เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - DHAMMASAMEE

หน้า: 1 ... 13 14 [15]
211
... พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดินี้ในเรื่องว่าครองอาณาจักรวรรดิ หรือจักรพรรดิราชสมบัตินั้น ซึ่งมีทวีปใหญ่ทั้ง ๔จะเห็นในปัจจุบันนี้มีก็คือ

๑. ชมพูทวีป คือ ทวีปเอเซียกับทวีปยุโรป

๒. กาฬทวีปทวีปดำ คือ แอฟริกา ชาวคนดำ

๓. กัทมทวีป ทวีปเทา คือ โปลา ออสเตรเลียชาวคนเทา

๔. ปภัสรทวีป ทวีปแสงแดง หรือ ปุพวิเทห คือ ทวีปตะวันออก ก็คือ เอมุก  อมริก,อเมริกา,ไทยว่า มริกัน
     
... คนไทยนี้ก็ไปอยู่ทั่วมาแล้วจึงเห็นว่าเป็นไปได้ ได้นำมาอ้างขึ้นตามต้นเรื่องนั้นทั้งอนาคตวงศ์นี้ก็เป็นต้นเรื่องดึกดำบรรพ์ทั้งในอดีตและ อนาคตและทั้งทวีปใหญ่ในโบราณก็มี ๔ ชื่อ คือ

๑. ชมพูทวีป

๒. อุตตรกุรุทวีป

๓. ปุพพวิเทหทวีป ที่ใกล้กับไทยก็ลงไปถึงออสเตรเลีย 

๔. อมรโคยานทวีป ชื่อก็ใกล้กับเอมุก อมริก อเมริกา
     
... ต้นเรื่องติโรกุฑฑสูตรเล่าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่พระเจ้าพิมพิสาร

... เล่าในกาล พระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธ หมู่เปรตเข้าไปทูลถาม พระกุกกุสันโธตรัสว่า

... " อนาคตแผ่นดินใหญ่สูงขึ้นประมาณ ๑ โยชน์ พระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธจักอุบัติ "
     
... ไม่ทรงกำหนดกาลตามพระพุทธพจน์นั้น ได้กาลแผ่นดินสูง ๑ โยชน์ ๑๖ ก.ม. ถึงยุคมิคสัญญีก็ได้ครึ่งโยชน์ ๘ ก.ม.
     
... โลกวิทยาว่า โลกมีอายุ ๕,๕๐๐ ล้านปี จากกาลผีฟ้าแสงอาภัสสรกาย ถึงพระกุกกุสันธกาล ตลอดถึงยุคมิคสัญญีซึ่งกาลนี้

... โลกวิทยากล่าวว่า ยังลุกเป็นดวงไฟมหึมาอยู่

... ของเราเย็นเป็นแผ่นดินโลกมาแล้วมีอายุล่วงมาได้ ๕๐๐ กับ ๑,๐๐๐ ล้านปีที่ ๑ ตรงกับยุคขุนสรวง

... กำหนดกันง่ายๆ ว่า

... ยุคสรวง พุทธันดรที่ ๑ กาลพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธ

... เท่ากับ ๕ ร้อยล้านปี

... กับพันล้านปีที่ ๑ คร่อมเข้าพันล้านปีที่ ๒

... แผ่นดินสูง ๑ โยชน์ (๑๖ ก.ม.)ตรงกับสมัย สรวง

212
     ... สมเด็จพระภควันต์ทรงเอาอุทกวารี ประพรมลงเหนือพระอุระ

... ก็ทรงฟื้นสมประฤดีขึ้นมาแล้ว พระองค์จึงถวายนมัสการ กราบลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์แทบพระบาท

... กราบทูลอาราธนาให้สมเด็จพระพุทธองค์ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนา
   
... ครั้งนั้นสมเด็จพระกุกกุสันธทศพลบรมศาสดาจารย์ก็ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนาว่า
   
... " ภิกขุ ท่านจงพิจารณาซึ่งสภาวะธรรมที่จะนำตนไปสู่พระนิพพานด้วยตนเองเถิด " (ภิกขุ แปลว่า ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร)
     
... พระภิกขุมหาปนาทบรมโพธิสัตว์วรพุทธางกูร ได้สดับกระแสพระพุทธดำรัสตรัสเป็นนัยดังนั้น

... แล้วพระองค์ก็ปีติโสมนัสอิ่มอาบซาบซ่านทั่วสรรพางค์กาย

... จึงทรงอธิษฐานเล็บของพระองค์ ให้คมดุจมีดโกนเด็ดเศียรเกล้าตรงคอให้ขาดแล้ว จับยกขึ้นกระทำสักการบูชา ฝ่ายเศียรเกล้านั้นได้กราบทูลว่า
   
" พระองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า

พระองค์ได้โอกาสโปรดฝูงสัตว์ทั้งหลายก่อน

ข้าพระองค์มีความปรารถนา

เป็นพระพุทธองค์เมื่อภายหลัง

ด้วยผลศีลทานของข้าพระองค์ในครั้งนี้

ขอเชิญองค์พระอัครมุนีพระผู้มีพระภาคเจ้า

โปรดเสด็จสู่พระนิพพานก่อนเถิด

ข้าพระองค์ขอตามเสด็จพระพุทธองค์

เข้าสู่พระนิพพานต่อภายหลัง "
     
... พอขาดคำแล้วพระภิกขุมหาปนาทบรมจักรพรรดิก็ดับขันธ์สิ้นชีวิตินทรีย์

... และพลันนั้น พระเศียรซึ่งตั้งบนฝ่าหัตถ์ทั้งคู่ก็เกร็งแข็ง ด้วยอานุภาพอธิษฐานชูบูชาอยู่ตามเดิมนั้น ก็ลุกโพลงขึ้นตลอดถึงพระสรีระสรรพางค์ เป็นดวงประทีปเทียนสักการะบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์,พระธรรม,พระสงฆ์,ตามธรรมนิยม

... มีกลิ่นหอมเป็นทิพย์ มีแสงสว่างกระจ่างแจ่มแจ้ง ไม่มีควันอบอวล ไม่ร้อนอบอ้าว เป็นดวงสุกโพลงเฉพาะ ไม่ไหม้ลุกลามไปอื่น

... ทั้งนั้นเป็นไปตามพระพุทธานุภาพที่ได้ทรงโปรดประทาน

... ส่วนพระภิกขุพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดินั้น ก็จุติไปอุบัติเกิด ณ ดุสิตสวรรค์ เสวยทิพยสมบัติเป็นสุขสถาพร

213
... ครั้งนั้น สมเด็จพระสัพพัญญูกุกกุสันโธทรงทราบวาระจิตแล้ว จึงตรัสให้บริขาร ๘ นั้นลอยมาตกลงตรงพระพักตร์พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดินั้นด้วยพระพุทธานุภาพสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิได้ทอดพระเนตรเห็นเป็นมหัศจรรย์แล้ว ได้ใช้พระหัตถ์ทั้งคู่นั้นประคองบริขาร ๘ ยกขึ้นเหนือเศียรเกล้าตรัสว่า

... " บริขาร ๘ เราจักอาศัยท่านออกจากสังสารทุกข์ ให้ได้พบพระนิพพานอันประเสริฐสุดวิสัย "

... ตรัสเสร็จแล้ว ทรงเปลื้องเครื่องราชอิสริยาภรณ์ออกจากพระวรกายแล้ว ได้ครองสบง ทรงจีวรซ้อนสังฆาฏิพาดคาดกายพันมั่นคง ทรงเพศบรรพชิต อุปสมบทเป็นภิกขุภาวะสำเร็จแล้ว
   
... จึงเอาพระมหามงกุฎแก้ววางลงในฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสว่า

... " มงกุฎแก้วจงไปสู่สำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลพระองค์ว่า

... บัดนี้พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิเสียสละราชสมบัติ ออกทรงเพศบรรพชิตเป็นพระภิกขุในพระพุทธศาสนาแล้ว

... มีความปรารถนาเพื่อจะมายังสำนักสมเด็จพระทศพลญาณ ท่านจงไปกราบทูล ดังนี้ "

