เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Webmaster

หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27
361


กัป กัลป์ และอสงไขย

การนับกาลเวลามี ๒ แบบ คือ แบบที่นับเป็นตัวเลข ๑ ๒ ๓ .... เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เรียกว่านับเป็นตัวเลขสังขยา คือ ตัวเลขที่นับได้
ถ้ามากเกินจะนับไหวแล้ว ก็จะเปลี่ยนมานับโดยการอุปมา คือการเปรียบเทียบเอา

แล้วตัวเลขแค่ไหนล่ะที่นับไม่ได้ เราจะนับกันสูงสุดแค่ไหน
ตัวเลขที่กำหนดว่าไม่นับแล้ว เลิกนับแบบสังขยากันดีกว่า คือ ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดที่นับกัน ถ้าเกินไปกว่านี้ พระพรหมก็เบือนหน้าหนีแล้ว
จำนวนที่เกินจาก ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว จึงเรียกว่าเป็นจำนวน อสังขยา หรือ อสงไขยนั่นเอง

กาลเวลาทางพุทธศาสนาที่พบเจอกันบ่อยๆ ก็คือ
๑. กัป
๒. อสงไขยปี
๓. รอบอสงไขย
๔. อันตรกัป
๕. อสงไขยกัป
๖. มหากัป
๗. อสงไขย
๘. พุทธันดร

กัป
ในความหมายแรก หมายถึงอายุกัป คือระยะเวลาที่เท่ากับอายุเฉลี่ยของมนุษย์ยุคนั้น ซึ่งผันแปรตั้งแต่ ๑๐ - อสงไขยปี
สมัยพุทธกาล อายุกัปเท่ากับ ๑๐๐ ปี ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้บำเพ็ญอิทธิบาท ๔ สามารถมีอายุอยู่ได้ตลอดกัป ก็หมายถึงมีอายุอยู่ได้ ๑๐๐ ปี นั่นเอง
และเนื่องจากตอนนี้อยู่ในช่วงอายุขาลง ทุก ๑๐๐ ปี อายุมนุษย์จะลดลง ๑ ปี ปัจจุปัน อายุกัปของเราจึงเหลืออยู่เพียง ๗๕ ปีเท่านั้น
คำว่ากัป หรือกัปป์ หรือกัปปะ เป็นภาษาบาลี ส่วนภาษาสันสกฤติใช้คำว่า กัลป์ สรุปแล้ว กัป กับ กัลป์ ก็คือตัวเดียวกันนั่นเอง

อสงไขยปี
ก็คือ จำนวนปีที่ขึ้นต้นด้วย ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ปีนั่นเอง ตัวเลขนี้เป็นอายุของมนุษย์ยุคสร้างโลก เมื่อโลกเกิดขึ้นใหม่ พระพรหมที่หมดอายุก็จุติมาอุบัติเป็นสัตว์โลกผู้มีจิตประภัสสร ลอยไปลอยมาในอากาศได้ มีอาหารเป็นทิพย์ มีศีลธรรมดีดุจพระพรหม อายุจึงยืนยาวถึงอสงไขยหนึ่ง

รอบอสงไขย
ต่อมามนุษย์เริ่มไปกินง้วนดินเข้า จิตก็เริ่มหยาบ กายก็เริ่มหยาบ กิเลสก็พอกหนา เหาะไม่ได้ กลายเป็นมนุษย์เดินดิน อายุก็ค่อยๆ ลดลง ทุก ๑๐๐ ปี ลดลง ๑ ปี จนเหลือแค่ ๑๐ ปี ยุคนั้นก็เป็นยุคมิคสัญญี มนุษย์ฆ่าฟันกันเหมือนผักปลา ศีลธรรมก็ไม่มี พอฆ่ากันตายเกือบหมดโลก พวกที่เหลือสังเวชใจ เริ่มรักษาศีลกันอีกครั้ง อายุก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทุก ๑๐๐ ปี ก็เพิ่มขึ้น ๑ ปี จนกลับไปยืนยาวถึงอสงไขยปีอีกครั้ง
เวลาทั้งหมดนี้ เรียกว่ารอบอสงไขย
อันตรกัป
ก็คือ ๑ รอบอสงไขยนั่นเอง

อสงไขยกัป
โลกนี้มีเกิดดับเป็นวัฏจักร รอบหนึ่งใช้เวลาทั้งสิ้น ๒๕๖ อันตรกัป คือ
๑ โลกกำลังถูกทำลาย อาจโดนไฟประลัยกัปเผา หรือน้ำประลัยกัปตกกระหน่ำ หรือลมประลัยกัปพัดทำลาย ทุกสรรพสิ่งจะถูกทำลายย่อยยับไม่มีเหลือเลย ทำลายตั้งแต่มหานรกขึ้นไปถึงพรหมอีกหลายชั้น ใช้เวลาทำลายทั้งสิ้น ๖๔ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเฉพาะว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป
๒ จากนั้นทุกอย่างก็ว่างเปล่า มืดมิด ไม่มีอะไรเลย เป็นเวลาอีก ๖๔ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป
๓ จากนั้นโลกก็จะเริ่มก่อตัวขึ้นมาใหม่ มีผืนน้ำ มีแผ่นดิน รวมเวลาอีก ๖๔ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า วิวัฏฏอสงไขยกัป
๔ จากนั้นโลกจึงมนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ได้ เป็นเวลาอีก ๖๔ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป

มหากัป
คือเวลา 1 รอบวัฏจักรการแตกดับของโลก หรือเท่ากับ ๒๕๖ อันตรกัป
๑ มหากัป อุปมาว่ามีพื้นที่ขนาดกว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ บรรจุเมล็ดพันธุ์ผักกาดไว้เต็ม ทุก ๑๐๐ ปีก็มาหยิบเมล็ดผักกาดออกเมล็ดหนึ่ง แม้จะหยิบเมล็ดผักกาดออกหมดแล้วก็ยังไม่นานเท่า ๑ มหากัป
คำว่ามหากัป มักเรียกสั้นๆ ว่า กัป

อสงไขย
คงเคยได้ยินคำว่า ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป คำว่าอสงไขยในที่นี้หมายถึงระยะยาวนานมาก นับเป็นจำนวนกัปแล้วยังนับไม่ได้ คือจำนวนกัปมากกว่า ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัวเสียอีก
๔ อสงไขยกำไรแสนกัป ก็คือระยะเวลาที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีในช่วงปรมัตถ์ ก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

พุทธันดร
คือระยะเวลาตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งตรัสรู้ จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้าองค์ต่อปมาตรัสรู้ เรียกว่า ๑ พุทธันดร
พุทธันดรของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ยาวไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันเราอยู่ในอันตรกัปที่ ๑๒ และพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ในอันตรกัปที่ ๑๓ จากนั้นไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เลยนานถึงอสงไขยหนึ่ง
ดังนั้น ๑ พุทธันดรของพระสมณโคดมพุทธเจ้าจึงยาวนานแค่ ๑ อันตรกัป ส่วน ๑ พุทธันดรของพระศรีอาริยเมตไตรยยาวนานถึงอสงไขยหนึ่ง

362
วลีอมตะที่กล่าวว่า

"โพธิญาณต้อง เรียนกับโพธิญาณเท่านั้น"

เป็นจริงแน่แท้ หากโพธิญาณท่านนั้นต้องการที่จะรู้เกี่ยวกับเรื่องราวสืบมาของโพธิญาณ ต้องการที่จะเรียนการสร้างบารมีของโพธิญาณ ต้องการทราบประเพณีของเหล่าพุทธภูมิ(ที่เรียกกันว่า พุทธประเพณี) ฯลฯ

เรื่องเหล่านี้นับเป็นเรื่องใบไม้นอกกำมือ ไม่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฏก เป็นความรู้และเรื่องราวที่ต้องแสวงหาของเหล่าพุทธภูมิ...จึงเป็นที่มาของ เรื่องการ ต่อกระแสของพุทธภูมิ เนื่องด้วยพุทธภูมิหรือเหล่าบรรดาโพธิญาณ

...แม้น ว่าบารมีของท่านเหล่านั้นจะเต็มแล้วก็ตามที แต่จริตเดิม นั้นยังมีอยู่ (ความเมมตา ความปรารถนาต้องการให้สรรพสัตว์พ้นทุกข์) ท่านเหล่านั้นจึงมิได้ นิ่งเฉย เสวยสุขอยู่บนวิมานของแต่ละท่านแต่อย่างใด...

หากแต่ ทุกท่านต่างก็ลงมาจุติลงมาเกิดเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก ตามวาระของแต่ละท่าน พระโพธิสัตว์ทุกท่านจะเล็งรู้เองว่า กาลใดเมื่อใดจึงจะเหมาะสมที่จะลงมาจุติ)

...เมื่อท่านเหล่านั้นลงมา ก็ เหมือนกับเริ่มใหม่ เกิดใหม่ มาเรียนรู้ใหม่

...การสร้างบารมีนั้น ท่านก็จะอาศัยเรียนกับโพธิญาณรุ่นพี่หรือรุ่นน้องที่มาจุติก่อน(โพธิญาณจะ ต้องเรียนกับโพธิญาณ) นี่แหละมาเรียนรู้ไว้ มาต่อกระแสสืบต่อๆกันไป ไม่มีที่สุดตราบใดยังมีผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอยู่...

