เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Webmaster

หน้า: [1] 2 3 ... 16
1


กฐิน "วัดถ้ำเมืองนะ" ประจำปี  2557
ตรงกับ วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม


สามารถร่วมบุญเป็นเจ้าภาพกองกฐิน
ได้ตามกำลังศรัทธา...

ปีนี้ ร่วมบุญกองละ 5,000 บาท จะได้รับพระที่หลวงตาม้า
กดพิมพ์ ด้วยตัวเอง 1 องค์ (มีเพียง 586 องค์)

และเจ้าภาพ ร่วมบุญกองละ 300 บาท จะได้รับเป็นแบบ
ที่ท่านอธิษฐานจิต 1 องค์

เริ่มร่วมบุญกันได้นับแต่วันนี้จะถึงวันงานกฐิน
สำหรับพระจะเริ่มจัดส่งหลัง ออกพรรษา
หลัง 11 ตุลาคม 57 ร่วมค่าส่งพระ
แบบลงทะเบียน 50 แบบ EMS 70
รบกวนแนบสลิปการโอน
ให้ทางวัดด้วย

บัญชีร่วมบุญใหญ่กฐิน 2557
กองทุนพุทธพรหมปัญโญ

พระวรงคต วิริยะธโร 853-210731-8
ไทยพาณิชย์ สาขาแม่ริม ออมทรัพย์

. . .


พระกฐินแบบหลวงตาม้าอธิษฐานจิต เจ้าภาพกองละ 300 บาท


พระกฐินที่หลวงตาม้ากดพิมพ์ด้วยตัวเอง เจ้าภาพกองละ 5,000 บาท

. . .

“กฐินวัดถ้ำเมืองนะ 2557”

มีหล่อพระจักรพรรดิ ในเวลาประมาณ 09:00 น. วันเสาร์ที่ 11  ตุลาคม 2557
ณ วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
พระพุทธรูปที่จะหล่อ เป็นรูปลักษณ์ของพระจักรพรรดิ์ เป็นพระพุทธเจ้าทรงเครื่อง
จักรพรรดิ์เต็มองค์ และเวลาประมาณ 12:00น. ร่วมกันทอดกฐิน ประจำปี 2557

2


วิวัฒนาการการกำเนิดชีวิตและจักรวาล
ตามนัยแห่งพระพุทธศาสนา

สาระสำคัญของอัคคัญญสูตร

ในพระสูตรบทนี้มีข้อความว่า พระพุทธเจ้าได้สนทนากับสองพราหมณ์ที่เป็นสามเณร ชื่อ วาเสฏฐะ กับ ภารทวาชะ เพื่อเตรียมตัวจะบวชเป็นภิกษุเกี่ยวกับวรรณะพราหมณ์ ที่สามเณรทั้งสองถือกำเนิดมา และถูกพวกพราหมณ์ด้วยกันกล่าวประณาม เพราะถือว่ามีวรรณะสูงกว่าวรรณะอื่น ด้วยเกิดจากอวัยวะเบื้องบนของพระพรหม ส่วนวรรณะอื่นเกิดจากส่วนเบื้องต่ำของพระพรหม พระพุทธองค์ทรงสอนสามเณรทั้งสองว่า คำกล่าวอ้างของพวกพราหมณ์ดังกล่าวนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างไร คนทุกวรรณะเกิดมาโดยอาศัยพ่อแม่ของตน พวกพราหมณ์ก็อาศัยพ่อแม่ในวรรณะของตนเป็นผู้ให้กำเนิด โดยผ่านกระบวนการตั้งครรภ์แล้วจึงคลอดลูกตามลำดับ และเมื่อคลอดลูกแล้วก็ต้องเลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จึงเป็นเรื่องเท็จที่อ้างว่า พวกพราหมณ์เกิดจากพระพรหมและตรัสสรุปว่า ท่านทั้งหลายมาบวช จากโคตร จากสกุลต่างๆ เมื่อมีผู้ถามว่าเป็นใครก็จงกล่าวตอบว่า เป็นสมณะศากยบุตร ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นในตถาคต ผู้นั้นย่อมควรที่จะกล่าวว่า เราเป็นบุตรเกิดจากอุระเกิดจากพระโอฐของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นผู้ที่ธรรมเนรมิตขึ้น เป็นผู้รับมรดกพระธรรม เพราะคำว่าธรรมกาย พรหมกาย ธรรมภูต พรหมภูต เป็นชื่อของพระพุทธองค์ ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในหมู่ชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องการอุบัติขึ้นมาของสรรพสิ่งในโลก และวิวัฒนาการของสัตว์มนุษย์และสังคม ว่า ในอดีตกาลนานมาแล้ว โลกนี้ได้พินาศ สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหมกันโดยมาก และเมื่อโลกอุบัติขึ้นมาใหม่ สัตว์เหล่านั้นก็จุติมาสู่โลกนี้ เป็นผู้เกิดขึ้นจากใจ กินปีติเป็นอาหาร (ยังมีอำนาจฌานอยู่) มีแสงสว่างในตัว ไปได้ในอากาศ มีสภาพเหมือนเช่นในชั้นอาภัสสรพรหม ในขณะที่โลกวิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ๆนั้น จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่น้ำ มีแต่ความมืด ไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ไม่มีดาวนักษัตรทุกชนิด ไม่มีกลางวันและกลางคืน ไม่ปรากฏเวลาเป็นเดือน เป็นปี มนุษย์ที่จุติจากอาภัสสรพรหม อาศัยอยู่ในโลกตอนนั้น ไม่ปรากฏเพศชาย และเพศหญิง แต่ก็รู้ตัวว่าเป็นสัตว์มนุษย์

เมื่อเวลาผ่านพ้นนานไป จึงเกิดมีง้วนดินลอยอยู่บนน้ำ ง้วนดินนั้นมีลักษณะเหมือนนมสดที่เคี่ยวให้งวด มีกลิ่น รส สี คล้ายเนยใสมีรสดุจน้ำผึ้ง สัตว์พวกนี้จึงลองชิมดูก็ชอบใจ เลยหมดแสงสว่างในตัว เมื่อแสงสว่างหายไป ก็มีพระจันทร์พระอาทิตย์ มีดาวนักษัตร มีคืนวัน มีเดือน มีกึ่งเดือน มีฤดูและปี เมื่อกินง้วนดินเป็นอาหาร กายก็หยาบกระด้าง ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏ พวกมีผิวพรรณดี ก็ดูหมิ่นพวกมีผิวพรรณทราม เพราะดูหมิ่นผู้อื่นผู้อื่นเรื่องผิวพรรณ เพราะความถือตัวและดูหมิ่นผู้อื่น ง้วนดินก็หายไป ต่างก็พากันบ่นเสียดาย

แล้วก็เกิดกระบิดินที่คล้ายเห็ดสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรสขึ้นแทนใช้เป็นอาหารได้ แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายก็หยาบกระด้างยิ่งขึ้น ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏชัดขึ้น เกิดการดูหมิ่นถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น กระบิดินก็หายไป จึงเกิดเครือดินคล้ายผลมะพร้าวสมบูรณ์ด้วย สี กลิ่น รสขึ้นแทน ใช้กินเป็นอาหารได้ ความหยาบกระด้างของกาย และความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น เกิดการดูหมิ่นถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น

เครือดินก็หายไป เกิดข้าวสาลีไม่มีเปลือก มีกลิ่นหอมมีเมล็ดเป็นข้าวสุกขึ้นแทน ใช้เป็นอาหารได้ ข้าวนี้เก็บเย็นเช้าก็สุกแทนที่ขึ้นมาอีก เก็บเช้าเย็นก็สุกแทนที่ขึ้นมาอีก ไม่มีพร่อง ความหยาบกระด้างของกาย ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น จึงปรากฏเพศหญิงและเพศชาย เมื่อต่างเพศเพ่งกันและกันก็เกิดความกำหนัดเร่าร้อน เกิดเพศสัมพันธ์กันขึ้น การร่วมเพศเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ จึงพากันเอาสิ่งของขว้างปา เพราะในสมัยนั้นถือว่าเป็นอธรรม เมื่ออยากเสพต้องไปกระทำนอกชุมชน เช่นกับที่สมัยนี้ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง

ต่อมาจึงรู้จักสร้างบ้านเรือน ปกปิดซ่อนเร้น ต่อมามีผู้เกียจคร้านที่จะนำข้าวสาลีมาตอนเช้าเพื่ออาหารเช้า นำมาตอนเย็นเพื่ออาหารเย็น จึงนำมาครั้งเดียวให้พอทั้งเช้าทั้งเย็น ต่อมาก็นำมาครั้งเดียวให้พอสำหรับ ๒ วัน ๔ วัน ๘ วัน มีการสะสมอาหาร จึงเกิดมีเปลือกห่อหุ้มข้าวสาลี ที่เกี่ยวแล้วก็ไม่งอกขึ้นแทน มีการขาดแคลนเป็นตอนๆ ตั้งแต่นั้นมา ข้าวสาลีจึงมีเฉพาะเป็นบางแห่ง

สัตว์มนุษย์เหล่านั้นจึงประชุมกันปรารภความเสื่อมลงโดยลำดับ แล้วมีการแบ่งข้าวสาลีและปักปันเขตแดนกัน ต่อมาบางคนรักษาส่วนตน ขโมยของคนอื่นมาบริโภค เมื่อถูกจับได้ ก็เพียงแต่สั่งสอนกันไม่ให้ทำอีก เขาก็รับคำ ต่อมาขโมยอีก ถูกจับได้ถึงครั้งที่ ๓ ก็สั่งสอนเช่นเดิมอีก แต่บางคนก็ลงโทษ ตบด้วยมือ ขว้างด้วยก้อนดิน ตีด้วยไม้

