เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Webmaster

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 27
31


การปฏิบัติธรรมนั้นมิใช่การปฏิบัติเพื่อได้อะไร
มันเป็นไปเพื่อความออกจากทุกข์ใจต่างหาก

...สมาธิหรือจิตสงบนั้น สามารถที่จะทำได้ 2 อย่าง คือทั้งในอิริยาบถนิ่ง และอิริยาบถเคลื่อนไหวและทำได้ในทุกท่า โดยไม่จำกัดท่าใดๆ ด้วยเพราะใช้ใจทำ ใช้กายเป็นสถานที่ทำ คือใช้ใจจับดูกายเท่านั้น กายจะอยู่ท่าไหนก็ได้ เพียงแต่ให้พยายามสนใจดูตัวเองว่า ปัจจุบันนี้เดี๋ยวนี้ขณะนี้ กายเรา กำลังทำอะไรอยู่ ก็กำหนดย้ำความรู้สึกนั้นลงไปอีกทีว่า กำลังทำอะไรอยู่ ข้อสำคัญให้ย้ำความรู้สึกอีกครั้งซ้ำลงไปเรียก..ว่ารู้ในรู้...หรือสติสัมปชัญญะก็คือตัวนี้แหละ มันจะเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ตามปัจจุบันขณะนั้นอยู่เสมอ คือให้ใจรู้กาย หากจิตนั้นตั้งมั่น รู้อยู่ภายในการในใจอันเป็นปัจจุบันที่รู้จริงๆ แล้วจิตจะเกิดความสงบ ปกติ โปร่ง ว่าง เบาสบาย พอกำลังสติมันเต็มรอบ มันจะเกิดปัญญาอันเป็นความรู้แจ้ง คือตื่นและอิสระเบิกบานในสิ่งที่รู้นั้นทันทีมันจะเกิดปัญญาแห่งธาตุรู้ ที่จะรู้ว่าเหตุทุกข์แท้ๆ นั้นเกิดตรงไหน เกิดจากอะไร ทำไมมันถึงเกิดแก้อย่างไร ควรจะทำอย่างไรจึงจะดับทุกข์ได้สิ้น มันจะบอกเองหมดจากภายในจิตใจของใครของมันอีกที มันจะเป็นทั้งผู้สอนผู้เรียนและผู้ตัดสินต่อผลนั้นทั้งหมด แปลกจริงๆ เรียนเอง สอนเอง รู้เองมันเป็นการรู้จากภายในสู่ภายนอก เป็นรู้จริง รู้แท้ ที่ได้พบเห็น ได้สัมผัสถึงจริงๆ ด้วยการกระทำของตนเอง ธรรมแท้เป็นเรื่องตัวเองต้องพึ่งตนเองจริงๆ การดับทุกข์ทางใจ ด้วยปัญญาจากใจภายในของตนจริงๆ อันเกิดจากกระทำที่ถึงจุดของมันเท่านั้นจึงจะดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง ดับสนิทจริงๆ ไม่มีส่วนเหลือ

หลวงตาพูดเสมอว่า...การปฏิบัติธรรมนั้นมิใช่การปฏิบัติเพื่อได้อะไรมันเป็นไปเพื่อความออกจากทุกข์ใจต่างหาก เป็นเรื่องตนเห็นจิตตนซึ่งภาษาธรรมเรียกว่า "ปัจจัตตัง"

1.อยู่กับกิเลสได้โดยใจไม่เป็นทาสของกิเลส
2.อยู่กับทุกข์กาย โดยไม่ทุกข์ใจ
3.อยู่กับงานวุ่นโดยใจไม่วุ่น
4.อยู่กับการรีบด้วยใจสบาย
5.อยู่กับความสมหวังและความผิดหวังได้โดยใจไม่ทุกข์อีกต่อไป
6.อยู่กับโลกได้ด้วยใจเป็นธรรม กายส่วนกายใจส่วนใจแต่อาศัยกันอยู่เท่านั้นเอง
7.อยู่กับหน้าที่โดยไม่ยึดหน้าที่ เพียงแต่จะทำหน้าที่นั้น ให้ดีที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้ในขณะปัจจุบันนั้นเท่านั้นเอง ที่ทำไม่ได้ก็ปล่อยไป

. . .

เรียบเรียงจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร
(หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ
(วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

32


เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๘ (หลวงปู่ดู่ มรณภาพล่วงไปแล้ว ๑๕ ปี) เป็นเรื่องที่ช่วยให้เห็นถึงความเมตตาของครูบาอาจารย์ รวมทั้งยืนยันว่าท่านสามารถช่วยเหลือลูกศิษย์ได้แม้ท่านจะละสังขารไปแล้วก็ ตาม น่าเสียดายที่ไม่อาจติดตามสอบถามชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยากจะนำมาเรียบเรียงบันทึกไว้เล่าสู่กันฟัง

เหตุการณ์ นี้เริ่มต้นที่ลูกศิษย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่ขับรถยนต์ไปชนเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง จนบาดเจ็บอาการสาหัสมาก เป็นตายเท่ากัน ลูกศิษย์ผู้นี้ก็กลุ้มใจมาก เพราะเกิดมาไม่ประสงค์จะทำบาปทำกรรมกับใคร อีกทั้งไม่อยากมีบาปกรรมอันเกิดจากปาณาติบาต เขาจึงมาบนหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก ร้องขอให้ท่านช่วยเหลือให้เด็กหนุ่มผู้นี้อย่าให้ถึงขั้นต้องเสียชีวิตเลย

เด็ก หนุ่มนั้น ครั้งแรกก็เข้ารับการรักษาที่ห้อง ICU โรงพยาบาลในอยุธยา แต่เมื่อหมอเอาไม่อยู่ จึงถูกส่งเข้ารักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ภายหลังจู่ ๆ อาการกลับฟื้นดีขึ้นอย่างอัศจรรย์ แล้วก็ได้มีโอกาสตามเพื่อนมาทำบุญที่วัดสะแก โดยที่ไม่รู้จักหลวงปู่มาก่อน

เด็ก หนุ่มผู้นี้ มาทำบุญถวายสังฆทานที่กุฏิพระสายหยุด ครั้นเมื่อท่านได้ฟังเรื่องราวของชายผู้นี้แล้ว จึงสามารถปะติดปะต่อและเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้เป็นอย่างดี เพราะท่านเองก็ได้ยินเรื่องราวทางฝั่งลูกศิษย์หลวงปู่ผู้ที่เป็นคนขับรถยนต์ ชนเด็กหนุ่มผู้นี้มาก่อนหน้านี้แล้ว

เด็กหนุ่มผู้นี้ เมื่อถวายสังฆทานเสร็จก็เหลือบเห็นรูปหลวงปู่ดู่ ที่ผนังกุฏิของพระสายหยุด เขาตกใจตื่นเต้นอุทานว่าหลวงปู่องค์นี้แหล่ะที่ช่วยชีวิตเขาไว้ หลวงปู่องค์นี้เป็นคนพาดวงวิญญาณของเขากลับเข้าร่าง

เขาเล่าว่าภาย หลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ไม่นาน เขาก็เสียชีวิต แต่ขณะที่วิญญาณของเขาออกจากร่างมา ก็มีผู้ชายนุ่งจูงกระเบนด้วยผ้าสีแดง จะมาเอาตัวเขาไป ทันใดก็มีหลวงปู่องค์หนึ่งมาขวางไว้ หลวงปู่ถามเขาว่ารู้จักชายที่นุ่งจูงกระเบนผู้นั้นไหม เขาตอบว่าไม่รู้จัก แล้วก็บอกว่าหลวงปู่ช่วยด้วย ๆ หลวงปู่ทำท่าโบกมือไล่ครั้งเดียว ชายผู้นั้นก็หายไป

หลวงปู่ถามเขาอีกว่า ไหนล่ะร่างแก เขาพยายามมอง แต่ก็จำไม่ได้ว่าอยู่เตียงไหน หลวงปู่จึงพาเขาไปดูที่เตียงๆ หนึ่ง แล้วถามว่า นั่นใช่แกไหมล่ะ เขาเห็นแล้วก็จำได้ กราบเรียนท่านว่า ใช่ครับ จากนั้นท่านก็พาเขาเข้ายังร่างที่นอนหมดลมอยู่บนเตียง หลังจากฟื้นขึ้นมา เขาก็อาการดีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าเขาต้องสูญเสียขาไปข้างหนึ่ง พอกลับมาบ้านก็มีเพื่อนพามาทำบุญที่วัดสะแก จึงได้มารู้ว่าที่แท้หลวงปู่องค์ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ก็คือหลวงปู่ดู่ วัดสะแก นั่นเอง

ด้วยพลังเมตตาบารมีของหลวงปู่ที่แม้ท่านจะละสังขารไปแล้ว แต่ก็ยังคงรับทราบและช่วยปัดเป่าความทุกข์ของบรรดาลูกศิษย์และสัตว์โลกที่ ประสบทุกข์ทั้งหลาย



