73
« เมื่อ: ตุลาคม 05, 2014, 09:49:27 PM »
... ถ้าหากว่าเราปล่อยร่างกายเสียได้เมื่อไร คิดเสียว่า
... " การเกิดเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการความเกิด เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นทุกข์ เกิดเป็นเทวดา หรือพรหมก็ไม่สิ้นความทุกข์ "
... ทำจิตไว้เป็นปกติ คิดไว้ว่า
... " การเกิดมีขันธ์ ๕ เป็นมนุษย์ก็ดี เป็นสัตว์ หรือว่าเกิดมีอทิสสมานกายเป็นเทวดา หรือพรหมก็ตามเราไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการก็คือพระนิพพานอย่างเดียว "
... ต้องพยายามทำจิตปล่อย คิดเห็นอะไรก็ตาม เห็นว่ามันพังเป็นปกติ
... รู้ตัวร่างกายของเราว่า สักวันหนึ่งข้างหน้ามันจะต้องพัง มีญาติ มีพี่น้อง มีสามีภรรยา มีบุตรธิดา มีทรัพย์สินต่างๆ เราก็คิด
... ร่างกายแต่ละบุคคล หรือทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้เป็นของโลก เราไม่สามารถจะครองหรือจะอยู่ได้ตลอดกาลตลอดสมัย
... เมื่อถึงวาระที่สุดต่างคนก็ต่างตาย ต่างคนก็ต่างพัง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราไม่ต้องการมันอีก ขึ้นชื่อว่ามนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี เราไม่ต้องการ
... และเราจะไม่เห็นว่ามนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เป็นดินแดนที่สวยงาม เราเห็นว่าเป็นดินแดนประกอบไปด้วยความทุกข์ เราต้องการดินแดนที่มีความสุข คือ พระนิพพาน
... และจากนั้นก็ตั้งใจยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
... ถ้าความแก่เกิดขึ้น ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น ความตายเกิดขึ้นแก่เราหรือบุคคลอื่นก็ตาม ถือว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาของโลก เราไม่ยุ่ง เราไม่หนักใจ
... และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ ก็คือ การได้ลาภแล้วก็เสื่อมลาภ ได้ยศแล้วยศก็เสื่อมไป นินทาหรือว่าสรรเสริญ สุขหรือทุกข์
... เหตุทั้ง ๘ ประการนี้ เข้าใจ รู้ไว้เสมอว่า มันเป็นสมบัติของโลก เมื่อเกิดมาในโลกแล้ว มันต้องพบ เมื่อพบแล้วก็ทำใจเฉย ๆ
... มีลาภเกิดขึ้น ก็จงนึกว่าลาภ มันจะต้องเสื่อม เมื่อมันเสื่อมเราก็ไม่เสียใจ เกิดหามาได้ ก็ไม่ดีใจเกินไป
... ได้รับยศก็ไม่ดีใจเกินไป ถือว่ายศมันสลายตัวไป เมื่อยศสลายตัวก็ไม่เสียใจ เพราะรู้ตัวอยู่แล้ว
... เมื่อพบใครเขานินทา ก็คิดว่านี่มันเรื่องธรรมดาของคนที่เกิดมาจะต้องถูกนินทา แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณประเสริฐก็ยังมีคนนินทาว่าร้าย เราก็ไม่สนใจกับคำนินทา
... ใครเขาสรรเสริญว่าดี ประเสริฐยังไงเราก็พิจารณาตัวเรา ถ้าเราไม่ดี ตามคำพูดของเขาเราไม่รับฟัง ฟังเหมือนกัน แต่ไม่ยินดีด้วยกับคำสรรเสริญ ฯ.