หมวดครูบาอาจารย์ > พุทธวจนะ และ คติธรรม คำสอน ธรรมะ ของพระสุปฏิปัณโณ

บทพิจารณาขัน ๕

(1/6) > >>

DHAMMASAMEE:
บทพิจารณาขันธ์ ๕
... ร่าเริงอะไรกันหนอ ยินดีอะไรกัน ในเมื่อโลกสันนิวาสถูกไฟไหม้โพลงแล้วเป็นนิตย์ ท่านทั้งหลายถูกความมืดหุ้มห่อแล้ว เพราะเหตุไรจึงไม่แสวงหาประทีป ฯ.

... ท่านจงดูอัตภาพอันบุญกรรมทำให้วิจิตรแล้ว มีกายเป็นแผล อันกระดูกสามร้อยท่อนปรุงขึ้นแล้ว กระสับกระส่าย อันมหาชนดำริกันโดยมาก ไม่มีความยั่งยืนมั่นคง รูปนี้คร่ำคร่าแล้ว เป็นรังแห่งโรค ผุพัง กายของตนอันเปื่อยเน่าจะแตก เพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด ฯ.

... กระดูกเหล่าใดเขาไม่ปรารถนาแล้ว เหมือนน้ำเต้าในสารทกาล มีสีเหมือนนกพิราบ จะยินดีอะไรเพราะได้เห็นกระดูกเหล่านั้น ฯ.

... สรีระอันกรรมสร้างสรรให้เป็นเมืองแห่งกระดูก มีเนื้อและเลือดเป็นเครื่องไล้ทา เป็นที่ตั้งแห่งความแก่ ความตาย ฯ.   

... ขันธ์ ๕ นี้ เป็นของไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นในเบื้องต้น  ตั้งอยู่ในท่ามกลาง  แล้วดับไปในที่สุด ทุกขัง ขันธ์ ๕ นี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์นานา  ทุกข์เพราะความเกิด ทุกข์เพราะเจ็บไข้ได้ป่วย  ทุกข์เพราะความแก่ชรา  ทุกข์เพราะความตาย ร่างกายนี้เป็นอนัตตา ไม่นานมันก็ต้องตายต้องสลายตัวไป  โรคะนิทัง  ร่างกายนี้มันเป็นรังของโรค  ปะพังคุณัง ร่างกายนี้มันเปื่อยเน่าของมันทุกวัน  ขะยะวัยยัง มันเสื่อมไปสิ้นไปอยู่ทุกขณะ  เหมือนก้อนน้ำแข็งที่วางอยู่กลางแดด ฯ.

... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! จงดูกายอันนี้เถิด  มีฟันหัก  ผมหงอก  หนังเหี่ยวยาน  มีอาการทรุดโทรมให้เห็นอย่างเด่นชัด  เหมือนเกวียนที่ชำรุดแล้วชำรุดอีก  ได้อาศัยแต่ไม้ไผ่มาซ่อมผูกกระหนาบคาบค้ำไว้  จะยืนนานไปได้สักเท่าใด  การแตกสลายย่อมจะมาถึงเข้าสักวันหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอจงมีธรรมเป็นที่เกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง  อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย แม้ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น ฯ.

... ดูกรภิกษุทั้งหลายดี  ! จงดูร่างกายอันเปื่อยเน่านี้เถิด มันอาดูรไม่สะอาด  มีสิ่งสกปรกไหลเข้าไหลออกอยู่เสมอ ถึงกระนั้นก็ตาม  มันยังเป็นที่พอใจปรารถนายิ่งนักของผู้ไม่รู้ความจริงข้อนี้ 

... ภิกษุทั้งหลาย  ร่างกายนี้ไม่นานนักหรอกคงจะนอนทับถมแผ่นดิน  ร่างกายนี้เมื่อปราศจากวิญาณครองแล้ว  ก็ถูกทอดทิ้งเหมือนท่อนไม้ที่ไร้ค่า  อันเขาทิ้งเสียแล้วไม่ใยดี ฯ.

... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! อันร่างกายนี้สะสมไว้แต่ของสกปรกโสโครก  มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้งเก้า มีช่องหู  ช่องจมูก  เป็นต้น  เป็นที่อาศัยของสัตว์เล็กสัตว์น้อย  เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด เป็นรังแห่งโรค  เป็นที่เก็บมูตรและกรีส อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆ เข้าไว้  แล้วซึมออกมาเสมอๆ  เจ้าของกายจึงต้องชำระล้างขัดถูวันละหลายๆ ครั้ง เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือสองวัน  กลิ่นเหม็นก็ปรากฎเป็นที่รังเกียจ  เป็นของน่าขยะแขยง ฯ.

... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ร่างกายนี้เปรียบเป็นเหมือนเรือนซึ่งสร้างด้วยโครงกระดูก  มีหนังและเลือดเป็นเครื่องฉาบทา  ที่มองเห็นเปล่งปลั่งผุดผาดนั้นเป็นแต่เพียงผิงหนังเท่านั้น  เหมือนมองเห็นความงามแห่งหีบศพอันวิจิตรตระการตา  ผู้ไม่รู้ก็ติดในหีบศพนั้น  แต่ผู้รู้เมื่อทราบว่าเป็นหีบศพ  แม้ภายนอกจะวิจิตรตระการตาเพียงใด  ก็หาพอใจยินดีไม่  เพราะทราบชัดว่าภายในแห่งหีบอันสวยงามนั้นมีสิ่งปฏิกูลน่ารังเกียจ ฯ.

DHAMMASAMEE:
... " ดูก่อนมาร เพราะเหตุไรหนอ ความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่าสัตว์ ในกองสังขารล้วนนี้ ย่อมได้นามว่าสัตว์ เหมือนอย่างว่าเพราะคุมส่วนทั้งหลายเข้า เสียงว่ารถย่อมมีฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ย่อมมีฉันนั้น

... ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นย่อมตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นย่อมเสื่อมสิ้นไป

... นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ "

พระแม่เจ้าวชิราภิกษุณี

DHAMMASAMEE:
โอวาทพระครูวิหารกิจจานุการ
หลวงปู่ปาน  โสนันโท  วัดบางนมโค     
… ร่างกายของคนและสัตว์มันเป็นอนิจจัง มีสภาพไม่เที่ยง เวลาอยู่ก็เป็นทุกข์ แต่ในที่สุดก็เป็นอนัตตาคือตาย ใครบังคับบัญชาไม่ได้

... เวลาเผาศพอย่าตั้งหน้าตั้งตาเผาเขา เวลาเราไปเผาศพก็เผากิเลสในใจของเราเสียด้วย

... กิเลสส่วนใดที่มันสิงอยู่ที่เรา คิดว่าเราจะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายน่ะ เผามันเสียให้หมดไป

... เราคิดว่าวันนี้เราเผาเขา ไม่ช้าเขาก็เผาเรา

... คนเกิดมาแล้วตายอย่างนี้เราจะเกิดมันทำไม ต่อไปข้างหน้าเราไม่เกิดดีกว่า เราไปพระนิพพานนั่นละดีที่สุด

... เรื่องอัตภาพร่างกายสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่มีอะไรเป็นความหมาย ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ตายแล้วหาสาระหาแก่นสารไม่ได้ หาประโยชน์ไม่ได้

... ให้ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะตายได้ ให้ขยันหมั่นเพียร ชำระจิตใจให้สะอาด มีพระนิพพานเป็นอารมณ์

... จงวางภาระว่า เราของเรา เสียให้สิ้นด้วยไม่มีอะไรเลยเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายก็มีเจ้าของ คือ มรณภัยมันมาทวงคืน

... ให้คิดว่าเราไม่มีอะไรเป็นของเรา เราไม่ต้องการมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เรามีนิพพานเป็นที่ไป ฯ.