33


เรื่องราวที่เกี่ยวกับหลวงปู่ดู่ ที่หลวงตาม้าเคยเล่าไว้ ขอยกมาบางเรื่อง

"หลวงพ่อดู่ท่านเป็นพระที่ยิ้ม หน้าตาผ่องใส ท่านไม่เคยว่าใครเลยนะ เราเห็นก็ยังเข้าใจว่าท่านเป็น พระอรหันต์ หลายๆคนก็เข้าใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านบอกหลวงตาว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่ท่านเป็นอย่างนี้เพราะบารมีท่านเยอะ"

หลวงตาย้อนเล่าถึงสมัยฝึกอยู่กับหลวงปู่ดู่ว่า "ตอนฝึกกับ หลวงพ่อ(ดู่) ท่านก็ให้พระมา เราก็เอามานั่งกำแล้ว สวดไตรสรณคมณ์ ในใจ ใจก็อยู่ที่พระในมือและคำสวด อยู่อย่างนั้นแหละ หลวงพ่อ(ดู่) ท่านบอกว่า วิธีนี้เร็ว เรา 50% พระ 50%ไง"

หลวงพ่อดู่ ท่านเคยกล่าวถึงครูบาอาจารย์ที่เด่นด้าน คาถาอาคมท่านต่างๆให้ หลวงตาม้า ฟัง แต่ละท่านล้วนเก่งกาจชนิดที่เรียกว่าหาตัวจับยาก หลวงตาม้าท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนเคยไปศึกษาตำราของคาถาอาคมอยู่เหมือนกัน คาถาบางคาถายาวเป็นหน้าเลย

หลวงพ่อดู่ ท่านเคยพูดกับ หลวงตาม้า ได้ใจความว่า สวดสั้นๆก็พอ ไม่ต้องไปสวดยาวหรอก (เช่น ไตรสรณคมณ์, จักรพรรดิ) ไม่ต้องไปเรียนหรอกคาถาอาคมน่ะ มาเอาพระรัตนตรัยดีกว่า

หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวไว้ได้ใจความว่า "พระพระรัตนตรัยมีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม มีครบหมด!"

หลวงตาม้า ท่านเล่าต่อให้ฟังได้ใจความว่า สมัยนั้นมีเด็กคนนึงเป็นนักศึกษา มักจะมีเรื่องประจำ ถูกเขาตีเขาต่อยประจำ หลวงพ่อดู่ให้มานั่งสมาธิ ภาวนาไตรสรณคมณ์ พอเห็นแสงปุ๊ป ท่านให้อธิษฐานขอ เหนียวๆๆๆๆ (หมายถึงฟันแทงไม่เข้า) "ทีนี้พอเด็กคนนั้นไปมีเรื่อง มันก็ไม่เป็นอะไรเลยนะ ได้ผลจริง(หัวเราะ)" หลวงตาม้ากล่าว

สมัยนั้นตอนหลวงปู่ดู่ท่านยังไม่ละสังขาร หลังออกพรรษา หลวงตาม้าก็มากราบลาหลวงปู่ที่กุฎิเพื่อออกธุดงค์ หลวงปู่ดู่ท่านได้เทศสอนหลวงตาในการเตรียมตัวจากนั้นหลวงปู่จึงมอบเงินให้หลวงตาไว้ ๕oo บาท รวมทั้งของใช้จำเป็นต่างๆ และได้หันไปหยิบ “รูปหล่อหลวงปู่ดู่เนื้อปูน” มาให้ ๑ องค์ แล้วบอกหลวงตาว่า “เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย... หากสงสัยอะไรในการปฏิบัติให้แกถามเอาจากพระองค์นี้” เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความเมตตาและความเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันของหลวงปู่ที่มีต่อหลวงตาได้เป็นอย่างดี และยังแสดงให้เห็นถึงความเมตตาอันไม่มีประมาณของหลวงปู่ดู่ด้วย

ครั้งหนึ่งเล่าถึง วิญญาณที่ติดภพภูมิ วิญญาณเร่ร่อน วิญญาณสัมพเวสี หลวงตาม้า ท่านได้เมตตากล่าวให้ฟังได้ใจความว่า หลวงพ่อดู่ ท่านเรียกพวกวิญญาณที่ติดภพติดภูมิ หรือวิญญาณเร่ร่อนพวกนี้ว่า ขยะวิญญาณ หมายถึงพวกที่ไม่มีประโยชน์ ท่านสอนให้ช่วยเหลือพวกนี้ โดยเอาบุญ หลวงพ่อ(ดู่) ไปช่วยเหลือ บางทีพวกนี้ก็ส่งผลกระทบต่อมนุษย์เหมือนกัน "อย่างตลาดสดนี่ เห็นไหมว่ามีคนทะเลาะกันเป็นประจำ วิญญาณอยู่เยอะไง ฆ่าทุกวัน ฆ่าสัตว์ทุกวัน พลังงานมันไม่ดี" หลวงตาม้ากล่าว

หลวงปู่ดู่ ท่านเคยบอกลูกศิษย์ไว้ว่า "เวลาไปไหน ให้ส่งวิญญาณ ปรับภพภูมิ ถ้าเอ็งแผ่เองไม่ได้ให้นึกถึงข้านี่ ข้าแผ่ให้เอ็งได้ !"

เรื่องการแผ่บุญปรับภพภูมินี้ เมื่อเขาได้ัรับบุญไป ถ้าหากเขาเปลี่ยนไปอยู่ในภพภูมิที่ดีหรือมีกำลัง เขาก็จะต้องมาช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวได้ใจความว่า คุยกับมนุษย์นี่มันลำบาก คุยกับวิญญาณง่ายกว่า เราสวดมนต์ รักษาศีลให้เขาก็พอแล้ว ไปไหนเรามีผีมีเทวดาเป็นเพื่อนไม่ต้องกลัวอะไร เผลอๆให้โชคให้ลาภเราเสียด้วย(หัวเราะ)

หลวงตาม้า ท่านเล่าให้ฟังถึงหลักสูตรการปฏิบัติธรรมตามแนวของหลวงพ่อดู่ว่า การปฏิบัติธรรมแบบ หลวงพ่อ(ดู่) นี่เป็นการปฏิบัติธรรมโดยไม่หวังผลตอบแทน อย่างถ้าเราไปแผ่บุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของใครบางคนที่เดินผ่านเราไปนี่ เราจะไปบอกมันได้ไหมว่า "เฮ้ย ข้าส่งวิญญาณให้เอ็งนะเว้ย (หัวเราะ)" มันพูดไม่ได้นะ ขืนพูดไป ดีไม่ดีมันจะมาไล่เตะเราด้วย !

หลวงตาม้า ท่านเล่าให้ฟังว่า มันต้องมีความพอใจ อย่างหลวงตาเนี่ย พอใจที่จะศรัทธา หลวงพ่อดู่ ใครจะว่าอะไรก็ช่าง หลวงตาก็ยังเชื่อ หลวงพ่อดู่ จากนั้นก็ต้องมี ความเพียร เพียรสวด เพียรภาวนา ไง จากนั้นก็ต้องมีใจจดจ่อ อย่างหลวงตาเนี่ย จดจ่ออยู่กับพลังงานของหลวงพ่อดู่ อย่างเดียว แค่นี้แหละ "ถ้าทำได้อย่างนี้เอาพลังงานหลวงพ่อดู่ไปใช้ได้เลย อย่างเราเนี่ย เอาไปแผ่บุญปรับภพภูมิส่งวิญญาณได้อย่างสบายๆเลย"

อีกครั้งหนึ่ง หลวงตาม้า ท่านเคยเล่าให้ฟังได้ใจความว่า "จะจับภาพองค์ไหนก็ได้ พระจักรพรรดิก็ได้ หลวงปู่ทวดก็ได้ หลวงปู่ดู่ก็ได้ จับองค์ใดองค์หนึ่งก็ให้จับองค์นั้นไปเลย อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จับองค์ไหนก็ย้ำอยู่ที่องค์นั้นอย่างเดียว มันถึงจะดี" หลวงตาม้าท่านยังกล่าวอีกว่า "นึกถึงองค์ไหน ก็นึกถึงองค์นั้นไปเลย มันถึงจะเจ๋ง(ยิ้ม)"

มีผู้หญิงท่านหนึ่งมากราบ หลวงตาม้า มาบ่นให้ท่านฟังว่าหาโอกาสมากราบยาก อยากมากราบบ่อยๆ หลวงตาม้าท่านก็ให้โอวาทว่า "ไม่ต้องมาที่ถ้ำหรอก ถ้าเคารพกัน นึกถึงกันจริงๆ อยู่ที่ไหนหลวงตาก็ไปได้" คำพูดนี้เป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่ยังไม่มีโอกาสไปกราบหลวงตาได้เป็นอย่างดี

ยังมีเรื่องราวกล่าวถึง หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ว่าท่านนั้นเป็นพระสุปฏิปัณโณที่ท่านเอาใจใส่กับการสอนลูกศิษย์เป็นอย่างมาก มีคนเคยพูดเอาไว้ว่า

"พระสงฆ์เป็นผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครูบาอาจารย์สูง ถ้าพระท่านเป็นอาจารย์ของใคร พระท่านจะเคี่ยวกรำจนลูกศิษย์ผู้นั้นได้ดี ท่านจะไม่ปล่อยปละละเลยเด็ดขาด"

"เขา มาจากไกล ๆ เป็นร้อยเป็นพันกิโล ถ้าไม่เจอข้า เขาจะผิดหวัง ผู้ที่มาหาข้านี้ล้วนแต่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า ข้าก็จะนั่งคอยอยู่นี้แหละ"

คำพูดนี้แสดงถึงมหาเมตตาบารมีของหลวงปู่ดู่ที่มีต่อมหาชนอย่างมากมายเกินกว่าที่จะกล่าวได้...

