อาตมาได้ถามลุงพุฒิ (ท่านพระยายมราช) ขณะนั้นเลยท่านลุงพุฒิบอกว่า "ตอนที่เห็นไฟมันชัดมาก ลงนรกแน่นอนไม่ผ่านสำนักพระยายมราชด้วย มาจากโทษปาณาติบาตกับอทินนาทานในอดีตมันตามมาเล่นงานตอนใกล้ตาย แต่ลูกแก้ทัน พอนำพระไปคล้องคอท่านคือบุญเก่าเข้ามาช่วยเหมือนกัน ถ้าบุญเก่าไม่มาช่วยก็ต้องตายเวลานั้นแหละ พอดีบุญเก่าเข้ามาช่วยลูกเอาพระไปห้อยคอก็นึกถึงพระ พอนึกถึงพระบาปก็ถอยเหลือแต่บุญ"

     ก็เป็นอันว่า ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าหรือนึกถึงหรือเห็นสิ่งที่เป็นกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เป็นแค่เชื้อต่อของเก่าเท่านั้นเอง.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 94 หน้า 209 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

13

"..ชายชาวจีนผู้หนึ่งมีอาชีพฆ่าหมูและก็เอาไปขาย พอตอนแก่มีคนมาบอกว่า "ตายแล้วจะตกนรก" แกก็เลยใส่บาตรทุกวัน ก่อนจะใส่บาตรทุกครั้งแกจะยกมือไหว้พระสงฆ์ก่อนและจะท่องคาถา "นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ" แล้วก็ใส่บาตร ทีนี้พอตอนแกตายแกเห็นยมฑูตมา แกก็ว่า "นะโมตัสสะ" ปรากฎว่ายมฑูตเผ่นไปเลย เวลานั้นจิตเขาเป็นกุศล อกุศลจึงเข้าไม่ได้ ถ้ายมฑูตมานี่ยังไม่แน่จะลงนรกหรือไม่ต้องไปสอบสวนก่อน ถ้าแกนึกนะโมตัสสะได้ ท่านพระยายมราชก็ปล่อยให้ไปสวรรค์ก่อน แต่ในเมื่อแกว่า นะโมตัสสะ ตอนก่อนจะตาย ท่านจึงปล่อยให้ไปสวรรค์ทันที.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 75 หน้า 182 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

14

"..อาตมามาสอนพระกรรมฐาน เห็นคนถูกโซ่ล่ามคอ 2 เส้นมีคนนำมา จึงถามว่า "กรรมอะไร" เขาอธิบายกรรมให้ทราบว่า "คนนี้เป็นพระสงฆ์มีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัด มีเงินให้กู้ 4 ล้านบาทและก็มีเงินเก็บ มีซองที่ยังไม่ได้เอาเงินออก เป็นซองคนนั้นจะเป็นพระครู คนนี้จะเป็นเจ้าอาวาส คนนี้จะเป็นเจ้าคณะตำบล"

     อาตมาถามว่า "สำนักพระยายมราชสอบสวนแล้วหรือยัง"

     ท่านพระยายมราชบอกว่า "เขาไม่ผ่านผมหรอกครับ เขาลงนรกเลย"

     พวกลงนรกมี 2 พวก พวกบาปไม่หนักนักบุญก็พอมี แต่เวลาตายไม่นึกถึงบุญก็ผ่านสำนักพระยายามราชเพื่อสอบสวน เป็นการเตือนให้นึกถึงบุญนั้นเอง กับอีกพวกเป็นพวกบาปหนักจะลงดิ่งไปเลยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช เวลาอยู่ในนรกไม่มีเสื้อไม่มีกางเกงใส่ ถูกหอก ดาบ เสียบ ฟันและมีไฟเผาตลอดเวลา นรกทุกขุมมีไฟแต่ร้อนมากร้อนน้อยต่างกันเท่านั้น.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 169 หน้า 350 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

15

"..วันที่ 2 ตุลาคม 2531 เวลา 3.00 น. หลังจากเดินจงกรมแล้ว จึงหยิบหนังสือพระไตรปิฎกมาอ่าน พอเปิดก็พบวิมานวัตถุพอดี อ่านดูแล้วคิดว่าดี ท่านอ้างว่าเป็นปฏิปทาของ พระโมคคัลลาน์ เรื่องการเที่ยวสวรรค์ นรกนี้เป็นปกติธรรมดาของทุกท่านที่ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ถ้ามุ่งเอาจริงตาม อิทธิบาท 4 แล้วไม่พ้นความสามารถ ท่านเขียนไว้อย่างนี้

     ท่านพระโมคคัลลาน์ท่านไปสวรรค์ ท่านไปพบเทพธิดาองค์หนึ่ง ร่างกายเธอมีแสงสว่างไปทั่วจักรวาล มีสวนมะม่วงรื่นรมย์ เป็นสวนที่มีต้นมะม่วงแพรวพราวสว่างไสวมากเหมือนเอาเพชรมาประดับไว้ ภายในสวนมีวิมานใหญ่ มีโคมดวงใหญ่สว่างไสวมาก มีเสียงดนตรีและนางเทพอัปสรมาก ท่านโมคคัลลาน์ถามนางฟ้าองค์นี้ว่า "อยากทราบว่าเมื่อเป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้จึงมีทิพยสมบัติประเสริฐอย่างนี้" เธอตอบว่า "สมัยเป็นมนุษย์ฉันมีจิตเลื่อมใสได้สร้างวิหารถวายสงฆ์แล้วปลูกต้นมะม่วงล้อมวิหารนั้น (วิหารคือ กุฏิใหญ่) เมื่อสร้างเสร็จจึงฉลอง ล้อมต้นมะม่วงด้วยผ้า เอาผ้าทำเป็นผลมะม่วงแล้วประดับด้วยโคมไฟไว้ที่ต้นมะม่วง นิมนต์พระมาฉันภัตตาหารแล้วถวายวิหารแด่พระสงฆ์ ด้วยบุญเพียงเท่านี้จึงมีสวนมะม่วงน่ารื่นรมย์ มีวิมานใหญ่กว้างขวางในสวนมะม่วงนั้น มีเสียงกึกก้องด้วยเสียงดนตรี และเกลื่อนกล่นด้วยนางเทพอัปสร และวิมานนี้มีประทีปดวงใหญ่ประจำ มีแสงสว่างไสวมาก เพราะถวายแสงสว่าง ด้วยบุญแบบนี้ฉันจึงมีวรรณะคือ ผิวงามและแสงสว่างออกจากกายไปทั่วทุกทิศ"

     ที่อาตมาเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเห็นว่าทุกท่านทำบุญอย่างนี้แล้ว จึงต้องการให้ทราบอานิสงส์ที่จะพึงได้ เมื่อยังไปพระนิพพานไม่ได้ก็จะได้ทราบว่ามีที่พักบนสวรรค์น่ารื่นรมย์ใจอย่างนี้ แต่ทางที่ดีควรไปพระนิพพานดีกว่า ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดพบกับความทุกข์อีกต่อไป.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 59 หน้า 155 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

หน้า: [1] 2 3