ต่อมาสัตว์ระดับผู้ใหญ่จึงประชุมกันปรารภว่า การลักทรัพย์ การติเตียน การพูดปด การจับท่อนไม้เกิดขึ้น ควรจะแต่งตั้งสัตว์ผู้หนึ่งขึ้นให้ทำหน้าที่ติผู้ที่ควรติ ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ โดยพวกที่เหลือจะแบ่งส่วนข้าวสาลีให้ จึงเลือกคนที่งดงาม น่าเลื่อมใส น่าเกรงขาม แต่งตั้งเป็นหัวหน้า เพื่อปกครองคนติและขับไล่คนที่ทำผิด คำว่า มหาชนสมมติ (ผู้ที่มหาชนแต่งตั้ง) กษัตริย์ (ผู้ใหญ่ยิ่งแห่งเขต) ราชา (ยังชนอื่นให้สุขใจโดยธรรม) กษัตริย์จึงเกิดขึ้น ซึ่งมาจากสัตว์พวกเดียวกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่โดยอธรรม ธรรมะจึงเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ต่อมามีสัตว์บางกลุ่มออกบวชมุ่งลอยธรรมที่ชั่ว ที่เป็นอกุศล จึงมีนามว่า พราหมณ์ (ผู้ลอยบาป) สร้างกุฎีหญ้าขึ้น เพ่งในกุฎีนั้น จึงมีนามว่า ฌายกะ (ผู้เพ่ง) สัตว์บางคนไปอยู่รอบหมู่บ้านรอบนิคม แต่งคัมภีร์ จึงถูกเรียกว่า อัชฌายกะ (ผู้ไม่เพ่ง) การทรงจำ การสอน การบอกมนต์ เกิดจากการไม่เพ่ง เดิมมีความหมายเลว แต่บัดนี้มีความหมายทางดี

ยังมีสัตว์บางกลุ่ม ถือการเสพเมถุนธรรม ประกอบการงานเป็นแผนกๆ จึงมีชื่อว่า เวสสะ (ประกอบการค้า) และยังมีสัตว์บางกลุ่ม ประกอบการล่าสัตว์ อาศัยการล่าสัตว์เลี้ยงชีพ จึงมีชื่อว่าศูทร

ครั้นแล้วตรัสสรุปว่า ทั้งพราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็เกิดจากสัตว์พวกนั้น มิใช่เกิดจากสัตว์พวกอื่น เกิดจากสัตว์ที่เสมอกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่อธรรม แล้วตรัสต่อไปว่า มีสมัยซึ่งบุคคลในพวกทั้ง ๔ มีกษัตริย์เป็นต้น ไม่พอใจธรรมะของตนออกบวช ไม่ครองเรือน จึงเกิด สมณมณฑล ซึ่งมาจากพวกสัตว์ทั้ง ๔ กลุ่มนั่นเอง จะแตกต่างกันเพราะธรรม

ครั้นแล้วสรุปว่า ทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร และสมณะ ถ้าประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นผิด ประกอบกรรมซึ่งเกิดจากความเห็นผิด เมื่อตายไปก็จะเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก เหมือนกัน ถ้าตรงกันข้าม คือ ประพฤติสุจริต ทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นชอบ ประกอบกรรมซึ่งเกดจากความเห็นชอบ เมื่อตายไป ก็จะเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ เหมือนกัน หรือถ้าทำทั้งสองอย่าง ก็จะได้รับทั้งสุขทั้งทุกข์เหมือนกัน ถ้าทั้ง ๔ พวกนี้สำรวม กาย วาจา ใจ อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้ง ๗ ก็จะปรินิพพานได้ในปัจจุบันเหมือนกัน และวรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุ สิ้นอาสวะแล้ว มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว หมดกิจ ปลงภาระ หลุดพ้นเพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นก็นับว่าเป็นยอดแห่งวรรณะเหล่านั้นโดยธรรมมิใช่โดยอธรรม เพราะธรรมเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ในที่สุดตรัสย้ำถึงภาษิตของ สนังกุมารพรหมและของพระองค์ ที่ตรงกันว่า กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชนผู้ถือโคตร แต่ผู้ใดมีวิชาและจรณะ (ความรู้และความประพฤติ) ผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐสุดในเทวดาและมนุษย์ ฯ

วิวัฒนาการของโลก จากคัมภีร์ อัคคัญญสูตร

จากสาระสำคัญที่ปรากฏในพระไตรปิฎก จะเห็นถึงกระบวนการวิวัฒนาการของการเกิดเป็นมนุษย์ มีจุดเริ่มต้นมาจากอาภัสสรพรหม ซึ่งมาจากพรหมโลกเป็นพวกที่ทรงฌาน มีกายและใจ ที่ละเอียดอ่อน มาเกิดบนโลกซึ่งมีแต่น้ำ มนุษย์ยุคแรกจึงต้องอยู่บนอากาศ และใช้เวลาอันนานแสนนาน กว่าจะเกิดพื้นดิน และที่อยู่อาศัยบนพื้นโลกได้ ในพระไตรปิฎกมิได้บอกระยะเวลาไว้ แต่อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์กลุ่มแรกนี้มีลักษณะคล้ายเทพ และ/หรือ กึ่งเทพ มิได้กล่าวถึงอายุขัย ไม่ต้องกินอาหาร ไม่มีการแยกเพศ ไม่มีการกล่าวถึงจำนวนคนและความสัมพันธ์ภายในชุมชน ดูเหมือนว่ากระบวนการเกิดสังคมจะเริ่มขึ้น เมื่อมนุษย์มีการค้นพบอาหาร(ง้วนดิน)และลองชิมจนติดใจจึงเกิดการทำตามกันต่อๆมา จนเกิดการแบ่งแยกผิวพรรณกันขึ้น เมื่อมนุษย์กินอาหารนั้นทำให้ความเป็นกึ่งเทพหมดไป จึงต้องดิ้นรนแก่งแย่งกัน เกิดการสืบพันธ์ สร้างครอบครัว สะสมอาหาร มีระบบการปกครอง มีการสร้างกฎเกณฑ์ของชุมชน มีการลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎระเบียบของส่วนรวม ในที่สุดความเป็นสังคม และความเป็นรัฐก็วิวัฒนาการมาตามลำดับจนถึงปัจจุบัน จากข้อเขียนของบรรจบ บรรณรุจิ ได้กล่าวถึงวิวัฒนาการของโลกไว้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าหลังพินาศแล้วโลกกลับเจริญขึ้นอีก เรียกยุค นี้ว่า "วิวัฎฎกัปป์" มีวิวัฒนาการ ๒ อย่างคือ

๑. วิวัฒนาการทางด้านวัตถุ เริ่มจากน้ำ ต่อมาบนผิวน้ำเกิดง้วนดิน เกิดดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ง้วนดินหายไปเกิดกระบิดิน จากกระบิดินเกิดเครือดินแทน จากเครือดินเกิดข้าวสาลีแทน ต่อมาเกิดรำและแกลบหุ้มข้าวสาลี พระอรรถกถาจารย์รุ่นต่อมาได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อโลกก่อตัวขึ้นอีกมีเมฆใหญ่ปกคลุม เกิดฝนตกหนักท่วม จากนั้นเกิดพายุใต้น้ำผสมกับลมพัดน้ำจนงวดเกือบถึงพื้นดินเดิม แล้วเกิดลมพายุอีกช่วยกักน้ำให้อยู่ในระดับคงที่ไม่ไหลเรื่อยไป ลมอุ้มน้ำไว้และน้ำอุ้มแผ่นดินเอาไว้ ลมทำให้น้ำปั่นป่วน ซึ่งเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหว ทำให้เกิดเป็นแผ่นดินใหญ่ [พื้นผิวโลก] ส่วนน้ำนั้นมีรสอร่อย งวดเข้าเป็นง้วนดิน ซึ่งเป็นอาหารมนุษย์ในยุคแรก

๒. วิวัฒนาการทางด้านชีวิต ในทรรศนะของนักชีววิทยาซึ่งสรุปได้ว่า สิ่งที่มีชีวิตเกิดมาจากวิวัฒนาการทางด้านเคมีก่อน [สิ่งไร้ชีวิต] ครั้นแล้ววิวัฒนาการทางด้านเคมีนั้นก็แปรสภาพมาเป็นหน่วยชีวิตที่เรียกว่า “เซลล์” [สิ่งมีชีวิต] และเซลล์นั้นเองนับได้ว่าเป็นโครงสร้างขั้นมูลฐานของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

ส่วนใน ทรรศนะของพระพุทธเจ้า จากอัคคัญญสูตร ทำให้ทราบว่าชีวิตของพืช และชีวิตของมนุษย์ เกิดมาพร้อมกับการเกิดขึ้นของโลกนั่นเอง เป็นมนุษย์พวกแรกในโลก เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันมีลักษณะพิเศษคือ เกิดจากใจของตนเอง , มีแสงในตัวเอง มีปีติเป็นอาหาร ท่องไปในอากาศได้ อยู่วิมาน ไม่มีผู้หญิงผู้ชาย เป็นอาภัสสรพรหมจุติมาเป็นมนุษย์ ร่างกายของมนุษย์พวกนี้ วิวัฒนาการไปเป็นร่างกายที่หยาบ เนื่องจากอาหารและสภาพจิตที่เปลี่ยนไป บริโภคอาหารหยาบขึ้น ติดใจในรสอาหารนั้น (เกิดตัณหา) สภาพจิตใจก็หยาบขึ้นด้วย ร่างกายที่เคยละเอียดก็หยาบ จนกระทั่งมีลักษณะเพศปรากฏว่า เป็นหญิงหรือชาย สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้เป็นวิวัฒนาการทางด้านเคมีและทางด้านชีวภาพ เมื่อมีเพศจึงเสพเมถุนธรรมกัน จึงถูกสังคมลงโทษ แต่ในเวลาต่อมาถือเป็นเรื่องธรรมดา แล้วกำเนิดของมนุษย์ในแบบใหม่ ต้องอาศัยมารดาบิดาเป็นผู้ให้กำเนิดอย่างในปัจจุบันจึงเริ่มต้นมาด้วยประการฉะนี้

. . .