... แล้วมหามงกุฎแก้วก็เลื่อนลอยไปในอากาศเวหาประดุจว่าพระยาราชหงส์

... ถึงแล้ว จึงลงยังสำนักแล้วตั้งอยู่แทบพระบาท ได้กราบทูลดุจมีวิญญาณ
     
... สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์ได้ตรัสรับว่า

... " สาธุ "

... แล้ว ลำดับนั้นสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ ซึ่งสำเร็จเพศเป็นพระภิกขุด้วยพระพุทธดำรัสว่า

... " สาธุ " ดังนี้แล้ว

... จึงเป็นอุปสมบทสมบูรณ์แล้วด้วย

... พระองค์ก็เที่ยวโคจรบิณฑบาตไปตามละแวกบ้าน ได้อาหารบิณฑบาตพอเป็นยาปนมัต ก็บริโภคฉันพอทรงพระชนม์ชีพ สำเร็จแล้ว

... ก็เจริญพระกัมมัฎฐานอยู่ในที่อันสมควร พิจารณาซึ่งพระพุทธคุณว่า อิติปิ โส ภควา เป็นอาทิ

... และเจริญกายคตาสติกัมมัฎฐานว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ฯลฯ (ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ) เป็นต้น
     
... ทรงเจริญไปด้วยอุตสาหะตลอดอย่างนั้น ได้ยังโลกียฌานและอภิญญา๕ ให้บังเกิดขึ้น ด้วยพระบารมีที่สร้างสมมานานแล้วนั้น

... จึงเหาะลอยขึ้นไปโดยทางอากาศเวหา กระทั่งถึงสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้า

... พอได้โอกาส จึงเข้าเฝ้า ได้ทัศนาการพระรูปโฉมและพระสิริลักษณะของสมเด็จพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์

... อันประดับไปด้วยพระมหาปุริสลักขณะ ๓๒ และอนุพยัญชนะ ๘๐ อันงามบริบูรณ์ครบทุกประการแจ่มแจ้งแล้ว

... ก็บังเกิดปีติโสมนัสปลาบปลื้มเต็มเปี่ยมซาบซ่านทั่วสรรพางค์ตลอดสกลกายแล้วก็สลบลง ณ ที่นั้น

214
... พระพุทธกาลที่ได้ตรัสรู้นั้นได้ล่วงไปช้านาน กระทั่งพระปัญญาบารมีแก่กล้าที่จะเพิ่มได้อีก

... ทรงระลึกได้จึงตรัสสั่งขุนคลังแก้วว่า

... " ท่านจงไปสู่โสฬสมหานครนั้น นำเอามณีรัตนะมาให้เรา "

... ขุนคลังแก้วได้รับโองการแล้ว เพราะเป็นคหบดีรัตนะจึงมีอิทธิพลสมบูรณ์ ได้เหาะขึ้นไปยังโสฬสมหานครทางอากาศ
     
... ณ ปัจจุสมัย เช้าตรู่วันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ากุกุกสันโธนั้น ทรงทอดพระเนตรตรวจโลก ได้ทรงเห็นและทรงทราบแล้ว

... มีพระพุทธประสงค์ทรงโปรดพระอนาคตพุทธองค์ทั้งสองนั้น(ขุนคลังแก้วก็ปรารถนาพระโพธิญาณเหมือนกัน)

... และวันนั้นเป็นวันอุโบสถและวันฟังธรรม ประชาชนต่างหลั่งไหลไปสู่มหาวิหาร

... พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับในมหาวิหารนั้น ได้ประทับอยู่ในสมาธิ

... ทรงอธิษฐานพระพุทธรัศมีให้แผ่ซ่านสว่างไปในอากาศ ให้เห็นได้เฉพาะคหบดีรัตนะก็ได้เห็นในอากาศแต่ที่ห่างไกล
     
... คหบดีรัตนะได้ลงสู่พื้น ก็ได้เห็นหมู่ชาวชนหญิงชายต่างไหลหลั่งเข้าสู่มหาวิหารเพื่อรักษาอุโบสถและฟังธรรมก็เข้าไปด้วย

... ครั้นเข้าไปแล้ว ก็ได้เห็นพระกุกกุสันธะซึ่งประทับนั่ง ณ พระพุทธอาสน์ ก็มิได้รู้จัก ได้กระทำเคารพกราบไหว้ แล้วจึงถามว่า
   
... " มาณพผู้เจริญท่านมีนามชื่อว่าอะไร จึงมีรูปโฉมเป็นอันดี "
   
... พระบรมครูตรัสตอบว่า
   
... " คหบดีรัตนะ เราชื่อว่าพุทธศาสดาจารย์ "
   
... คหบดีรัตนะซักต่อไปว่า
   
... " ท่านชื่อว่าพระศาสดาจารย์ เพราะอะไร "
 
... พระพุทธมหามุนีเจ้าได้ฟัง จึงตรัสตอบว่า
   
... " เราชื่อว่าศาสดาจารย์นั้น ก็เพราะประกอบด้วยอาจริยคุณ ๓๑ ว่า อิติปิ โส ภควา "
   
... (พระพุทธคุณนี้ นับเป็นตัวอักษรได้ ๕๖ นับเป็นศัพท์ได้ ๓๑ จึงเป็นคุณ ๓๑)
     
... ขุนคลังแก้ว จึงจดจารึกเป็นลายสือลงบนแผ่นทองคำ

... แล้วจดจารึกอาการ ๓๒ คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ฯลฯ มุตตํ มตฺถเก มตฺถลุงคํ(ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ มูตร มันสมอง)

... กับจดจารึกทวัตติงสมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และจดจารึกกำหนดอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ

... กับทั้งวาดเขียนพระรูปโฉมส่วนสัดสูง ๖๐ ศอก ลงในแผ่นทองคำทั้ง ๒ เสร็จแล้ว

... ได้กราบทูลลา เหาะลอยกลับมายังพระราชสำนักสมเด็จพระมหาปนาทบรมจักรพรรดิ

... ได้ถวายพระสุพรรณบัฏทั้ง ๒ นั้น ให้ทอดจักษุญาณพิจารณาพระคุณพิเศษและพระสิริลักษณะพระรูปโฉมส่วนสัดพระองค์สูง ๖๐ ศอกของพระกุกกุสันธพุทธองค์นั้น

... พร้อมกับตัวสือจารึกพระพุทธคุณ๓๑ และอาการ ๓๒ ทั้ง ๒ อย่างนั้น
     
... ได้ทอดพระเนตรแล้วมิได้รู้จัก และมิได้ทราบแจ้งพระพุทธคุณนั้น

... จึงตรัสถามปุโรหิตพราหมณ์ซึ่งเฝ้าอยู่นั้นก็ได้ทรงสดับคำทูลว่า

... " อักษรลายสือจารึกนี้เป็นพระพุทธคุณเที่ยงแท้แล้ว "

... ดังนี้ สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิได้สดับแล้ว ทรงเกิดปีติโสมนัสปลาบปลื้มพระทัยสลบลงกับที่
     
... ครั้นทรงฟื้นขึ้นแล้ว จึงตรัสถามอีก ได้สดับคำทูลว่า

... " พระคุณวิเศษนี้ เป็นพระพุทธคุณของพระสัมมาสัมพุทธเที่ยงแท้แล้ว "

... ดังนี้ ก็ทรงปีติโสมนัสปลาบปลื้มพระทัย สลบลงอีกเป็นครั้งที่สอง

... ครั้นทรงฟื้นขึ้นแล้ว ก็ได้ตรัสถามถึงภาพวาดเขียนพระรูปโฉมสิริลักษณ์วรกายนั้น เป็นอย่างพระพุทธรูปจริงหรือประการใด

... ก็ได้สดับคำทูลว่า

... " พระรูปโฉมที่วาดมานี้เป็นพระรูปโฉมของสมเด็จพระพุทธองค์เที่ยงแท้ "