ณ ถ้ำใหญ่ .....หลังจากสวดมนต์เสร็จ

หลวงตาม้าและคณะศิษย์ เสวนาพาทีสอบถามเรื่องการปฏิบัติธรรม ....

ขณะนั้นหลวงตาได้พูดขึ้น โดยมองไปที่ศิษย์คนหนึ่งว่า...

"เอ๊า ไหนลองกำหนดไปดูพระแก้วแดงซิ องค์จริงเป็นยังไง อยู่ที่ไหน ...? "

ศิษย์คนนี้เพิ่งเริ่มฝึกภูติ พระพุทธเจ้า หรือวิชาที่พวกเรารู้จักและเรียกกันในชื่อว่า "วิชาเปิดโลก" เค้าตอบรับคำหลวงตา ...นั่งในอริยาบทสบายๆ แล้วจัดแจงถอดประคำพระที่เพิ่งได้รับจากหลวงตาเมื่อตอนกลางวัน มากำไว้... มือขวากำพระ วางมือที่กำพระไว้บนมือซ้าย หลับตาพริ้ม....ทำใจให้สบายที่สุด จับภาพหลวงปู่ยืนยิ้มอยู่ แล้วบอกกับหลวงปู่ในใจว่า หลวงปู่ครับ หลวงตาถามผมว่าพระแก้วแดงเป็นยังไง อยู่ที่ไหน

...หลวงปู่พาลูกไปดูได้ไหมครับ ...ฉับพลันทันใดนั้น ...หลวงปู่ที่ยืนยิ้มอยู่ก็หันหลังให้ ภาพหลวงปู่ก็เปลี่ยนไป เร็วมาก เปลี่ยนเป็นสถานที่ๆ เค้าไม่รู้จัก เย็นมาก เหมือนเป็นถ้ำ ...ที่ใหญ่และสะอาด มีทางเดินไปข้างหน้า ข้างทางจัดวางด้วยเพชรนิลจินดา ระรานตาไปหมด แต่แปลก จิตบอกว่า เป็นของทิพย์ทั้งนั้น

เป็นของที่มีคน เค้าเอามาถวายบูชา เราก็เดินไป เรื่อยๆ ไม่นานนัก ก็พบ โถงใหญ่ ใหญ่โตมาก กว้าง เหมือนโดม

แต่เป็นโดมที่มีเพดานเป็นผนังถ้ำ มีพระองค์ใหญ่ ตั้งอยู่กึ่งกลางห้องโถง


เป็น "พระแก้วสีแดง"  เราอุทานในใจ ...สวยงามมาก องค์ท่านเป็นพระทรงเครื่องจักรพรรดิ์

วรรณะสมบูรณ์ไม่อ้วน มาก ไม่ผอมนะ อวบๆ นิดๆ ...เนื้อผิวองค์พระเป็นสีแดงกล่ำ

แต่มองดู เหมือนใส เหมือนทึบ อธิบายยาก...ทำไมองค์พระช่างใหญ่โตมโหฬารเช่น นี้..(อุทานในใจ)  ใหญ่กว่าพระแก้วแดง ที่ประดิษฐานอยู่ในถ้ำใหญ่ที่เราสวดมนต์ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าขนาดองค์พระ ต่างกันลิบลับ ...

ด้านซ้าย-ขวาของพระแก้วแดงองค์ใหญ่ มีแท่นหินสีขาวสวยงามมากๆ ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่ง บนแท่นมีคนนั่งอยู่...ไม่ใช่คนแน่ๆ คนอะไร จะมีรัศมีกระจายออกมาจากกาย(เหมือนเทวดาเลย) คนทางด้านซ้ายมือมีรัศมีสีทอง ส่วน คนด้านขวามือมีรัศมีสีแดงกระจายออกมาจากกาย...ในใจไม่ได้รู้สึกกลัวแต่ อย่างใด รู้สึกสบายมากๆ

เราเดินเข้าไป ด้านหน้าขององค์พระแก้วแดง เหมือนคนทั้งสองเค้าไม่สนใจเราเลย ทั้งสองมองมาที่เราแล้วก็ยิ้มให้ จากนั้นเค้าก็นั่งทำสมาธิของเค้าต่อไป ....

เมื่อมายืนต่อหน้าองค์ พระแก้วแดงแล้ว ตัวเราเล็กมากๆ ถ้าจะเปรียบก็เหมือน เราเป็นตุ๊กตาช้างม้า (ตุ๊กตาแก้บนที่เค้าถวายวางไว้หน้าพระประธานตามศาลหลักเมือง คงนึกภาพออกนะครับ) ขณะที่องค์พระแก้วแดงมีขนาดใหญ่มากกว่าพระประธานหน้าตัก 60 นิ้ว ยังไงยังงั้น ใหญ่มากจริงๆ นี่แค่เปรียบเทียบนะ จริงๆ แล้ว องค์พระแก้วแดงใหญ่โตมาก ไม่รู้จะบรรยายยังไง ในสภาวะทิพย์กับในโลกความเป็นจริง มันต่างกันนะ ...

เราก้มลงกราบพระ แก้วแดงองค์ใหญ่ จากนั้น ก็ก้มกราบไปที่คนทั้งสองฝั่งที่นั่งบนแท่น เพราะเริ่มมั่นใจแล้วว่า ทั้งสองไม่ใช่คนธรรมดา...เมื่อก้มกราบลงไปนั้น เหมือนหลวงปู่ทำให้เห็นเป็นภาพ ท็อปวิวเลย
เหมือนเรามองลงมาจากบนผนังเพดานถ้ำ มองเห็นเป็นพญานาค 2 ท่านขดอยู่บนแท่นทั้งสองนั้น...

" องค์ด้านซ้ายเป็นพญานาคสีทอง องค์ด้านขวาเป็นพญานาคสีแดง "

สิ้นสงสัยทันที ที่เราเห็นคงเป็นพญานาค ที่ดูแลองค์พระแก้วแดงนี้เป็นแน่แท้ ....ดีจังเลย ได้เห็นกราบพระแก้วแดงองค์จริง ได้เห็นพญานาคที่ดูแลรักษาพระแก้วแดง....ทั้งสองท่าน

ได้ยินเหมือน หลวงปู่บอกมาว่า พระแก้วแดงนี้ อยู่เมืองบาดาล พญานาคเค้าดูแลรักษาไว้ให้ อนาคตในยุคพระศรี คนในยุคนั้นจะมีร่างกายที่ใหญ่โตมาก เหตุนี้เองพระแก้วแดงจึงมีวรรณะลักษณะใหญ่โตเกือบคับเต็มถ้ำ

พระแก้วแดง นี้ ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เวลานั่งสมาธิ สามารถจับพระแก้วแดงเป็นพุทธนิมิต พุทธานุสติ ได้ ...

จากนั้นภาพก็เปลี่ยนเป็นหลวงปู่ยืนยิ้มอยู่ต่อ หน้าเราเหมือนเดิม ...เราก็ลืมตาขึ้น (ช่วงเวลาที่หลวงปู่พาไปเมืองบาดาลนั้น เร็วมาก ไม่นานเลย)

หลวงตา ถามขึ้นว่า ...ว่าไง

ศิษย์ก็ตอบไปว่า ...

"พระแก้วแดงอยู่เมืองบาดาล ครับ องค์ใหญ่มากๆ มีพญานาคดูเฝ้ารักษาดูแลอยู่ 2 ท่าน"

หลวงตา " ถูก ....ตามนั้นแหละ องค์จริงอยู่ที่เมืองบาดาล รอวาระ รอยุคพระศรีอริยเมตไตรย เมื่อถึงยุคนั้น พระแก้วแดงจะปรากฎขึ้นมาเองด้วยบุญฤทธิ์ของพระศรีอริยเมตไตรย ให้คนในยุคนั้นได้กราบไหว้บูชา ...พระแก้วแดงจึงเป็นเสมือนรูปลักษณ์ที่รวมบารมีของพระศรีฯทั้งหมดไว้ เป็นรูปที่ให้นามจับ พลังเหนือพลัง...."

เป็นอันว่า ในวันนั้นศิษย์ ผ่านการทดสอบจากหลวงตา
 
เพราะบารมีของหลวงปู่ดู่โดยแท้ ...

363
พระแก้วแดงกับโพธิญาณ

ถึงโพธิญาณทุกท่าน...

-ทั้งท่านที่รู้ตัวเอง ว่ามีปรารถนามีความต้องการที่จะช่วยสัพสัตว์ ช่วยเหลือสัตว์โลก ขนเหล่าสัตว์ทั้งหลายให้หลุดออกจากวัฏสงสาร 3 แดนโลกธาตุนี้ เข้าสู่กระแสพระนิพพานเป็นที่สุด เค้าเหล่านี้ต้องสร้างบารมีมากมายมหาศาลเพื่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใน กาลข้างหน้า

-ทั้งท่านที่ยังไม่รู้ตัวว่าเรา ปรารถนาอะไร ...ยังไม่รู้ว่าตนเองเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน...แต่ในความเป็นจริงนั้น ตนเองได้สร้างได้ทำบารมีมามากหลายยุค หลายภพ หลายชาติแล้ว เพียงแต่ชาตินี้ ยังระลึกไม่ได้เท่านั้นเองว่าตนเองปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า

-และ ท่านที่เพิ่งตั้งจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล เพิ่งเริ่มสร้างบารมีในชาตินี้

พระแก้วแดง
ใช่ว่าจะมีพลังงาน ,มีพุทธคุณหรือมีกำลังมากเท่านั้น ...พระแก้วแดงยังมีนัยสำคัญอื่นอีก...