ครั้งหนึงหลวงตาม้าท่านพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำได้ใจความว่า

"...ให้ นึกถึงหลวงปู่(ดู่) แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า ขอยกให้หลวงปู่เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้หลวงปู่ช่วยดูแลทั้งทางโลกและทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่ นับตั้งแต่บัดนี้ ไปจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน..."

หลวงตาม้าท่านพูดต่อไปได้ใจความว่า...

"อย่าง ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านผูกพันกับสมเด็จองค์ปฐมเป็นพิเศษก็เพราะท่านเคย อธิษฐานอย่างนี้กับสมเด็จองค์ปฐมเนี่ยแหละ คราวนี้ถึงแม้สมเด็จองค์ปฐมท่านเข้านิพพานไป ท่านก็ยังตามมาดูแลหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้"

และท่านได้อธิบายเพิ่มถึงข้อดีของการถวายตัวกับครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสุปะฐิปันโนได้ใจความว่า...

"ถ้าทำอย่างนี้ ต่อไปเรื่องซวยๆจะไม่ค่อยมีในชีวิต เพราะเราฝากดวงไว้กับหลวงปู่แล้ว"

การ ฝากดวงไว้กับหลวงปู่นี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับลูกลานหลวงปู่ดู่หลวงตาม้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเราฝากตัวเป็นลูกหลานท่านอย่างเต็มตัวแล้ว เราก็ควรจะทำตัวให้สมกับที่เป็นลูกศิษย์ลูกหลานของพระมหาโพธิสัตว์บารมีเต็ม ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเบื้องหน้า

ครั้งหนึ่ง หลวงตาม้าท่านเคยพูดกับบรรดาลูกศิษย์ว่า

"กลับลงไปจากถ้ำแล้ว อย่าไปทำให้เสียชื่อนะ อย่าลืมว่าเทวดาเขารู้จักหลวงตาเยอะนะ กลับลงไปแล้วที่สอนไปก็ให้ทำด้วย เจอกันครั้งหน้าเดี๋ยวก็รู้ว่าใครทำหรือไม่ทำ(หัวเราะ)"

หลวงตาม้าท่านเมตตาย้ำว่า
"รักทุกคน ไว้ใจบางคน ไม่เกลียดใครเลยสักคน นี่คือสูตรของหลวงปู่ดู่"

และหากกล่าวถึงเรื่องราวของหลวงตาม้าหลังจากกราบลาหลวงปู่ดู่เพื่อออกธุดงค์จะทำให้เข้าใจถึงเมตตาบารมีของครูบาอาจารย์มากขึ้น...

หลวงตาม้าท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่และท่านได้อยู่ฝึกกรรมฐานกับหลวงปู่ดู่เป็นเวลานับสิบกว่าปี แต่ก่อนที่หลวงปู่ดู่ท่านจะมรณภาพไปไม่นานนั้น หลวงปู่ดู่ท่านก็ได้สั่งให้หลวงตาม้าท่านออกธุดงค์ขึ้นเหนือเพื่อตามหาถ้ำแห่งหนึงซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับหลวงปู่ดู่

เรื่องราวการออกธุดงค์ตามคำสั่งหลวงปู่ดู่ของหลวงตาม้านั้น เริ่มต้นเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ หลังจากออกพรรษาในปีนั้นหลวงตาก็มากราบลาหลวงปู่เพื่อออกธุดงค์ คืนนั้นไม่มีใครอยู่เลยที่กุฎิหลวงปู่ดู่ มีเพียงหลวงปู่และหลวงตาเท่านั้น หลวงปู่ดู่ท่านได้เทศอบรมหลวงตาในเรื่องต่างๆ จากนั้นหลวงปู่ดู่จึงได้หันไปหยิบ “รูปหล่อหลวงปู่ดู่เนื้อปูน” มาให้หลวงตาม้า ๑ องค์ แล้วบอกหลวงตาว่า

"จำไว้.. เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย..แกไปไหน เหรออยู่ที่ไหน ข้าก็อยู่ด้วย..แกเอาพระองค์นี้ไป หากแกสงสัยอะไรในการปฎิบัติให้แกถามเอากับพระองค์นี้"

หลวงปู่ดู่ท่านยังเมตตาให้เงินติดตัวหลวงตาท่านมาอีก ๕๐๐ บาท พร้อมทั้งของใช้สำหรับสงฆ์ พอตอนเช้าหลวงปู่ดู่ท่านได้ให้พระในวัดสะแก นำปิ่นโตข้าวมาให้หลวงตาเพราะทราบว่าท่านไม่ได้ออกบิณฑบาตร เพราะเตรียมธุดงค์ขึ้นเหนือ ตามคำสั่งหลวงปู่

หลังจากกราบ ลาหลวงปู่ดู่แล้ว หลวงตาได้เดินทางโดยรถไฟไปยังเชียงใหม่ แล้วเริ่มออกธุดงค์กำหนดจิตตามหาสถานที่ที่มีกระแสพลังงานเกี่ยวเนื่องกับ หลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ หลวงตาม้าท่านได้ธุดงค์รอนแรมอยู่เป็นเวลานาน ท่านได้ธุดงค์แวะภาวนาตามถ้ำต่างๆเรื่อยไปในส่วนเรื่องราวการธุดงค์ของท่านหลวงตาม้านี้สนุกและพิศดารมากแต่คงนำมาเล่าได้ไม่หมดในบทความนี้ อยู่มาวันหนึงท่านได้มาพักอยู่ที่พระธาตุจอมแจ้ง หรือพระธาตุจอมกิตติ พอท่านมาถึงท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานกลางแจ้งเลยว่า ท่านอยากจะหาสถานที่ที่สงบท่านต้องการจะเก็บตัว พอเช้าวันรุ่งขึ้นมีผู้เฒ่าชราผู้หนึงมาบอกท่านว่าที่เมืองนะ มีถ้ำน่าอยู่แห่งหนึง ท่านบอกว่าถ้าไม่เจอะผู้เฒ่าผู้นี้ท่านคงไปอยู่ที่พระบาท ๔ รอยแทน

เมื่อธุดงค์มาถึงเมืองนะ ในช่วงแรกหลวงตาได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำฮก ซึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า “ที่ถ้ำฮกจะมีงูอยู่ตัวหนึ่ง ตัวสีเขียวเหลือบแดง แล้วมีหงอนด้วย ก็คือพญานาคนั่นหล่ะ เค้าจะมาขดตัวอยู่ใกล้ๆกับกลดที่เราปฏิบัติธรรมทุกวัน แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ต่างคนต่างอยู่” โดยหลวงตาได้อยู่ปฏิบัติ ธรรมที่ถ้ำนี้ประมาณ ๑ เดือน แต่เนื่องจากถ้ำฮกเป็นถ้ำลึกที่มีทางน้ำใต้ดินไหลผ่าน ทำให้ถ้ำมีความชื้นมาก ไม่สะดวกต่อการอยู่ปฏิบัติธรรมนัก ท่านจึงได้ออกธุดงค์หาถ้ำอื่นต่อไป

หลังออกจากถ้ำฮก หลวงตาได้ธุดงค์ตามกระแสพลังงานของหลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ จนได้พบกับถ้ำเมืองนะซึ่งในสมัยนั้นมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมจนมองไม่เห็นปากถ้ำ แต่เมื่อแหวกต้นไม้เข้าไปกลับพบว่าในถ้ำซึ่งเป็นถ้ำร้างนั้นกลับ สะอาดสะอ้าน มากเหมือนมีใครมาปัดกวาดเช็ดถูอยู่ทุกวัน ท่านจึงได้กำหนดจิตดูก็พบว่าใต้ ถ้ำแห่งนี้เป็นเมืองบาดาล และมีพญานาคอยู่เป็นจำนวนมากคอยเฝ้ารักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งที่ เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่เอาไว้ ท่านจึงตัดสินใจอยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำเมืองนะแห่งนี้เรื่อยมา และได้ส่งข่าวมาทางหลวงปู่ดู่