... ดังนี้แล้ว ก็ได้ทรงปีติโสมนัสปลาบปลื้มพระทัย สลบลงอีกเป็นคำรพที่ ๓
     
... ครั้นทรงฟื้นแล้ว ได้ตรัสว่า

... " บัดนี้เราได้ฟังประพฤติเหตุแห่งสมเด็จพระพุทธองค์ อันเป็นดวงแก้วหาค่ามิได้

... เพราะตัวท่านอันเราใช้ให้ไป จึงได้รู้แจ้งพระพุทธรัตนะนั้น

... เครื่องสักการบูชาอื่นๆ หาควรกระทำสักการะบูชาแก่ท่านไม่

... สมบัติจักรพรรดิทั้งหมดนี้ จึงควรแก่ท่าน "

... ดังนี้แล้ว ได้ทรงกระทำราชาภิเษกคหบดีรัตนะขุนคลังแก้ว ให้เสวยสิริราชสมบัติจักรพรรดิ

... กับได้ทรงอธิษฐานสัตรัตนสมบัติทั้งพระมหาคทาให้คงอยู่เพื่อดำรงสิริสมบัตินั้นๆ ให้ครอบครองสืบต่อไปแล้ว
     
... สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิทรงสละจักรพรรดิสมบัติแล้ว พระองค์เดียวเสด็จไปทางทิศภาคที่สมเด็จพระกุกุกสันธบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ โสฬสมหานครนั้น

... ด้วยพระตนุกานุภาพพระเจ้าจักรพรรดิอันมีฉลองพระบาทแก้ว และพระมหามกุฎแก้วนั้น ซึ่งประจำพระองค์อยู่ จึงส่งให้เสด็จได้เร็ว แลเสด็จได้ไกล

... ครั้นเสด็จถึงมหานิโครธไทรใหญ่ต้นหนึ่ง จึงเข้าไปอาศัยประทับนั่งในร่มไทรนั้นพอบรรเทาเหน็ดเหนื่อยแล้ว
     
... ทรงสบายพระวรกายแล้ว ก็ทรงกระทำนมัสการลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ไปในทางที่พระพุทธองค์ประทับอยู่นั้น

... แล้วทรงกระทำอธิษฐานปรารถนาว่า

... " พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโปรดให้ปีติโสมนัสในพระองค์เกิดแก่ข้าพระองค์แล้ว

... ด้วยเดชะความสัตย์นี้ ขอบริขาร ๘ อันเป็นทรัพย์มรดกของพระภิกษุสงฆ์ จงเลื่อนลอยมาเถิด "

215
จากหนังสือสุวรรณภูมิปกรณ์
โดยพระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต)
พระพุทธกุกกุสันธกาล(ยุคไทยขุนสรวง,สาง)
     
... เรื่องทั้งนี้ ได้รวบรวมเรียบเรียงขึ้นถึง พระพุทธันดรทั้ง ๓ ที่มีมาแล้ว และมีเรื่องปรากฎอยู่เฉพาะเท่านั้น ได้นำมาเป็นหลักฐาน ๓ พุทธันดร

... และไทย ๓ กาลที่ปรากฎอยู่ ณ ยุคขุนสรวง นางสางนั้น อันตรงกับ พุทธันดรพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์

... ซึ่งมีเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิมีนามชื่อว่า พระมหาปนาทบรมจักรพรรดิ ซึ่งมีปรากฎในอนาคตวงศ์ว่า

... ในสมัยพระพุทธกาลนั้น ได้มาเกิดเป็นช้างป่าชื่อ ปาลิไลยกะ ได้ทะนุบำรุงพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๓ เดือน ณ พระพุทธพรรษาที่ ๑๐ นั้น

... ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพยากรณ์ว่า

... " จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธองค์พระองค์หนึ่งเป็นที่ ๑๐ มีพระนามว่า พระสุมงคลสัมมาสัมพุทธองค์ ในอนาคตกาล "

... อีกด้วย พอเป็นเรื่องอ้างขึ้นได้จึงนำมาอ้างเพื่อรู้ระยะกาลสมัยดึกดำบรรพ์นั้น
     
... เฉพาะไทยนี้มีเพียงชื่อที่ยังคงอยู่ในความรู้ของไทย

... เมื่อมีเรื่องอยู่ก็จะได้มีเค้าความ จะได้ความสำคัญขึ้น เฉพาะก็คือมีเล่าถึงการคิดตัวหนังสืออ่านได้ และเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสได้จะอย่างไรก็ตามเรื่องที่มีมาแล้ว และพระคันถรจนาจารย์ท่านได้จารึกลงในใบลาน กระทั่งเป็นคัมภีร์ที่ยืนยงคงมาแล้วอย่างน้อยก็เกือบ ๒,๐๐๐ ปี หรือกว่าดียิ่งกว่าฝรั่งที่เขียนกันในเร็วๆ นี้

... ซึ่งยืนยันว่าหลักฐานนี้มีมานานแล้ว และพระคันถรจนาจารย์ท่านเขียนสืบต่อกันมา ก็คงจะหลายสิบองค์จึงยั่งยืนอยู่มาได้จนถึงบัดนี้
     
... ในกาลก่อน กระทั่งถึงกาลพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น

... ในกาลนั้น ชมพูทวีปมีชื่อว่าโสฬสนคร(๑๖นคร)ซึ่งปรากฎในอนาคตวงศ์ ระบุถึงต้นภัทรกัปเป็นยุคสมัยพระพุทธองค์ทรงพระนามว่าพระกุกกุสันโธ อันตรงกับยุคสมัยขุนสรวง

... และเมืองสรวงไทยก็คือ เมืองทอง และสุวรรณภูมิรัฐประเทศไทยนี้ ซึ่งยุคสมัยเดิมนั้นชื่อว่า เมืองสรวง
     
... ก็กาลที่มีอายุเจริญขึ้นไปถึงนับไม่ได้(สมัยนั้นยังไม่มีการนับเลขกัน) แล้วลดลงมาถึง ๔๐,๐๐๐ ปีเป็นอายุขัยนั้น

... ชมพูทวีป หรือ มัชฌิมชนบท ซึ่งยุคสมัยนั้นชื่อว่า โสฬสนคร(เมือง ๑๖) นั้น

... ส่วนทางช่วงแหลมทอง ก็มีชื่อว่า สุวรรณทวีป ก็คือ เมืองทอง หรือ เมืองถิ่นทอง ซึ่งเป็นชื่อที่ต่างๆ อยู่ในเมืองสรวงนั้น ได้มีมาตั้งแต่ขุนสรวงและนางสาง ได้มีลูกหลานแผ่เชื้อสายสืบต่อกันตลอดมา จึงเจริญขึ้นกระทั่งนับไม่ได้ ก็คือ กาลดึกดำบรรพ์นั้น
     
... ครั้นอายุลดลงมาถึงกาล ๔๐,๐๐๐ ปีเป็นอายุขัย ซึ่งเป็นกาลพระกุกกุสันโธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น แหลมทอง มีชื่อว่า เมืองทอง
     
... ครั้นกาลเวลาล่วงมามากๆ เข้า ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป จึงมีชื่อต่างๆ ขึ้น เช่นชื่อเมืองทอง เมืองแก้ว, เมืองพริบ คือ เมืองเพชร เมืองพลี คือ เมืองแก้วแสงก็คือ เมืองไพลิน หรือ เมืองพลิน บางทีก็ชื่อ กรุงพาลี
     
... ถ้าเป็นชื่อพ่อขุน แม่ขุน ก็มีชื่อว่าท้าวกรุงพาลี จ้าวแม่ หรือ นางพระยากรุงพาลี
     
... ชาวเมืองก็เรียกชื่อชาวเมืองพาลี , ชาวกรุงพาลี หรือ ชาวพาลี , ชาวพลินชาวไพลิน
     
... โดยเฉพาะชื่อว่าเมืองแก้ว และ ขุนแก้วนั้นว่ามีสืบมาจากเมืองสรวง และ เมืองทอง
     
... แต่ก่อนกาลพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น พ่อขุนแก้วไทยฟ้า กับ นางพระยาก่องแก้ว