สำหรับ พุทธภูมิ

พระแก้วแดงเป็นเสมือนศูนย์กลาง พลังงานที่บรรดาเหล่าโพธิญานได้ฝากกระแสฝากพลังงานเอาไว้ สำหรับเหล่าบรรดาพุทธภูมิทั้งหลายได้มาน้อมนำบารมีนี้ไปสร้างบารมีต่อย อด...เช่น..

กรณีศึกษาที่ ๑ ไม่ได้รู้จักพระแก้วแดง..

-หมวดอรรถ เกิดมาชาตินี้ พึงระลึกได้ว่าตนเองปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า

จึงได้ขนขวาย สร้างบารมีอย่างมากมาย ตั้งแต่วัยรุ่น จนเข้าสู่วัยหนุ่ม กระทั่งวัยชรา เค้าเพียรสร้างบารมีโดยอาศัยกำลังที่ตนเองมีในชาตินี้ เค้าก็จะสร้างบารมีได้แบบลุ่มๆ ดอนๆ ...แถมพ่วงด้วยเจ้ากรรมนายเวรที่ตามมาทวงสัญญาเป็นพักๆ ทวงสัญญาเป็นพักๆของพุทธภูมินี่..ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ มากโขที่เดียว โดนเจ้ากรรมนายเวรเล่นแต่ละที แทบปางตาย แล้วไม่ใช่แทบปางตายแค่ครั้ง หรือสองครั้ง .......ในช่วงวาระชีวิตหนึ่งที่เกิดมาของหมวดอรรถ จะเจอสภาวะแทบปางตายบ่อยมาก นี่แหละ พุทธภูมิ ลำบากใช่เล่น เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด สร้างบารมีอยู่อย่างนี้ เป็นอสงไขย์ เป็นกัปป์ ...

กรณี ศึกษาที่ ๒ ได้รู้จักพระแก้วแดง..แล้วรู้วิธีรวมบารมีน้อมนำมาใช้

-หมวด อรรถ เกิดมาชาตินี้ รู้ว่าตนเองปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า จึงเร่งสร้างบารมี ...สืบเนื่องด้วยบารมีเดิม อดีตชาติเคยเกี่ยวข้อง ,เคยฝากกระแสกับหลวงปู่ กับพระศรีฯ มาก่อน  ปัจจุบันจึงได้มารับรู้เรื่องราวของหลวงปู่ ได้เรียนรู้วิชาที่หลวงปู่สอน ได้รู้ว่าพระแก้วแดงนั้นเป็นรูปลักษณ์ที่รวมบารมีของพระศรีฯ และบารมีรวมเหล่าโพธิญาณทุกท่านที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันธุ์กับหลวงปู่  ซึ่งทุกองค์ที่จะลงมาจุติในโลกเพื่อสร้างบารมี ต้องเกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่โดยปริยาย...เพราะหลวงปู่ท่านเป็นโพธิสัตว์องค์ ใหญ่ เป็นโพธิญาณที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป...นั้นแหละบารมีรวม รวมหมดจริงๆ)

หมวดอรรถ จึงสามารถน้อมนำบารมีของพระแก้วแดงบารมีรวมโพธิญาณเพื่อรวมบารมีเดิมของตน เองตั้งแต่อดีตปัจจุบัน มาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างบารมีในชาตินี้ได้

อาจจะมีคำถามว่า...ดีอย่างไร..? ก็สร้างบารมีเหมือนกัน ...!!  ขอตอบว่า...ต่างกันมาก...

การสร้างบารมีโดยสามารถรวมบารมีเดิมมาช่วยสร้างนั้น จะทำให้การสร้างบารมีเป็นไปโดยง่าย มีอุปสรรคน้อยมากที่จะมาขวางกั้นการสร้างบารมี ด้วยกำลังของพระแก้วแดง บุพกรรมที่หมวดอรรถต้องเสวย ต้องชดใช้ในชาตินี้เนื่องเพราะถึงวาระนั้น

...ก็ ยังต้องชดใช้อยู่ดีนั้นแหละ

...อ้าว แล้วมันจะดียังไง

....ก็ดีตรง ที่ แทนที่หมวดอรรถจะต้องรับกรรมไปเต็ม 100 ส่วน ก็จะเหลือซัก 40-50 ส่วนเท่านั้นที่ต้องเสวยกรรม ด้วยกำลังของพระแก้วแดง ช่วยลดทอนบุพกรรม ด้วยกำลังบุญของพระศรีฯ ที่แผ่ไปให้เจ้ากรรมนายเวร

หากเจ้ากรรมนายเวร สามารถรับบุญนั้นได้ เค้าเหล่านั้นก็จะปรับเปลี่ยนสภาวะ ไปสู่ สุขคติภูมิทันที ที่หมวดอรรถทำนั้นถือเป็นการช่วยตนเองและช่วยเจ้ากรรมนายเวรไปในตัว นี่แหละ กำลังของพระศรีฯ กำลังรวมของเหล่าบรรดาโพธิญาณ และกำลังรวมของหมวดอรรถ ทั้งหมดทั้งมวลนี้รวมอยู่ในรูปลักษณ์ของ" พระแก้วแดง "


เช่น นี้ ...หมวดอรรถ จึงสามารถสร้างบารมีได้มาก สร้างบารมีได้โดยง่ายกว่า กรณีที่ ๑ มากมายนัก...

364


พระแก้วแดงเป็นรูปลักษณ์แทน บารมีรวมพระศรีฯ ทั้งหมดทั้งมวล และเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมโยงบารมีรวมของโพธิญาณทุกท่าน ที่ปรารถนาสร้างบารมีและฝากกระแสไว้กับพระศรีฯ ฉะนั้น เวลาเราท่านน้อมบารมีองค์พระแก้วแดงเข้าตัวเรา ก็จะได้รับบารมีรวมพระศรีฯ บารมีรวมเหล่าโพธิญาณทุกๆองค์ กำลังจึงมีมาก แต่ไม่ใช่ว่า ท่านที่จับภาพหลวงปู่ดู่ หรือหลวงปู่ทวด ก็ใช่ว่ากำลังท่านจะน้อยนะ....กำลังท่านมีเยอะ มีมากมาย มหาศาล ....

พระ พุทธเจ้า มี 3 แบบ

ปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี 4 อสงไขย์ กับอีกแสนมหากัปป์

ศรัทธา ธิกะ บำเพ็ญบารมี 6 อสงไขย์ กับอีกแสนมหากัปป์

วิริยะธิกะ บำเพ็ญบารมี 12 อสงไขย์ กับอีกแสนมหากัปป์

พระศรีฯ ท่านบำเพ็ญบารมีแบบวิริยะธิกะก็จริง หากแต่ว่าท่านบำเพ็ญบารมีเกินนั้นมากโข ...ท่านบำเพ็ญบารมี 16 อสงไขย เยอะจริงๆ

พระศรีฯ ท่านสร้างท่านทำบารมีพิเศษ กำลังท่านจึงเยอะช่วยเหลือผู้ที่มีกระแสเกี่ยวข้องเนื่องอยู่กับท่านได้เยอะ
เราที่เป็นลูกศิษย์(ในชาตินี้) จึงพลอยได้รับอานิสงส์ ได้มารับรู้เรื่องราวของท่าน ได้เรียนรู้สรรพวิชาของท่าน
(วิชาภูตพระ พุทธเจ้า ,การแผ่บุญ ปรับภพภูมิ ,การครอบวิมาน อื่นๆ อีกมากมาย ที่เปิดเผยได้ และที่ไม่สามารถเปิดเผย เพราะเป็นปัจจัตตังเป็นความรู้พิเศษเฉพาะตัว ฯลฯ)

ไม่ใช่เหตุ บังเอิญนะ ที่ เหล่าเราท่านได้มารับรู้เรื่องราวของพระศรี เรื่องราวของหลวงปู่ ไม่ใช่เหตุบังเอิญเลย

....นั้นเป็นเพราะ เราท่านต่างเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันมากับหลวงปู่ ไม่ภพใดก็ภพหนึ่ง ในอดีตกาล ที่ผ่านมา
นั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ ชาตินี้ ภพนี้ เราท่านได้มาพบได้มาเรียนรู้วิชา ศึกษาข้อธรรมแนวทางการปฏิบัติ
ได้มา ฝากกระแสต่อเนื่อง กับหลวงปู่...นั้นเพราะคำๆเดียว คือ   "กระแสเดิม"

365


พระฉัพพรรณรังสีที่แผ่จากพระวรกายพระพุทธเจ้า

ฉัพพรรณรังสี คือแสงสว่างที่พวยพุ่งออกจากจุดกลางเป็นรัศมี ๖ ประการ ซึ่งเปล่งออกจากพระสรีรกายของพระพุทธเจ้า คือ