หลังจากหลวงตาม้าท่านจำพรรษา ที่ถ้ำเมืองนะได้ไม่นาน ก็มีลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ตามขึ้นมาหาหลวงตาและเล่าให้ท่านฟังว่า หลวง ปู่เล่าให้เขาฟังหมดทุกอย่างว่าหลวงตาจะไปอยู่ที่ถ้ำไหน ลักษณะของถ้ำเป็นอย่างไร ทั้งที่หลวงปู่ดู่ไม่เคยมาที่ถ้ำแห่งนี้ และไม่เคยออกจากกุฏิของท่านที่อยุธยาเลย และในเวลาต่อมา หลวงปู่ดู่ยังได้เมตตาอธิษฐานจิตพระหน้าตัก ๑๙ นิ้วองค์หนึ่งให้ลูกศิษย์นำขึ้นมามอบให้หลวงตาประดิษฐานไว้ในถ้ำเมืองนะแห่ง นี้อีกด้วย

นอกจากถ้ำเมืองนะจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวเนื่อง กับหลวงปู่ดู่แล้ว ถ้ำนี้ยังมีความเกี่ยวพันกับหลวงตาเป็นอย่างมาก โดยหลวงตาเล่าว่า บริเวณกุฏิของท่านในปัจจุบันนี้ ตอนที่พบครั้งแรกท่านรู้สึกคุ้นเคยมาก รู้สึกว่ายังไงต้องเอาตรงนี้เป็นที่พักให้ได้ ท่านจึงได้กำหนดจิตดูก็พบว่า ที่ตรงนี้เคยเป็นวัดมาก่อนตั้งแต่สมัยอยุธยา และบริเวณนี้เป็นที่ ที่ท่านซึ่งเป็นพระในสมัยนั้นเคยอยู่จำพรรษามาก่อน โดยท่านได้พบหลักฐานเป็นบาตรดินเก่าที่แตกหัก ซึ่งเป็นบาตรเก่าของท่านตั้งแต่สมัยนั้นอยู่ในบริเวณนี้ด้วย

ขณะที่ปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำ เมืองนะ หลวงตาได้เจอกับภพภูมิต่างๆที่อาศัยกันอยู่ในบริเวณนี้บ่อยครั้ง โดยท่านเล่าให้ฟังว่า “เคยเห็นเทวดาใส่ชฎามายืนอยู่หน้าถ้ำ เราเห็นแต่ก็ไม่ได้สนใจ เขาเห็นเราไม่สนใจก็เลยบอกว่า ‘ตุ๊นี่หยิ่งจริง วันหลังไม่มาดีกว่า!’ หลังจากนั้นลองเรียกเขายังไง เขาก็ไม่ยอมปรากฏตัวมาหาอีกเลย... หรือบางครั้งนั่งพักอยู่ในถ้ำ ก็เห็นเหมือนคนเดินผ่านหน้าไป แล้วก็เดินหายเข้าไปในผนังถ้ำต่อหน้าต่อตาเลยก็มี แต่เราก็เฉยๆไม่ได้สนใจอะไร” นอกจากนี้ ลูกศิษย์หลวงตาจะรู้กันดีว่า ที่ถ้ำนี้มีเทวดาอยู่ท่านหนึ่งซึ่งทุกคนจะเรียกว่า “พี่ยักษ์” เวลาใครมาถ้ำเมืองนะก็มักจะแวะมากราบไหว้พี่ยักษ์ซึ่งหลวงตาได้หล่อเป็นรูป ยักษ์ยืนเฝ้าอยู่หน้าถ้ำเสมอ เวลาใครมานอนค้างปฏิบัติธรรมที่ถ้ำ ก็จะตั้งจิตอธิษฐานบอกพี่ยักษ์ไว้ว่าต้องการจะตื่นกี่โมง พอถึงเวลาที่บอกกล่าวไว้นั้น บางคนจะได้ยินเสียงกระทืบพื้นดังตึงๆ บางคนก็โดนเคาะหัว บางคนก็ฝันว่าพี่ยักษ์ไปเรียกในฝันก็มี ทำให้แต่ละคนสามารถตื่นขึ้นมาได้ตรงเวลาโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกเลย ซึ่งเรื่องพี่ยักษ์นี้เป็นเรื่องที่มีหลายคนเคยพบเจอจนกลายเป็นเรื่องปกติ ของลูกศิษย์วัดถ้ำเมืองนะไปแล้ว

ประมาณ ๓-๔ ปีแรกที่หลวงตามาปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำเมืองนะนั้น ท่านจะจำวัดในโลงศพเสมอ และยังได้ตั้งจิตอธิษฐานเร่งความเพียรปฏิบัติธรรมอยู่แต่ภายในบริเวณถ้ำโดย ไม่ออกไปไหน ต่อมาเมื่อหลวงปู่ดู่มรณภาพลงเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๓ ท่านจึงได้ออกจากถ้ำเพื่อมาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพในปี พ.ศ.๒๕๓๔ โดยหลวงตาได้พิจารณาเห็นว่า เมื่อหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว ก็ไม่มีใครคอยเป็นหลักในการแผ่เมตตาช่วยเหลือภพภูมิทั้งหลาย และสร้างพระเครื่องเพื่อเป็นกุศโลบายให้คนหันมาปฏิบัติธรรมแทนหลวงปู่เลย ในขณะที่ตัวท่านเองเป็นลูกศิษย์ที่ได้ศึกษากระแสพลังเหนือพลัง และความรู้ต่างๆจากหลวงปู่มาอย่างเต็มภูมิ รวมทั้งได้มาอยู่ที่ถ้ำเมืองนะซึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รวมกระแสพลังงานอัน ไม่มีประมาณของหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่เอาไว้อีกด้วย ท่านจึงควรจะช่วยทำหน้าที่วางรากฐาน และเผยแพร่แนวทางการปฏิบัติธรรมสร้างบารมีช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย และสร้างพระเครื่องเพื่อใช้ในการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ต่อไป

ในครั้งแรก หลวงตาไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถทำหน้าที่แทนหลวงปู่ได้หรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงที่หลวงปู่เคยบอกท่านไว้ก่อนออกธุดงค์ว่า “เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย” ก็ทำให้ท่านมีกำลังใจว่าหลวงปู่จะต้องคอยช่วยให้ท่านทำหน้าที่นี้ได้สำเร็จ แน่ หลวงตาจึงได้อธิษฐานจิตว่า ถ้าจะให้ท่านทำหน้าที่แทนหลวงปู่ได้ ขอให้หลวงปู่นำของที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่มาให้ภายใน 3 เดือน... ซึ่งหลังจากท่านอธิษฐานได้เพียง 2 เดือน ก็มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ขึ้นมาที่ถ้ำ และมอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่กายของหลวงปู่ชิ้นหนึ่งให้กับท่าน ทั้งที่เขาบูชาของสิ่งนั้นมาในราคาแพงหลักแสน โดยเขากล่าวว่า อยู่กับเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไร อยู่กับหลวงตามีประโยชน์กว่า และหลังจากนั้นก็เริ่มมีคนนำมวลสารของหลวงปู่ดู่มาถวายให้ท่านมากมาย หลายอย่าง ท่านจึงได้เริ่มสร้างพระตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๔ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

การอธิษฐานจิตปลุกเสกพระในสายหลวงปู่ดู่นั้น จะไม่เน้นการใช้คาถาอาคมในการปลุกเสก เพราะเป็นกำลังของผู้ปลุกเสกเพียงคนเดียว มีพลังงานน้อย และอาจเสื่อมคลายได้ แต่ท่านจะเน้นการใช้บุญฤทธิ์ อธิษฐานจิตรวมกระแสบุญบารมีของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ เทพพรหม ทุกๆพระองค์ ให้มารวมกำลังกันเป็นกระแสพลังเหนือพลังผ่านพระคาถามหาจักรพรรดิลงไปสู่พระ เครื่องทุกองค์ เพราะพลังงานบุญบารมีแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น เป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่ไม่มีวันเสื่อม และมีพลังงานมากอย่างไม่มีประมาณ สามารถอธิษฐานใช้ได้ทุกทาง