... มีลูกชายทรงโปรดปรานมากจึงตั้งชื่อว่า ยอดแก้วไทย

... ทั้งได้แก้วหินสุกสว่างก้อนหนึ่ง จึงเปลี่ยนชื่อ เมืองทอง ขนานชื่อตามแก้วแสงก้อนใหญ่นั้นว่า เมืองแก้วพริบพลี

... และพระลูกเจ้าพ่อขุนยอดแก้วไทยฟ้านี้ เมื่อทรงเป็นมหาขุนได้มีเนมิตนามชื่อว่า พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ
     
... ในพระพุทธวงศ์ และ อนาคตวงศ์ ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ตรัสแก่พระสารีบุตรเถระ

... ทรงตรัสไว้ตั้งแต่สมัยปฐมโพธิกาล ณ คราวที่เสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์ครั้งแรก

... ในพระพุทธพรรษาที่ ๓ได้ทรงกระทำตามพระพุทธวงศ์ ก็คือพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสรู้มาแล้วและได้ตรัสอนาคตวงศ์

... ก็คือ พระพุทธองค์ที่จะได้ตรัสรู้ในอนาคตกาลอีก ๑๐ พระองค์ อนาคตวงศ์ทรงปรารภพระนางมหาปชาบดีโคตมี และ อชิตะภิกขุ จึงตรัสทักขิณาวิภังคสูตร
     
... ต่อมา พระสารีบุตรเถรได้ทูลถาม จึงตรัสอนาคตวงศ์ จะได้ย่อพอได้ความ เพื่อเป็นหลักฐานในยุคสมัยขุนสรวงนางสาง และพระพุทธันดรพระกุกกุสันธพุทธกาลนั้น ดังนี้

... ในกาลที่อายุมนุษย์ลดลงมาเหลือเพียง ๔๐,๐๐๐ ปีนั้น ชมพูทวีปได้มีชื่อว่า โสฬสนคร
     
... ในส่วนอื่นมีชื่อว่า เมืองทอง และเมืองแก้วปนๆ กันอยู่ คือ เมืองพลิน กรุงพาลี บ้าง

... ช้างป่าชื่อ ปาลิไลยกะ ซึ่งเป็นพระบรมโพธิสัตว์วิริยาธิกะพุทธภูมิ

... ได้เกิดเป็นสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า

... ทรงพระบรมเดชานุภาพตลอดทวีปทั้ง๔ ทรงมีสัตตรัตนสมบัติ ๗ ประการ

... กับมีคทาใหญ่ สถิต ณ เชิงรอง ซึ่งตั้งบนพานทองใหญ่ อันเป็นนิมิตสมบัติจักรพรรดิชุดบก

... และเป็นเนมิตนามชื่อว่า มหาปนาทจักรพรรดิ เป็นประจำมา
     
... ก็สัตตรัตนสมบัติ ๗ ประการนั้นคือ
   
๑. จักกรัตนะ จักรแก้ว
 
๒. หัตถิรัตนะ ช้างแก้ว
   
๓. อัสสรัตนะ ม้าแก้ว
   
๔. มณีรัตนะ แก้วมณี
   
๕. อิตถีรัตนะ นางแก้ว
   
๖. คหปติรัตนะ ขุนคลังแก้ว
   
๗. ปรินายกรัตนะ ขุนพลแก้ว
     
... ทั้งนี้มีอยู่ ๒ ชุด ชุดบกและชุดน้ำ

... ถ้ามีพระคทาใหญ่(กระบองยอด) สถิต ณ เชิงตั้งบนพานทองใหญ่ เพราะมหาคทานั้นเป็นนิมิตที่ระบุนามชื่อว่า มหาปนาทบรมจักรพรรดิ จึงเป็นชุดบกหรือชุดแผ่นดิน
     
... และสัตตรัตนสมบัติ ๗ ประการนั้น แต่มีสังข์ใหญ่ หรือมหาสังข์สถิต ณ เชิงพานทองใหญ่ อันเป็นนิมิตสมบัติจักรพรรดิชุดน้ำ หรือชุดทะเล
     
... และทั้ง ๒ ชุดนั้น ก็มีปราสาทแก้ว ปราสาททอง หรือ รัตนะปราสาท สุวรรณปราสาทพร้อมกับมีแก้ว,ทอง,เงิน,แร่ธาตุต่างประดับพร้อมทุกประการ
     
... ในพระพุทธันดรต้นภัทรกัปนี้ พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ ได้อุบัติขึ้นแล้ว ณ เมืองแก้วมีนามว่า ยอดแก้วไทย

... ครั้นเจริญถึงอายุกาลแล้ว จึงมีปราสาทแก้วปรากฏขึ้น แม้ภูเขาใหญ่ๆ ก็กลายเป็นปราสาทขึ้น

... บ้างก็เกิดเป็นพื้นทองขึ้นเป็นสิริเกียรติสมบัติ บริชนและพาหนะก็เป็นรัตน จึงเป็นสัตตรัตนสมบัติ

... มีมหาคทาสถิตเป็นสิริบรมจักรพรรดิราชสมบัติ ณ ทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ เป็นบริวาร

... ทรงสำราญเป็นปกติตลอดกาลนาน ในกาลชนม์ชีพนั้น ทรงชำนาญศิลปะวิทยาการตลอดทุกชนิด ได้ทรงประดิษฐ์และสร้างเสกสรรเครื่องกลต่างๆ ได้ และปรินายกช่วยทำขึ้นตามประสงค์
     
... บางทีช้างแก้ว ม้าแก้วนำมาให้

... บางอย่างจักรแก้วบันดาลให้ เช่น ดวงแก้วลอยในท้องฟ้า ส่องให้มองเห็นได้ทั่วทุกทวีปใหญ่น้อย

... หลายอย่างที่แก้วมณีรัตนดลดาลให้เช่น ไฟฟ้า และเสียงสายฟ้า
     
... ที่ทรงคิดเป็นพิเศษก็คือ ลายสือ ซึ่งทรงคิดว่า

... " ถ้าเอาเสียงคำพูดกับจำนวนนับเข้าลายเส้นได้ คงจะคงที่และอยู่ได้นาน ทั้งจะนำไปไหนก็ได้ "

... เมื่อครุ่นคิดอยู่นั้น ด้วยบุญญานุภาพพระบารมี ๑๐ ทั้งรัตนะ ๗ และเทพโพธิสัตว์มิตรสหายทั้งหลาย

... ก็ร่วมกันส่งแสงสว่างเป็นปัญญาบารมี พร้อมพลันก็บันดาลให้เกิดปัญญาญาณสว่างแจ้ง ส่องให้เห็น ก.กา ข.ขา ข่า. ข้า เป็นต้น

... และอินทรีย์ทั้งปวงก็คล่องแคล่ว จึงใช้มือเขียนได้ ใช้เสียงและปากอ่านได้

... ใช้ปัญญาส่องทราบได้ว่า ถูกและผิด
     
... เมื่อทรงคิดได้ เขียนได้ อ่านได้คงที่และชำนาญแล้ว

... จึงสอนขุนคลังแก้วให้ทำบัญชี

... สอนขุนพลแก้วให้เขียนวิชาสอนทหารและเขียนกฎหมาย

... และสอนชาวเมืองให้เขียนวิชาต่างๆ

... และให้นางแก้วทั้งบริวาร เรียนเขียน จดคำสอน คำเพลง คำกลอน และข้อความ

... " ทำดีให้จำ ทำชั่วให้ละเว้น "

... มีการประพฤติผิดลักฉ้อ ทำร้ายฆ่าฟัน กล่าวเท็จหลอกลวง กินดื่มของมึนเมาและติดตัง
   
... เอื้อเอ็นดู ช่วยเหลือกัน ซื่อตรงต่อกัน อ่อนน้อมผู้ใหญ่พ่อแม่

... ผู้ชายให้รู้ต่อสู้ทำงาน ป้องกันตัว คุ้มครองสินตน

... ผู้หญิงเรียนรู้การครัว การเรือนเลี้ยงลูก คุ้มครองสินสาวตัวตน ตลอดถึงทุกคนให้รู้เซ่นสรวงอำนวยผีต้น ฯลฯ
   