1. นีละ(สีเขียวเข้ม) พระรัศมีนี้ ซ่านออกจากพระเกษา พระมัสสุ และจากพระเนตรทั้งสอง
2. ปิตะ(สีเหลือง) ฑระรัศมีนี้ซ่านออกจากพระฉวีวรรณ และพระเนตรทั้งสอง
3. โลหิตะ(สีแดง) พระรัศมีนี้ซ่านออกจากพระมังสะ พระโลหิต และจากพระเนตรทั้งสอง
4. โอทากะ(สีขาว) พระรัศมีนี้ซ่านออกจากพระอัฐิ พระทนต์ และจากพระเนตรทั้งสอง
5. มัญชิฏฐะ(หงสบาท)
6. ปภัสสระ(เลื่อมพรายปภัสสร) พระรัศมีทั้ง 5 และ6 ซ่านออกจากพระสรีระ


สีทั้ง ๖ นี้ไม่ได้พุ่งออกเป็นสีๆ ดังที่แยกไว้นี้ แต่แผ่ออกมาพร้อมกันในหนังสือปฐมสมโพธิกถา ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าวถึงพระฉัพพรรณรังสีที่แผ่ซ่านออกจากพระกายพระพุทธเจ้า ไว้ดังนี้

"ในลำดับนั้น พระฉัพพรรณรังสีก็โอภาสแผ่ออกจากพระสริรกาย อันว่านิลประภาก็เขียวสดเสมอด้วยสีแห่งดอกอัญชันมิฉะนั้นดุจพื้นแห่งเมฆแลดอกนิลุบลแลปีกแห่งแมลงภู่ ผุดออกจากอังคาพยพในที่อันเขียวแล่นไปจับเอาราวป่า และพระรัศมีที่เหลืองนั้นมีครุวนา ดุจสีเขียวแล่นไปจับเอาราวป่า แลพระรัศมีที่เหลืองนั้นมีครุวนา ดุจสีหรดารทองแลดอกกรรณิการ์แลกาญจนปัฏอันแผ่ไว้ พระรัศมีออกจากพระสริรประเทศในที่อันเหลืองแล้ว แล่นไปสู่ทิศานุทิศต่างๆ พระรัศมีที่แดงอย่างพาลทิพากรแลแก้วประพาฬ แลกุมุทปทุมกุสุมชาติ โอภาสออกจากพระสริรอินทรีย์ในที่อันแดงแล้วแล่นฉวัดเฉวียนไปในประเทศที่ทั้งปวง พระรัศมีมีที่ขาวก็ขาวดุจดวงรัชนิกร แลแก้วมณี แลสีสังข์ แลแผ่นเงิน แลดวงดาวพกาพฤกษ์ พุ่งออกจากพระสริรประเทศในที่อันขาวแล้วแล่นไปในทิศโดยรอบ พระรัศมีหงสสิบาทก็พิลาสเล่ห์ดุจสีดอกเซ่ง แลดอกชบา แลดอกหงอนไก่ออกจากรัชกายรุ่งเรืองจำรัส พระรัศมีประภัสสรประภาครุนาดุจสีแก้วพลึกแลแก้วไพฑูริย์เลื่อมประพระฉัพพรรณรังสีทั้ง ๖ ประการแผ่ไพศาลแวดล้อมไปโดยรอบพระสกลกายยินทรีย์ กำหนดที่ ๑๒ ศอก โดยประมาณ อันว่าศศิสุริยประภาแลดาราก็วิกลวิการอันแสง เศร้าสีดุจหิ่งห้อยเหือดสิ้นสูญ มิได้จำรูญไพโรจโชติชัชวาล"

รัศมีเฉกเช่นฉัพพรรณรังสีนี้มีเฉพาะพระพุทธเจ้าและเทวดาเท่านั้น นอกจากนี้ก็เกิดแต่ธรรมชาติเช่นสีรุ้งที่เรียกกันเป็นสามัญว่ารุ้งกินน้ำ หรือ พระจันทร์ พระอาทิตย์ทรงกลด ที่ออกจากเทวดานั้นจะเห็นได้ดังที่พรรณนาไว้ในพระสูตรต่างๆ ในเวลาที่เทวดามาเฝ้าพระพุทธเจ้าดังนี้

มีเทวดาตนหนึ่งมีรัศมีสว่างจ้าเข้ามายังพระเชตวัน ทำพระเชตวันให้สว่างไสวไปทั่วบริเวณ เข้าเผ้าพระทุทธเจ้าที่ประทับความสว่างของรัศมีนั้น ไม่เหมือนแสงเดือนแสงตะวัน หรือไม่เหมือนแสงไฟ เป็นแสงสว่างที่เสมอกันทั้งหมด และเป็นแสงสว่างที่ไม่มีเงาเหมือนแสงอื่นเป็นแสงที่แผ่ไปติดอยู่ทั่วบริเวณ

มีข้อความในปฐมสมโพธกถา ปริเฉทที่ ๑๓ ธรรมจักรปริวรรตว่าดังนี้

"ฝ่ายอุปกาชีวเดินมาโดยทุราคมวิถีทางไกล ระหว่างคยาประเทศเขตเมืองราชคฤห์กับมหาโพธิญาณ ติดต่อกัน แลเห็นไพสณฑ์สถานอันโอฬารไพโรจน์พรรณราย ด้วยข่ายฉัพพรรณรังสีโสณิวิลาส ปรากฏโดยทิวาทัศนาการทั้งพสุธารแลอากาศโอภาสด้วยพระรัศมีมีพรรณแห่งละ ๖ อย่าง ทั่วทั้งทิศล่างและทิศบน มาสัมผัสกายตนประหลาดมหัศจรรย์ไม่เคยได้พบเห็นเป็นเช่นนี้มาแต่ก่อน ถ้าจะเป็นเพลิง ไฉนกายอาตมาจึงไม่ร้อนกระวนกระวายแม้จะเป็นน้ำ ไฉนกายอาตมาจะไม่ชุ่มชื้นเย็นนี่จะเป็นสิ่งอันใดยิ่งสงสัยสนเท่ห์จิต จึงเพ่งพิศไปข้างโน้นข้างนี้ ก็เห็นองค์พระผู้ทรงสวัสดิ์ภาคย์เสด็จบทจรมา รุ่งเรืองด้วยพระสิดิฉันธมหาหว่างติสสุระ ลักษณะแลพระพยามประภาโอภาสเบื้องบน พระสุริยก็ช่วงโชติด้วยพระเกตุมาลา ครุนาดุจทองทั้งแท่งประดับด้วยฉัพพรรณรังสี รังสีแสงไพโรจน์จำรัส"

หมวดที่ ๒ - พระพุทธเจ้า และพระนาม

๏ พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ อุบัติในภัททกัปนี้


คำว่า "กัป" หมายถึง ระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกินที่กำหนดว่าโลกคือสกลจักวาฬ ประลัยครั้งหนึ่ง คือกำหนดอายุของโลก ท่านให้เข้าใจด้วยอุปามาว่าเปรียบเหมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้าง ยาว สูงด้านละ ๑ โยชน์ (๔๐๐ เส้น หรือประมาณ ๑๖ กิโลเมตร) ทุก ๑๐๐ ปี มีคนนำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าภูเขานั้นจะสึกหรอสิ้นไป กัปหนึ่งยาวกว่านั้น

"กัป" ปัจจุบันนี้เรียกว่า "ภัททกัป" หรือ "ภัทรกัป" แปลว่า กัปเจริญ เพราะในภัททกัปจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง ๕ พระองค์ คือ

๑. พระกกุสันธะ
๒. พระโกนาคมนะ
๓. พระกัสสปะ
๔. พระโคดม (คือพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)
๕. พระศรีอริยเมตไตรย

ในภัททกัปนี้จักมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในอนาคตอีกหนึ่ง พระองค์คือ "พระศรีอริยเมตไตรย"
บทนมัสการว่า "นโม พุทธาย" แปลตามศัพท์ว่า "นอบน้อมแต่พระพุทธเจ้า"เป็นคำ กลางๆ แต่ก็นับถือกันว่าเป็นบทไหว้พระพุทธเจ้า ๕ ประองค์ น่าจะเพราะนับได้ ๕ อักษร และพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นั้น ก็หมายถึง พระพุทธเจ้าซึ่งได้อุบัติแล้วและจักอุบัติในภัททกัปนี้