หลังจากงานพระราชทานเพลิงศพของหลวงพ่อดู่ ได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้วหลวงตาท่านก็ได้เดินทางกลับไปยังถ้ำเมืองนะ ท่านได้อยู่ภาวนาอย่างเงียบๆในถ้ำนั้นเป็นเวลาหลายปีโดยมีชาวบ้านในละแวกนั้นซึ่งเป็นชาวไทยและชาวไทยใหญ่คอยอุปัฐฐากท่านตลอดมา จนถึงวันหนึ่งเมื่อท่านได้ปฎิบัติธรรม จนรู้แจ้ง เห็นจริง ประจักษ์ใจแล้ว ท่านก็ได้เริ่มออกสังคมและเริ่มสร้างวัดขึ้นที่นั้นและสั่งสอนลูกศิษย์เรื่อยมาจนถึงบัดนี้ นับว่าท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีญาณบารมีแก่กล้าและเมตตาอันล้นเหลือ มากรูปหนึ่งในปัจจุบันที่สั่งสอนคนให้เดินบนเส้นทางแห่งธรรมะ และท่านยังเป็นผู้ที่สืบทอดวิชาต่างๆของหลวงปู่ดู่ในปัจจุบันอีกด้วย ทั้งด้านการภาวนาเปิดโลก และ ด้านการสร้างพระเครื่อง ซึ่งท่านได้เมตตาสั่งสอนถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ในปัจจุบัน เพื่อนำไปช่วย มนุษย์และภูมิทั้งหลาย ตลอดถึงความสงบแก่จิตและการอยู่เย็นเป็นสุขของผู้ปฎิบัติ

เรียบเรียงเนื้อหาจากบทความนิตยสารพระเกจิ
และบทความประวัติหลวงตาม้า โดย ดร.รอบทิศ ไวยสุศรี

34


หลวงตาสอนศิษย์ เรื่อง คนหมดบุญ

ศิษย์: หลวงตาครับแล้วอย่างคนที่เดินตามถนน ... เพราะอะไรครับ

หลวงตา: หมดบุญตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์แล้ว เสวยบาปแล้วนั่นน่ะ

ศิษย์: อย่างนี้เค้าเรียกนรกบนดินใช่มั้ยครับหลวงตา

หลวงตา: ตกแล้วฮะ กายเค้าเป็นสัตว์เดรัจฉานมั่งเป็นเปรตอสุรกายมั่ง ... จิตเค้าอ่ะ แต่ตัวเค้ายังเป็นมนุษย์อยู่ คือหมดบุญแล้ว ตอนนี้เสวยบาปอยู่พอตายก็ไปตามอทิสมานกายเค้าอ่ะน่ะ ถ้าใครฝึกเรื่องของพลังงานฝึกเรื่องของกระแสเนียะถ้าเรามองไปก็จะเห็นอยู่ฮะ ...

ในศาสตร์ของหลวงปู่เนี่ยะฮะ จะเห็นว่าเค้าจะไปไหน เราจะเห็นแว๊บเดียวฮะ หมดแล้วหมดเกลี้ยงเลย ...

ในยุคปัจจุบันวัตถุมันเจริญนะฮะ น่าเสียดายคนไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่เข้าใจเรื่องวัด ...

ในโบราณที่เค้าสร้างวัด วัดที่สร้างในโบราณเค้าต้องการปรับมนุษย์ที่โดนกรรมพวกเนียะฮะ สมัยก่อนคนพวกนี้เค้าเข้าถึงวัดนะฮะ อย่าลืมว่ามันเป็นการแก้กรรมนะ เพราะวัดเนี่ยะเค้าต้องสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น สาธยายมนต์ ทีนี้คนรกโลกประเภทนี้เค้าจะไม่เดินตามถนนเค้าจะไปที่วัด ... เหมือนคนโบราณเค้าว่าสิ่งที่ไม่ดีไปอยู่ที่วัดหมด คนไม่ปกติเนียะเค้าจะไปไว้ที่วัดหมด เพื่อไปปรับเรื่องบุญกะบาป ...

ในยุคปัจจุบันเนี่ยะวัดบางวัดพอเข้าไปไม่มีพระ เพราะพระไปเรียนหนังสือไง มันก็อยู่ไม่ได้ เพราะนั้น เจตนาคนที่สร้างวัดในยุคโบราณเนี่ยะปัจจุบันมองไม่ออกนะฮะ ว่าเค้าสร้างวัดเพื่ออะไร ...

สมัยก่อนเวลาประชุมเค้าก็ไปที่วัด ลูกออกก็อยู่ที่วัด ชื่อลูกก็อยู่ที่วัด อยู่วัดหมดเลยอ่ะ เพราะนั้นวัดเค้าถึงสร้างในหมู่บ้านในชุมชน...

เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไป โลกมันเปลี่ยนไปคือคนไม่เข้าใจ ทุกคนเลยเปลี่ยนไปด้วยฮะ ช่วยอะไรไม่ได้ฮะ สภาพสังคมไม่ปรับเข้าทางศาสนา ...

เพราะนั้นเรื่องกรรมเล็กๆ น้อยๆ พวกเนียะถึงไปอยู่ที่วัดถึงหาย คนบ้าไปอยู่ที่วัดค่อยๆ หายไปนะฮะ มันดีนะสร้างวัดในโบราณ ไม่งั้นเค้าจะสร้างวัดไปทำไม เค้าจะบริจาคที่ดินสร้างไปทำไม มันอานิสงส์กว้าง ก็งี้แหละ มันไม่ใช่ของใครไง ...

วัดบางวัดไม่ได้ทำกรรมฐานเลย แล้วก็ไม่ได้สวดมนต์ หลวงตาอยู่วัดตั้งแต่เด็กๆเพราะอะไรรู้เปล่า เพราะกำพร้าไง เนี่ยะเด็กกำพร้าจะอยู่วัดหมดแน่ะ พ่อแม่แยกกันน่ะ เด็กมันจะไม่ไปไหนหรอกมันจะเข้าไปอยู่ที่วัด เพราะพระท่านจะเอาอาหารมาให้เรากินไง หลวงพี่หลวงพ่อหลวงตาหลวงน้า เค้าจะเอาไว้ให้เราไง ขนมที่เค้าบิณฑบาตมา เราก็อยู่ที่วัด ถ้าใครอายุหกสิบเจ็ดสิบแปดสิบจะเข้าใจเรื่องวัด


เรียบเรียงจากธรรมบรรยายของ
พระครูวินัยธร วรงคต วิริยะธโร (หลวงตาม้า)

35


"เวลาทำไม่ต้องท่ามาก คิดแล้วทำ....ผลบังเกิด"

หลวงตาม้า สอนเสมอเรื่องการปฏิบัติธรรมที่บ้าน การปฏิบัติธรรมนั้นแม้จะไม่ง่าย แต่ก็ไม่ได้ทำยาก หากเมื่อใจพร้อมกายพร้อมก็เพียงพอแล้ว
คำว่าท่ามากนี้หมายถึง ไม่ต้องจัดโน้นจัดนี่ที่หิ้งพระ แต่งตัวสวยงามก่อนสวดมนต์ หรือแม้กระทั่งรอให้ถึงวันพระก่อนจึงค่อยสวดมนต์ภาวนา.....

"ไม่ต้องๆ หลวงตาท่านบอก" เมื่อเราคิดว่าจะสวดมนต์ภาวนาก็ไม่ต้องตั้งท่า สวดมนต์ภาวนาได้เลยทันที เราสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกอริยาบททั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ทั้งนั้น

เรื่องการแต่งตัวก็เหมือนกัน จะแต่งอย่างไรก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นชุดขาว จึงจะสวดมนต์ ภาวนาได้...

"คิดแล้ว ลงมือทำทันที นี่จึงเรียกว่าไม่ท่ามาก"


เรียบเรียงจากคติธรรมของ
พระครูวินัยธร วรงคต วิริยะธโร (หลวงตาม้า)

36


มีผู้ปฏิบัติหลายคน ปฏิบัติไปนานเข้าชักเขว ไม่แจ้งว่าตนปฏิบัติไปทำไม หรือปฏิบัติไปเพื่ออะไร ดังครั้งหนึ่ง เคยมีลูกศิษย์กราบเรียน ถามหลวงปู่ดู่ท่านว่า “ภาวนามาก็นานพอสมควรแล้ว รู้สึกว่ายังไม่ได้รู้ได้เห็นสิ่งต่างๆ มีนิมิตภายนอก แสดงสีต่างๆ เป็นต้น ดังที่ผู้อื่นเขารู้เห็นทางปฏิบัติกันเลย” หลวงปู่ท่านย้อนถาม สั้นๆ ว่า “ ปฏิบัติแล้ว โกรธ โลภ หลง แกลดน้อยลงหรือเปล่าล่ะ ถ้าลดลงข้าว่าแกใช้ได้”

เคยมีผู้ปฏิบัติกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า “หลวงพ่อครับ ขอธรรมะสั้นๆ ในเรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อให้กิเลส 3 ตัว คือ โกรธ โลภ หลง หมดไปจากใจเรา จะทำได้อย่างไรครับ”

หลวงปู่ตอบเสียงดังฟังชัด
จนพวกลูกศิษย์ในที่นั้นได้ยินกันทุกคนว่า

“สติ”