... ครั้นล่วงมาถึงกาล สมเด็จพระกุกกุสันโธได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธองค์แล้ว ได้เสด็จไปแสดงพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตรจบแล้วเทพพรหมตลอดสุดนั้นได้เปล่งเสียงรับต่อๆ กัน ทั้งได้เกิดมหัศจรรย์ให้หมื่นโลกธาตุสะท้านสะเทือนหวั่นไหวตลอดถึงเมืองแก้วซึ่งได้ทำให้มหาคทานั้นพลัดตกจากเชิงกระเด็นลง ณ พื้นปราสาท แต่ไม่แตกหัก

... จึงทรงดำริถึงบุญบารมี มหาคทาก็ลอยขึ้นสถิต ณ เชิงตามเดิม ได้ทรงเห็นเช่นนั้นทรงดำริก็ทรงทราบด้วยญาณปัญญาว่า

... " พระมหาบุรุษได้อุบัติและได้ตรัสรู้ กับได้แสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจบแล้ว เป็นกาลถึงพร้อมพระรัตนตรัยแล้ว "

... พระเจ้าจักรพรรดิจึงตรัสประกาศให้รัตนะนั้นๆ ไปนำรัตนะนั้นๆ มาถวายให้ตลอดได้ทรงสำราญประทับอยู่โดยปกติ

216
... ได้ยินครูบาอาจารย์ของผมท่านบอกไว้ว่า

... ผู้ปรารถนาพุทธภูมิที่สร้างบารมีมาพอสมควรแล้ว บารมีเก่าที่เคยทำมาแต่ครั้งอดีตจะมาดลใจให้ชอบใจในพระโพธิญาณเอง  และการบำเพ็ญบารมีมาแบบไหนนั้น ความชอบใจที่เกิดจากส่วนลึกของจิตจะบอกกับเราเอง ว่าเราสร้างมาอย่างใด วิริยาธิกะ สัทธาธิกะ ปัญญาธิกะ

... ถ้าไม่แน่ในใจก็จุดธูป ขอพระบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์ ช่วยชี้ทางสว่างในการสร้างพระพุทธภูมิแก่ลูกด้วยเถิด

217
... อีกอย่างหนึ่ง การแบ่งขั้นบารมี อันนี้รู้สึกว่า ถ้าจำไม่ผิดเป็นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช คือ

... บารมีต้น คือ การเสียสละ

... บารมีกลาง คือ การสละ

... บารมีปรมัตถ์ คือ การละ


218
... ได้ยินว่า การแบ่งบารมี เป็นบารมีต้น บารมีกลาง บารมียอดยิ่ง มีอีกอย่าง คือ

... ๑. บารมีต้น พระโพธิสัตว์จะมีอัธยาศัยชอบให้ทานกับรักษาศีล คือ มีความมั่นคงในทานกับศีล

... ๒. บารมีกลาง พระโพธิสัตว์จะมีอัธยาศัยพอใจในการภาวนา คือ มีความมั่นคงในการเจริญฌานสมาบัติ จนได้อภิญญา ๕  สมาบัติ ๘ เรียกกันว่า มีฤทธิ์กันแทบทุกชาติ

... ๓. บารมีปรมัตถ พระโพธิสัตว์จะสามารถทรงกัมมัฏฐาน ๔๐ กองเป็นฌาน ๘ ทุกกอง ทรงสติปัฏฐาน ๔ ได้คล่องแคล่ว และมีวิปัสสนาญาณแจ่มใส มีใจรักในพระนิพพานยิ่งนัก


219
ครับ สำหรับผม ปรารถนา พุทธภูมิประเภทวิริยาธิกะบารมี พิเศษในด้านผู้เป็นเอกแห่งกษัตราธิราชทั้งหลาย ( พระเจ้าจักรพรรดิ)

 ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล ต่างๆ  เพิ่งมาเห็น ว่ามีคนปรารถนาพุทธภูมิแบบพิเศษในด้านต่างๆ เหมือนของผม   

ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากมายจึงมาสอบถามครับ

... ผมขออนุโมทนายิ่งกับคุณขงด้วยครับ ที่ปรารถนาวิริยาธิกะพิเศษ

... ผมก็ปรารถนาวิริยาธิกะพิเศษเหมือนกันครับ ผมปรารถนาความเป็นพิเศษ ๗ ประการ คือ

... ๑. เป็นพระพุทธเจ้าที่ออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยาน คือ ปราสาท และใช้เวลาบำเพ็ญเพียร ๗ วัน ก็ได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ

... ๒. เป็นพระพุทธเจ้าที่มีอายุมากเป็นพิเศษ คือ อธิษฐานให้อายุยืนถึงกึ่งกัป

... ๓. เป็นพระพุทธเจ้าที่มีเมตตามากเป็นพิเศษ

... ๔. เป็นพระพุทธเจ้าที่มีลาภสักการะมากเป็นพิเศษ

... ๕. เป็นพระพุทธเจ้าที่มีพระฉัพพรรณรังสีพุทธรัศมีสว่างไสวมากเป็นพิเศษ คือ รัศมีสว่างหาที่สุด หาประมาณมิได้

... ๖. เป็นพระพุทธเจ้าที่มีพระศาสนาไร้เสียซึ่งเดียรถีย์ ผู้คนทั้งโลกนับถือพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่เป็นพระอริยเจ้า

... ๗. เป็นพระพุทธเจ้าที่มีพระอริยสาวกเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณมากเป็นพิเศษ

... ไม่ทราบว่าจะได้ดังปรารถนาหรือเปล่าก็ไม่รู้ครับ ก็ได้แต่ทำบุญทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน บุญทอดกฐิน ทำบุญค่าน้ำค่าไฟกับสงฆ์วัดท่าซุง และเจริญภาวนาในพระพุทธานุสสติกัมมัฏฐาน(ภาวนา พุทโธ)ไว้เรื่อยๆ และขอพระบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทุกๆพระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์ พรหมและเทวดาทั้งหมด ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ญาติสนิทมิตรสหาย ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ภรรยา ลูกหลานบริวารทั้งหลาย ขอจงมาช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์ ช่วยเตือน และช่วยส่งเสริมให้สิ่งที่ปรารถนาไว้บังเกิดมีขึ้นมาในอนาคต

... ผมไม่รู้จะตายวันไหน เมื่อต้นเดือนมกราคมเจ้ากรรมนายเวรเขาตามมายืนล้อมจะเอาไปให้ได้ ยังดีที่พยาบาลช่วยไว้ได้ทันเลยรอดตายมาหวุดหวิด สองครั้งแล้วที่รอดตาย ครั้งที่สามเห็นจะไม่รอดแล้ว มีอะไรดีที่ได้จากครูบาจารย์สั่งสอนมาก็จะพยายามเอาลงไว้ เผื่อเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆ ผู้ปรารถนาวิริยาธิกะพิเศษ

220
... ข้าพเจ้าได้ทราบมาว่า การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบางพระองค์หลังจากออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่แค่ ๗ วันก็ทรงได้ตรัสแก่พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น มีเหตุอยู่ ๒ ประการ


... ข้อ ๑ เพราะชาติที่เกิดมาบำเพ็ญปรมัตถบารมีชาติสุดท้าย พระโพธิสัตว์ได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นผู้เล่าเรียนพระสัทธรรมพระไตรปิฎก ปฏิบัติชำนาญในกัมมัฏฐาน ๔๐ กอง (ข้อนี้หมายความว่า ทำกัมมัฏฐานจนเป็นฌาน ๘ ทุกกอง) 

... เชี่ยวชาญในสติปัฏฐาน ๔ (ข้อนี้หมายความว่า ทำจนได้ฌาน ๘ ทุกข้อ)

... และช่ำชองในวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ (เจริญวิปัสสนาจนมีอารมณ์จิตคล้ายคลึงกับอารมณ์จิตของพระอรหันต์) อย่างหาผู้เปรียบมิได้