โพสโดย: www.facebook.com/watputtaprompanyo 4/25/2557
บทความจาก: http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-90.htm
ภาพต้นฉบับจาก: http://junaidi.d


3


คติธรรมจากภาพ "ธรรมของพระพุทธเจ้า
เป็นอกาลิโก อยู่เหนือกาลเวลา"

บุญ ที่ถูกต้อง คืออย่าหลงบุญ ชาวพุทธเราส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องของ “บุญ” …คิดว่าการทำบุญก็คือเฉพาะ การตักบาตร, การถวายทรัพย์, ปัจจัย, การถวายสังฆทาน ฯลฯ เพียงเท่านี้ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ดีและควรทำอยู่เสมอก็จริงในฐานะชาวพุทธ แต่การสร้างบุญนั้นยังมีมากกว่านี้ เพราะเมื่อสร้างบุญเบื้องต้นพื้นฐานแล้ว ก็ต้องรู้จักต่อยอดสร้างบุญที่ละเอียดยิ่งขึ้น โดยไม่หลงอยู่กับบุญเพียงบางประเภทโดยไม่รู้จักต่อยอดจากฐานที่ควรทำประจำขึ้นไปเลย ยิ่งบางพุทธพาณิชย์ เน้นสอนให้บริจาคทรัพย์ หรือร่วมสร้างความยิ่งใหญ่อลังการเข้าวัดจนเกินตัว มียอดบริจาคมากเท่าไหร่ถือว่ายิ่งได้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ รวยล้นฟ้าไม่รู้เรื่อง…

แท้จริงแล้ว “บุญ” หรือ “ปุญญ” แปลว่า “ชำระ” หมายถึง การทำให้หมดจดจากมลทิน เครื่องเศร้าหมอง อันได้แก่ โลภะ โทสะ และ โมหะ

ตามพระไตรปิฎก เราสามารถสร้าง “บุญ” ได้ ๓ อย่าง คือ ทาน ศีล ภาวนา

๑. ทาน คือ การให้ เช่นที่กล่าวมาแล้ว คือ การตักบาตร บริจาคทรัพย์ ถวายสังฆทาน สร้างวิหาร หล่อพระ เป็นต้น ถือเป็น จาคะ หรือ การให้นับเป็น บุญอย่างหนึ่ง นับเป็นบุญที่เป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่จะส่งเสริมบารมีบุญด้านอื่นๆไปด้วยกัน แต่มีการให้บางประการที่ไม่นับเป็นบุญ เช่น สุรา มหรสพ ให้สิ่งเพื่อกามคุณ เป็นต้น
๒. ศีล คือ ความประพฤติที่ไม่ละเมิด หรือรักษาความสำรวมทางกาย วาจา การรักษาศีลสำหรับฆราวาส ได้แก่ ศีล ๕ และอุโบสถศีล (มี ๘ ข้อ)
๓. ภาวนา คือ การอบรมจิตทางสมถะและทางวิปัสสนา การนั่งสมาธิ เรียกว่า สมถะภาวนา ส่วนการนั่งวิปัสสนา (สติรู้ถึงรูป–นาม) เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา

“บุญ” ยังมีอีก ๗ อย่าง ตามคัมภีร์อรรถกถา หรือข้อปลีกย่อยที่อธิบายความจากพระไตรปิฎก นับถัดไปเป็นลำดับที่ ๔ ดังนี้

๔. อปจายนะ ความเป็นผู้นอบน้อม ต่อผู้ที่ควรนอบน้อม
๕. เวยยาวัจจะ ความขวนขวายในกิจ หรืองานที่ควรกระทำ
๖. ปัตติทาน การให้บุญที่ตนถึงแล้วแก่คนอื่น
เช่น การอุทิศส่วนกุศล การกรวดน้ำ
๗. ปัตตานุโมทนา คือการยินดีในบุญที่ผู้อื่นถึงพร้อมแล้ว เช่น เห็นผู้อื่นทำบุญตักบาตร เมื่อเราพลอยปลื้มปิติยินดี กล่าวอนุโมทนา
เพียงเท่านี้ ก็ได้บุญแล้ว
๘. ธัมมัสสวนะ หรือการฟังธรรม ไม่ว่าจะฟังธรรมโดยตรง
หรือจากสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ
๙. ธัมมเทศนา หรือการแสดงธรรมเมื่อได้ศึกษาธรรมะ
แล้วถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่น นับเป็นบุญประการหนึ่งด้วย
๑๐. ทิฏฐุชุกรรม คือการกระทำความเห็นให้ตรง
หรือ สัมมาทิฏฐิ นั่นเอง (เช่น เชื่อว่า บาป-บุญมี ,นรก-สวรรค์มี ,ชาตินี้-ชาติหน้ามี , เชื่อหลักไตรลักษณ์ อนิจจัง-ทุกข์ขัง-อนัตตา)

บุญทั้ง ๑๐ ประการนี้ บางที่เรียกกันว่า “บุญกิริยาวัตถุ ๑๐” จะเห็นว่าบุญทำได้ถึง ๑๐ อย่าง มีเพียงข้อแรกเท่านั้นที่ต้องใช้ทรัพย์ อีก ๙ ข้อล้วนไม่ต้องใช้ทรัพย์ . . .

4


ปัจจุบันนี้คำว่า "พระศรีอาริยเมตไตรย" ถูกนำมาใช้กันมากในวงการปฎิบัติธรรมในประเทศไทยสำหรับสำนักต่างๆที่เผยแพร่โดยถูกต้องตามตำราก็สมควรแก่การโมทนาบุญอย่างยื่งที่รักษาสืบทอดไว้ให้ถูกต้อง แต่ก็ยังมีบางสำนักที่กลับนำมาปรุงแต่งเนื้อหากันไปหลากหลายเพื่อเรียกศรัทธา หนักถึงขนาดที่ว่ามีบางสำนักที่ใช้พุทธแอบแฝงอ้างว่าตนคือ "พระศรี" ที่ลงมาอุบัติแล้วเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก บางสำนักก็อ้างว่าตนเองพยากรณ์ถึงการมาของพระศรีอาริยเมตไตรยได้ว่าจะลงมาเร็วๆนี้ในยุคนี้แหละ ซึ่งคนเหล่านี้มักจะแสดงออกในลักษณะการทำนายทายทัก หรือเน้นเรื่องภัยพิบัติต่างๆ ว่าตนเองทำนายได้ว่าเกิดเมื่อไร และหากอยากรอดต้องไปอยู่กับเขา แต่เมื่อพยากรณ์ผิดก็มักจะบ่ายเบี่ยงอ้างสารพัด และบอกว่าเพราะโดนเลื่อน จริงๆแล้วจะเกิดตอนโน้นตอนนั้นแทน ไม่จบสิ้น และอ้างถึงการติดต่อกับพระศรีว่าจะลงมาในอีกไม่กี่ปี มีหนักไปถึงว่า ตนคือพระศรีนี้แหละ ที่มากู้โลก แต่คำสอนแนวทางกลับไม่ใช่พุทธเลย การอ้างต่างๆตามที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะพระศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันยังดำรงอยู่ พระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้าย่อมไม่มาอุบัติเกิดขึ้นซ้ำซ้อนแน่นอน อย่างมากท่านก็เพียงแต่ช่วยดูแลพระศาสนาองค์ปัจจุบันอยู่ห่างๆในฐานะพระโพธิสัตว์ให้ดำรงไปให้ครบ 5 พันปีเท่านั้น เราในฐานะชาวพุทธลูกศิษย์ของตถาคตต้องพิจารณาดูดีๆว่าคำกล่าวอ้างต่างๆเหล่านั้น เป็นไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์แอบแฝงหรือเปล่า และในฐานะชาวพุทธถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่จะเข้าในความหมายจริงๆของคำว่า "พระศรีอาริยเมตไตรย" โดยที่ไม่หลงไปกับเรื่องราวต่างๆที่ถูกปรุงแต่งขึ้นโดยสำนักบางสำนักที่ใช้คำว่าพระศรีอาริยเมตไตรยมาเรียกศรัทธา ทั้งๆที่การกระทำกลับไม่ใช่พุทธแท้ แต่มีลักษณะของการนำเอาความเชื่ออื่นๆต่างลัทธิ ต่างศาสนามาเจือปนอยู่ด้วย จริงอยู่ที่ชาวพุทธควรศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้หลงทาง แต่ก็ไม่กล่าวร้าย เพราะเป็นศรัทธาของและละบุคคล แต่หากปราถนาที่จะอยู่ในทางและหลักการคำสอนอันเป็นพุทธที่ไม่มีสิ่งอื่นมาเจือปนก็ควรทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เพื่อที่เราเองจะได้ไม่หลงทาง

มารู้จักกับคำว่า "พระศรีอาริยเมตไตรย" คือผู้ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตข้างหน้า ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายไว้ โดยท่านได้ทรงทำนายเท่าที่มีบันทึกไว้ว่าในอนาคตกาลจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 10 พระองค์ ซึ่งหลังจาก 10 พระองค์นี้ก็ยังจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ไปอีกเรื่อยๆ เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าระยะเวลาห่างกันเท่าใด

เรื่องราวจริงๆของพระศรีอาริยเมตตรัยที่เป็นพุทธพจน์
และพระพุทธเจ้า,ครูบาอาจารย์รับรอง เนื้อหาเรียบเรียง
มาจากพระไตรปิฏก . . . เพื่อความเข้าใจอันถูกต้อง
และสัมมาทิฐิ . . .

พระศรีอริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรย (บาลี: Metteyya เมตฺเตยฺย; สันสกฤต: मैत्रेय ไมเตฺรย) เป็นพระโพธิสัตว์ผู้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 และองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัปนี้ เมื่อศาสนาของพระโคตมพุทธเจ้าสิ้นสุดไปแล้ว โลกจะล่วงเข้าสู่ยุคแห่งความเสื่อมถอย อายุขัยของมนุษย์ลดลงจนเหลือ 10 ปี ก็เข้าสู่ยุคมิคสัญญี ผู้สลดใจกับความชั่วก็หันมารวมกลุ่มกันทำความดี จนอายุขัยเพิ่มขึ้นถึง 1 อสงไขยปี จากนั้นจึงลดลงอีกจนเหลือ 80,000 ปี ในยุคนี้จะมีพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งที่บำเพ็ญบารมีครบ 16 อสงไขยแสนมหากัป ลงมาตรัสรู้เป็น "พระเมตไตรยพุทธเจ้า"

พุทธพยากรณ์เกี่ยวกับพระศรีอริยเมตไตรย จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 11 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 3 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตรซึ่งเป็นพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท โดยถือกันว่ารักษาเนื้อหาได้สมบูรณ์ที่สุดในบรรดาทุกนิกาย ดังนี้

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้เป็นอรหันต์ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ"

