เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี

หมวดครูบาอาจารย์ => พุทธวจนะ และ คติธรรม คำสอน ธรรมะ ของพระสุปฏิปัณโณ => ข้อความที่เริ่มโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 01, 2014, 11:32:55 PM

หัวข้อ: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 01, 2014, 11:32:55 PM
... ความจริงปฏิปทาของเรานั้น เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ ธรรมดาๆ ของเรานั้นให้ปฏิปทาทำขนาดเดิม 

... อย่าสนใจกับความเกียจคร้าน อย่าสนใจกับความขยัน ปฏิบัติอย่าว่าขยันอย่าว่าขี้เกียจ

... พระท่านไม่เอาอย่างนั้น 

... ขยันก็ทำอยู่อย่างนั้น ขี้เกียจก็ทำอยู่อย่างนั้น

... ไม่สนใจมันสิ่งเหล่านั้น ตัดมันไปอย่างนี้เรื่อยๆ กลางคืนกลางวัน ปีนี้ปีหน้า เวลาใดก็ตาม ให้ทำของเราไปเรื่อยๆ 

... ปฏิปทานี้ไม่สนใจกับความเกียจคร้าน ไม่สนใจกับความขยัน ไม่สนใจอากาศร้อนอากาศหนาว ให้ทำไปเรื่อยๆ ฯ. 
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 01, 2014, 11:37:14 PM
     ... ก่อนที่ผมจะปฏิบัตินี่คิดว่า

... ศาสนาตั้งอยู่ในโลก ทำไมบางคนทำ บางคนไม่ทำ ทำแบบนิดๆ หน่อยๆ แล้วเลิก มันอะไรอย่างนี้ 

... ผู้ไม่เลิก ก็ไม่ประพฤติปฏิบัติเต็มที่ นี่มันเป็นเพราะอะไร ก็ไม่รู้นั่นเองละ 

... ผมจึงต้องอธิษฐานในใจว่า

... เอาละ ชาตินี้เราจะมอบกายอันนี้ ใจอันนี้ให้มันตายไปชาติหนึ่ง 

... จะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการเลย จะทำให้มันรู้จักในชาตินี้ ถ้าไม่รู้จักมันก็ลำบากอีก 

... จะปล่อยวางมันเสียทุกอย่าง จะพยายามทำ ถึงแม้ว่ามันจะทุกข์ มันจะลำบากขนาดไหน ก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นก็จะสงสัยเรื่อยไป   

... คิดอย่างนี้เลยตั้งใจทำ

... ถึงแม้มันจะสุข มันจะทุกข์จะลำบากขนาดไหนก็ต้องทำ 

... ชีวิตในชาตินี้ให้เหมือนวันหนึ่งกับคืนหนึ่งเท่านั้น ทิ้งมัน 

... จะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะตามธรรมะให้มันรู้ ทำไมมันยุ่งยากนักวัฏฏะสงสารนี้ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 01, 2014, 11:38:25 PM
..... พระโยคาพจรเจ้าผู้ปฏิบัติแล้ว เห็นจิตว่าเป็นอยู่อย่างนี้ มันเกิดๆ ตายๆ เป็นของไม่แน่นอนสักอย่างหนึ่งเลย 

... ถ้าพิจารณาแล้วท่านดูมันทุกวิธี มันเป็นของมันอย่างนั้น ไม่มีอะไรแน่นอน เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 01, 2014, 11:40:00 PM
... โลกก็มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น เหมือนแท่งเหล็กใหญ่ๆ ที่เขาเอาเข้าเตาหลอมแล้วนั่นแหละ ร้อนไปทั้งแท่งเลย ยกขึ้นมา เอามือไปแตะดู ข้างบนมันก็ร้อน ข้างๆ มันก็ร้อน มันร้อนทั้งนั้นใช่ไหม ที่ไม่ร้อนไม่มี เพราะมันออกจากเตาหลอมมา เหล็กทั้งแท่งไม่มีที่เย็นเลย ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 01, 2014, 11:42:04 PM
... การทำความเพียรไม่ได้ขีดคั่น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนได้หมดทั้งนั้น

... แม้กวาดลานวัดอยู่ก็บรรลุธรรมะได้ 

... แม้มองไปเห็นแสงพยับแดดเท่านั้นก็บรรลุธรรมะได้ จะต้องให้มีสติพร้อมอยู่เสมอ 

... ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เพราะมันมีโอกาสบรรลุธรรมอยู่ทุกเวลา อยู่ทุกสถานที่ เมื่อเราตั้งใจพิจารณา ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 01, 2014, 11:45:46 PM
... ความตั้งใจนะ คือ ตั้งใจในการปล่อยวาง(ขันธ์ ๕) ไม่ต้องตั้งใจในการผูกมัดอย่างนั้น 

... อันนี้เราไปอ่านตำราเห็นประวัติพระพุทธเจ้าว่า

... ท่านนั่งลงที่ใต้ต้นโพธิ์นั้น ท่านอธิษฐานจิตลงไปว่า ไม่ตรัสรู้ตรงนี้จะไม่ลุกหนีเสียแล้ว แม้ว่าเลือดมันจะไหลออกมาอะไรก็ตามทีเถอะ  ได้ยินคำนี้เพราะไปอ่านดู 

... แหมเราก็จะเอาอย่างนั้นเหมือนกัน จะเอาอย่างพระพุทธเจ้าเหมือนกันนี่ 

... ไม่รู้เรื่องว่ารถของเรามันเป็นรถเล็ก 

... รถของท่านมันเป็นรถใหญ่ ท่านบรรทุกทีเดียวก็หมด 

... เราเอารถเล็กไปบรรทุกทีเดียวมันจะหมดเมื่อไหร่ มันคนละอย่างกัน 

... เพราะอะไรมันถึงเป็นอย่างนั้น มันเกินไป

... บางทีมันก็ต่ำไป บางทีมันก็สูงเกินไป ไอ้ที่พอดีๆ มันหายาก ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 03, 2014, 01:07:56 AM
... ต่อไปนี้ก็จะไม่ได้เห็น ลมก็จะหมด เสียงมันก็จะหมด

... มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของสังขาร(ร่างกาย)

... คือ ความเสื่อมไปของสังขาร(ร่างกาย) เสื่อมไปดังก้อนน้ำแข็งที่ละลายเป็นน้ำ 

... เราเกิดมา ก็เก็บเอาความเจ็บ ความแก่ ความตายมาพร้อมกัน ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 03, 2014, 11:16:45 PM
... เมื่อเราทอดอาลัยในชีวิต ไม่เสียดายไม่กลัวตายความเบาสบายใจจะเกิดขึ้น สติปัญญาก็จะเฉียบคมกล้า จิตเกิดความองอาจไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด แม้แต่ความตาย ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 03, 2014, 11:18:42 PM
.....คนดีอยู่ที่ไหน คนดีอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราดี ไปไหนมันก็ดี เขาจะนินทาสรรเสริญ จะว่าอะไร ทำอะไร เราก็ยังดีอยู่ แต่ถ้าเรายังไม่ดี เขานินทาเราก็จะโกรธ ถ้าเขาสรรเสริญ เราก็ยินดี ก็หวั่นไหวอยู่อย่างนั้น ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 03, 2014, 11:19:36 PM
... เมื่อเราเจ็บป่วยต้องคิดว่า หายก็เอาตายก็เอา ถ้านึกอยากหายอย่างเดียวมันเป็นทุกข์แน่ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 04, 2014, 10:59:51 PM
... ผู้ใดมีสติอยู่ทุกเวลา ผู้นั้นจะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าตามองเห็นรูปก็เป็นธรรมะ หูได้ฟังเสียงก็เป็นธรรมะ จมูกได้กลิ่นก็เป็นธรรมะ ลิ้นได้รสก็เป็นธรรมะ กายไปถูกโผฏฐัพพะกระทบเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ก็เป็นธรรมะ ธรรมารมณ์(อารมณ์ที่กระทบจิต)ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใดเป็นธรรมะเมื่อนั้น  ฉะนั้นผู้ที่มีสติได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 04, 2014, 11:05:53 PM
... พอมีสติสัมปชัญญะรู้อยู่ ปัญญาก็วิ่งตามมาเท่านั้น รู้เรื่องต่างๆ ตาเห็นรูป สิ่งนี้ควรไหม ไม่ควรไหม หูฟังเสียง สิ่งนี้ควรไหม ไม่ควรไหม มันเป็นโทษไหม มันผิดไหม มันถูกต้องเป็นธรรมะไหม สารพัดอย่าง ดังนั้นผู้มีปัญญาแล้วจึงได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา แม้มองเห็นต้นไม้ก็เป็นธรรมะ มองเห็นสิ่งต่างๆก็เป็นธรรมะหมดทั้งนั้น ถ้าเรารู้จักธรรมะ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 04, 2014, 11:09:53 PM
... ฉะนั้น ปฏิบัติง่ายๆ พิจารณาง่ายๆ เราจึงมีสติอยู่ ผู้ไม่มีสติก็เหมือนเป็นบ้า ไม่มีสติ ๕ นาที ก็เป็นบ้า ๕ นาที ก็ประมาทอยู่ ๕ นาที ถ้าขาดสติเมื่อใด ก็เป็นบ้าเมื่อนั้น ให้เข้าใจอย่างนี้ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 04, 2014, 11:19:37 PM
... ฉะนั้น พวกเรานั่น ในวันหนึ่งๆ ให้ได้ปฏิบัติเถอะ ขี้เกียจก็ทำ ขยันก็ทำ เราปฏิบัติธรรมะ ไม่ปฏิบัติตามตัวเรา ถ้าปฏิบัติตามตัวเราไม่เป็นธรรมะ ไม่ว่ากลางวันกลางคืน สงบก็ทำ ไม่สงบก็ทำ เหมือนกับเราเป็นเด็กไปเรียนหนังสือ จะเขียนไม่สวยในครั้งแรก มันหัวยาวๆ ขายาวๆ เขียนไปตามเรื่องของเด็ก นานไปก็สวยขึ้นงามขึ้นเพราะฝึกมัน การประพฤติธรรมก็เหมือนกัน ทีแรกก็เกะๆ กะๆ สงบบ้าง ไม่สงบบ้างไม่รู้เรื่องมันเป็นไป บางคนก็ขี้เกียจ อย่าขี้เกียจซิ ต้องพยายามทำ อยู่ด้วยความพยายาม เหมือนกับเราเป็นเด็กนักเรียน โตมาก็เขียนหนังสือได้ดี จากไม่สวยมาเขียนได้สวย เพราะการฝึกฝนตั้งแต่เด็กนั่นแหละ อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น 
     
... พยายามให้มีสติอยู่ทุกเวลา จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน พยายามให้สม่ำเสมอ เมื่อเราทำกิจวัตรอะไร มันคล่องดีแล้วเป็นต้น เราก็สบายใจ นั่งก็สบาย นอนก็สบาย เมื่อความสบายเกิดขึ้นจากกิจวัตร การนั่งสมาธิก็สงบง่าย เป็นเรื่องสัมพันธ์ซึ่งกันและกันดังนี้ ฉะนั้นจงพากันพยายามทำเถอะ  ตามความสามารถของเรา นี่เรียกว่าการฝึก ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 05, 2014, 12:39:08 AM
... ผู้ปฏิบัติจะต้องมีสติ จะต้องพิจารณา จะพูดจะจาจะจับจะแตะทุกอย่าง จะต้องพิจารณาก่อนให้มาก ที่เราพลาดไปนั้นเพราะเราไม่มีสติ หรือมีสติไม่พอ หรือไม่เอาใจใส่ในเวลานั้น ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 05, 2014, 12:43:56 AM
... เราอบรมจิตของเราให้มีความอาย มีความกลัวต่อความผิดทั้งหมด นั่นแหละก็จะเป็นคนสำรวม จะเป็นคนสังวร จะเป็นคนระวัง เพราะความกลัว ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 05, 2014, 01:04:09 AM
... เรื่องการทรมาน เรื่องการขบเรื่องการฉัน เรื่องการหลับการนอน เอาแท้ๆ เมื่อถึงคราวอันนี้แล้ว พอมาพิจารณาแล้ว มันไม่เป็นไป ประพฤติด้วยทิฏฐิ ประพฤติด้วยมานะ ด้วยความยึดมั่นถือมั่น คิดปรารภโลกว่าเป็นธรรม คิดปรารภตนว่าเป็นธรรม มันไม่ได้ปรารภธรรมะ
     