... เพราะอาศัยอุปนิสัยติดตัวอย่างนี้ เมื่อถึงกาลที่พระมหาสัตว์จะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดเหล่าพุทธเวไนยสัตว์สู่เมืองแก้วพระนิพพาน ทำให้เมื่อพบคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะนิดเดียว อารมณ์จิตก็เกิดเหนื่อยหน่ายในโลกียวิสัย สามารถบรรลุพระโพธิญาณได้ภายในเจ็ดวัน


... ข้อ ๒ เกิดจากอธิษฐานตั้งความปรารถนาไว้ คือ ในกาลที่พระมหาสัตว์ทำบุญกุศลต่างๆ ในสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าหรือในสงฆ์ก็ดี ก็จะอธิษฐานขอให้ได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ในวันที่เจ็ดหลังจากออกมหาภิเนษกรมณ์


... ตามที่มีปรากฏหลักฐานใน พระไตรปิฎก สุตตันตะปิฎก ขุททกะนิกาย อปทาน พุทธวงศ์ มีองค์สมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าอยู่ ๕ พระองค์ ที่ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน คือ

... องค์สมเด็จพระโสภิตะปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า

... องค์สมเด็จพระนารทะปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า

... องค์สมเด็จพระปทุมุตตระวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า

... องค์สมเด็จพระธัมมะทัสสีวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า

... องค์สมเด็จพระกัสสปะสัทธาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า




... และพระพุทธเจ้า ๓ ประเภท เมื่อถึงพุทธกาลของพระองค์ จะแตกต่างกันอย่างนี้

... ๑. ในสมัยของสมเด็จพระวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้คนในยุคนั้นจะอาศัยต้นกัลปพฤกษ์ที่เกิดมีอยู่ทุกหนแห่งเลี้ยงชีวิต ไม่ต้องขวนขวายทำมาหากินค้าขายอะไร มนุษย์ทุกคนมีรูปร่างงดงาม มีแก้วแหวนเงินทองทรัพย์สมบัติมากมาย มีความสุขสบาย ไม่มีโรคาพาธเบียดเบียน คนเข้าถึงธรรมได้โดยง่ายมากๆ ปฏิบัตินิดหน่อยก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล พระเสขะบุคคลส่วนมากเมื่อใกล้ตายก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์


... ๒. ในสมัยของสมเด็จพระสัทธาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้คนในยุคนั้นส่วนมากร่ำรวย มีรูปร่างงดงาม มีศีลมีธรรม สามารถบรรลุธรรมได้ง่าย


... ๓. ในสมัยของสมเด็จพระสัทธาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้คนก็เหมือนปัจจุบัน ต้องดิ้นรนขวนขวายทำมาหากิน รวยจนก็อาศัยแก่บุญกรรมของตนๆ การบรรลุธรรมก็ต้องอาศัยความบากบั่นพยายามเข้าว่า



... ในข้อนี้ ครูผมสอนมาอย่างนี้ ผมก็เลยเอามาเผยแพร่ต่อเพื่อเป็นธรรมทาน จะถูกผิดเป็นประการใด ก็ด่าผมแต่ผู้เดียวครับ ขอบคุณครับ

221
ทราบมาว่า นอกจากพุทธภูมิ 3 ประเภท ปัญญาธิกะ  ศรัทธาธิกะ  กับ วิริยาธิกะ

และ ทราบมาว่า มี พุทธภูมิ แบบ พิเศษ อีก  เช่น วิริยาธิกะพิเศษ  ศรัทธาธิกะพิเศษ

และ ยัง มี พิเศษเฉพาะด้าน เช่น พุทธภูมิ พิเศษด้าน ฉัพพรรณรังสี  เป็นต้น

อยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับ พุทธภูมิแบบพิเศษ ครับ ว่า สร้างบารมี 30 ทัศน์ แล้วยังต้อง

สร้าง ความดีอย่างอื่นเสริมด้วยอีก ใช่หรือไม่  และอาจจะต้องสร้างบารมี เพิ่มขึ้นมากกว่า

แบบปกติใช่หรือไม่ เช่น ว่า ต้องบำเพ็ญบารมี 4 อสงขัย ก็ ต้อง สร้างบารมีเพิ่มเป็น 5

อสงไขย อะไรประมาณนี้ ครับ

...  ผู้ปรารถนา " วิริยาธิกะพิเศษ สัทธาธิกะพิเศษ ปัญญาธิกะพิเศษ "  อุปมาเหมือนกับนักศึกษามหาวิทยาลัยแหละครับ ใช้เวลาเรียนเท่าเพื่อน แต่เขาเรียนหนัก เรียนเก่ง เป็นคนขยันอ่าน ขยันหาค้นคว้าหาความรู้ ขยันทำกิจกรรม ได้ A ทุกวิชา พอจบก็ได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ เหรียญทอง

... ผู้ปรารถนา  วิริยาธิกะพิเศษก็ใช้ระยะเวลาในการสร้าง ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัปเหมือนองค์อื่น

... สัทธาธิกะพิเศษก็ใช้ระยะเวลาในการสร้าง ๘ อสงไขย กำไรแสนกัปเหมือนองค์อื่น

... ปัญญาธิกะพิเศษก็ใช้ระยะเวลาในการสร้าง ๔ อสงไขย กำไรแสนกัปเหมือนองค์อื่น 

... แต่ความขยันในการเกิด ความยากลำบาก อุปสรรคในการสร้างพระโพธิญาณท่านจะมีมากกว่าองค์อื่นๆ

... ความละเอียดละออในการทำงานและในการสร้างบุญกุศล ท่านจะทำให้ละเอียดที่สุด ดีที่สุด  ให้มีการขาดตกบกพร่องน้อยที่สุด


... และสุดท้าย คือ ท่านอธิษฐาน หมายความว่าในสมัยที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ทำบุญแล้วตั้งใจจำเพาะว่าจะให้มีความพิเศษอย่างไร เช่น องค์สมเด็จพระพุทธทีปังกรวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเป็นพระพุทธเจ้าที่มีลาภสักการะมากเป็นพิเศษ องค์สมเด็จพระมงคลวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเป็นพระพุทธเจ้าผู้มีพระพุทธรัศมีมากเป็นพิเศษ คือ พระรัศมีแผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุแสนโกฏิจักรวาลทั้งกลางวันกลางคืน องค์สมเด็จพระปทุมุตระวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระศาสนาพระองค์ท่านไร้เดียรถีย์มาเบียดเบียน อย่างนี้เป็นต้น


... ท่านพี่ของผมที่ท่านปรารถนา " วิริยาธิกะพิเศษ " ท่านสอนมาอย่างนี้ครับ ผิดถูกเป็นประการใด ผมขอน้อมรับผู้เดียวครับ

222
... สวัสดีครับทุกท่าน ผมชื่อ นัย เป็นคนจังหวัดเกินร้อยครับ หลายสิบปีก่อน ได้บวชอยู่ในสายวัดหนองป่าพง โดยปฏิบัติตามแนวทางของพ่อแม่ครูบาจารย์หลวงปู่ชา สุภัทโท หลวงปู่ปาน โสนันโท และหลวงปู่พระราชพรหมยานวัดท่าซุง ตอนนั้นผมบวชอยู่กับหลวงพ่อพัฒน์ อาจาโร วัดป่าวิเวกอาศรม ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นกลางพรรษาปี พ.ศ.๒๕๔๓ ท่านหลวงพ่อให้ผมและพระอีกสององค์กล่าวคำปรารถนาพระพุทธภูมิต่อหน้าพระพุทธรูปสมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลสมเด็จองค์ปฐมที่หน้ากุฏิท่าน โดยปรารถนาพระพุทธภูมิแบบ " วิริยาธิกะพุทธภูมิ " โดยตกลงกันว่า องค์พี่จะเป็นพระพุทธเจ้าต้นกัป องค์กลางเป็นพระพุทธเจ้ากลางกัป ส่วนผมจะเป็นองค์สุดท้ายคอยเก็บบริวารของพี่ทั้งสองไปพระนิพพานให้หมด พอตอนออกพรรษาท่านหลวงพ่อให้ทำบุญกฐินแล้วปรารถนาพระพุทธภูมิอีกครั้ง โดยท่านอธิบายว่า " ถ้าได้ทำบุญกฐินแล้วปรารถนาพุทธภูมิ จะได้เป็นพระพุทธเจ้าสมปรารถนา " แล้วท่านก็เล่าเรื่องประวัติสมเด็จองค์พระปัจจุบัน สมัยเป็นพระโพธิสัตว์ทำบุญกฐินให้ฟัง