366

"......ภควา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาแก่พระสารีบุตรสืบต่อไปว่า ในกาลเมื่อพระพุทธศาสนา แห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเสื่อมสูญสิ้นแล้ว อันว่าประทีปแก้ว คือพระสัทธรรมนั้น ก็สูญสิ้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายก็มืดมัวไม่รู้จักบาปและบุญ คุณและโทษ ประโยชน์และไม่ประโยชน์ ประการใด จนถึงไฟประลัยโลกล้างวินาศฉิบหายสิ้นทั้งแสนโกฏิจักรวาล เพลิงประลัยกัลป์เกิดขึ้นไหม้แผ่นดินภัทรกัปอันนี้ฉิบหายหมดแล้ว สิ้นกาลช้านาน จึงบังเกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นมา มีมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายบังเกิดมีมาสำหรับแผ่นดิน ก็มีมาเสียเปล่า กัปป์แผ่นดินที่มีมาในเบื้องหน้านั้นเป็นสุญญกัปนับได้อสงไขยแผ่นดิน จะได้มีสมเด็จพระพุทธเจ้า ปัจเจกพุทธเจ้า และพระยาจักรผู้ประเสริฐบังเกิดมีมานั้นหามิได้ จึงมีนามว่าสุญญกัปป์ เกิดมีแต่มนุษย์ทั้งหลายหาบุณหาวาสนาบารมีมิได้ฯ เมื่อแผ่นดินเกิดขึ้นมา สูญเสียจากท่านผู้ทรงพระคุณแล้ว ฉิบหายไปด้วยไฟ ด้วยน้ำ ด้วยลม แล้วเกิดขึ้นใหม่อีกเล่าจนถ้วนอสงไขย แผ่นดินล่วงลับไปนับด้วยอสงไขยแผ่นดินแล้วฯ
ในกาลนั้น บังเกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่เรียกชื่อว่ามัณฑกัปป์ พระพุทธเจ้าจักได้บังเกิด ๒ พระองค์ คือ
- พระรามโพธิสัตว์ ๑
- พระเจ้าปเสนทิโกศล ๑...."
                                                                    ที่มา ,อนาคตวงศ์

367

 
พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีพระแก้วประจำองค์
และมีได้ตั้งแต่ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่และจะปรากฎชัดขึ้น
ตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้าง
ยุคพระศรีก็จะมีพระแก้วแดงทำจากทับทิมแดง
(คล้ายพระพุทธรูปในภาพเหตุที่ใช้ว่า "คล้าย" เพราะองค์จริงงดงามกว่ามาก)

 
ส่วนพระแก้วขององค์ปฐมนั้นจะเป็นองค์สีขาว

ยกตัวอย่างพระแก้วคู่บารมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้

1. พระกกุสันธพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์
เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์
หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์

เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วขาว หน้าตักกว้าง 20 วา


2. พระโกนาคมพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์

เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา
พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วเหลือง หน้าตักกว้าง 15 วา

3. พระกัสสปพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา
พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วน้ำเงิน หน้าตักกว้าง 10 วา

4. พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 องไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก
เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา
พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี
พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วเขียว(เขียวมรกต) หน้าตักกว้าง 5 วา

5. พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,029 พระองค์
เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา
พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วแดง และทรงเครื่องบรมหาจักรพรรดิ
หน้าตักกว้าง 20 วา

พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีพระแก้วประจำองค์
และมีได้ตั้งแต่ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่และจะปรากฎชัดขึ้น
ตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้าง
ยุคพระศรีก็จะมีพระแก้วแดงทำจากทับทิมแดง
ปัจจุบันนี้ประดิษฐานเตรียมไว้แล้ว ณ ภูมิทิพย์
ซึ่งซ้อนอยู่กับ สถานที่แห่งหนึง
และพระแก้วแดงจะปรากฎออกมา เมื่อถึงยุคพระศรี
พระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันก็คือพระแก้วมรกต
ส่วนพระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ
เป็นพุทธนิมิตอยู่ที่พระนิพพานคู่วิมานพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์



 
วันหนึ่งหลวงปู่ดู่ได้เล่าถึงการปฏิบัติครั้งคุมสมาธิศิษย์
ยกใจความมาตอนหนึงว่า

วันหนึ่งหลวงพ่อได้เล่าถึงการปฏิบัติ โดยท่านเป็นผู้บอกว่า “เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์"

368
พระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ และองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัปป์นี้ หลังจากที่ศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าของเราในปัจจุบัน สิ้นสุดไปแล้ว ซึ่งก็คือ พ.ศ. ๕๐๐๐ เป็นต้นไป


พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตมาถือปฏิสนธิในตระกูลพราหมณ์ ในครรภ์ของนางเมตไตรยพรหมวดี ภรรยาของสุพรหมพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิ แห่งเกตุมดีนคร เมื่อทรงประสูติได้มีนิมิต ๓๒ ประการแล้ว ก็บังเกิดปราสาท ๓ หลังเพื่อเป็นที่ประทับ
พระองค์ได้เสวยสุขเป็นอันมาก เมื่อพระชนมายุ ๘,๐๐๐ ปี ทอดพระเนตรเห็นนิมิตทั้ง ๔ ทรงพอพระทัยในการบวช เสด็จขึ้นไปสู่ปราสาท ปราสาทก็ลอยขึ้นสู่อากาศ มาลงที่ใกล้โพธิมณฑล ท้าวมหาพรหมอัญเชิญอัฏฐบริขารมาถวาย พระโพธิสัตว์ทรงเอาพระขรรค์แก้วตัดพระเมาลี ทรงรับเครื่องอัฏฐบริขารที่ท้าวมหาพรหมนำมาถวาย ผนวชแล้วบำเพ็ญเพียร มีคนบวชตามเป็นอันมาก พระโพธิสัตว์ประทับนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ในปฐมยาม ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณในมัชฌิมยาม ทรงทำให้แจ้งทิพยจักษุญาณในปัจฉิมยาม ทรงพิจารณาปัจจยาการ ๑๒ ประการ ในเวลารุ่งอรุณ ทรงบรรลุซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใต้ต้นกากะทิง
พระองค์มีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก พระองค์ใหญ่กว้าง ๒๕ ศอก ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระชานุมีประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระชานุถึงพระนาภีประมาณ ๒๒ ศอก
ตั้งแต่พระนาภีถึงพระรากขวัญทั้ง ๒ ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระรากขวัญถึงพระเศียรเกล้าที่สุด ยอดพระอุณหิตเปลวพระพุทธรัศมีนั้น ประมาณ ๒๒ ศอก เสมอกันทั้ง ๔ ส่วน พระรากขวัญทั้ง ๒ แต่ละอันนั้นยาว ๕ ศอก พระหัตถ์ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้นยาว ๔๐ ศอก
ระหว่างพระพาหาทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้นมีประมาณ ๒๕ ศอก พระอังคุลีแต่ละอันยาว ๕ ศอก ฝ่าพระหัตถ์แต่ละข้างกว้าง ๕ ศอก พระศอโดยกลมรอบมีประมาณ ๕ ศอก ยาวก็ ๕ ศอก พระโอษฐ์เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง ๑๐ ศอกเสมอกันเป็นอันดี
พระชิวหาอยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว ๑๐ ศอก พระนาสิกสูงยาวลงมา ๗ ศอก ดวงพระเนตรทั้ง ๒ โดยกว้าง ๗ ศอก แววพระเนตรทั้ง ๒ ที่ดำกลมเป็นปริมณฑลอยู่นั้น มีประมาณ ๕ ศอก พระขนงแต่ละข้างยาวได้ ๕ ศอก
ระหว่างพระขนงทั้ง ๒ กว้าง ๔ ศอก พระกรรณทั้ง ๒ แต่ละข้างยาว ๗ ศอก ดวงพระพักตรกลมดังดวงจันทร์วันเพ็ญกลมได้ ๒๕ ศอก พระอุณหิตที่เวียนเป็นทักขิณาวัฏฏ์รอบพระเศียรเป็นเปลวพระพุทธรัศมีขึ้นไปนั้น โดยกลมรอบ ๒๕ ศอก ฯ
ส่วนต้นไม้กากะทิงที่เป็นไม้ศรีมหาโพธินั้นมีปริมณฑลไปได้ ๑๒๐ ศอก มีกิ่งทั้ง ๕ โดยรอบยาวได้ ๑๒๐ ศอก แต่ต้นขึ้นไปสุดปลายกิ่งนั้นได้ ๒๔๐ ศอก โดยสูงโดยสะกัดเป็นปริมณฑลเหมือนกัน มีใบสดเขียวอยู่เป็นนิจจกาล ทรงดอกและเกษรหอมฟุ้งขจรมิรู้ขาด เปรียบประดุจดอกปาริชาติในดาวดึงสาสวรรค์ก็เหมือนกัน ฯ
พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ทรงมีพระฉัพพรรณรังสีจากพระวรกาย ทำให้สว่างไสวทั้งกลางวันและกลางคืน คนทั้งหลายอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ บริโภคข้าวสาลีที่เกิดจากพระพุทธานุภาพ
พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ได้ทูลถามถึงบุญบารมีที่พระศรีอริยเมตไตรยได้บำเพ็ญ พระพุทธเจ้าจึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติของพระศรีอริยเมตไตรย เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสังขจักรพรรดิแห่งอินทปัตถนคร ในสมัยของพระสิริมิตรพุทธเจ้า วันหนึ่งได้พบสามเณรในสำนักพระสิริมิตรพุทธเจ้า จึงเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่บุพพาราม แม้ทรงลำบากพระวรกายก็ไม่ทรงท้อถอย พระพุทธเจ้าเนรมิตเพศเป็นมาณพ เนรมิตรถเสด็จออกไปรับพระโพธิสัตว์มาสู่บุพพาราม พระโพธิสัตว์ได้ถวายศีรษะของพระองค์แด่พระพุทธเจ้า บูชาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระองค์ แล้วไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ด้วยอานิสงส์บารมี จึงทำให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันนี้ ได้เสวยพระชาติเป็นพระอชิตะเถระ พระพุทธเจ้าของเรานั้น ก็ทรงมีพุทธพยากรณ์ว่า พระอชิตะเถระผู้นี้ จะได้ตรัสรู้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยพระพุทธเจ้าในอนาคต