สรุปได้ว่า พระโพธิสัตว์จะจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตมาถือปฏิสนธิในตระกูลพราหมณ์ ในครรภ์ของนางเมตไตรยพรหมวดี ภรรยาของสุพรหมพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิ แห่งเกตุมดีนคร เมื่อทรงประสูติได้มีนิมิต ๓๒ ประการแล้ว ก็บังเกิดปราสาท ๓ หลังเพื่อเป็นที่ประทับ เมื่อพระชนมายุ ๘,๐๐๐ ปี ทอดพระเนตรเห็นนิมิตทั้ง ๔ จึงทรงพอพระทัยในการบวช เสด็จขึ้นไปสู่ปราสาท ปราสาทก็ลอยขึ้นสู่อากาศ มาลงที่ใกล้โพธิมณฑล ท้าวมหาพรหมอัญเชิญอัฏฐบริขารมาถวาย พระโพธิสัตว์ทรงเอาพระขรรค์แก้วตัดพระเมาลี ทรงรับเครื่องอัฏฐบริขารที่ท้าวมหาพรหมนำมาถวาย ผนวชแล้วบำเพ็ญเพียร มีคนบวชตามเป็นอันมาก พระโพธิสัตว์ประทับนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ในปฐมยาม ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณในมัชฌิมยาม ทรงทำให้แจ้งทิพยจักษุญาณในปัจฉิมยาม ทรงพิจารณาปัจจยาการ ๑๒ ประการ ในเวลารุ่งอรุณ ทรงบรรลุซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใต้ต้นกากะทิง พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ทรงมีพระฉัพพรรณรังสีจากพระวรกาย ทำให้สว่างไสวทั้งกลางวันและกลางคืน คนทั้งหลายอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ บริโภคข้าวสาลีที่เกิดจากพระพุทธานุภาพ

ยุคพระศรีอาริย์ที่แท้จริง

พระศรีอริยเมตไตรยจะมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาในอนาคต โลกนี้จะมีความสงบสุข และพระศาสนาจะมีความรุ่งเรืองกว่า พระศาสนาของพระพุทธเจ้าในองค์ปัจจุบันนี้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะมีพระอริยบุคคลมากกว่า และประชาชนจะมีความสุขอย่างยิ่ง คือจะไม่มีเรื่องร้อนใจเลย ทุกคนพอใจในความเป็นอยู่ ไม่มีการเบียดเบียน ตอนนอนไม่ต้องปิดประตูก็ได้ บ้านเลยไม่ต้องทำประตูก็ได้ เรื่องคนร้าย หรือขโมยก็ไม่ต้องกลัว แล้วก็คนจะเป็นคนดีเหมือนกันหมด ไม่มีคนพาล จนกระทั่งลงจากบ้าน ก็ไม่มีใครจำได้ว่าใครเป็นใคร เพราะมันดีเหมือนกันหมด มันสุภาพเหมือนกันหมด มันสวยเหมือนกันหมด จนเมื่อกลับเข้าบ้าน จึงจะจำได้ว่า นี่คือภรรยาของเรา นี่คือสามีของเรา นี่คือลูกของเรา และต้องการอะไรก็ได้ มันมีต้นไม้พิเศษที่เรียกว่า ต้นกัลปพฤกษ์ อยู่ทุกทิศ อยากได้อะไรก็ไปขอที่ต้นไม้ จะสะดวกสบาย แม้แต่การคมนาคม การไปการมา จนว่าน้ำในแม่น้ำนั้น จะไหลลงข้างหนึ่ง จะไหลขึ้นข้างหนึ่ง เพื่อจะสะดวกต่อการใช้เรือ สรุปว่าไม่มีความทุกข์ อยู่กันเป็นผาสุก ไม่มีอันธพาล ทุกอย่างได้อย่างใจ

อ้างอิงข้อมูลจาก
^ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, พิมพ์ครั้งที่ 3, 2552, หน้า 290
^ สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน, พิมพ์ครั้งที่ 17, 2550, หน้า 351
^ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตร ท่อน ๔๘ ย่อหน้า ๔

5
อภิญญาปฎิบัติ / ปลุกเสกพระให้ขลัง
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 10:04:13 PM »


สมัยก่อนตอนที่หลวงปุ่ดู่ยังไม่ละสังขารมีลูกศิษย์สงสัยถึงการปลุกเสกพระให้ขลัง จึงพากันมากราบเรียนถามท่าน หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านยิ้ม แล้วตอบให้ศิษย์หายข้องใจ โดยท่านสรุปการปลุกเสกพระให้ขลังไว้ดังนี้ "เรื่องของคงกระพันชาตรีน่ะทำง่าย แค่ขนลุกก็เหนียวแล้ว แคล้วคลาดน่ะดีกว่า เพราะไม่เจ็บตัว การเสกพระทำน้ำมนต์ให้ดีให้ขลัง ต้องทำใจของเราให้มีเมตตา คือรักเขายิ่งชีวิตแล้วจะได้ผลดี การเสกพระให้มีพุทธคุณทางเมตตาน่ะ ทำยากที่สุด หมั่นปฏิบัติไปเถิด"

คำพูดของหลวงปู่ถือเป็นสัจธรรม หรืออมตธรรมที่ตรงกับพระพุทธภาษิตที่ว่า "โลโกปัตถัมภิกาเมตตา เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก" คือต้องทำตัวเราเองให้เป็นคนดีเสียก่อน จึงจะมีผลในการดำเนินชีวิต และทำให้คนใกล้ชิดได้รับความสุขไปด้วย

พวกติดคุกติดตะรางหรือไอ้เสือทั้งหลายเหล่านี้ มักจะมีความสามารถทางคงกระพันชาตรี แล้วเกิดฮึกเหิมขาดศีลธรรม ทำให้เขาต้องประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทางไปในที่สุด บางคนไม่มีพระ ไม่มีคาถาอาคม ก็ยังสามารถรอดจากภยันตรายได้ เรื่องมีว่า มีคนเหนือไปทำงานแถบปราจีนบุรี ซึ่งมีพวกเขมรมาก และเกิดไปขัดใจกับพวกนั้น พวกเขมรนั้นเก่งทางทำของ ทำคุณไสย เขาก็ปล่อยมาให้เจ้าคนนี้ แต่ก็น่าแปลกใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้ จนในที่สุดคนทำของเกิดความสงสัยจึงไปถาม เขาตอบว่า "ไม่มีเครื่องรางของขลังอะไรเลย คาถาอาคมก็ไม่มี แต่ก่อนจะนอนทุกคืนต้องกราบหมอน ไหว้พ่อไหว้แม่ เป็นเช่นนี้มิได้ขาด" คนทำของจึงบอกว่า "คืนนี้แกอย่าไหว้พ่อ ไหว้แม่นะ ข้าจะปล่อยของแล้วจะแก้ให้" เขาก็ทำตาม ตอนนี้เป็นเพื่อนกันแล้ว คืนนั้นก็ปล่อยของเข้าตัวได้ แล้วเขาก็แก้ให้ นี่ขนาดไหว้พ่อ ไหว้แม่นะ ทำให้จริงยังสามารถป้องกันตัวได้ หลวงปู่สอนให้พวกเรามีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ และผู้มีพระคุณทั้งหลาย ซึ่งถือเป็นคุณธรรมที่ควรประพฤติปฏิบัติ ดังพุทธภาษิตว่า "นิมิตตัง สาธุ รูปานัง กตัญญูกตเวทิตา" ความกตัญญูกตเวทิตา เป็นเครื่องหมายของคนดี

6


รวมข้อธรรมมะสั้นๆของหลวงตาม้า

- สวดไป...ดีกว่าหายใจเฉยๆ

- หลวงตาตื่นปุ๊บทำ(สวด)ปั๊บนะ กลัวลืม

- การอฐิษฐานหรือการภาวนา ตื่นแล้วให้ทำเลยกันลืม

- ก่อนนอน ตื่นนอน อาบน้ำ กินข้าว เดินไปเดินมา ต้องทำ

- การฝึกสติจริงๆแล้ว ก็คือเอาสติไปอยู่กับพระ นี่คือแนวทางของ โพธิญาณ

- เมื่อจิตนึกถึงพระแล้วเนี่ย แม้แต่เราเห็นพระ เราจะปิติ ปิตินะ ปิติในพระ...

- เริ่มปฏิบัติซะ เพราะเราไม่มีทางรู้ว่า เราจะไปเมื่อไหร่

- ให้เราหมั่นมองดูภาพหลวงปู่บ่อยๆ มองแบบสบายๆ ไม่ต้องเพ่งจะดีเอง

- เวลามี สถานที่ก็เหมาะ แล้วช้าอยู่ทำไม

- ถ้าไม่ทำตอนนี้ ก็ไม่รู้จะไปทำตอนไหนแล้ว เดี๋ยวเกิดต้องตายก่อน จะตามพวกไม่ทัน

- หลวงตาเพียงแต่แนะนำให้ได้เท่านั้น ส่วนการปฏิบัตินั้น อยู่ที่ตัวของผู้ปฏิบัติเองจะทำได้แค่ไหน ต้องทำจริงๆ

- ปฏิบัติเหลาะๆแหละๆ ไม่ได้อะไรหรอก มันต้องจริงจัง

- ทำน่ะไม่ยากหรอก...ที่ยากน่ะไม่ทำ

- สวดไม่จริง...ก็สวดไปอย่างนั้นไง บางคนสวดเสียงดังนะ
แต่ไม่เข้าไปในใจ...ไม่ปิติ

- อย่าไปดูคนอื่น...ให้ดูตัวเอง

- เวลาเราทำความดี ทำสิ่งดีๆใดๆก็ตาม
ให้นึกว่าตัวเองเป็นพระอยู่ทุกครั้ง
เป็นการฝึกสติตัวเองไปด้วย

- ผู้จะพ้นทุกข์ได้ต้องเข้าถึงไตรสรณคมณ์ก่อน

- ให้นึกถึงพระให้บ่อยที่สุด อย่างการกำพระเราก็นึกถึงพระ
...ต่อไป เห็นพระ ไม่ได้เลย...จิตจะเข้าไปกราบทันที
นั่นคือการเข้าถึงไตรสรณคมณ์ เป็นการปิดอบายภูมิ

- เวลานึกถึงพระ นึกถึงหลวงปู่ จิตของเราจะอยู่ที่พระ อยู่ที่หลวงปู่
เป็นไตรสรณคมณ์ ปิดกั้นพลังงานไม่ดีได้

- ตอนมีชีวิตไม่ได้สวด...ตอน(จะ)ตายจะนึกไม่ได้

- มนุษย์จะเป็นอะไรก็ได้...ที่ใจ จากต่ำสุดจนถึงสูงสุด คือพระอรหันต์

- การภาวนานี้ นอกจากจะเป็นบุญ และทำให้จิตได้ทำงานแล้ว
ยังช่วยให้เราไม่ประมาทในความตายด้วย

- เวลามีใครด่า นินทา หรือพูดไม่ดีกับเรา
ให้ทรงภาพหลวงปู่ไว้แล้วใจเราจะไม่ถูกกระทบ
โดยคำพูดเหล่านี้เลย นี่แค่สมาธิขั้นต้นนะ ต้องทำให้ได้

- เห็นหมาตาย...สัพเพฯ
เห็นวัด...โมทนา
เห็นคนทำบุญ...สาธุ นี่คือกรรมฐานที่แท้จริง
จิตของเราจะอยู่ในกรรมฐานตลอดเวลา

- ไม่ต้องมาที่ถ้ำหรอก ถ้าเคารพกัน นึกถึงกันจริงๆ
อยู่ที่ไหนหลวงตาก็ไปได้

- วันไหนไม่มีบ้านให้อยู่ จะมาอยู่ที่วัด(วัดถ้ำ)ก็ได้
จะมาก็มา จะไปก็ไป ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ

- พวกเราลองตัดทีวีออกนะ
ทานอาหารที่เป็นธรรมชาติ
อยู่ในที่ๆมีอากาศดีดี อายุจะยืนขึ้น
โรคภัยไข้เจ็บก็จะน้อยลง...