... สมัยที่ผมบวชอยู่ ได้รู้จักมักคุ้นกับท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิประมาณ ๘ คน สองคนเป็นอาจารย์ผม อีก ๖ คนเป็นศิษย์ท่านหลวงพ่อพัฒน์เหมือนกัน 

... หลังจากสึกมาเป็นคฤหัสถ์แล้วท่านก็สอนไว้ว่า " ให้พยายามทำบุญกฐินทุกปี ถวายสังฆทานบ่อยๆ ทำบุญวิหารทานและธรรมทานเท่าที่มีโอกาส รักษาศีล๕ และภาวนาพุทโธเอาไว้เสมอ  และพยายามรักษาสัจจะบารมี พูดหรือคิดอะไรแล้วต้องทำให้ได้ "

... ทุกวันนี้ผมมีกระปุกออมสินวางอยู่บนโต๊ะพระ ๔ ใบ ใบแรกทำบุญใส่บาตรวิระทะโยและค่าอาหารพระ ใบที่สองทำบุญทอดกฐินในพระพุทธศาสนา ใบที่สามทำบุญค่าน้ำค่าไฟกับสงฆ์วัดท่าซุง ใบที่สี่บุญสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทานและร่วมทำบุญทุกอย่างกับทางสงฆ์วัดท่าซุง  พอสวดมนต์เช้าเสร็จก็หยอดกระปุกละ ๑ บาท แล้วอุทิศส่วนกุศล ตอนก่อนนอนสวดมนต์เสร็จก็หยอดกระปุกละ ๑ บาท แล้วอุทิศส่วนกุศล เมื่อหยอดได้ประมาณ ๓-๔ เดือนก็จะเอาไปหยอดตู้ที่บ้านหลวงพ่อที่ซอยสายลม โดยคำอุทิศส่วนกุศลของผมมีว่าอย่างนี้ครับ

... อิทํ ปุญฺญผลํ ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และจักบำเพ็ญต่อๆไปจนกว่าจะถึงวันที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ข้าพเจ้าขออุทิศถวายส่วนบุญส่วนกุศลทั้งหลายเหล่านี้ เป็นพระพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เป็นปัจเจกพุทธบูชาแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เป็นธัมมะบูชาแด่พระธรรมอันเป็นเครื่องนำสัตว์ทั้งหลายออกจากทุกข์ และเป็นสังฆะบูชาแด่พระอริยะสงฆ์เจ้าทั้งหลาย ทั้งที่เป็นพระขีณาสพและพระเสขะบุคคลตลอดจนพระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆ พระองค์

... ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในส่วนแห่งกุศลผลบุญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยะสงฆ์เจ้าทั้งหลาย พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ที่ได้บำเพ็ญมาแล้วด้วยดี สาธุ
   
... อิทํ ปุญฺญผลํ ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และจักบำเพ็ญต่อๆไปจนกว่าจะถึงวันที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ญาติสนิทมิตรสหาย ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ภรรยา ลูกหลานบริวารทั้งหลายของข้าพเจ้า ตั้งแต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงได้รับประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด
     
... และข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลทั้งหลายเหล่านี้ ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่เคยได้ล่วงเกินมาแล้วตั้งแต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ และขอจงได้ให้อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด
     
... และข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ ท่านเทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และท่านเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพและท่านพระยายมราช ขอท่านเทพเจ้าทั้งหลายและท่านพระยายมราช จงได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ และขอจงได้เป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในกาลวันนี้ด้วยเถิด
     
... และข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลทั้งหลายเหล่านี้ ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เป็นญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี สัมภเวสี ภูตผี ปีศาจ  เปรต อสุรกายและบรรดาท่านทั้งหลายที่รอตัดสินโทษอยู่ ณ สำนักพระยายมราช ขอท่านทั้งหลายจงได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงได้รับประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด ถ้าหากท่านทั้งหลายยังไม่รู้จัก ขอท่านพระยายมราชและเทวดาทั้งหลาย จงบอกสัตว์เหล่านั้นให้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด
     
... อิทํ ปุญฺญผลํ ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และจักบำเพ็ญต่อๆไปจนกว่าจะถึงวันที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ขอผลบุญทั้งหลายเหล่านี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระพุทธะมหามุนีธัมมะสามีวิริยาธิกะสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคต เพื่อจะปลดเปลื้องสัตว์ทั้งหลายจากวัฏฏะสงสาร เข้าสู่แดนเอกันตบรมสุข คือ พระนิพพาน
     
... ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังเป็นผู้มีบารมียังอ่อน ยังจักต้องเร่ร่อนไปในชาติภพใดใด ขอให้มีความเคารพเลื่อมใสศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ มีอัธยาศัยพอใจยิ่งในการให้ทาน ในการรักษาศีล ในการเจริญภาวนา มีกรรมฐาน ๔๐ สติปัฏฐาน๔  และวิปัสสนาญาณ๙ ตั้งมั่นอยู่ในจิตทุกชาติ มีทิพจักขุญาณและปัญญาญาณคล้ายๆพระสัพพัญญู มีปฏิภาณไหวพริบสติปัญญาความรู้เฉลียวฉลาดในศาสตร์ทั้ง ๑๘ ประการ มีความสามารถพูดจาโน้มน้าวใจคนที่ทำชั่วให้กลับตัวเป็นคนดีได้ มีกำลังกายเท่ากับพญาช้างสารเจ็ดเชือก ได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิบ่อยๆ ได้เป็นผู้นำในการทำนุบำรุงยกยอค้ำชูพระพุทธศาสนาทั้งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์พระปัจจุบัน  และขององค์สมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายที่จักมาตรัสในอนาคตให้ตั้งมั่นยั่งยืนเจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน มีความสามารถสงเคราะห์คนไทยทั้งปวงให้มีความสุข และขอความขัดข้องต่างๆ ความอดอยากยากจน ความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ คำว่าไม่รู้ คำว่าไม่มี คำว่าไม่สามารถทำได้ คำว่าไม่สำเร็จ คำว่าพ่ายแพ้ และคำว่าความปรารถนาไม่สมหวัง ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างบารมี ๓๐ ทัศ ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างพระโพธิญาณและการลาพุทธภูมิ จงอย่าพึงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเลย นับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด


... ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว  ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน  และจักบำเพ็ญต่อๆไปจนกว่าจะถึงวันที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ขอผลบุญทั้งหลายเหล่านี้  จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเกิดและมีชีวิตอยู่ทันสมัยที่องค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังประกาศพระศาสนา ขอให้ข้าพเจ้าได้พบองค์สมเด็จพระเมตไตรยบรมศาสดา และได้นอนทอดกายลงเป็นสะพานให้องค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยะสงฆ์สาวกทั้งหลายได้เดินข้ามผ่าน ขอให้ได้ทำบุญถวายมหาทานแก่สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานและได้ฟังพระสัทธรรมอันพรรณาคุณพระนิพพาน แล้วมีศรัทธาอันยิ่งใหญ่ตัดเศียรเกล้าออกบูชาองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระนิพพานธรรม   พร้อมกับกล่าวคำปรารถนาวิริยาธิกะพุทธภูมิแบบอุกฤษฏ์ ณ ที่เฉพาะพระพักตร์องค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า  และให้ได้รับพระพุทธพยากรณ์เป็นพระวิริยาธิกะพุทธภูมินิยตะบรมโพธิสัตว์ ณ ที่เฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมศาสดาสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเถิด  สาธุ
     