369
อชิตะภิกษุหนุ่ม
ราชบุตรพระเจ้าอชาตสัตตุราช
ซึ่งจักได้ตรัสเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย
ในอนาคตกาลภายหน้า

ได้สดับพระพุทธฎีกาตรัสสั่งดังนั้น
ก็แปลกใจว่าเหตุใดหนอพระพุทธองค์
จึงตรัสสั่งดังนี้ อันตัวเราเป็นภิกษุผู้บวชใหม่
ไหนเลยจักสามารถนำเอาบาตรทรง
แห่งองค์พระชินสีห์มาได้
ก็องค์พระอรหันต์ทั้งปวงยังมิสามารถนำมาได้
การที่พระพุทธองค์ตรัสเช่นนี้
เห็นทีคงต้องมีเหตุการณ์อันใดอันหนึ่งเกิดขึ้น
เป็นแน่แท้ อย่าช้าเลย
เราจักกระทำไปตามกำลังสติปัญญา


เมื่อคิดดังนั้นแล้วก็ทรงน้อมกายถวาย นมัสการสมเด็จพระบรมครู แล้วค่อยเดินไปยืนอยู่ในที่สุดแห่งพุทธบริษัท มองดูนภากาศแล้วตั้งจิตกระทำ สัตยาธิษฐาน บาตรนั้นก็มาอยุ่ในอ้อมมือของท่าน

370
เมื่อเสด็จถึงนิโครธาราม " ก็เข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" กราบนมัสการแล้วเปิดฝาผอบแก้ว จับพระยุคลพัสตร์ กราบทูลว่า...


“ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาค...!
อันว่าสุวรรณวัตถยุคลใหม่นี้
ข้าพระบาทอุตส่าห์หีบดีดปั่นฝ้ายด้วยหัตถ์
แห่งตน ด้วยน้ำจิตอุทิศแด่สมเด็จพระทศพล
ขอพระองค์จงทรง พระกรุณา
อนุเคราะห์รับซึ่งภูษาคู่นี้
เพื่อจะให้มีประโยชน์และความสุข
แก่ข้าพระบาทตลอดกาลช้านานเถิดพระเจ้าข้า”


สมเด็จพระชินสีห์ผู้ทรงญาณไม่ติดขัด ทรงทราบชัดถึงการณ์อย่างหนึ่งในภายหน้า จึงทรงมีพระมหากรุณาตรัสแก่สมเด็จพระมาตุจฉาว่า

“ดูกรพระมาตุจฉาซึ่งมีคุณแก่เราตถาคต...!

วัตถยุคลภูษานี้ ขอให้จงถวายแก่สงฆ์เถิด จะเกิดผลานิสงส์มากยิ่งกว่าถวายแก่เราตถาคต ...ด้วยว่าเมื่อถวายภูษาทั้งคู่นี้แก่สงฆ์แล้ว..... ย่อมได้ชื่อว่าเป็นการบูชาเราตถาคตแลสงฆ์ทั้งปวง”

แม้จะได้สดับพระพุทธฎีกาว่าดังนั้น แต่ด้วยความศรัทธามั่นพระนางได้กราบทูลอาราธนาให้พระสัพพัญญูเจ้าทรงรับไว้ถึง ๓ ครั้ง

แต่องค์พระชินสีห์ก็มิได้ทรงรับไว้ และทรงตรัสให้ถวายแก่สงฆ์เช่นเดิม

เหตุเพราะพระองค์ทรงทราบว่า พระนางปชาบดีทรงมีศรัทธาพร้อมด้วยเจตนาทั้งสาม

คือ บุพเจตนา มุญจนเจตนา อปราปรเจตนา ฉันใดแก่พระองค์ ก็ขอให้ทรงมีศรัทธาในสงฆ์ด้วยเจตนาทั้งสามฉันนั้นเช่นกัน

ทานครั้งนี้จึงจะมีผลมาก อีกประการหนึ่ง พระองค์ทรงทราบว่าจักอยู่ในโลกมิได้นาน ก็จักเข้าปรินิพพานแล้ว

พระสงฆ์สาวกทั้งหลาย ก็จะลำบากด้วยจตุปัจจัย เมื่อตถาคตให้ถวายแก่พระสงฆ์ เพื่อเป็นตัวอย่างดังนี้ ในอนาคตกาลก็จะมีผู้นิยมถวายแก่สงฆ์

ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับอานิสงส์แห่งการถวายมาก ทั้งพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย...จะไม่ลำบากด้วยจตุปัจจัย ....

หากแต่พระนางหาได้เข้าใจไม่ ทรงโศกเศร้าเสียพระทัยเป็นยิ่งนัก ทรงอ้อนวอนขอให้พระอานนท์พุทธอนุชาช่วยกราบทูล องค์พระชินสีห์ให้ทรงรับ พระยุคลพัสตร์ไว้

เมื่อพระอานนท์ได้กราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า พระองค์จึงได้ตรัสเทศนา ทักขิณาวิภังคสูตร จำแนกประเภทแห่งปาฏิบุคลิกทาน แลสังฆทานอย่างแจ่มแจ้ง ว่าการถวายสังฆทานย่อมมีผลานิสงส์มากกว่านัก

เมื่อพระนางมหาปชาบดีไ ด้สดับฟังดังนั้นก็ให้เกิดความปรีดาปราโมทย์ ตั้งจิตอุทิศที่จะถวายเป็นสังฆทาน แล้ว

ทรงถือเอาผ้าภูษานั้นถวายแด่องค์พระสารีบุตร ผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาแห่งองค์สมเด็จพระชินสีห์

หากก็ถูกองค์พระธรรมเสนาบดี ผู้ซึ่งทราบถึงพระพุทโธบายปฏิเสธเสีย ด้วยการให้ถวายแก่ภิกษุรูปอื่นต่อไป

เมื่อได้รับการปฏิเสธเช่นนี้ พระนางก็เลื่อนไปถวายแก่พระโมคคัลลานเถระ ผู้เป็น อัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งองค์สมเด็จพระทศพล

พระเถรเจ้าท่านก็ปฏิเสธ พระนางจึงเลื่อน ไปถวายแก่พระอสีติมหาสาวกทั้งหลายต่อๆ ไปลงไปโดยลำดับ ....ก็มิได้มีพระผู้เป็นเจ้ารูปใดรับแต่สักองค์หนึ่ง

จนตราบถึง พระภิกษุหนุ่มนามว่า อชิตะ ซึ่งเป็นพระสังฆนวกะ...นั่งอยู่ในที่สุดท้าย.......แห่งสงฆ์ทั้งปวง

เมื่อน้อมเข้าไปถวาย พระอชิตะภิกษุหนุ่มก็รับเอาภูษาวิเศษทั้งคู่นั้นทันที

เมื่อสมเด็จพระปชาบดี อัครมเหสีพระบรมกษัตริย์แห่งกรุง
กบิลพัสดุ์ ประสบเหตุเช่นนั้น

ก็ทรงโทมนัสจน น้ำพระเนตรตกด้วยความเสียพระทัยว่า เรานี้เป็นผู้มีบุญวาสนาน้อยจริงหนอ ตั้งใจจัดทำผ้าภูษานี้ เพื่อจักถวายแด่องค์พระทศพล แต่พระองค์ก็มิยอมรับ

เมื่อเข้าไปถวายพระเถระ อรหันต์ทั้งหลาย ก็มิได้มีสงฆ์องค์ใดสงเคราะห์รับเอา สักองค์เดียว

แต่บัดนี้ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งเป็นสงฆ์นวกะนั่งอยู่ในที่สุดท้ายสงฆ์ทั้งหลาย ซึ่งคงจะไม่มีคุณวิเศษอันใดสงเคราะห์รับไทยทานไว้

เพื่อไม่ให้เรานั้นได้รับความอับอาย เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ แล้วก็ทรงก้มหน้านิ่งมิได้ตรัสประการใด

เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาผู้ทรงคุณ ทอดพระเนตรเห็นพระมาตุจฉาเสียพระทัย ทรงพระ-โทมนัสในการบำเพ็ญทานพิเศษครั้งนี้

จึงทรงมีพุทธดำริว่า ในกาลบัดนี้สมควรที่เราตถาคตจะกระทำการให้สมเด็จพระมาตุจฉาทรงคลายจากการโทมนัสเสียใจ จะให้มีความยินดีในวัตถทานยิ่งใหญ่นี้

แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสเรียกพระอานนท์ให้ไปนำเอาบาตรของพระองค์มา........ แล้วทรงกระทำพุทธาธิษฐานว่า

“พระสาวกทั้งปวง
แม้จะทรงฤทธิ์ปานใด
จงอย่าถือเอาบาตรนี้ได้เลย
ให้พระอชิตะภิกษุหนุ่มผู้มีวาสนาผู้จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในกาลภายภาคหน้า
จงถือเอาบาตรนี้ได้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”

เมื่อสมเด็จพระปชาบดี อัครมเหสีพระบรมกษัตริย์แห่งกรุง
กบิลพัสดุ์ ประสบเหตุเช่นนั้น