DHAMMASAMEE:
... พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ว่า สัตว์ก็ดี คนก็ดี หรือสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ดี มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วมีความเปลี่ยนแปลงไปในระหว่างกลาง ที่สุดมันก็แตกทำลายหมด ถ้าเป็นสัตว์ เป็นบุคคลก็ตายในที่สุด ถ้าเป็นของวัตถุธาตุ ก็แตกทำลายในที่สุด

... ไอ้บ้านเรือนโรงภูเขา ลำเนาป่า อะไรมันก็เหมือนกัน ภูเขามันเป็นหินแข็ง แต่ว่านานๆ เข้าก็เป็นหินผุกลายเป็นดินไป

... ที่นี้ไอ้คนหรือสัตว์ก็เหมือนกัน มันเกิดขึ้นมาในตอนต้น มันตัวเล็กๆ แล้วมันก็เปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนสภาพเข้ามาทุกทีๆ ถึงความเป็นคน เป็นบุคคลใหญ่ เป็นหนุ่ม เป็นสาว แล้วก็แก่

... ในระหว่างนั้นสภาพของร่างกายก็ไม่ปกติ โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน นี่เป็นอาการเปลี่ยนแปลง จัดเป็นอนิจจัง

... ทีนี้ตัวอนิจจังไม่เที่ยง มีความทุกข์ก็บังเกิดขึ้น ไอ้ความทุกข์มันเกิดขึ้นก็เพราะตัวอนิจจังนี่แหละ ไม่มีใครต้องการให้มันเป็น " นิจจัง " คือมันเที่ยงแน่นอน มีสภาพปกติ

... แต่อนิจจังมันขับรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เคลื่อนไปจากความปกติ ให้มีความเปลี่ยนแปลง แปรสภาพเสื่อมโทรมลงไปเป็นธรรมดา

... แล้วในเมื่อความเสื่อมโทรมมันปรากฏ ความทุกข์ใจของเจ้าของร่างกายก็ปรากฏ คือ โรคภัยไข้เจ็บมันก็เกิดขึ้น ความทุกข์ใจของเจ้าของร่างกายก็ปรากฏ นี่มันเป็นตัวทุกข์ อนิจจังมันทำให้ทุกข์

... ไม่มีใครจะห้ามความตาย ไม่มีใครจะห้ามความเสื่อมความสูญ ความสลายตัวได้

... คนทุกคนเกิดมาแล้วเป็นอย่างนั้น สัตว์ทุกตัวเกิดมาแล้วเป็นอย่างนั้น สภาพของวัตถุต่างๆ เป็นอย่างนั้น ตรงตามความเป็นจริงทุกอย่าง

... ซึ่งมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลก ยากนักที่จะคิดอย่างนี้ที่จะเห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ ฯ.

DHAMMASAMEE:
... นี่พระพุทธเจ้าทรงสอนกฏของธรรมดา ซึ่งคนทั้งหลายที่เกิดมาแล้ว ด้วยอำนาจของกิเลสและตัณหาเข้าไปปิดบังใจ

... ไม่ยอมรับนับถือกฏธรรมดา เช่น กระดูกนี่เป็นของปฏิกูลน่าเกลียด ร่างกายเราเมื่อสภาพการหมดไปแล้ว ก็คงมีโครงกระดูกนี่เป็นเรือนร่าง เป็นแก่นของร่างกาย

... คนและสัตว์ที่เกิดมาแล้ว ไม่มีสภาพจะคงที่ได้ ถ้ามีร่างกายบริบูรณ์สมบูรณ์ เมื่อสิ้นลมปราณแล้ว ร่างกายก็จะผุพังน้ำเหลืองจะไหล

... ธาตุดินไปส่วนหนึ่ง ธาตุน้ำไปส่วนหนึ่ง ธาตุไฟไปส่วนหนึ่ง ธาตุลมไปส่วนหนึ่ง ผลที่สุดเนื้อหนังก็จะละลายไป เหลือแต่ธาตุกระดูก

... กระดูกก็จะเป็นโครงอย่างนี้ หาความสวยไม่ได้ หาความงามไม่ได้

... อัตตภาพร่างกายอย่างนี้ มันเกิดขึ้นในเบื้องต้น มันเป็นอนิจจังคือ เปลี่ยนแปลงมาในระหว่างกลาง แล้วต่อไปก็ผุพังทำลายไปในที่สุด เป็นอนัตตาอย่างนี้

... ไม่มี นิจจัง สุขขัง อัตตา หมายความว่า นิจจังมีสภาพคงที่ สุขขังไม่มีทุกข์ อัตตามีสภาพ เป็นตัวตน ยืนยาวตลอดกาลตลอดสมัย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างนั้นไม่มีในร่างกายนี้ ฯ.

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version