- เขา(ผู้หญิงคนนั้น)ก็เป็นคนหนึ่งที่ต้อง
เวียนว่ายตายเกิดเหมือนเรา ไม่มีอะไรเลย
เดี๋ยวก็ตายแล้ว ต่างจากหลวงพ่อ(ดู่)
ที่ท่านมีพลังงานบุญ เราสามารถนำมาใช้ได้
เรานึกถึงใครดีกว่ากันล่ะ...?

- ชาติหนึ่งๆ ดูเหมือนเราทำบุญเยอะ แต่รู้ไหม ได้นิดเดียว
เพราะมิติเวลาไม่เท่ากัน ชาติหนึ่งของเรา ข้างบนแป๊บเดียว

- ใครสัพเพไปที่นก แล้วนกมันบินมาเกาะที่มือเนี่ย
แสดงว่าคนนั้นไม่ธรรมดา ต้องมีเมตตาสูงมากถึงจะทำได้

- การทำพระนี่ เป็นการทำให้คนติดพระ
มันเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ
เป็นอนุสสติ ไตรสรณคมณ์ว่างั้น...

. . .

เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

7
นานาสาระและเสวนาทั่วไป / ผู้หยั่งรู้อนาคต...
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 10:02:49 PM »


หยั่งรู้อนาคต...

เราไม่รู้หรอกว่า เราเคยทำกรรมอะไรมาบ้างในอดีต...

แต่หากวันนี้ใครกำลังทุกข์ ก็คิดเสียว่า นี่จะเป็นชาติสุดท้ายที่เราจะทุกข์
เพราะต่อจากนี้ไป เราจะสร้างแต่คุณงามความดีไว้เป็นทุน
เพื่อวันข้างหน้า เราก็จะได้รับแต่ผลของความดี ที่เราได้ทำมา

....อย่าน้อยใจในโชคชะตา
....ใคร...จะใหญ่เกินกรรม

การที่จะเป็นผู้หยั่งรู้อนาคตตนเองนั้น ให้เราเร่งสร้างปัจจุบันเข้าไว้ หากเราต้องการอนาคตที่ดีงาม เราต้องหมั่นสร้างแต่สิ่งที่ดีงามอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆเก็บเล็กผสมน้อยไป ปัจจุบันที่เป็นทุกข์ก็เป็นผลพวงจากอดีต ซึ่งเราอาจจะลืมเลือนหรือผ่านมาหลายภพชาติแล้ว เมื่อใดที่เกิดทุกข์ให้ใช้โอกาสนั้นรวบรวมกำลังใจ อธิษฐานแก้ไข เพราะเป็นจุดที่เราจะรวบรวมกำลังใจได้อย่างเข้มข้น

ตามรอยครู คติธรรม หลวงตาม้า
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)

8


ความอ่อนน้อม ถ่อมตน ก็เป็นความดีอย่างหนึ่งที่เราสามารถทำได้ ซึ่งหลวงตาม้าท่านได้ปฏิบัติให้พวกเราได้เห็นเสมอมา พวกเราที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์หลวงตา ก็จะปฏิบัติตน ตามแบบอย่างของหลวงตา หลวงตาม้า เมตตาสอนไว้ว่า สวดมนต์ภาวนา แผ่เมตตา โมทนา อ่อนน้อมถ่อมตน

มีผู้หญิงท่านหนึ่งมากราบ หลวงตาม้า มาบ่นให้ท่านฟังว่าหาโอกาสมากราบยาก อยากมากราบบ่อยๆ หลวงตาม้าท่านก็ให้โอวาทว่า "ไม่ต้องมาที่ถ้ำหรอก ถ้าเคารพกัน นึกถึงกันจริงๆ อยู่ที่ไหนหลวงตาก็ไปได้" คำพูดนี้เป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่ยังไม่มีโอกาสไปกราบหลวงตาได้เป็นอย่างดี

(ในภาพ: หลวงตาม้า และ หลวงปู่หวล)

9


หลวงตาม้าสอน ลมหายใจเป็นการบันทึกบุญบาป

" อารมณ์เสียเมื่อไหร่จบ"

ลมหายใจมีค่า ทรงอารมณ์ให้ดี
กำลังใจจะมากขึ้นทุกวัน
เผชิญกับสังคมได้ อยู่ได้หมด

ธรรมะ คือ ธรรมชาติ . . .

10
อภิญญาปฎิบัติ / การวางจิตระหว่างสวดมนต์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 10:00:08 PM »


การวางจิตระหว่างสวดมนต์

ในการสวดมนต์นั้น บางท่านก็ชอบแบบสวดในใจ บางท่านก็ชอบสวดโดยใช้เสียงเต็ม เคล็ดการสวดให้ได้ผล คือสวดให้เราฟังเองแล้วไพเราะที่สุด มิใช่สวดให้ดังที่สุด ซึ่งก็ไม่แน่เหมือนกันในแต่ละท่านก็ชอบต่างกัน บางคนตะเบ็งเสียงอันดังก็ถือว่าเพราะของเขาแล้ว อันนี้ว่ากันไม่ได้ แต่ก็เกรงใจคนข้างๆเขาด้วย เขารำคาญจะทำให้เป็นบาปเป็นกรรมด้วยกันทั้งสองฝ่ายซึ่งไม่คุ้ม บุญที่แท้ต้องละเอียดอ่อนอย่าให้มีบาปเจือปน ครั้งหนึ่งหลวงปู่ดู่ท่านก็เคยเตือนคนที่พาเด็กกระจองอแงเข้ามาทำบุญที่วัดซึ่งรบกวนคนอื่นเขา

ความไพเราะของเสียงสวด จังหวะเสียงที่เป็นห้องดนตรี จะเกลี่ยจิตให้สงบ เข้าถึงธรรมปีติ ในต่างประเทศอย่างญี่ปุ่น หรือจีน จึงมีการเคาะจังหวะแล้ว

แต่ความไพเราะของเสียงก็หาสำคัญเท่าความไพเราะของใจไม่ คือใจที่สบายๆมีธรรมปีติ อารมณ์ที่เย็นๆสบายๆแบบอารมณ์พรหมวิหาร “ผู้รู้”นั้นเวลาสวดมนต์ท่านจะปรุงใจก่อนอันดับแรก แล้วเสียงสวดมนต์จะไพเราะเอง สมาธิเสียงนั้นแม้ในคริสต์ศาสนาก็มีเช่นเดียวกัน โดยแสดงออกมาในรูปแบบของการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ซึ่งแบบพุทธศาสนาก็คือการสวดสรรเสริญพระรัตนตรัยก็คือ “อิติปิโสสามห้อง” นั่นเอง

สวดมนต์ด้วยเสียงแล้วเมื่อจิตเริ่มนิ่งจะอยากหยุดสวด ทางเลือกคือถ้าฝืนสวดต่อจะได้ความเชี่ยวชาญในการทรงจิตในสังคม แต่ถ้าปล่อยตามอารมณ์ที่ละเอียดขึ้นคือหยุดสวดออกเสียง ภาวะจิตจะละเอียดขึ้น เพราะเสียงจัดเป็นเรื่องหยาบ เมื่อจิตละเอียดจะตัดที่เสียงและที่อากัปกิริยาก่อน ละเอียดมากๆเข้าก็ตัดสัมผัสทั้งหมด แม้กระทั่งลมหายใจเข้าออกหรือร่างกายทั้งหมด ตรงนี้เองที่เรียกว่าภาวะสงบนิ่งไร้ตัวตน

คำแนะนำคือทำทั้งสองทางเพราะเมื่อเชี่ยวชาญดีแล้วมีประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่และตอนท้ายจะรวมกันได้ คือออกเสียงแต่จิตละเอียดมาก เหมือนขับรถไปร้องเพลงไปนั่นแหละ เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชำนาญ

11


ตื่นแล้วต้องรีบรีดหน้า

หลวงตาม้าท่านเน้นว่า เวลาตื่นมาแล้วให้รีบลุกขึ้นมารีดหน้าแล้วกราบพระมอบกายถวายชีวิต ในการปฏิบัติจริงๆแล้วยากพอดูเหมือนกัน ต้องอาศัยกำลังใจอย่างมากถึงจะทำได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ของจริงมันอยู่ที่ทำได้ทุกวันไม่หลงลืม ไม่เกียจคร้านและต่อเนื่องยาวนาน

ตื่นมาแล้วให้รวบรวมกำลังใจลุกขึ้นมาทรงจิตและทำตามลำดับดังนี้

๑.   รีดหน้าเอามืออุ่นๆลูบไล้หน้าไปมาแล้วก็ยิ้มให้กับพระยิ้มให้กับหลวงปู่หลวงตาโดยให้ยิ้มออกมาจากใจให้ได้

๒.   มอบกายถวายชีวิต คือ พุทธัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
เป็นต้น ต่อด้วย กราบพระ ๖ ครั้ง