... อย่างว่าเราทรมานตน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก่อนจะทำอย่างนั้นก็ปรารภว่าให้โลกสรรเสริญ ให้เขาว่านี้แหละเป็นคนเอาจริงเอาจังก็เลยทำ อันนั้นเป็นโลกหมด ทำเพื่อความยกย่องสรรเสริญ ให้เขาว่าดี ให้เขาว่าเลิศ ให้เขาว่าประเสริฐ ให้เขาว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คิดอย่างนี้แล้วจึงทำ เรียกว่า ปรารภโลก
     
... อีกอย่างหนึ่งคือปรารภตนเอง เชื่อมั่นในความเห็นของตนเอง เชื่อมั่นในการประพฤติปฏิบัติของตนใครจะว่าผิดก็ช่างถูกก็ตาม ไม่เอาเป็นประมาณ ชอบอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่ได้คลำหน้าคลำหลัง นี่ปรารภตนเองอีกประเภทหนึ่ง เรื่องปรารภโลกกับปรารภตนนี้ มันมีแต่เรื่องอุปาทานแน่นหนาอยู่เท่านั้น ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 05, 2014, 01:13:10 AM
... พระพุทธเจ้าของเราท่านเห็นว่าทำอย่างนั้นก็ตายเปล่า อดตายเปล่า ทำตามโลก ทำตามตน ท่านก็พิจารณาใหม่ หาสิ่งที่มันพอดี เป็นสัมมาปฏิปทา ส่วนจิตก็เป็นจิต ส่วนกายก็เป็นกาย
     
... เรื่องกายนี้มันใช่กิเลสตัณหากับใครหรอก ถ้าจะไปฆ่าอันนั้นเฉยๆ มันก็ไม่หมดกิเลส มันไม่ใช่ที่ของมัน แม้จะอดขบอดฉัน อดหลับอดนอนให้มันเหี่ยวมันแห้ง ว่าจะให้มันหมดกิเลสอย่างนั้นมันหมดไม่ได้ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 05, 2014, 01:26:36 AM
... ทีนี้ พระองค์ก็ได้พิจารณาธรรม ท่านก็เลยฉันให้สบาย อยู่ให้สบาย จิตก็ให้มันเป็นจิต กายก็ให้มันเป็นกาย จิตมันก็เป็นเรื่องของจิต กายมันก็เป็นเรื่องของกาย ท่านก็ไม่ได้บีบมันเท่าไร ไม่ได้บังคับมันเท่าไร พอแต่จะทำราคะโทสะโมหะให้บรรเทาลง
     
... แต่ก่อนท่านก็เดินอยู่สองทาง กามสุขัลลิกานุโยโค มีความสุขมีความรักเกิดขึ้นมาแล้วก็สนใจ เกาะด้วยอุปาทานเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ไม่ได้ปล่อยได้วาง กระทบความสุขก็ติดในความสุข กระทบความทุกข์ก็ติดในความทุกข์ เป็นกามสุขัลลิกานุโยโค กับอัตตกิลมถานุโยโค พระองค์ติดอยู่ในสังขาร
     
... ท่านมองพิจารณาเห็นชัดเข้าไปว่า อันนี้ไม่ใช่หน้าที่ของสมณะที่จะเดินไปในทางนั้น สุขแล้วยึดสุข ทุกข์แล้วยึดทุกข์คุณสมบัติของผู้เป็นสมณะไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องยึดเรื่องมั่นเรื่องหมายในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 06, 2014, 12:50:56 AM
... เราอบรมจิตของเราให้มีความอาย มีความกลัวต่อความผิดทั้งหมด นั่นแหละก็จะเป็นคนสำรวม จะเป็นคนสังวร จะเป็นคนระวัง ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 06, 2014, 12:55:42 AM
... อะไรทั้งหมดนี่ ท่านไปดูนะ มันขึ้นต่อจิตทั้งนั้น ถ้าท่านยังไม่อบรมจิตของท่านให้มีความรู้ มีความสะอาด ท่านจะมีความสงสัยอยู่เรื่อยไป วิจิกิจฉาอยู่ตลอดเวลา

... ดังนั้น ท่านจงรวมธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ที่จิต สำรวมอยู่ที่จิต อะไรที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว สงสัยแล้ว เลิกมัน ถ้ายังไม่รู้แจ้งเมื่อใดแล้วอย่าพึงทำมัน อย่าพึงพูดมัน เช่นว่า อันนี้ผิดไหมนอ หรือไม่ผิด อย่างนี้ คือยังไม่รู้ตามความเป็นจริง อย่าทำมัน อย่าไปพูดมัน อย่าไปละเมิดมัน ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 06, 2014, 12:58:00 AM
     ... ธรรมอันใดเป็นไปเพื่อความสะสมซึ่งกิเลส