... ด้วยบุญที่ข้าพเจ้ากระทำมาแล้ว  ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และจักบำเพ็ญต่อๆไปจนกว่าจะถึงวันที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ  ขอผลบุญทั้งหลายเหล่านี้  จงเป็นปัจจัยให้ในกาลสมัยที่ข้าพเจ้าลงมาตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น  บังเกิดมีสิ่งเหล่านี้คือ
     

... ขอให้ข้าพเจ้าอุบัติในสารกัป  ถือกำเนิดในตระกูลแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ  ร่างกายสูงใหญ่ ๘๐ ศอก  มีอายุยืน ๑๐๐,๐๐๐ ปี  เห็นนิมิตเทวทูต คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะแล้ว  ออกมหาภิเนษกรมณ์ตอนมีอายุได้ ๑๐,๐๐๐ ปี   ด้วยยานคือปราสาท  ต้นปาริฉัตรเป็นพระศรีมหาโพธิ์  ใช้เวลาบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน ก็ได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ  ตรัสเป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก  และเป็นพระพุทธเจ้าที่อายุมากเป็นพิเศษ คือ อธิษฐานให้อายุยืนถึงกึ่งกัป  มีเมตตามากเป็นพิเศษ  มีบริษัทบริวารมากเป็นพิเศษ  มีลาภสักการะมากเป็นพิเศษ มีลาภสักการะเกิดไม่ขาดสายเหมือนคลื่นในมหาสมุทรทั้ง ๔  ในกาลที่ได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น ขอให้มีพระนามว่า สมเด็จพระพุทธะมหามุนีธัมมะสามีวิริยาธิกะสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้มีพระฉัพพรรณรังสีพุทธรัศมีสว่างไสวแผ่ซ่านไปหาที่สุดมิได้ทั้งกลางวันกลางคืน และสว่างอยู่ตลอดอายุพระศาสนา มีฉัตรแก้ว ๙ ประการ  ๙  ชั้น กว้าง ๙  โยชน์ สูง ๙ โยชน์ กางกั้นอยู่เสมอ เวลาย่างเดินขอให้มีดอกบัวผุดรองรับทุกย่างก้าว  ในกาลที่ประกาศพระธรรมจักรนั้น  บรรดาฝูงมนุษย์ เทวดา และพรหมทั้งหลาย ๑๖ อสงไขย ได้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรส  คือ พระสัทธรรม  เห็นพระนิพพานอันมิรู้แก่รู้ตาย  มีพระอรหันตขีณาสพปฏิสัมภิทาญาณ  ๑ โกฏิ แวดล้อมอยู่เสมอ   พระศาสนาพระธรรมวินัยตั้งอยู่ ๑๐๐,๐๐๐ ปี หลังจากปรินิพพาน ตลอดศาสนายุกาลข้าพเจ้านั้นไม่มีเดียรถีย์มาเบียดเบียนพระศาสนาให้มัวหมอง  ผู้คนทุกทวีปน้อยใหญ่ในโลกนับถือพระพุทธศาสนาทั้งหมด  ส่วนใหญ่ ๙ ใน ๑๐ ส่วน เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เข้าถึง พระนิพพานหมด
     

... ในกาลที่ข้าพเจ้าตรัสเป็นพระวิริยาธิกะสัพพัญญูพุทธเจ้านั้น ขอให้มนุษย์ทั้งหลายมีร่างกายสูงใหญ่ได้ ๘๐ ศอก อายุยืนได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี หน้าตารูปกายทรวดทรงงดงาม ผิวกายละเอียดเป็นสีเหลืองคล้ายทองคำ มนุษย์ทุกคนมีศีล ๕ และ กรรมบถ ๑๐ ประจำใจ ทุกคนร่ำรวย มีความสุขกายสุขใจ  ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน  มีต้นกัลปพฤกษ์เกิดทุกหนทุกแห่งในโลก   และต้นกัลปพฤกษ์นี้ตั้งอยู่ตลอดอายุพระศาสนา  ผู้คนทั้งหลายได้อาศัยต้นกัลปพฤกษ์นี้ประพฤติเลี้ยงชีวิตอยู่เป็นสุขตลอดชีวิต  และมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำท่าข้าวปลาอาหาร แก้วแหวนเงินทอง  รัตนะทั้ง ๑๐ ประการ กองอยู่เดียระดาษทั่วโลก ผู้คนทั้งหลายไม่ต้องประกอบอาชีพอะไร มุ่งแต่เจริญสมถะกัมมัฎฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อยกตนออกจากวัฏฏะสงสารกันถ้วนหน้า  สมัยนั้นฝนตกทุก ๕ วัน ๗ วัน  อากาศเย็นสบายเหมือนดาวดึงสเทวโลก ผู้คนมีเมตตาจิตต่อกัน  สัญจรไปมาทางน้ำและทางบก  ไม่มีผู้ร้ายโจรขโมย
     

... ในกาลนั้นขอให้มีพระเจ้าจักรพรรดิเป็นศาสนูปถัมภกพระศาสนาของข้าพเจ้า  ผู้คนทั้งหลายไม่มีความประมาท  มีจิตเคารพต่อพระรัตนตรัยแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย  มีพระพุทธานุสติ  พระธัมมานุสติ พระสังฆานุสติเป็นอารมณ์  มีจิตน้อมไปในพระนิพพานอยู่เนืองนิจ  มนุษย์ชายหญิงทั้งหลายเมื่อกายแตกแล้วเข้าถึงพระนิพพานกันทุกคน  ผู้ปฏิบัติธรรมเจริญสมถะกัมมัฎฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน  พอจิตเข้าถึงอัปปนาสมาธิแล้วถอนมาพิจารณาวิปัสสนาญาณนิดหน่อยก็สามารถบรรลุพระอรหัตผลเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณได้โดยง่ายตลอดพระศาสนายุกาลของข้าพเจ้า           
     

... ตลอดศาสนายุกาลของข้าพเจ้า  สามารถรื้อสัตว์ขนสัตว์ทั้งหลายจากวัฏฏะสงสาร ทั้งฝูงมนุษย์ เทวดาและพรหมทั้งหลาย  ไปพระนิพพานมากมายเท่ากับเม็ดกรวดเม็ดทรายที่มีอยู่ในโลกใบนี้ทั้งหมด ให้อบายภูมิ เทวโลก และพรหมโลกร่อยหรอ บนเมืองแก้วกล่าว คือ พระนิพพาน แน่นขนัดยัดเยียดไปด้วยพระอรหันต์เถิด สาธุ


... ข้าพเจ้าขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างเอาพระบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ มีองค์สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธาน พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์  พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย คุณครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมา มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค  หลวงปู่พระราชพรหมยาน  วัดท่าซุง พ่อแม่ครูบาจารย์หลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต วัดป่าหนองผือ ครูบาจารย์เฒ่าหลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล  วัดป่าบ้านคุ้ม  หลวงปู่กินรี  จันทิโย วัดป่ากัณตะศิลาวาส หลวงปู่ครูบาวัง  ฐิติสาโร ถ้ำชัยมงคลภูลังกา  หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง หลวงพ่ออภิญญา อาจาโร วัดป่าวิเวกอาศรม เป็นที่สุด พรหมและเทวดาทั้งหมด ปู่ย่าตายายทั้งหลาย พ่อแม่ทั้งหลาย ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ญาติสนิทมิตรสหาย ภรรยา ลูกหลานบริวารทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีจิตเมตตาโปรดช่วยอุ้มชูอนุเคราะห์สงเคราะห์ เกื้อหนุน เกื้อกูล แนะนำ ตักเตือน สั่งสอน และช่วยส่งเสริมในการสร้างบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ของข้าพเจ้าทุกภพทุกชาติ จนกว่าบารมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์สมบูรณ์ ครบถ้วน  ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัป  และจนตราบเท่าได้สำเร็จแก่พระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสเป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลกด้วยเถิด สาธุ ฯ. 

... ขอขอบพระคุณทีมงานเว็บพุทธภูมิและเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ที่ให้โอกาสได้สนทนากับพุทธภูมิท่านอื่น มีอะไรก็แนะนำได้นะครับ ขอบคุณครับ

หน้า: 1 ... 13 14 [15]