๓.   สัพเพให้กับความฝัน การฝันนั้นมันเกี่ยวข้องกับชีวิตทั้งหมดทั้ง อดีต อนาคต ปัจจุบัน ด้วยเกิดจากเหตุ ๔ ประการ คือ บุพนิมิต จิตสังวรณ์ เทพสังหรณ์ ธาตุโขภะ สัพเพย้อนกลับไปสู่เหตุทั้งหมด เป็นการฟอกชำระเรื่องอันควรเรื่องเด่นแรกๆ(มันสำคัญจริงถึงได้ฝัน) ไปทีละวัน ทีละวัน ทำได้เช่นนี้ ชีวิตจะค่อยๆดีขึ้นเองในทุกๆด้าน

๔.   สัพเพให้แก่สรรพสัตว์โดยรอบแรกๆครอบวิมารให้แก่ตัวเองก่อน จากนั้นเราก็สัพเพให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นการผูกมิตรกันและกัน เกื้อกูลกันและกัน ไว้ตั้งแต่เริ่มอรุณรุ่งแห่งชีวิตใหม่

๕.   อธิษฐานทิพจักขุ “ขอให้ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ จงรับรู้แต่สิ่งที่เป็นจริง”
ลองทำดู ทำได้อย่างต่อเนื่องแล้วจะเห็นผลว่า มันเป็นเทคนิคเริ่มวันใหม่ที่แจ๋วจริงเอามากๆ ทั้งหมดนี่ใช้เวลาไม่ควรเกิน ๕ นาที สำคัญที่ใจ ที่อารมณ์ ที่การทรงกำลังใจให้ได้ทั้งวัน

สูตรทำบุญไม่เสียเงินของหลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ

พอตื่นเช้ามาขณะล้างหน้า หรือดื่มน้ำให้ว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมังสรณัง คัจฉามิ สังฆังสรณัง คัจฉามิ” ก่อนจะกินข้าว ก็ให้นึกถวายข้าวพระพุทธ (เป็นอนุสสติอย่างหนึง) ออกจากบ้านเห็นคนอื่นเขากระทำความดี เป็นต้นว่า ใส่บาตรพระ จูงคนแก่ข้ามถนน ข่าวงานบุญต่างๆ ฯลฯ ก็ให้นึก อนุโมทนา กับเขา

ผ่านไปเห็นดอกไม้ที่ใส่กระจาดวางขายอยู่ หรือดอกบัวในสระข้างทาง ก็ให้นึกอธิฐานถวายเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย โดยว่า “พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ” แล้วต้องไม่ลืมอุทิศบุญให้แม่ค้าขายดอกไม้ หรือรุกขเทวดาที่ดูแลสระบัวนั้นด้วย ตอนเย็นนั่งรถกลับบ้าน เห็นไฟข้างทางก็ให้นึกน้อมบูชาพระรัตนตรัยโดยว่า “โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา” (เป็นการบูชาระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ก่อเกิดอานิสงค์แห่งบุญในดวงจิต) เวลาไปที่ไหนเห็นข่าว คนตาย คนเจ็บ คนป่วย คนที่กำลังมีความทุกข์ ก็ดี ผ่านจุดที่คนตายบ่อยๆ เห็นศาลเจ้า ศาลพระภูมิ ก็ดี ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า บารมีรวมของครูบาอาจารย์ อันมีหลวงปู่ดู่เป็นที่สุด แผ่บุญไป (เป็นการเจริญเมตตา ฝึกให้จิตมีพรหมวิหาร เป็นการบำเพ็ญบุญ)

ก่อนนอนก็นั่งสมาธิ เอนตัวนอนลง ก็ให้นึกคำบริกรรมภาวนาไตรสรณะคมนี้จนหลับ ตื่นขึ้นมาก็บริกรรมภาวนาต่ออีกตลอดวัน

เหล่านี้คือตัวอย่างเทคนิคการตะล่อมจิตให้อยู่แต่ในบุญกุศลตลอดวัน และได้บุญมากกว่าการทำทาน โดยไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว เป็นการทำให้ดวงจิตเราเกิดแสงแห่งบุญทุกขณะลมหายใจเข้าออก สะสมบุญได้ตลอดทั้งวัน

12


เสริมความรู้: ถ้อยคำที่ใช้สำหรับพระภิกษุ

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ ในภาษาไทยจึงมีการกำหนดถ้อยคำไว้จำนวนหนึ่งสำหรับใช้กับภิกษุสามเณรโดยเฉพาะ ทั้งนี้เพราะพระภิกษุอยู่ในฐานะที่เป็นผู้สืบพระพุทธศาสนา และเป็นผู้ทรงศีล สามารถเทศนาสั่งสอนประชาชนให้ประพฤติดีประพฤติชอบ จึงควรใช้ภาษาด้วยถ้อยคำสุภาพ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเคารพนับถือ

๑. คำนาม
คำนามที่ใช้คำหรับพระภิกษุ ส่วนมากใช้เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นเเต่คำบางคำที่กำหนดไว้เฉพาะ เช่น

- กาสาวพัสตร์ ผ้าย้อมฝาด คือ ผ้าเหลืองพระ
- กลด ร่มขนาดใหญ่ มีด้ามยาว สำหรับพระธุดงค์โดยเฉพาะ
- จีวร ผ้าสำหรับห่มของภิกษุสามเณรคู่กับสบงค์
- สังฆาฏิ ผ้าคลุมกันหนาวสำหรับพระใช้ทาบบนจีวร ใช้พันพาดบ่าซ้าย
- ตาลปัตร พัดใบตาล มีด้ามยาว สำหรับพระมช้ในพิธีกรรม
- ธรรมาสน์ ที่สำหรับภิกษุสามเณรนั่งเเสดงธรรม
- บาตร ภาชนะชนิดหนึ่ง สำหรับภิกษุสามเณรใช้รับอาหารบิณฑบาต
- บริขาร เครื่องใช้สอยของพระภิกษุ มี ๘ อย่าง รวมเรียกว่า "อัฐบริขาร" ได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ บาตร มีดโกนเข็ม ประคดเอว กระบอกรองน้ำ
- ปัจจัย เงินที่ถวายพระเพื่อเป็นค่าปัจจัยสี่
- ลิขิต จดหมายของพระสงฆ์
- จังหัน อาหารเช้า
- กุฏิ เรือนหรือตึกสำหรับพระภิกษุสามเณรอยู่อาศัย
- เจดีย์ สิ่งซึ่งก่อเป็นรูปคล้ายลอมฟางมียอดเเหลม บรรจุสิ่งที่นับถือ เช่น พระธาตุ
- หอไตร หอสำหรับเก็บพระธรรม
- อุโบสถ สถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมกันทำสังฆกรรม เรียกสั่นๆ ว่า โบสถ์

๒. คำสรรพนาม

๒.๑ คำสรรพนามที่พระภิกษุใช้กับบุคคลระดับต่าง ๆ มีดังนี้

สรรพนามบุรุษที่ ๑
- อาตมา ใช้กับ บุคคลธรรมดาหรือผู้มีตำแหน่งสูง
- ผม กระผม ใช้กับ พระภิกษุด้วยกัน

สรรพนามบุรุษที่ ๒
- มหาบพิตร ใช้กับ พระเจ้าเเผ่นดิน
- บพิตร ใช้กับ พระราชวงศ์
- คุณโยม ใช้กับ บิดา มารดา ญาติผู้ใหญ่
- คุณ ใช้กับ พระภิกษุด้วยกันที่ฐานะเสมอกัน
- คุณ เธอ ใช้กับ บุคคลทั่วไป

คำขานรับของพระภิกษุ
- ขอถวายพระพร ใช้กับ พระเจ้าแผ่นดิน พระราชวงศ์
- ครับ ขอรับ ใช้กับ พระภิกษุด้วยกัน
- เจริญพร ใช้กับ ฆราวาสทั่วไป

๒.๒ คำสรรพนามที่บุคคลทั่วไปใช้กับพระภิกษุ มีดังนี้

สรรพนามบุรุษที่ ๑
- กระผม ผม (ชาย) ใช้กับ พระภิกษุที่นับถือ
- ดิฉัน (หญิง) ใช้กับ พระภิกษุที่นับถือ

สรรพนามบุรุษที่ ๒
- พระคุณเจ้า ใช้กับ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์
- ท่าน ใช้กับ พระภิกษุที่นับถือ
- พระคุณท่าน ใช้กับ พระภิกษุสงฆ์ทั่วไป

๒.๓ คำกริยา คำกริยาที่ใช้กับพระภิกษุ มีดังนี้

จำวัด = นอนหลับ
จำพรรษา=อยู่ประจำที่วัด ๓ เดือนในฤดูฝน
นมัสการ=การเเสดงความอ่อนน้อมด้วยการกราบไหว้
บรรพชา=บวชเป็นสามเณร
อุปสมบท=บวชเป็นพระภิกษุ
ลาสิกขา=สึก ลาออกจากความเป็นภิกษุมาเป็นคนธรรมดา
อาพาธ=เจ็บป่วย
อาบัติ=โทษจากการล่วงละเมิดข้อห้ามสำหรับพระภิกษุ เรียกว่า ต้องอาบัติ
มรณภาพ=ตาย

ที่มา :
เอกรินทร์ สี่มหาศาล และคณะ.
ภาษาไทย ป.๖. พิมพ์ครั้งที่ ๑.
กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์,
TRUE ปลูกปัญญา.

13


หลวงตา....ที่ผมรู้จัก
เขียนเล่าเรื่อง โดย คุณคนวังหน้า
----------------------------------------

หลวงตาที่ว่ามิใช่ใครอื่นนอกจาก หลวงตาม้า หรือพระอาจารย์วรงคต วิริยธโร เเห่ง วัดพุทธพรหมปัญโญ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

บทความนี้เป็นบทความที่เขียนขึ้นจากความเคารพรักศรัทธาในความเมตตาเเละคุณธรรมของหลวงตามิได้เขียนเพื่อเหตุพลอื่น เเละนอกจากหลวงพ่อทวด หลวงพ่อดู่เเล้ว หลวงตานี่เเหละเเบบอย่างที่น่าประทับใจ........