37


จงพิจารณาให้เห็นโทษของการที่จิตขาดสมาธิ ทำให้เกิดผลเสียต่อตัวเองอย่างไร เพราะจิตเรามันวอกแวกไปตามสิ่งยั่วยุภายนอกที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น และสัมผัสทางกายอยู่เสมอ ทำให้สมาธิขาดและจิตไม่นิ่งสักที ส่งผลให้เวลามีสถานการณ์บีบบังคับ เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ง่าย

ลองกำหนดเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอนที่อยากมีอยากเป็นในชีวิตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เราจะต้องทำอะไรให้สำเร็จหรือบรรลุอะไรให้ได้ภายในระยะเวลาเท่าไร เช่น จะทำโครงการนี้ให้เสร็จภายในกี่เดือน กี่วัน ชีวิตที่ไม่มีเป้าหมายจะล่องลอย ไม่แตกต่างอะไรกับเรื่อที่ไร้หางเสือ หรือเศษไม้หนึ่งท่อนที่ลอยอยู่บนพื้นน้ำหากถูกลมพัดพาไปในทิศทางใดก็จะล่องลอยไปตามทิศทางนั้นไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง และไร้คุณค่า

คำว่า "ไม่เป็นไร" เมื่อผุดขึ้นในใจใครก็ตาม นั่นคือบ่อเกิดแห่งความประมาท ดังนั้นต้องตัดสินใจทำอะไรเพราะเมื่อมีความคิดว่า "ไม่เป็นไร" ผุดขึ้นในจิตแล้ว เรายิ่งต้องระวังเป็นสองสามเท่า และหันกลับมาพิจารณาความคิดดังกล่าวอีกครั้ง มองดูผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว เพื่อป้องกันภัยและผลเสียที่อาจบังเกิดขึ้น

ต้องหมั่นฝึกการปลีกวิเวก สงบสติอารมณ์อยู่ในที่สงัดจะได้รู้จักการฝึกลับความคิดให้แหลมคมจนสามารถควบคุมความคิดและพฤติกรรม มุ่งไปสู่เป้าหมายของชีวิตได้ ในขณะเดียวกันต้องตระหนักเสมอว่า จิตที่เฝ้ารอคอยแต่ความตื่นเต้นหฤหรรษ์นั้นจะเป็นที่มาของความเบื่อหน่ายได้ง่าย เพราะทุกครั้งที่เสพความสุขจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กระทบมาทางตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัสจิตก็จะปรารถนาให้ได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่สามารถหามาชโลมใจได้ก็จะเบื่อง่าย เฉื่อยชา จิตพะวักพะวง

การหมั่นฝึกปลีกตัวเพื่ออยู่เงียบๆ ดูจิต รักษาจิต หยุดการกระเพื่อมของจิตบ่อยๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง และควรทำทุกวัน เริ่มต้นวันละ 5 นาที ก่อนนอนก็ยังดี เมื่อทำบ่อยๆเข้าจนชิน อารมณ์ต่างๆก็จะอยู่ในความควบคุมของเรามากขึ้น ไม่แปรเปลี่ยนไปง่ายๆ ตามสิ่งรอบข้าง สิ่งยั่วยุต่างๆ และจะบรรเทาพลังราคะกิเลสที่สุมพอกพูนจากสภาพแวดล้อมที่พบเจอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะจากสังคมโลกปัจจุบันที่สิ่งยั่วยุและปรนเปรอกิเลสหาได้ง่ายดายรอบตัว

. . .

เรียบเรียงจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร
(หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ
(วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

38


อย่าปล่อยเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์

"เรานักปฏิบัติทั้งหลาย อย่าปล่อยเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ ให้หมั่นภาวนาไว้ตลอดเวลา พอลืมตาตื่นก็ให้ภาวนาไปจนถึงเวลานอน ให้คำภาวนานั้นหายไปพร้อมกับการหลับ ทำเช่นนี้ให้เคยชิน ไม่ว่าขณะนั้นกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในรถ ในเรือ หรือเดินอยู่ ก็ต้องภาวนา อย่าประมาท การภาวนานี้นอกจากจะเป็นบุญ และทำให้จิตได้ทำงานแล้ว ยังช่วยให้เราไม่ประมาทในความตายด้วย เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่า ตัวเองจะตายเมื่อไหร่ นอกจากพระอรหันต์ท่านเท่านั้น ฉะนั้น จงภาวนาไป ไม่เสียหาย ไม่เสียตังมีแต่กำไร..."

"...การภาวนานั้น ต้องเอาจิตจับองค์พระตลอดเวลา พระองค์ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป หรือพระอริยสงฆ์ องค์ใดก็ได้ที่เรานับถือ ที่เราคุ้นเคย เวลาตายจะได้มีที่ไป คือไปกับพระ เพราะจิตเราจะระลึกแต่พระตลอดเวลาจนเคยชิน ตัวอย่างมีให้ดูตั้งมากมาย เห็นไหมเวลาคนใกล้ตาย เขาจะมีคนไปคอยบอกอยู่ข้างหูว่า ให้คิดถึงพระเข้าไว้ ให้ภาวนา หรือไม่ก็สวดมนต์ พยายามทำทุกวิถีทางให้จิตของคนที่ใกล้ตาย คิดอยู่แต่เรื่องพระ เรื่องกุศล เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตของคนเราตอนที่ใกล้จะดับนี้แรงนัก ถ้าจิตตอนนั้นคิดแต่เรื่องดีๆ ในที่นี้หมายถึงเรื่องบุญ พอตายไปก็เสวยสุข ไม่ต้องไปนรก ถ้าคิดถึงเรื่องบาป ก็โน่น ไปเลยนรก ไปรับกรรมที่ตัวก่อ จำไว้ให้ดี แล้วก็ไปเลือกเอา จะภาวนาตอนนี้หรือจะรอใกล้ตายค่อยภาวนา ถึงตอนนั้นก็ตัวใครตัวมัน ถือว่าบอกแล้ว..."


เรียบเรียงจากคติธรรมคำสอนโดย
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

39
จักรวาลแบบพุทธ / เปิดโลก
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:48:24 PM »
การเปิดโลกนั้นมีในพุทธประวัติถึงตอนที่พระพุทธเจ้ากลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในระหว่างนั้นเวลาได้ครบพรรษาคือสามเดือนพอดี ซึ่งก็คือช่วงออกพรรษานั้นเอง ท่านได้เสด็จกลับจากสวรรค์ ในระหว่างนั้นทั้งเทพพรหมยมยักษ์เทวดาทั้งหลาย พระอินทร์พร้อมท้าวจตุโลกบาลก็เสด็จตามมาส่ง พระอินทร์เนรมิตบันไดทิพย์ทั้งสามเพื่อให้พระพุทธองค์เสด็จลงจากเทวโลก บันไดแก้วอยู่ตรงกลางสำหรับส่งเสด็จพระพุทธองค์ ด้านขวาบันไดทองสำหรับพระอินทร์และเทพยดาทั้งหลาย ด้านซ้ายบันไดเงินสำหรับท่านท้าวสหัมบดีพรหมกับหมู่พรหมทั้งหลายที่ตามส่งเสด็จ

เมื่อได้เวลาเสด็จ พระพุทธเจ้าก็เสด็จมาประทับยืนที่ฐานศีรษะบันได ในท่ามกลางเทพพรหมบริษัทซึ่งแวดล้อมเป็นบริวาร จึงได้ทรงทำ "โลกวิวรรณปาฏิหาริย์" เปิดโลก โดยพระอาการทอดพระเนตรไปในทิศต่าง ๆ รวมทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง รวมเป็น ๑๐ ทิศด้วยกันและด้วยพุทธานุภาพ ในทันใดนั้นทุกทิศทุกทางจะแลโล่งตลอดหมดไม่มีอันใดปิดบัง เทวดาในสวรรค์จะมองเห็นมนุษย์ เห็นยมโลก เห็นนรก และมนุษย์ก็มองเห็นเทวดา เห็นสัตว์นรก แม้สัตว์นรกก็มองเห็นมนุษย์ตลอดเทวดาในสวรรค์ ไม่มีสิ่งใดปิดบัง พระพุทธเจ้าทรงสำแดงปาฏิหาริย์เปิดโลก พร้อมกับเปล่งฉัพพรรณรังสี พระรัศมี ๖ ประการเป็นมหาอัศจรรย์

ครั้นนั้น เทพยดาในหมื่นจักรวาลได้มาประชุมกันในจักรวาลนี้เพื่อชื่นชมพระบารมีพระบรมศาสดาทรงทำปาฏิหาริย์ พร้อมกันทำสักการะบูชาสมโภชพระพุทธเจ้าด้วยทิพยบุปผามาลัยเป็นอเนกประการ