371
สมัยนั้น สมเด็จพระมหาปชาบดีพุทธมาตุจฉา ได้ ทรงจัดการทอผ้าจีวรสาฎกชั้นดี

เพื่อถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด โดยได้ให้ช่างทองตีอ่างด้วยทองสุก ๗ อ่าง ให้หาเม็ดฝ้ายมาจนพอกับความต้องการแล้ว ก็เพาะเม็ดฝ้ายในอ่างทองเหล่านั้น

บำรุงเลี้ยงรักษาด้วยน้ำนมโคและของหอม ครั้นต้นฝ้ายออกฝอยก็ทรงเก็บฝ้ายนั้นด้วยพระหัตถ์ใส่ลงในผอบทองแล้วทรงเลือก ทรงหีบ ทรงดีด ทรงปั่น ด้วยพระหัตถ์มิให้ผู้อื่นกระทำ

ปรากฏว่าเส้นด้ายนั้นละเอียดประณีต ยิ่งนัก แลมีสีเหลืองอร่ามดุจสีทองคำธรรมชาติ

แล้วจึงรับสั่งให้หาช่างหูกฝีมือเอกมา ให้เขาเหล่านั้นบริโภคอาหารชั้นเลิศ และให้ตกแต่งกายนุ่งห่มประดับด้วยวัตถาอาภรณ์เป็นอันดี ที่โรงหูกนั้นที่เพดานห้อยพวงดอกไม้นานาพรรณ ให้น่ารื่นรมย์ใจ แล้วพระนางก็เสด็จ ไปสู่โรงหูกทอดพระเนตร การทอผ้าวิเศษนั้นทุกวันมิได้ขาด จนการทอผ้าสำเร็จได้ ผ้าสาฎก ๒ ผืน ยาว ๑๔ ศอก กว้าง ๗ ศอกเสมอกัน พระภูษาทั้งคู่นี้เป็นพัสตราภรณ์อันหาค่ามิได้ สมควรแก่องค์พระชินสีห์

พระนางตรวจตราดูเรียบร้อยแล้ว จึงประจงพับใส่ลงในผอบแก้ว แล้วก็มุ่งเสด็จไ ปยังนิโครธาราม พร้อมด้วยนางในข้าราชบริพารทั้งหลาย

372
เมื่อครั้งที่พระอังคีรสบรมโพธิสัตว์
ราชบุตรแห่งพระเจ้าสิริสุทโธทนบรมกษัตริย์
และพระนางสิริมหามายาทรงเสด็จออกบรรพชา

และได้ตรัสรู้เป็น
พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า

ครานั้นพระองค์ทรงมีพระมหากรุณา
เสด็จมาโปรดพุทธบิดา
และพระนางปชาบดีผู้มีศักดิ์เป็นน้าสาวและแม่นม
ผู้ทำหน้าที่ถนอมกล่อมเลี้ยงดูองค์พระ-ชินสีห์มาแต่น้อย
เพื่อทดแทนคุณที่ได้ดื่มน้ำนมมาจนเติบใหญ่
จึงเสด็จไปรับภัตตาหารบิณฑบาต
ในพระราชนิเวศน์

ครั้นเสร็จ ภัตกิจแล้วทรงแสดงธรรมเทศนา
โปรดพระนางมหาปชาบดี
จนพระนางได้บรรลุสำเร็จ
เป็นพระโสดาบันอริยบุคคล

หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ได้เสด็จโปรดเวไนยสัตว์ไปยังเมืองต่างๆ
จนกระทั่งเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์
ณ นิโครธาราม
เพื่อทรงบำเพ็ญโลกัตถจริยา
ด้วยพระมหากรุณาใหญ่ต่อไป

373
เมื่อเราได้ติดตามดูการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับตั้งแต่พระชาติแรกเป็นต้นมา ก็พอจะสรุปได้ว่า มี อยู่ ๒ ขั้นตอนใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ

ขั้นตอนที่ ๑
ช่วยตนเองให้พ้นทุกข์ได้จริง เป็นการบำเพ็ญบารมีแบบพระอรหันต์ทั่ว ๆ ไป คือ พยายามละเว้น ความชั่วทุกชนิดอย่างเด็ดขาด ขวนขวายทำความดีทุกอย่างที่ขวางหน้าโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก และพยายามกลั่นจิตใจให้ผ่องใสไม่ว่างเว้น เต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ ในชาตินั้น ๆ โดยอาศัยคำสอนจากนักปราชญ์บัณฑิต ตลอดจนพระพุทธเจ้าในยุคนั้น ๆ ขั้นตอนที่ ๑ นี้ ถ้าจะแบ่งย่อยการบำเพ็ญบารมีออกไปอีกก็ได้ ๒ ระยะคือ

ระยะแรก สร้างบารมีไปเงียบ ๆ โดยไม่เอยปากบอกใคร และไม่ชักชวนใคร เพราะบารมียังอ่อนอยู่ ต้องใช้เวลาไปในระยะนี้ทั้งหมด นานถึง ๗ อสงไขยกัป

ระยะหลัง สร้างบารมีไป ก็ประกาศให้ชาวโลกทราบไป และบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตร ด้วยการชักจูงผู้อื่นให้สร้างบารมีตาม จะกระทั่งบารมีแก่กล้าเต็มที่ พอจะหมดกิเลสเป็นพรอรหันต์ได้ ( ในพระชาติที่เป็นสุเมธดาบส ) ซึ่งใช้เวลานานอีก ๙ อสงไขยกัป

ขั้นตอนที่ ๒ ทุ่มเทชีวิต สร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกโดยส่วนรวม คือ นับตั้งแต่ทันทีที่สุเมธดาบสได้รับพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร จนกระทั่งได้มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูของเรา ขั้นตอนที่ ๒ นี้ เป็นขั้นตอนที่ละเอียดอ่อน แสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก ไม่มีศาสดาใด ๆ จะเทียบเทียมได้ เพราะต้องใช้เวลาต่อไปอีกถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อสัตว์โลกทั้งหลาย มิใช่เพื่อพระองค์เองเลย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นขั้นตอนที่ต้องประพฤติปฏิบัติอย่างรอบคอบ รัดกุม เรียกว่า สร้างบารมี ๑๐ จึงควรที่พวกเราจะต้องจดจำแบบแผนของพระองค์ไว้ให้ดี และตั้งใจปฏิบัติตาม อย่างทุ่มเท

เพื่อความสะดวกในการจดจำ และนำไปปฏิบัติตามจึงขอสรุปการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการอีกครั้งหนึ่งในเชิงปฏิบัติคือ

๑. ทานบารมี ทรงวางแผนแห่งการเสียสละ เพื่อเตรียมเสบียงข้ามชาติ จะได้ไม่ต้องอกอยากยากจน เป็นตัวอย่างแก่ชาวโลกผู้ไม่ประมาททั้งหลาย

๒. ศีลบารมี ทรงวางแบบแผนแห่งความสำรวมระวังตน เพื่อป้องกันการเบียดเบียน กระทบกระทั่งซึ่งกันและกัน เป็นตัวอย่างแก่ชาวโลก

๓. เนกขัมมบารมี ทรงวางแบบแผนแห่งการตัวความกังวลน้อยใหญ่ จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ด้วยการเสียสละครอบครัว ไม่เป็นภาระในการครองเรือน เป็นตัวอย่างแก่ชาวโลก

๔. ปัญญาบารมี ทรงวางแบบแผนแห่งการแสวงหาและสร้างเสริมปัญญาให้งอกงามถึงที่สุด เพื่ออาศัยปัญญานั้นฟาดฟันกิเลสให้มอดมลาย เป็นตัวอย่างแก่ชาวโลก

๕. วิริยบารมี ทรงวางแบบแผนแห่งการฝึกหัดดัดตนจนกระทั่งมีความประพฤติปฏิบัติดีพร้อมบริบูรณ์ ทั้งทางกาย วาจา และ ใจ ใคร ๆ จะตำหนิไม่ได้ เป็นตัวอย่างแก่ชาวโลก

๖. ขันติบารมี ทรงวางแบบแผนแห่งการต่อสู้หักหาญกับอุปสรรคน้อยใหญ่ ทุก ๆ ชนิดแบบเย็น ๆ จนกว่าจะชนะ แต่ไม่ยอมถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว เป็นตัวอย่างแก่ชาวโลก

๗. สัจจบารมี ทรงวางแบบแผนแห่งความเป็นคนตรง ที่มีความจริงจัง และจริงใจ ทั้งแก่บุคคลและความดี เป็นตัวอย่างแก่ชาวโลก

๘. อธิษฐานบารมี ทรงวางแบบแผนแห่งความฉลาดรอบคอบในการทำความดี และความเด็ดเดี่ยวในการทำความดีนั้น ๆ ไปจนกว่าจะสำเร็จ เป็นตัวอย่างแก่ชาวโลก

๙. เมตตาบารมี ทรงวางแบบแผนแห่งความรักสากลให้คนทั้งโลกมีความรกใคร่ปราถนาดี มีไมตรีซึ่งกันและกันเหมือนญาติร่วมสายโลหิต เป็นตัวอย่างแก่ชาวโลก