ย้อนไปเมื่อประมาณ8ปีก่อนผมเองเนื่องจากสมัยนั้นยังไม่รู้จักหลวงตาม้าเลยเเต่ขณะนั้นได้สร้างหลวงพ่อทวดเองเนื่องจากเเรงบันดาลใจส่วนตัวทำเเจกฟรีเเละถวายให้วัดต่างๆเเละหนึ่งในจำนวนวัดต่างๆนั้นมีวัดร้องขุ้ม มีพระอาจารย์สิทธิพงศ์ ศิษย์ครูบาเจ้าบุญปั๋น ท่านได้เเนะนำให้ผมไปกราบหลวงตาม้า ท่านบอกว่าหลวงตาม้าท่านมีเมตตามากเเละท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อดู่เเละท่านเองเกี่ยวกับหลวงพ่อทวด

เนื่องจากคำว่าท่านเกี่ยวกับหลวงพ่อทวดจึงเกิดเเรงบันดาลใจว่าจะไปกราบเเต่เนื่องจากเวลาไปเชียงใหม่ผมเองจะต้องไปกราบพระที่กราบทุกครั้ง คือพระอาจารย์เปลี่ยน เเม่เเตงทำให้ไม่มีเวลาไปกราบหลวงตาเป็นเเน่เเต่เเล้วเหมือน วาสนาอำนวย วันนั้นพระอาจารย์เปลี่ยนไม่อยู่ผมกับครอบครั้วจึงขับรถขึ้นถ้ำเมืองนะ เชื่อหรือไม่ว่ากว่าจะถึงเชียงดาวว่านานเเละนึกว่าจะถึงถ้ำเมืองนะเเต่เปล่าเลยขึ้นไปอีกไกลกว่าจะถึงถ้ำก็เกือบ3โมงเย็น

คนกราบหลวงตาท่านในวันนั้นดูเหมือนจะมากเกือบ20กว่าคนผมเองอยู่ท้ายสุดอยู่กับพ่อเเม่ภาพที่เห็นทั้งกลัวเเละประทับใจระคนกันไปเนื่องจากหลวงตาม้าผมเองเพิ่งเคยเห็นครั้งเเรกเเต่ที่ประทับใจคือรอยยิ้มที่ท่านมีเสมอ หลังจากทุกคนกลับหมดผมเองท่านเข้าไปตอนสุดท้ายเพื่อสอบถามหลายอย่างจากท่าน ท่านเองตอบหมดทุกคำถามเเละหมดทุกข้อสงสัย

วันนั้นจนวันนี้คำสอนท่านยังคงนำมาปฏิบัติอยู่ ท่านบอกว่าหลวงพ่อทวดท่านมาจริงๆอย่างที่เราเห็นอย่าถามหลวงตาเลยถามหลวงพ่อทวดท่านสิถามในสิ่งที่ไม่รู้เเล้วถ้าเราเห็นจริงๆท่านจะสอนเราเองนั่นเเหละ

มาครั้งเเรกผมเองอยากได้เกศาของหลวงตาท่านท่านบอกว่าให้เอาผอบฝากไว้ ไว้มาเอาเที่ยวหน้าผมนึกว่าอย่างไรเสียท่านคงลืมผม.......

เวลาผ่านไปอีกประมาณเกือบปี ผมไปกราบท่านที่ถ้ำอีกเช่นเคยถามท่านว่า จำผมได้รึเปล่า?...............

ท่านไม่ตอบท่านเอาผะอบที่ผมฝากท่านไว้ท่านมอบคืนให้พร้อมเกศาของท่านที่บางส่วนกลายเป็นพระธาตุเเล้ว..........

เเละคราวนั้นเองผมก็ขอบูชาหลวงพ่อทวดหน้าตัก19นิ้วจากท่านเเละหลังจากนั้นผมก็กราบมาเรื่อยๆ......

พูดถึงเรื่องวัตถุเเล้วหลวงตาเองท่านให้หมดถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสมท่านเองให้ผมไว้มากทีเดียวเเละผมเเจกไปเเล้วนับไม่ถ้วนเหมือนกัน

คนไม่รู้นึกว่าหลวงตาเป็นพระเกจิ(เน้นเสกพระ)จริงๆเเล้วท่านเองเป็นพระที่ปฏิบัติเเม้ผมเองเเม้จะไม่ได้เป็นศิษย์เอกศิษย์วงในหรือใกล้ชิดท่านมากก็ตามเเต่ที่ได้อยู่กับท่านคราวไปฝึกงานที่เชียงใหม่ ทำให้รู้ว่ายามว่างท่านภาวนาเเละพอมีเเขกท่านก็รับเเขกท่านไม่เคยว่าใครให้เจ็บช้ำน้ำใจท่านจะเตือนสำหรับคนที่เตือนได้สิ่งที่หลวงตาไม่พูดไม่ใช่ท่านไม่รู้

ตอนที่ไปอยู่กับหลวงตาที่ถ้ำที่กุฏิท่านคราวละสองสามวันเดือนมกราคมของปีหนึ่งทำให้ผมรู้ว่าหลวงตาท่านตื่นตั้งเเต่ตีสี่ขึ้นมานั่งภาวนาเเละมาเเกะพระปูนที่ท่านเทไปเมื่อเย็นของเมื่อวานเเล้วนำไปเเช่น้ำมนต์หลวงปู่เเล้วท่านก็เทพระปูนเองเเละจารพระด้านหลังเองยกเว้นเเต่มีศิษย์มาช่วยจารเท่านั้นเองท่านทำพระปูนของท่านเองทุกวันเเละที่ผมเห็นคือท่านจะนำผงอัฐิเล็กๆผสมกวนในปูนที่เทพระพร้อมเกสาของหลวงปู่ดู่ใส่ไว้ทุกครั้ง

มีหลายคนบอกว่าอดีตหลวงตาเคยเกิดเป็นพระเจ้า....พระยา..หลวงพ่อ...หลวงปู่....ผมมิอาจบอกได้ว่าหลวงตาท่านเป็นใครในอดีตเเต่ทุกวันนี้ผมพอใจเเละรักในความเป็นหลวงตาผมรู้จักเเละที่เเน่นอนหลวงตาเป็นอีกหนึ่งพระในดวงใจของผมตลอดไป.......

หลวงตาเองท่านเกิดที่จังหวัดสกลนครท่านเองเคยเล่าว่าสมัยเด็กๆได้ไปงานศพหลวงปู่มั่น ที่สกลนครด้วยท่านบอกว่างานใหญ่ท่านบอกว่าท่านเองมาหาหลวงพ่อดู่ประมาณปี2519ใกล้ๆกับคุณป้าปราณี เเละท่านเองบวชในหรือบวชใจกับหลวงปู่ดู่หลายปีจนกระทั่งปี2531ท่านได้บวชกับหลวงพ่อหวล วัดพุทไธสวรรค์ อยุธยา เเละเมื่อมาเชียงใหม่ท่านหลวงตาได้เปลี่ยนญัติมาเป็นธรรมยุติกับหลวงปู่จัน กุศโล วัดเจดีย์หลวง เเละท่านธุดงค์ไปเชียงใหม่พบถ้ำเมืองนะ

โดยหลวงปู่ดู่ท่านบอกเองด้วยตัวท่านว่าถ้ำเมืองนะนี้พระนเรศวรมาสวรรคตเเละตัวหลวงปู่ดู่ท่านบอกศิษย์ใกล้ชิดอีกด้วยว่า พวกเอ็งอย่าไปบอกใครนะ ที่นั้นข้าครอบ...... นับแต่ไปถึงถ้ำเมืองนะหลวงตาท่านท่านเองพัฒนาถ้ำพร้อมเผยเเพร่การสวดมนต์บทจักรพรรดิ์และการปฎิบัติธรรมนั่งสมาธิภาวนามาอย่างยาวนาน

หลวงตาเองท่านต้อนรับศิษย์เหมือนกันหมดท่านเมตตาไม่เลือกยากดีมีจน ท่านเองบอกว่าท่านตามหลวงพ่อดู่ท่านบอกว่า เจอหลวงปู่ดู่เเล้วทำให้ท่าน รู้ว่าพระมีบารมีอย่างนี้หายากท่านเลยปรารถนาตามหลวงปู่

หลวงตาเองท่านเมตตาศิษย์มากใครนิมนต์ไกลเเค่ไหนทุกภาคท่านไปหมดถ้ากิจนั้นเป็นไปเพื่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หลวงตาท่านไม่มีเลขา หรือทศกัณฑ์คอยกีดกันเหมือนพระดังอื่นๆ ศิษย์ใหม่ศิษย์เก่าเข้าถึงหมด

เคยมีคนเอารูปหลวงตาไปให้ครูบาชัยวงศาดูท่านบอกว่า....พระรูปนี้อีกหน่อยจะเป็นตัวเเทนของอาจารย์เขามีพระสุปฏิปัณโณหลายรูปชื่นชมในปฏิปทาหลวงตาเป็นอันมาก......เเต่เหนือสิ่งอื่นใดขอให้ทุกคนรู้ว่า เราทุกคนคือศิษย์หลวงปู่หลวงตา

ที่มา: บทความของคุณคนวังหน้า

14


อานิสงส์และประโยชน์ของการสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ
............................................................................
ประโยชน์ของการสวดมนต์ (พระคาถามหาจักรพรรดิ)

(ถอดมาจากคลิบบรรยายของหลวงตาม้า “ตอน 49 ประโยชน์ของการสวดมนต์ โดย หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ” เพื่อให้สาธุชนผู้สนใจในการสวดมนต์บทพระมหาจักรพรรดิ ได้อ่านและได้ทราบถึงอานิสงส์และประโยชน์ โดยทั่วกัน)

..ผลมันเกิดที่ใจมันออกที่ธาตุ ทรงอารมณ์ให้ดี ท่านใช้เวลาปีเดียวหน้าตาจะผ่องใส เพราะอารมณ์ดี โรคที่ใหนจะไปกิน โรคที่กินคือโรคเป็นทุกข์ ถ้าจิตใจมีความสุข กระแสสุขสวดไปนี้นะท่านว่า จะเอาอายุกี่ปีก็ได้ท่านว่า อธิษฐานเอา ไปที่ใหนเป็นประโยชน์ไม่ใช่ไปแล้วเป็นโทษ ชีวิตนี้มันสั้นไม่ใช่ยาวอะไร