... ธรรมอันใดเป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์

... ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความกำนัดย้อมใจ

... ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความมักมาก

... ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความมักใหญ่ใฝ่สูง

... ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความคลุกคลีหมู่คณะ

... ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน

... ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก

... ลักษณะตัดสินพระวินัยแปดประการนั้น รวมกันลงไปแล้ว อันนี้เป็นสัตถุคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 06, 2014, 01:00:33 AM
... ปริยัติและปฏิบัติมันเป็นคู่กันโดยตรง คือว่า ปริยัติกับปฏิบัตินี้เป็นของคู่กันมา ยังพระพุทธศาสนาให้เจริญถาวรรุ่งเรืองตลอดถึงบัดนี้ ก็เพราะการศึกษาแล้วก็รู้ รู้แล้วก็ปฏิบัติตามความรู้ของเรา นั้นเรียกว่าการประพฤติปฏิบัติ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 06, 2014, 01:02:20 AM
... การศึกษาในทางกรรมฐานเรานี้ ศึกษาเรื่องการบำเพ็ญและการละ ที่ว่าศึกษานี้ ถ้าหากว่าเราถูกอารมณ์มา เรายังยึดไหม ยังมีวิตกไหม ยังมีความน้อยใจไหม มีความดีใจไหม พูดง่ายๆ เรายังหลงอารมณ์เหล่านั้นอยู่ไหม หลงอยู่ เมื่อไม่ชอบก็แสดงความทุกข์ขึ้นมา เมื่อชอบก็แสดงความพอใจขึ้นมา จนเกิดกิเลส จนใจเราเศร้าหมอง อันนั้นเราจะมองเห็นได้ว่า เรายังบกพร่องอยู่ ยังไม่สมบูรณ์บริบูรณ์
     
... เราจะต้องศึกษา จะต้องมีการละ การบำเพ็ญอยู่เสมอมิได้ขาด นี่ผู้ศึกษาอยู่ มันติดอยู่ตรงนี้ เราก็รู้จักว่าติดอยู่ตรงนี้ เราเป็นอย่างนี้ เราจะต้องแก้ไขตัวเราเอง ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 06, 2014, 01:05:04 AM
... การอยู่กับครูบาอาจารย์ หรืออยู่นอกครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน ไอ้ความกลัวนั้น บางคนก็มีความกลัว ถ้าไม่เดินจงกรมก็กลัวครูบาอาจารย์จะดุจะว่า นี่ก็ยังดีอยู่ แต่ว่าข้อประพฤติปฏิบัติที่แท้นั้นไม่ต้องกลัวใคร  กลัวแต่ความประมาทมันจะเกิดขึ้นมา กลัวความผิดมันจะเกิดขึ้นมาที่กาย ที่วาจา ที่ใจของเรานี้เอง

... เมื่อเราเห็นความบกพร่องที่กาย ที่วาจา ที่ใจของเราแล้ว เราก็ต้องพิจารณาควบคุมจิตใจของเราอยู่เสมอ อัตตะนา โจทะยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง ไม่ต้องทิ้งการงานอันนั้นให้คนอื่นช่วย เรารีบปรับปรุงตัวเองเสีย ให้รู้จักอย่างนี้ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 06, 2014, 01:06:24 AM
การประพฤติปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนานั้น มันเป็นเรื่องของจิต ถึงแม้ไม่แสดงทางกาย ทางวาจา เรื่องจิตมันก็เป็นส่วนจิต ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 06, 2014, 01:09:32 AM
... ให้เรายึดเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า อย่าประมาท ความไม่ประมาทนี่แหละเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ความประมาทนั่นแหละคือความตาย ให้ถืออย่างนี้ ใครทำอย่างไรก็ช่างใครเถอะ เราอย่าประมาทเท่านั้น อันนี้เป็นของสำคัญ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 06, 2014, 01:10:41 AM
... ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสำนึกรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า เราเป็นผู้ปฏิบัติ เป็นผู้ปฏิบัติต้องสังวรสำรวมระวัง อย่างคำสอนที่ท่านสอนว่า ภิกขุ ท่านแปลว่า ผู้ขอ ถ้าแปลอย่างนี้การปฏิบัติมันก็ไปรูปหนึ่ง...หยาบๆ
     
... ถ้าใครเข้าใจอย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ภิกขุ แปลว่า ผู้เห็นภัยในสงสาร นี่มันลึกซึ้งกว่ากันทั้งนั้น ผู้เห็นภัยในสงสารก็คือเห็นโทษของวัฏฏะทั้งหลายนั้น ในวัฏฏะสงสารนี้มันมีภัยมากที่สุด แต่ว่าคนธรรมดาสามัญไม่เห็นภัยในสงสารนี้ เห็นความสนุก เห็นความสนาน ความรื่นเริงบันเทิงในโลกอันนี้ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 06, 2014, 01:12:39 AM
... สงสารนั้นคืออะไร สังสาเรสุขัง สังสาเรทุกขัง ทุกข์ในสงสารนี้เหลือที่จะทนได้ มันมากเหลือเกินแหละ อย่างความสุขนี่มันก็เป็นสงสาร ท่านก็ไม่ให้เอาไปยึดมั่น
     