๑๐. อุเบกขาบารมี ทรงวางแบบแผนแห่งความเที่ยงธรรม มีใจสงบเรียบสม่ำเสมอ มั่นคง ไม่เอนเอียงขึ้นลง เป็นตัวอย่างแก่ชาวโลก

นี้ยังไม่รวมการสร้างบารมีพิเศษเฉพาะพระพุทธเจ้าแต่ละองค์

374
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค - หน้าที่ 57

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี
พระผู้มีพระภาคทรง พระนามว่า
เมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์
ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อม
ด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่น
ยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้
เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม
เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์
ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา
และจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้ง โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษ
ที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา
และมนุษย์ ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์
พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก
มารโลก พรหมโลก ให้ แจ้งชัดด้วยพระปัญญา
อันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อม
ทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้
รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก
มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วย
ปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์
ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่า
เมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามใน
เบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม
ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้ง
พยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง บริบูรณ์สิ้นเชิง
พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น
จักทรงบริหาร ภิกษุสงฆ์หลายพัน
เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะจักทรงให้ยกขึ้นซึ่งปราสาทที่
พระเจ้ามหาปนาทะ
ทรงสร้างไว้ แล้วประทับอยู่
แล้วจักทรงสละ จักทรงบำเพ็ญ ทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า
คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย จัก
ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้า
กาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากเรือน ทรง
ผนวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระผู้มีพระภาคพระ
นามว่า เมตไตรย์อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า
ท้าวเธอทรงผนวชอย่างนี้แล้ว ทรงปลีกพระองค์อยู่
แต่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว
ไม่ช้านักก็จักทรงทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ อัน
ยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย พากันออกจากเรือนบวช
เป็นบรรพชิตโดยชอบ ต้องการ อันเป็นที่สุด
แห่งพรหมจรรย์ ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง
ในทิฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่ ฯ

375
พระอชิตะ (คือชาติหนึ่งของ
พระศรีอาริยะเมตไตรยโพธิสัตว์ซึ่งมาบวช
ในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
สมัยพุทธกาลเพื่อรับพุทธพยากรณ์)

พระอชิตะ คือ พระราชโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรู ประสูติแต่
พระนางกาญจนาเทวี ซึ่งเป็นพระมารดา
เป็นผู้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้พาบริวาร
๑,๐๐๐ คน ออกบวชเป็นภิกษุ
คราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์ครั้งที่สอง
พระอชิตะเมื่อบวชใหม่ ๆ ได้เป็นผู้รับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน)
ของ พระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งมีความพิสดารอย่างย่อว่า
พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงเสียพระทัย ที่ตั้งใจจะถวาย
ให้แด่พระพุทธองค์ แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงรับเพราะเพื่อ
อนุเคราะห์แก่สงฆ์ในอนาคต เพื่อให้ชนทั้งหลายซึ่งเกิด
ภายหลังให้เกิดจิตคิดการกระทำเคารพสงฆ์ให้จงมาก และ
ทรงอนุเคราะห์แก่พระนางเอง เพราะทานที่ให้แด่สงฆ์โดย
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขย่อมมีพลานิสงส์มากกว่า
พระนางมหาปชาบดีโคตมีไม่ทรงทราบดำริของพระพุทธองค์
จึงเข้าไปหาพระอานนท์ ให้พระอานนท์ทูลถามว่า สาเหตุใดจึง
ไม่ทรงรับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน) นั้น
กาลต่อมา พระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
มีสาเหตุใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่รับทรงรับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน)
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงปาฏิบุคลิกทักษิณาทาน
โดยพิสดาร แล้วตรัสเทศนาทักษิณาวิภังคสูตร จำแนกประเภท
แห่งปาฏิบุคลิกทาน แลสังฆทาน โดยพิสดาร แก่พระอานนท์.
เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีได้ทรงทราบในเทศนา
ทักษิณาวิภังคสูตรในภายหลังแล้ว จึงทรงถือซึ่งภูษาทั้งคู่เข้าไป
หาพระสารีบุตรท่านก็ไม่ได้รับ เข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะ
ท่านก็ไม่ได้รับ แม้ในที่สุดแห่งพระอสีติมหาสาวกก็ไม่พระรูป
ใดรับไว้เลย จนกระทั่งองค์สุดท้ายซึ่งเป็นพระนวกะชื่อพระอชิตะ
ท่านจึงรับไว้.
ในเวลานั้นพระนางปชาบดีโคตมีก็ทรงน้อยพระทัยว่า
พระนางตั้งใจในการทำผ้าทั้งคู่นี้ด้วยว่า จะถวายแด่พระผู้มีพระภาค
แต่ก็ไม่ทรงรับ แม้นพระอสีติมหาสาวกรูปใดรูปหนึ่งก็ไม่ทรงรับ
แต่มาบัดนี้ พระภิกษุหนุ่มซึ่งเป็นพระนวกะมารับซึ่งผ้าของพระนาง
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระนางเสียพระทัย จึงทรง
พระดำริว่า จะทำให้พระนางบังเกิดโสมนัสในวัตถุทานนี้ จึงมี
พระพุทธดำรัสเรียกพระอานนท์ว่า
ท่านจงไปนำบาตรของตถาคตมา แล้วทรงพุทธาธิษฐานว่า
พระอัครสาวกและสาวกทั้งปวงอย่าได้ถือบาตรนี้ได้เลย ให้
พระอชิตภิกษุหนุ่มนี้จงถือซึ่งบาตรของตถาคตได้ แล้วทรงโยน
บาตรนั้นขึ้นไปบนอากาศ แลบาตรนั้นก็ลอยขึ้นไปในกลีบเมฆ
อันตธานไปมิได้ปรากฏ
ในลำดับ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระอสีติสาวก
ทั้งหลาย ก็อาสานำบาตรนั้นกลับคืนมา แต่ก็หาไม่พบ
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสสั่งพระอชิตภิกษุว่า ท่านจงไปนำบาตร
ของตถาคตมา
ในลำดับนั้น พระอชิตะได้มีดำริว่า
ควรจะเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก พระอสีติมหาสาวกนี้ ล้วนเป็นพระ
อรหันต์มีฤทธาอานุภาพมาก แต่มิอาจนำบาตรมาถวายแด่พระพุทธ
องค์ได้ แลอาตมะนี้ไซร้มีจิตอันกิเลสครอบงำอยู่ แลเหตุไฉน
พระบรมครูจึงตรัสสั่งอาตมาให้แสวงหาซึ่งบาตรนั้น จะต้องมี
เหตุอันใดอันหนึ่งเป็นมั่นคง จึงรับอาสาที่จะนำบาตรนั้นคืนมา
พระอชิตะได้ไปยืนในที่สุดบริษัท มองขึ้นไปบนอากาศแล้ว
กระทำสัตยาธิษฐานว่า
อาตมาบรรพชาในพระพุทธศาสนา ไม่ได้หวังซึ่งลาภยศทั้ง
หลาย แต่อาตมาบวชประพฤติพรหมจรรย์เพื่อประโยชน์ที่จะ
ตรัสรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง อันอาจสามารถรื้อสัตวโลกให้พ้นจาก
สงสารทั้งสิ้น หากว่าศีลของอาตมามิขาดทำลายและด่างพร้อย
บริสุทธิ์อยู่เป็นอันดี ขอให้บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าจงมา
สถิตในมือของอาตมาด้วยเทอญ
พระอชิตะทรงตั้งสัตยาธิษฐานแล้ว จึงเหยียดมือออกไป
ขณะนั้น บาตรก็ปรากฏตกลงจากอากาศ ประดิษฐานอยู่ที่มือ
ของพระอชิตะ
พระอัครมหาสาวกและพระอสีติมหาสาวก ได้มีดำริว่า
บาตรนี้ควรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ควรแก่มหาสาวกทั้งหลาย
แลภิกษุรูปนี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเป็นแน่.
พระนางประชาบดีโคตมีได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็
มีความปิติโสมนัสเป็นกำลังด้วยวัตถุทานที่ถวายให้แก่พระอชิตะ
แล้วกราบทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จคืนพระราชนิเวศน์สถาน
เมื่อพระอชิตะได้รับผ้าคู่นั้นมาแล้ว เห็นว่า ไม่ควรแก่ท่าน
จึงนำผ้าผืนหนึ่งไปปูบนเพดานบนพระคันธกุฎี แห่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้า อีกผืนหนึ่งแบ่งเป็น ๔ ท่อน ผูกเป็นม่าน
ห้อยลงในที่สี่มุมแห่งเพดานนั้น แล้วอธิษฐานว่า ขอให้เป็น
พระพุทธเจ้าในอนาคต.
พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า ท่านอชิตภิกษุรูปนี้เป็น
พระโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระเมตไตรย พุทธเจ้าในอนาคต(๑)
ในอนาคตวงศ์(๒) เล่าว่า ในภัททกัลปนี้ ชาติสุดท้ายคือ
ชาติที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระเมตไตรยพุทธเจ้า
เมื่อยังมิได้ทรงผนวชก็ทรงพระนามว่า อชิตะ

#๑. ปฐม. แปล. -/๓๑๕-๓๒๘ ๒. อนาคตวํส. -/๔๓-๕๖

หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27