ท่านบอกถ้าสร้างบารมี พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ถ้าเกิดร้อยปีท่านเกิดถี่ บางชาติต้องใช้ขันติอย่างมากเลยท่านว่า เอ็งลองดูชาตินี้ข้าอายุยี่สิบสาม ยี่สิบสี่ ยี่สิบห้า ข้าอธิษฐานอยู่กุฏิอยู่วัด ไม่ลงไม่ไปไหนตลอดชีวิต ข้านั่งอยู่อย่างนี้ ห้าสิบหกสิบปี (สมัยก่อนอยู่กับท่านท่านนั่งมาห้าสิบกว่าปีแล้ว) ทำอะไรมันต้องอดทนท่านว่า

บุญมันได้ทุกลมหายใจเข้าออก ไอ้ที่มันช้าๆกันเพราะมันไม่เข้าใจ มันไปทำกรรมฐานแบบบังคับตัวเอง มันไม่ได้ทำใจให้สบาย ถ้าเอ็งเดือดร้อนจิตวุ่นวาย เอ็งนั่งอย่างไงงง..มันก็ไม่สงบท่านว่า ถ้าอารมณ์เอ็งดีนั่งไปซิ แป๊บเดียวก็สงบนิ่ง เหมือนนอนกลางคืนถ้าอารมณ์ไม่ดี คิดโน่นคิดนี่มันก็ไม่หลับเป็นทุกข์ ก่ายหน้าผากก็แล้วมันนอนไม่หลับ เพราะมันคิดโน่นคิดนี่ บทสวดมีประโยชน์ท่านว่า สวดให้หลับ มีประโยชน์อย่างไร

พอสวดหลับไปไม่นาน ในความฝันมันไม่มีทุกข์ มันไปฟังพระเทศน์บ้าง ไปสวดส่งวิญญาณบ้าง ไปทำบุญมั่ง ฝันเห็นพระมั่ง ฝันเห็นวัดมั่ง ฝันดีๆทั้งนั้น ไม่มีหรอกที่ฝันร้ายๆเหมือนก่อน นี่คือกลางคืน พอตื่นขึ้นก็สวดอีกถ้าไม่ลุก ตอนกลางวันอีก กระแสของพุทธ ธรรมะ สังฆะ กระแสจักรพรรดิมันอยู่ในโลกนี้ท่านว่า กระแสจิตเราอยู่ในกระแสความดีท่านว่า มันเป็นสายใยอยู่ท่านว่า ไปที่ใหนเราก็ปลอดภัย โรคกรรมก็จะไม่เกิด เพราะกระแสมันอยู่ที่พลังงานพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ

บทนี่มันเป็นบทบุญฤทธิและอิทธิฤทธิท่านว่า ลองคิดดูนะ ถ้ากระแสสวดไปเรื่อยๆ กระแสกรรมจะเข้าได้ที่ใหน เทวดาแถวๆบ้านเราที่เราอยู่ เขาก็ได้ประโยชน์จากเรา ได้ความสุขจากเรา คิดดูซิว่า เขาจะทำอะไรเขาจะดูแลเรามั้ย มีใครจะทำอันตรายเราได้มั้ย ไม่มี คนที่จะมาคิดทำอันตรายเรายังมีอันเป็นไปเลย อย่าว่าแต่ทำเลย นี่คือประโยชน์ ที่พูดนี่เป็นประโยชน์ส่วนน้อยนะ

ประโยชน์มากที่สุดทิพย์อำนาจ อำนาจแห่งความเป็นทิพย์สามารถแยกอาทิสมานกายได้มากมายไม่มีประมาณ บทนี้ไตรสรณคมน์ กับจักรพรรดิท่านว่า เพียงแต่นึกก็จะแยกได้เลยท่านว่า กระแสกายกระแสจิตจะออกมา คนอยู่ใกล้ๆจะมีความรู้สึกเลยท่านว่า ไม่ใช่ไปที่ใหนวงแตกที่นั้นนะ มันจะเป็นพุทธพรหมปัญญโญ เหมือนฉายของท่านนะท่านว่า พุทธ แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พรหมปัญโญ ผู้มีปัญญาอย่างพรหม เอ็งไปแปลเอง ท่านว่า

นี้คือประโยชน์ เอ็งจะไม่เกิดมันง่าย ต้องให้จิตมีบุญ จิตมีความสบาย จะสร้างบารมีมันก็ง่าย เอ็งไม่ต้องรีบไปไหน ให้ดูจังหวะ เวลาสถานที่ และโอกาส ให้พิจารณา เมื่อก่อนท่านสอน ท่านสอนเยอะนะ บางวันก็จำไม่ได้ บางวันก็จำได้ นี่คือประโยชน์ในการสวดมนต์นะ บางคนก็ไม่เข้าใจการสวดมนต์ ว่าสวดไปทำไม ไม่เข้าใจ สวดมนต์นี่สมัยก่อน ตื่นขึ้นก็สวดมนต์แล้วแล้ว คนมาว่าเราก็ไม่ได้ยินนะ มัวแต่สวดมนต์อยู่ มันไม่ได้ยิน มันเลยไปไม่ได้ยิน มันแว่วๆ ไม่ได้ยิน นี่คือประโยชน์

อยู่ว่างๆให้สวดมนต์ท่านว่า มัวแต่ไปคุยกัน รู้หรือเปล่าคุยกันบางอย่าง มันไม่ได้เรื่องได้ราว ถ้าคุยธรรมะก็พอว่า เดี่ยวเลยไปทางโลกมั่ง เลยอะไรไปมันมั่วไปหมด มันไม่มีประโยชน์ ยิ่งมาอยู่ที่วัดมันไม่ต้องทำงานอะไรสบายเลย บุญล้วนๆเลย ตื่นขึ้นก็ได้แล้ว จนกว่าจะหลับ ถ้าทำอย่างหลวงตาว่า อย่างหลวงพ่อท่านว่า แป๊บเดียวท่านบอก ไม่นาน พอจะเข้าใจเรื่องพลังงานงาน

พลังงานไม่ได้สูญหายไปจากโลกท่านว่า สิ่งที่เรากระทำสิ่งที่เราพูด กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มันเป็นลูกอยู่ท่านว่า มันเป็นพลังงานอยู่ มันก็ไปตามจิต ภาพอยู่ที่ตรงที่กระทำ จิตก็นึกได้อยู่ คือกระแสของความจำ จำภาพที่ตัวเองทำ ทุกคนจำได้ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน มันจะเรื่อยๆไปอนาคต มีประโยชน์มาก ถ้าใครจะสวดก็สวด ที่นี่ไม่มีข้อวัตรนะ ไม่เคยบอกว่าต้องมาสวดนะ ใครจะสวดก็สวด ใครไม่สวดก็ไม่ว่าอะไร ถ้าไม่เข้าใจก็มาถามได้ว่า สวดไปทำไม

อยากให้สวดดูว่าสักสิบปีนี้ ว่าจิตจะมีอำนาจตามที่พูดมั้ย มันจะมีทิพยอำนาจมั้ย อำนาจทางจิตหนะ อำนาจของความเป็นทิพย์ จิตมันเป็นทิพย์ แต่ต้องอาศัยธาตุกับจิตสะสมพลังงาน ธาตุมันสะสมไม่ได้ท่านบอก มันสะสมที่จิต แต่ต้องอาศัยธาตุตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ตายแล้วทำไม่ได้เพราะไม่มีธาตุ เพราะงั้นภพภูมิเขาเวลาเราอธิษฐานไว้นี้นะ เขาจ้องไว้ตลอดเวลา เราทำอะไรนึกอะไรเขาจะมาโมทนาหมด กระแสเขามารับทันที

ประโยชน์มากถ้าทำได้ก็โมทนาสาธุ ดีกว่าหายใจทิ้ง บางวันคิดไม่ได้เรื่องได้ราว เผลอๆทำไม่ได้เรื่องได้ราว จริงๆแล้วฝึก 5 ปีนี้รู้เลยนะ นั่งอยู่ใกล้ๆใครนี้รู้เลยนะ ถ้าฝึกจริงๆนะ ใช้เวลา 5 ปี ถ้านั่งไกลเขาจะรับกระแสได้เลย นั่งใกล้ๆรับกระแสได้ทันที ถ้าเราสัพเพไปแล้วเรานึกไปเขาจะรับกระแสได้ทันทีเลย มีประโยชน์มาก... เอาละสัพเพ....

Link ศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติม

คาถาจักรพรรดิ
http://goo.gl/rLIYQ

ประวัติหลวงปู่ดู่
http://goo.gl/oABF7

ย้อนรอยคาถาจักรพรรดิ
http://goo.gl/8PElP

ศึกษาการนำไปใช้เพื่อการปฎิบัติ
http://www.watthummuangna.com/home/practice/

15


กรรมนักเรี่ยไรจอมปลอม
(โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

ต่อไปสัตว์นรกที่ถูกนายนิรยาบาลทำโทษด้วยอาวุธเพลิงแล้วก็ตกไปในกองถ่านเพลิงจมอยู่ในกองถ่านเพลิงนั้นแค่เอว แล้วนายนิรยบาลก็เอากระเช้าเหล็กใหญ่ตักถ่านเพลิงโปรยลงไปบนหัวสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้น

ท่านกล่าวถึงกรรมสัตว์พวกนี้ว่า เมื่อเป็นมนุษย์เที่ยวเรี่ยไรทรัพย์ชาวบ้านบอกว่าจะเอาไปสร้างปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุวัดวาอาราม สถานที่อยฺู่ที่สาธารณะ แต่เอาทรัพย์ทั้งหลายเหล่านั้นมาใช้ส่วนตัว และไม่แสดงรายรับรายจ่ายให้บรรดาประชาชนทราบ จึงได้รับกรรมเช่นนี้

นี่นักเรี่ยไรทั้งหลาย อ่านแล้วจำไว้ด้วยนะ เวลานี้เยอะลูกหลานที่รัก แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความถึงคนที่เขาบอกบุญในขอบเขตของเขานะ ก็เป็นอันว่าพวกเรี่ยไรต่าง ๆ ทายกทายิกา สมภารวัดต่าง ๆพระต่าง ๆ นี่ตกนรกเรื่องนี้เยอะ ลูกหลานที่รักหลวงปู่บอกแล้ว เวลานั้นนะพระตกนรกกันไม่น้อยหรอก ถ้าบวชแล้วก็ไม่อยากเป็นพระ อยากเป็นเศรษฐีบ้าง อยากเป็นขุนนางบ้าง อยากอะไรก็ตามเถอะ ปล่อย

ที่มา:คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๓๗ หน้า ๘๐

หน้า: [1] 2 3 ... 16