... ถ้าเราเข้าใจการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ว่า ภิกขุ ผู้เห็นภัยในสงสาร ถ้ามีธรรมะข้อนี้ เข้าใจอย่างนี้ มันจมอยู่ในใจของผู้ใด ผู้นั้นจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ที่ไหนก็ตาม ก็เกิดความสลด เกิดความสังเวช เกิดความรู้ตัว เกิดความไม่ประมาทอยู่นั่นแหละ ถึงท่านจะนั่งอยู่เฉยๆ ก็เป็นอยู่อย่างนั้น ท่านจะทำอย่างไรอยู่ ท่านก็เห็นภัยอยู่อย่างนั้น ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 09, 2014, 12:23:50 AM
... เราบวชมาในพระพุทธศาสนานี้ก็เพื่อหวังการประพฤติปฏิบัติ เพราะเราละมาแล้ว ไม่เอาอะไรแล้ว เราจะมาคิดเอาอะไรอีก จะมาเอาโลภอีก จะมาเอาโกรธอีก จะมาเอาหลงอีก จะมาเอาอะไรต่างๆ ไว้ในใจของเราอีก อันนี้มันไม่สมควรแล้ว ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 09, 2014, 12:24:37 AM
... เราบวชกันมาทำไม เราปฏิบัติกันทำไม บวชมาปฏิบัติ ถ้าหากเราไม่ปฏิบัติก็อยู่เฉยๆ เท่านั้นแหละ ถ้าไม่ปฏิบัติก็เหมือนฆราวาส มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่ทำธุระหน้าที่การงานของเรา นี้มันก็เสียเพศสมณะ ผิดความมุ่งหวังมาแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เรียกว่า เราประมาทแล้ว เราประมาทแล้วก็เรียกว่าเราตายแล้ว อันนี้ให้เข้าใจ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 09, 2014, 12:26:00 AM
... อย่าไปลืมความตายนี้ ดูซิ ถามว่าเมื่อเราตายมีเวลาไหม ถามทวงเราเสมอแหละ “ ตาย...เมื่อไหร่ตาย ” ถ้าเราคิดเช่นนี้ จิตเราจะระวังทุกวินาทีเลยทีเดียว ความไม่ประมาทจะเกิดขึ้นมาทันที เมื่อความประมาทไม่มีแล้ว สติ ความระลึกได้ว่า อะไรเป็นอะไรก็เกิดขึ้นมาทันที ปัญญาก็แจ่มแจ้ง เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งชัดเจนในเวลานั้น เราก็มีสติประคองอยู่ รอบรู้อยู่ทางอารมณ์ทั้งกลางวันกลางคืน ทุกสิ่งสารพัดนั้นแหละ ก็เป็นผู้มีสติอยู่ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 09, 2014, 12:27:01 AM
... ถ้าเราเป็นผู้มีสติอยู่ ก็เป็นผู้สำรวม ถ้าเป็นผู้สำรวมอยู่ ก็เป็นผู้ไม่ประมาท ถ้าเป็นผู้ไม่ประมาท ก็เป็นผู้ปฏิบัติถูกต้องเท่านั้น อันนี้เป็นหน้าที่ของเราทั้งหลาย ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 09, 2014, 12:28:03 AM
... การปฏิบัตินี้เป็นของยาก ฝึกอะไรอย่างอื่นๆ ทุกอย่างมันก็ไม่ยาก มันก็สบาย แต่ใจของมนุษย์ทั้งหลายนี้ฝึกได้ยาก ฝึกได้ลำบาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านก็ฝึกจิต จิตนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก อะไรทั้งหมดในรูปธรรมนามธรรมนี้มันรวมอยู่ที่จิต เช่นว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย เหล่านี้ ส่งไปให้จิตอันเดียวเป็นผู้บริหารการงาน รับรู้รับฟัง รับผิดชอบจากอายตนะทั้งหลายเหล่านั้น ฉะนั้น การอบรมจิตนี้จึงเป็นของสำคัญ ถ้าใครอบรมจิตของตนให้สมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ปัญหาอะไรทุกอย่างมันก็หมดไป ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 09, 2014, 12:28:53 AM
... องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราท่านมีรากฐาน ให้เราทั้งหลายปฏิบัติ ให้รู้ ธรรมะไม่เป็นของมาก มันเป็นของน้อย แต่เป็นของที่ถูกต้อง เช่นว่าจะเปรียบเทียบให้ฟังเรื่องขน
     
... ถ้าเรารู้จักว่าอันนี้มันเป็นขน รู้จักขนเส้นเดียวนั้น ขนในร่างกายเรานี้ทุกเส้น แม้ในร่างกายคนอื่นทุกเส้น ก็รู้กันหมดทั้งนั้นแหละ รู้ว่าเป็นขนทั้งนั้น หรือเส้นผม รู้จักผมเส้นเดียวเท่านั้น ผมบนศีรษะของเรา บนศีรษะของคนอื่นก็รู้หมดทุกเส้นเหมือนกัน ที่รู้ก็เพราะว่ามันเป็นเส้นผมเหมือนกัน เรารู้ผมเส้นเดียว แต่ก็รู้ทุกเส้นผม ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 09, 2014, 12:30:03 AM
... การปฏิบัตินี้มันยาก มันยากเพราะอะไร มันยากเพราะตัณหาความอยาก ถ้าไม่อยากก็ไม่ได้ปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติเพราะความอยากก็ไม่พบธรรมะ อันนี้มันเป็นปัญหาอยู่อย่างนี้

... ฉะนั้น การประพฤติปฏิบัตินี้มันมีความยุ่งยาก มีความลำบาก ถ้าไม่มีความอยากก็ไม่มีกำลังที่จะปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติเพราะความอยากก็วุ่นวายไม่มีความสงบ ทั้งสองอย่างนี้เป็นเหตุอยู่เสมอ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 09, 2014, 12:32:19 AM
... ที่เราไม่เห็นธรรมะก็เพราะตัณหา บางทีมันอยากอย่างรุนแรง คืออยากจะเห็นเดี๋ยวนี้ ธรรมะนี้ไม่ใช่ใจเรา ใจเราไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะมันเป็นอย่างหนึ่ง ใจเรามันเป็นอย่างหนึ่ง มันคนละอย่างกัน

... ฉะนั้นแม้เราจะคิดอย่างไรก็ตาม อันนี้เราชอบเหลือเกิน แต่มันไม่ใช่ธรรมะ อันนี้เราไม่ชอบ ก็ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่ว่าเราคิดชอบใจอะไร อันนั้นเป็นธรรมะ เราคิดไม่ชอบใจอะไร อันนั้นไม่ใช่ธรรมะ...ไม่ใช่อย่างนั้น ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 09, 2014, 12:37:38 AM
... ขี้เกียจหรือขยันก็ต้องทำอยู่เรื่อย พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น โดยมากคนธรรมดานั้นขยันจึงค่อยทำ ขี้เกียจไม่ทำ นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ มันปฏิบัติอยู่แค่นี้ ก็เรียกว่า มันวิบัติเสียแล้ว ไม่ใช่ปฏิบัติ
     
... การปฏิบัติจริงๆ แล้วมันสุขก็ปฏิบัติ มันทุกข์ก็ปฏิบัติ มันง่ายก็ปฏิบัติ มันยากก็ปฏิบัติ มันร้อนก็ปฏิบัติ มันเย็นก็ปฏิบัติ นี่เรียกว่าตรงไปตรงมาอย่างนี้