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลีลาลงจากดาวดึงส์สวรรค์ โดยบันไดแก้ว ลงมาถึงเชิงบันได มหาชนทั้งหลายได้เห็นพระรูปโฉมของพระบรมศาสดา ได้เห็นการเสด็จลีลาลงจากสวรรค์ในท่ามกลางเทพยดาและพรหมเป็นอันมาก ครั้นนั้นงามจับอกจับใจอย่างที่ไม่เคยคิดเคยเห็นมาแต่ก่อน ก็พากันลิงโลดแซ่ซ้องสาธุการเสียงสนั่นหวั่นไหว แม้แต่พระสารีบุตรพุทธสาวกยังได้กล่าวคาถาสรรเสริญด้วยความยินดีความว่า ข้าพระองค์ไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งงามด้วยสิริโสภาคยิ่งกว่าเทพเจ้าทั้งมวล มีพระสุรเสียงอันไพเราะอย่างนี้ เสด็จลงมาจากสวรรค์

ขณะนั้น พระบรมศาสดาซึ่งมีพระทัยมากด้วยพระมหากรุณาจึงได้แสดงธรรมโปรดพุทธบริษัท ผู้กำลังมีความโสมนัสพึงตาพึงใจชมในพระรูปพระโฉม อยู่ในท่ามกลางเทพเจ้าและหมู่พรหมที่พร้อมกันถวายสักการบูชา ด้วยทิพยบุปผานาวรามิสให้เกิดกุศลจิตสัมประยุตด้วยปรีชาญาณ หยั่งรู้ในเทศนาบรรหารตามควรแก่อุปนิสัย เมื่อจบเทศนานัยธรรมานุสรธ์ ต่างก็ได้บรรลุอริยมรรคอริยผล ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงเบื้องปลาย ตามอริยอุปนิสัยได้สั่งสมมา

หลวงพ่อดู่แห่งวัดสะแกอยุธยา เคยกล่าวถึงการเปิดโลกของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อดู่ท่านว่า "วันนั้นขนาดมดดำมดแดงที่ได้เห็นแสงฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เกิดจิตปรารถนาพุทธภูมิอยากเป็นพระพุทธเจ้ากับเขาบ้างอย่างนับไม่ถ้วน"

พระพุทธรูปปางเปิดโลกนี้ จึงสร้างเป็นพระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถประทับยืนอยู่เหนือดอกบัว พระหัตถ์ทั้งสองขนาบลงข้างพระวรกายเหมือนปางประทับยืน แต่แบฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองออกหันออกไป ข้างหน้าเป็นกิริยาทรงเปิดโลก

. . . . . . . . .

ขอเชิญทุกท่านร่วมกันเป็นเจ้าภาพ “ผ้าป่าแสนกอง จักรพรรดิเปิดโลก” สร้างสมเด็จองค์ปฐมฯ ยืนสูง 59 เมตร เจ้าภาพกองละ 1,000 บาท รับพระผงจักรพรรดิรุ่นพิเศษพร้อมสร้อยประคำของหลวงตาม้า คลิ๊กอ่านรายละเอียดได้ที่กระทู้นี้ http://www.watthummuangna.com/home/community/index.php/topic,3595.0.html

40


ผู้ที่มากราบนมัสการหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญหลายๆคน มาถึงก็แจ้งความประสงค์กับหลวงพ่อ ปรารถนาไม่เกิด อยากไปนิพพานในชาตินี้ จะได้พ้นทุกข์ บางคนก็ตั้งเจตนาจริง บางคนก็พูดไปอย่างนั้น หลวงพ่อเคยให้ข้อคิดสำหรับคนที่ไม่ตั้งใจจริงเหมือนคำพูดที่ปรารถนาว่า

“อยากไปนิพพาน แต่ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ จะไปได้อย่างไร”

“วันนี้มีผู้หญิงอยู่คนมากราบข้า บอกว่าจะไปนิพพาน ข้าไม่พูดแต่มองดู ปากยังทาแดงแจ๋ เล็บตีนเล็บมือยังแดงแจ๋ หัวตะพานจะไปถึงหรือเปล่า”

ดังนั้นหลวงพ่อจึงสอนพวกเราทั้งหลาย เมื่อตั้งใจสิ่งใดแล้ว ต้องทำหรือปฏิบัติจึงจะสมปรารถนา ดังที่หลวงปู่ทวดกล่าวว่า “การปฏิบัติจะตัดภพชาติให้สั้นลงทีละครึ่ง เช่น ถ้าเราจะเกิดอีก ๑๐๐ ชาติ ก็เหลือ ๕๐ ถ้าจะเกิด ๒๐ ชาติ ก็เหลือ ๑๐”

ผุ้เขียนเคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน ท่านเคยเปรียบเทียบดังนี้ “ทำทานเหมือนกับไปด้วยถ่อ รักษาศีลไปด้วยรถยนต์ ภาวนาก็ขี่เรือบินไป อาจถึงนิพพานได้ในชาตินี้”

คนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า “ใกล้ก็ไม่ใกล้ ไกลก็ไม่ไกล มองเห็นไวไว เป็นทิวลิบลิบ” ซึ่งเทียบได้กับพระนิพพาน คือปลายจมูกนี่เอง หลวงพ่อกล่าวว่า “จะว่ายากก็ไม่ใช่ จะว่าง่ายก็ไม่เชิง ผู้ปฏิบัติพึงรู้เอง เห็นเอง เพราะเป็นปัจจัตตัง”

(เรียบเรียงจากบทความของ อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์จากหนังสือไตรรัตน์)

การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้

การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ ศีลคือ ดิน สมาธิคือ ลำต้น ปัญญาคือ ดอก ผล ... เราต้องการให้ต้นไม้เจริญงอกงาม ก็ต้องหมั่น รดน้ำ พรวนดิน และต้องคอยระมัด ระวังมิให้ตัวหนอนคือ ฏลภ โกรธ หลง มากัดกิน ... ความสำเร็จนั้น มิใช่อยู่ที่การสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประทานให้ หากแต่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง ถ้าตั้งใจทำตามแบบแล้วทุกอย่างรับรองว่าต้องสำเร็จ ไม่ใช่จะสำเร็จ ... พระพุทธเจ้าท่านวางแบบเอาไว้แล้ว ครูบาอาจารย์ทุกองค์มีพระพุทธเจ้าเป็ที่สุด ก็ได้ทำตามแบบเป็นตัวอย่างไว้ให้เราดู อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุกันหมด "ของดีอยู่ที่ตัวเรา ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต"

การปฏิบัติ ถ้าหยิบตำราโน้น นี่มาสงสัยถามมักจะโต้แย้งกันเปล่า โดยมากชอบเอาจากอาจารย์โน้น นี่ ว่าอย่างนั้นมา อย่างนี้มา ... การจะปฏิบัติให้รู้ธรรมเห็นธรรม ต้องทำจริง จะได้อยู่ที่ทำจริง เอาให้จริง ถ้าไปเรียนกับครูอาจารย์อื่นโดยไม่ทำให้จริงให้รู้ ก็เหมือนดูถูก ดูหมิ่นครูบาอาจารย์

41


เชื่อหรือไม่เชื่อ ต้องลองปฏิบัติดูเอาเอง... แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็ยังคิดถึงแก นั่งไปเถอะ สว่างก็ได้บุญ มืดก็ได้บุญ แก้ข้างนอกเป็นเรื่องโลก แต่แก้ที่ตัวเรานี่เป็นเรื่องธรรม รีบพากันปฏิบัติ ข้าจะคอยช่วย พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต.. อย่าลืมตัวตาย

- หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

42


ต้นเหตุของคำว่า "ใครจะใหญ่เกินกรรม" หลวงตาม้าท่านเล่าว่า มีอยู่ครั้งหนึงสมัยโน้น มีกลุ่มลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งนั่งถกเถียงกันเกี่ยวกับประเด็นทางโลกทางธรรมอย่างเข้มข้นต่อหน้าหลวงปู่ดู่ ระหว่างนั้นหลวงปู่ดู่ท่านเพียงนั่งฟังอยู่ไม่พูดอะไรอยู่เป็นเวลานาน แล้วท่านก็พูดขึ้นลอยๆว่า "ใครจะใหญ่เกินกรรม" สิ้นเสียงคำหลวงปู่ศิษย์ทุกคนตรงนั้นก็คิดขึ้นได้และเลิกถกเถียงกัน นับว่าเป็นความอัจฉริยะของหลวงปู่โดยแท้ อันคำที่หลวงปู่กล่าวนั้นจริงแท้แน่นอนโดยธรรม เพราะธรรมะนั้นเป็นสัจธรรมตามธรรมชาติ "ใครจะใหญ่เกินกรรม"

กรรม คือ อะไร? กรรม คือ การกระทำ
การกระทำนั้นมี ๒ อย่าง

คือ

๑. การกระทำกรรมดี
๒. การกระทำกรรมชั่ว

การกระทำกรรมดี เป็นการกระทำที่เป็นบุญหรือเป็นกุศล
การกระทำกรรมชั่ว เป็นการกระทำที่เป็นบาปหรือเป็นอกุศล