... ปฏิปทาที่เราต้องยืนหรือเดิน หรือนั่ง หรือนอน การมีความรู้สึกนึกคิดที่เราจะต้องปฏิบัติในหน้าที่การงานของเรานั้น ต้องสม่ำเสมอ ทำสติให้สม่ำเสมอในอิริยาบถ การยืน การเดิน การนั่ง การนอน ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 09, 2014, 12:43:48 AM
... นี่เมื่อพิจารณาดูแล้ว ก็เหมือนอิริยาบถยืนให้เท่ากับเดิน เดินก็เท่ากับยืน ยืนก็เท่ากับนั่ง นั่งก็เท่ากับนอนนะ อันนี้ผมทำแล้ว ทำไม่ได้ ถ้าว่านักปฏิบัตินี้ต้องทำการยืน การเดิน การนั่ง การนอนให้ได้เสมอกัน จะทำได้สักกี่วันล่ะ จะยืนให้เสมอกับนั่ง ยืน ๕ นาที นั่ง ๕ นาที นอน ๕ นาที อะไรทั้งหลายนี้ ผมทำไม่นาน ก็มานั่งคิดพิจารณาใหม่ อะไรกันหนอ อย่างนี้คนในโลกนี้ทำไม่ได้หรอก ผมพยายามทำไปค้นไปคิดไป ...อ้อ มันไม่ถูกนี่ มันไม่ถูก ดูแล้วมันไม่ถูก ทำไม่ได้ นอนกับนั่งกับเดินกับยืน ทำให้มันเท่ากัน จะเรียกว่าอิริยาบถมันสม่ำเสมอกัน แบบท่านบอกไว้ว่า ทำอิริยาบถให้สม่ำเสมอ
     
... แต่ว่าเราทำอย่างนี้ได้ จิต...พูดถึงส่วนจิตของเรา ให้มีสติความระลึกอยู่ สัมปชัญญะความรู้ตัวอยู่  ปัญญาความรอบรู้อยู่ อันนี้ทำได้ อันนี้น่าจะเอาไปปฏิบัติ

... คือเรียกว่า ถ้าเราปฏิบัติ เราจะยืนอยู่ก็มีสติ เราจะนั่งอยู่ก็มีสติ เราจะเดินอยู่ก็มีสติ เราจะนอนก็มีสติอยู่สม่ำเสมออย่างนี้ อันนี้เป็นไปได้ จะเอาตัวรู้ไปเดิน ไปยืน ไปนั่ง ไปนอน ให้เสมอกันทุกอิริยาบถเป็นไปได้

... ดังนั้น เมื่อเราฝึกจิตของเรา จิตจะมีความรู้สม่ำเสมอในการปฏิบัติกับทุกอิริยาบถว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ

... คือความรู้ รู้จักอะไร รู้จักภาวะที่ถูกต้อง รู้จักลักษณะที่ถูกต้องอยู่เสมออยู่นั้น จะยืนก็มีจิตอยู่อย่างนั้น จะเดินก็มีจิตเป็นอยู่อย่างนั้น

... เออ อันนี้ได้ใกล้เข้าไปเหลือเกิน เฉียดๆ เข้าไปมากเหลือเกิน เรียกว่าจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนอยู่นี้ มันมีสติอยู่เสมอทีเดียว ฯ.

หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 11, 2014, 01:21:14 AM
... รู้จักธรรมที่ควรละ รู้ธรรมที่ควรปฏิบัติ สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ เมื่อมันรู้สุขรู้ทุกข์ จิตใจเราจะวางตรงที่ว่า มันไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะว่าสุขนั้นมันก็เป็นทางหย่อน กามสุขัลลิกานุโยโค ทุกข์มันก็เป็นทางตึง คือ อัตตกิลมถานุโยโค ถ้าเรารู้สุขรู้ทุกข์อยู่ เรารู้จักสิ่งทั้งสองนี้ ถึงแม้ว่าจิตใจเรามันจะเอนไปเอนมา เราก็ชักมันไว้ เรารู้อยู่ว่ามันจะเอนไปทางสุขก็ชักมันไว้มันจะเอนไปทางทุกข์ก็ชักมันไว้  ไม่ให้มันเอนไป รู้อยู่อย่างนี้ น้อมเข้ามาเส้นทางเดียว เอโก ธมฺโม นี้ น้อมเข้ามาในทางที่รู้ ไม่ใช่ว่าเราปล่อยไปตามเรื่องของมัน ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 11, 2014, 01:22:11 AM
... ถ้าหากว่ามันสุขจะปฏิบัติไหม มันสุขก็ไม่ปฏิบัติอีก มันติดสุขเท่านั้นแหละ แต่ทุกข์มันไม่ปฏิบัติ ก็ติดทุกข์อยู่นั่นแหละ ไม่รู้จะไปปฏิบัติกันเมื่อไหร่ ได้แต่รู้ว่ามันป่วย มันเจ็บ มันไข้จวนจะตาย ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 11, 2014, 01:22:57 AM
... สองอย่างนี้หมายความว่า จะเป็นสุขก็ต้องปฏิบัติ จะเป็นทุกข์ก็ต้องปฏิบัติ จะอยู่สบายๆ ก็ต้องปฏิบัติ จะเป็นไข้อยู่ก็ต้องปฏิบัติ มันถึงจะถูกแบบ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 11, 2014, 01:23:49 AM
... ดูไปมันมีอารมณ์ดีอารมณ์ชั่วสลับซับซ้อนกันไปเป็นธรรมดาของมัน อย่าไปสรรเสริญจิตของเราอย่างเดียว อย่าไปให้โทษมันอย่างเดียว ให้รู้จักกาลรู้จักเวลามัน เมื่อถึงคราวสรรเสริญก็สรรเสริญมันหน่อย สรรเสริญให้พอดีอย่าให้หลง ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 11, 2014, 01:24:45 AM
.... ฉะนั้น การปฏิบัติของท่านทั้งหลายนี้ อย่าพึงถือว่าการหลับตาอย่างเดียวเป็นการปฏิบัติ เมื่อออกจากนั่งแล้วก็ออกจากการปฏิบัติ อย่าเข้าใจอย่างนั้น ถ้าเข้าใจอย่างนั้นก็รีบกลับมันเสีย ที่เรียกว่าการปฏิบัติสม่ำเสมอ คือ เราจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ให้มีความรู้สึกอยู่อย่างนั้น เมื่อเราออกจากสมาธิ ก็อย่าเข้าใจว่าออกจากสมาธิ เพียงแต่เปลี่ยนอิริยาบถเท่านั้น ถ้าท่านทั้งหลายคิดอย่างนี้ก็จะสุขใจ เมื่อท่านไปทำงานอยู่ที่ไหน ไปทำอะไรอยู่ก็ดี ท่านจะมีการภาวนาอยู่เสมอ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 11, 2014, 01:26:05 AM
... ถ้าหากท่านองค์ใดตอนเย็นๆ ก็มานั่ง เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ก็เรียกว่าได้ออกแล้ว ไม่มีเยื่อใย ออกไปเลย ส่งอารมณ์ไปเลย ตลอดทั้งวันก็ปล่อยตามอารมณ์ไป ไม่มีสติ เย็นต่อไปนึกอยากจะนั่ง พอไปนั่งปุ๊บก็มีแต่เรื่องใหม่ทั้งนั้นเข้ามาสุมมัน ปัจจัยเรื่องเก่าที่มันสงบก็ไม่มี เพราะทิ้งไว้ตั้งแต่เช้า มันก็เย็นนะสิ ทำอย่างนี้เรื่อยๆ มันก็ยิ่งห่างไปทุกปี ทุกปี ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 15, 2014, 04:08:01 AM
... การทำเพียร การภาวนา มันเป็นที่จิต ไม่ใช่เป็นที่กายของเรา จิตของเรามันเลื่อมใสอยู่ จิตของเรามันตรงอยู่ มันมีกำลังอยู่ มันรู้อยู่ที่จิตนั้น ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 15, 2014, 04:08:47 AM
... ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี เมื่อเรามีศีลขึ้นมาสมาธิก็เกิดขึ้นเท่านั้น สมาธิเราเกิดขึ้นมาปัญญามันก็เกิดเท่านั้น มันเป็นวงกลมครอบกันอยู่อย่างนี้ มันเป็นอันเดียวกัน เหมือนมะม่วงใบเดียวกัน เมื่อมันเล็กก็เป็นมะม่วงใบนั้น เมื่อมันโตมามันก็เป็นมะม่วงใบนั้น เมื่อมันสุกมา มันก็เป็นมะม่วงใบนั้น ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 15, 2014, 04:09:43 AM
... เมื่อท่านมีโอกาสมาประพฤติปฏิบัติแล้ว ถึงแม้ว่าสมาธิมันทำยากหรือทำง่าย หรือมันไม่ค่อยเป็นสมาธิ มันก็เป็นเพราะเรา ไม่ใช่เป็นเพราะสมาธิ มันเป็นเพราะเราทำไม่ถูก ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 15, 2014, 04:10:43 AM
... การทำเพียรนี้ท่านจึงได้ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ รู้มันเสียก่อนว่าเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ เมื่อความเห็นชอบ อะไรมันก็ชอบไปหมด สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมากัมมันโต สัมมาทุกอย่างทั้ง ๘ ประการนั้น มีสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นอันเดียวเท่านั้น มันก็เชื่อมกันไปเลย สม่ำเสมอกันไปเรื่อยๆ มันเป็นอย่างนั้น ฯ. 
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 15, 2014, 04:11:59 AM
     ... เราไม่หลงอารมณ์ ก็ไม่หลงโลก ไม่หลงโลกเราก็ไม่หลงอารมณ์ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 15, 2014, 04:12:43 AM
... ความตั้งใจ นะ...คือตั้งใจในการปล่อยวาง ไม่ต้องตั้งใจในการผูกมัด ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 15, 2014, 04:13:36 AM
... พระพุทธเจ้าท่านสอนข้อปฏิบัติเป็นอุบายให้เราละถอนทิฏฐิมานะ ไม่ใช่ว่าท่านปฏิบัติให้เรา เมื่อเลิกจากการฟังแล้ว เราต้องมาสอนตัวเอง มาปฏิบัติตัวเอง ผลมันเกิดขึ้นตรงนี้ ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นตรงที่ท่านสอน ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 15, 2014, 04:15:34 AM
... การจะให้เราบรรลุธรรมนั้น เราก็ต้องเอาคำสอนของท่านมาทำขึ้นในใจของเรา ส่วนที่เป็นทางกายก็เอาให้กาย ส่วนที่เป็นทางวาจาก็เอาให้วาจา ส่วนที่เป็นทางใจก็เอาให้ใจปฏิบัติ ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 15, 2014, 04:16:22 AM
... นักประพฤติปฏิบัตินี้ จึงสร้างความรู้ที่เรียกกันว่า พุทโธ คือ ผู้รู้ อันนี้ให้เกิดขึ้นที่จิต แต่ก่อนผู้รู้ยังไม่เกิดขึ้นที่จิต รู้แต่ไม่แจ้ง รู้แต่ไม่จริง รู้แต่ไม่ถึง ความรู้อันนั้นจึงอ่อนความสามารถ ไม่มีความสามารถที่จะสอนจิตของเราได้ ในเวลานั้น จิตนั้นได้กลับเปลี่ยนออกมาเพราะความรู้อันนี้ เรียกว่าปัญญาหรือญาณ รู้ยิ่งกว่ารู้มาแต่ก่อน ฯ.
หัวข้อ: Re: โอวาทพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินฯ จ.อุบลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: DHAMMASAMEE ที่ ตุลาคม 15, 2014, 04:22:55 AM
... พระพุทธเจ้าของเรานั้น ท่านก็ตัดสินใจของท่านยังไม่ได้เหมือนกัน เมื่อท่านออกบวชใหม่ๆ ก็แสวงหาโมกขธรรม ดูอะไรท่านก็ดูทุกอย่างให้มีปัญญา แสวหาครูบาอาจารย์ อุททกดาบสอย่างนี้ท่านก็ไป เข้าไปปฏิบัติดู ยังไม่เคยนั่งสมาธิท่านก็ไปนั่ง นั่งสมาธิขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง หลับตา อะไรๆ ก็ปล่อยวางไปหมด จนสามารถบรรลุฌานสมาบัติชั้นสูง(อากิญจัญญายตนฌาน) แต่เมื่อออกจากฌานนั้นแล้ว ความคิดมันก็โผล่ขึ้นมาอีก เมื่อมันโผล่ขึ้นมาแล้ว จิตก็เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในที่นั้น
     