ถ้าหากบุญกุศลส่งผลเมื่อไรเราก็จะพบกับความสุข ความเจริญรุ่งเรือง ความสำเร็จ ความสมหวัง ความคล่องตัว มีกำไร ป่วยอยู่ก็จะหายป่วย ที่หน่ายอยู่ก็จะกลับมารัก ฯลฯ

ถ้าหากบาปอกุศลส่งผลเมื่อไรเราก็จะพบกับความทุกข์ ความเสื่อม ความล้มเหลว ความผิดหวัง การติดขัด ขาดทุน ป่วยอยู่ก็จะตาย ที่รักอยู่ก็แหนงหน่าย ฯลฯ

ฉะนั้นคำว่า " กรรม " หมายถึงความดีและความไม่ดีด้วยเพราะกรรมคือการกระทำ และท่านเลือกการกระทำในขณะปัจจุบันนี้ของท่านได้เอง อย่าลืมว่าคนเราต้องมีเสบียงไว้เลี้ยงตัว หากไม่สร้างบุญบารมีไว้ ท่านจะลำบากในวันหน้า

43


ปกิณกะคติธรรมของหลวงตาม้า

"คนเราชอบพูดกันว่าวันที่ เท่านั้นๆ เป็นวันดี แต่หลวงตาว่า
หากวันไหนเราอารมณ์ดี วันนั้นคือวันดี และดีทุกวัน"

"ความดีหากเราฝึกไปเรื่อยๆ เราจะรู้ความไม่ดีด้วย แต่ถ้าเรารู้แต่ความไม่ดี เราจะไม่รู้เลยว่าความดีเป็นอย่างไร"

"สิ่งที่ดีมันก็ไหลหาสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีมันก็ไหลหาสิ่งที่ไม่ดี นี่คือธรรมะ เพราะธรรมะคือธรรมชาติ"

"อย่าไปคิดอะไรมันมาก ให้คิดตามความเป็นจริง
เราคิดแทนคนอื่นไม่ได้หรอก"

"ไม่มีใครมาเริ่มต้นสร้างบารมีหรอก ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ล้วนสร้างบารมีมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม นำพาให้เราลืม
ทำให้เราหยุด เท่านั้นเอง"

"อะไรที่มีประโยชน์ให้ทำ หากไม่มีประโยขน์อย่าไปทำ ให้ค่อยๆทำ เรื่อยๆ แล้วพิจารณาด้วย ไม่ใช่ว่าทำอย่างเดียวแล้วไม่พิจารณา เหมือนการเรียน เราต้องเรียนตั้งแต่ ชั้นประถม มัธยม จนไปถึงปริญญา หากเรายังไม่เรียนชั้นประถมแล้ว อย่าคิดไปรู้เรื่องของ ปริญญาเลย มันไม่ได้"

44


ความเมตตาผูกพันของครูบาอาจารย์ต่อเหล่าลูกศิษย์
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญนั้น
เป็นพระสุปฏิปัณโณที่ท่านเอาใจใส่กับการสอนลูกศิษย์
เป็นอย่าง มาก มีคนเคยพูดเอาไว้ว่า

"พระ สงฆ์เป็นผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครูบาอาจารย์สูง
ถ้าพระท่านเป็นอาจารย์ของใคร พระท่านจะเคี่ยวกรำ
จนลูกศิษย์ผู้นั้นได้ดี ท่านจะไม่ปล่อยปละละเลยเด็ดขาด"

"เขา มาจากไกล ๆ เป็นร้อยเป็นพันกิโล ถ้าไม่เจอข้า เขาจะผิดหวัง
ผู้ที่มาหาข้านี้ล้วนแต่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า ข้าก็จะนั่งคอยอยู่นี้แหละ"

คำพูดนี้แสดงถึงมหาเมตตาบารมีของหลวงปู่ดู่
ที่มีต่อมหาชนอย่างมากมายเกินกว่าที่จะกล่าวได้...

ครั้งหนึงหลวงตาม้าท่านพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำได้ใจความว่า

"...ให้ นึกถึงหลวงปู่(ดู่) แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า ขอยกให้หลวงปู่เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า
ขอให้หลวงปู่ช่วยดูแลทั้งทางโลกและทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่ นับตั้งแต่บัดนี้
ไปจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน..."



หลวงตาม้าท่านพูดต่อไปได้ใจความว่า...

"อย่าง ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านผูกพันกับสมเด็จองค์ปฐมเป็นพิเศษก็เพราะท่านเคย
อธิษฐานอย่างนี้กับสมเด็จองค์ปฐมเนี่ยแหละ คราวนี้ถึงแม้สมเด็จองค์ปฐมท่านเข้านิพพานไป
ท่านก็ยังตามมาดูแลหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้"

และท่านได้อธิบายเพิ่มถึงข้อดีของการถวายตัว
กับครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสุปะฐิปันโนได้ใจความว่า...

"ถ้าทำอย่างนี้ ต่อไปเรื่องซวยๆจะไม่ค่อยมีในชีวิต เพราะเราฝากดวงไว้กับหลวงปู่แล้ว"

การ ฝากดวงไว้กับหลวงปู่นี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับลูกหลานหลวงปู่ดู่หลวงตาม้าเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเราฝากตัวเป็นลูกหลานท่านอย่างเต็มตัวแล้ว เราก็ควรจะทำตัวให้สมกับ
ที่เป็นลูกศิษย์ลูกหลานของพระมหาโพธิสัตว์บารมีเต็ม ที่จะมาตรัสรู้เป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเบื้องหน้า

ครั้งหนึ่ง หลวงตาม้าท่านเคยพูดกับบรรดาลูกศิษย์ว่า

"กลับลงไปจากถ้ำแล้ว อย่าไปทำให้เสียชื่อนะ อย่าลืมว่าเทวดาเขารู้จักหลวงตาเยอะนะ
กลับลงไปแล้วที่สอนไปก็ให้ทำด้วย เจอกันครั้งหน้าเดี๋ยวก็รู้ว่าใครทำหรือไม่ทำ(หัวเราะ)"[SIZE="5"]

หลวงตาม้าท่านเมตตาย้ำว่า......
"รักทุกคน ไว้ใจบางคน ไม่เกลียดใครเลยสักคนนี่คือสูตรของหลวงปู่ดู่

45


การจุดธูป เทียน เพื่อบูชาพระ

การจุดธูป เทียน เพื่อบูชาพระในพิธีกรรมต่าง ๆ มักจะไม่เหมือนกัน บางท่านต้องการไหว้พระแต่ยังตกลงใจไม่ได้ว่า จะใช้ธูปกี่ดอกจึงจะเหมาะสม หลวงปู่ดู่เคยตอบปัญหาเรื่องนี้กับผู้ที่สงสัยว่า

หลวงพ่อ : "จุดกี่ดอกก็ได้ ส่วนใหญ่
มักใช้ 3 ดอก บูชา พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ กี่ดอกก็มีความหมายทั้งนั้น"

ผู้ถาม : "อย่างนั้นถ้าจุดดอกเดียว
ไม่ถือว่าไหว้ผี หรือไหว้ศพหรือครับ"

หลวงปู่ดู่ :
"จุด 1 ดอก หมายถึง จิตหนึ่ง
จุด 2 ดอก หมายถึง กายกับจิต โลกกับธรรม
จุด 3 ดอก หมายถึง พระรัตนตรัย หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จุด 4 ดอก หมายถึง อริยสัจ 4
จุด 5 ดอก หมายถึง พระเจ้า 5 พระองค์ นะโมพุทธายะ
จุด 6 ดอก หมายถึง สิริ 6 ประการ ที่แกกราบพระ 6 ครั้ง
จุด 7 ดอก หมายถึง โพชฌงค์ 7
จุด 8 ดอก หมายถึง มรรคแปด
จุด 9 ดอก หมายถึง นวโลกุตรธรรม
จุด 10 ดอก หมายถึง บารมี 10 ประการ
อยู่ที่เราจะคิดให้ดี เอาอะไรก็ได้"

ผู้ถาม : "ถ้า 11 ดอก หมายถึง... "

หลวงพ่อ : "ก็บารมี 10 ประการกับจิตหนึ่ง
ว่าไปได้เรื่อย ๆ แหมแกถามซะข้าเกือบไม่จน"

ผู้ถาม : "ถ้าไม่มีธูปเทียน"

หลวงพ่อ : "ก็ใช้ชีวิตจิตใจบูชา
ไม่เห็นต้องมีอะไร พุทธัง ธัมมัง
สังฆัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ"

หลวงพ่อหัวเราะมองหน้าผู้ถาม
ที่รู้สึกทึ่งในปฏิภาณของหลวงพ่อ

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 27