... ท่านก็รู้ว่า เออ...อันนี้ปัญญาเรายังไม่รู้ ยังไม่แจ่มแจ้ง ยังเข้าไม่ถึง ยังไม่จบ ยังเหลืออยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านก็ได้ความรู้เหมือนกัน
     
... ตรงนี้ไม่จบท่านก็ออกไปใหม่ แสวงหาครูบาอาจารย์ใหม่ เมื่อออกจากครูบาอาจารย์องค์นี้ ท่านก็ไม่ดูถูกดูหมิ่น ท่านทำเหมือนกันกับแมลงภู่ที่เอาน้ำหวานในเกสรดอกไม้ไม้ให้ดอกไม้ช้ำ แล้วไปพบอาฬารดาบสก็เรียนอีก ได้ความรู้สูงกว่าเก่าเป็นสมาบัติอีกชั้นหนึ่ง(เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน)
     
... เมื่อออกจากสมาบัติแล้ว พิมพา ราหุล ก็โผล่มาอีก เรื่องราวต่างๆ ก็เกิดขึ้นมายังมีความกำหนัดรักใคร่อยู่ ท่านก็เห็นในจิตของท่านว่า อันนี้ยังไม่ถึงที่สุดเหมือนกัน ท่านก็เลิก ลาอาจารย์องค์นี้ไป แต่ยอมรับฟังและพยายามทำไปจนสุดวิสัยของท่าน ท่านตรวจดูผลงานของท่านตลอดกาลตลอดเวลา ไม่ใช่ว่า ท่านทำแล้วก็ทิ้งไป ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านติดตามผลงานของท่าน ตลอดเวลาทีเดียว
     
... แม้กระทั่งการทรมาน เมื่อทรมานเสร็จก็เห็นว่า การทรมานอดข้าว อดปลา ทรมานร่างกายให้ซูบซีดนี้  มันเป็นเรื่องของร่างกาย กายมันไม่รู้เรื่องอะไร คล้ายๆ กับว่าไปตามฆ่าคนที่ไม่ได้เป็นโจร ไอ้คนที่เป็นโจรนั้นไม่ได้สนใจ เขาไม่ได้เป็นโจรเข้าใจว่าเขาเป็นโจร เลยไปตะคอกใส่พวกนั้น ไปคุมขังแต่พวกนั้น ไปเบียดเบียนแต่พวกนั้นเรื่อย เป็นไปในทำนองนี้ เมื่อท่านพิจารณาแล้วก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องของกาย มันเป็นเรื่องของจิต อัตตกิลมถานุโยโคนี้ พระพุทธเจ้าผ่านแล้ว รู้แล้ว จึงเข้าใจว่าอันนี้เป็นเรื่องกาย ความเป็นจริงพระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ทางจิต
     
... เรื่องกายก็ดี เรื่องจิตก็ดี ดูแล้วก็ให้รวมเป็นเรื่องอนิจจัง เป็นเรื่องทุกขัง เป็นเรื่องอนัตตา มันเป็นแต่เพียงธรรมชาติอันหนึ่ง มีปัจจัยให้เกิดขึ้นมาแล้วมันก็ตั้งอยู่ มันตั้งอยู่แล้วก็สลายไป มีเหตุมีปัจจัยก็เกิดขึ้นมาอีก เกิดขึ้นมาแล้วก็ตั้งอยู่ ตั้งอยู่แล้วมันก็สลายไปอีก
     
... ที่มันเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เราไม่ใช่เขาไม่มีอะไร เป็นแต่เพียงความรู้สึกเท่านั้น สุขก็ไม่มีตัวตน ทุกข์ก็ไม่มีตัวตน เมื่อค้นคว้าหาตัวตนจริงๆ แล้วไม่มี มีเพียงธรรมชาติอันหนึ่ง เกิดขึ้นมาแล้วก็ตั้งอยู่ ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป มันก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปเท่านั้น     
     
... มนุษย์สัตว์ทั้งหลายนั้นก็มักเข้าใจว่า การเกิดขึ้นนั้นเป็นเรา การตั้งอยู่เป็นเรา การดับไปนั้นเป็นเรา ก็ไปยึดสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างอื่น เช่นว่า เกิดแล้วไม่อยากให้สลายไป สุขแล้วไม่อยากให้ทุกข์ ทุกข์ไม่อยากให้เกิด ถ้าเกิดแล้วก็อยากให้ดับเร็วๆ หรือไม่ให้เกิดเลยดีมาก อย่างนี้ นี้ก็เพราะเห็นว่ารูปนามนี้เป็นตัวเรา เป็นของเรา จึงมีความปรารถนาอยากจะให้รูปนามเป็นอย่างนั้น
     
... ถ้าความเห็นเป็นอย่างนี้ มันก็คล้ายๆ กับว่าเราสร้างทำนบ สร้างเขื่อนไม่มีทางระบายน้ำ โทษมันก็คือเขื่อนมันจะพังเท่านั้นเอง เพราะไม่มีทางระบาย อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น นี่พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า เมื่อความคิดความเห็นเป็นเช่นนี้ อันนี้แหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อคิดเช่นนั้น เข้าใจเช่นนั้นทุกข์มันก็เกิดขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ท่านเห็นเหตุอันนี้ ท่านจึงสละ นี้คือสมุทัยสัจ ทุกขสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ มันติดอยู่ตรงนี้เท่านั้น คนจะหมดสงสัยก็จะหมดที่ตรงนี้ เมื่อเห็นว่าอันนี้มันเป็นรูปนาม หรือกายกับใจ พิจารณาแล้วที่มันเกิดมาแล้ว ก็ให้เข้าใจว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา