เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



ผู้เขียน หัวข้อ: ความเกี่ยวข้องกันในการสร้างพระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์  (อ่าน 86694 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม

... ย่อมเป็นผู้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่า

... อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล

... อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ

... อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ

... อะไรเมื่อทำย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน หรือว่า

... อะไรเมื่อทำ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน

... เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้

... หากตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

... ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีปัญญามาก

... ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีปัญญามากนี้ คือ เป็นผู้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่า

... อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล

... อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ

... อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ

... อะไรเมื่อทำ ย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน หรือว่า

... อะไรเมื่อทำ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน ฯ

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ดูกรมาณพ ด้วยประการฉะนี้แล

... ปฏิปทา(การกระทำจนเป็นนิสัย)เป็นไปเพื่อมีอายุสั้น ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีอายุสั้น

... ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุยืน ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีอายุยืน

... ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโรคมาก  ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีโรคมาก

... ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโรคน้อย ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีโรคน้อย

... ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีผิวพรรณทราม ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีผิวพรรณทราม

... ปฏิปทาเป็นไปเพื่อเป็นผู้น่าเลื่อมใส ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนน่าเลื่อมใส

... ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีศักดาน้อย ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีศักดาน้อย

... ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีศักดามาก ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีศักดามาก 

... ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะน้อย(คนยากจนเข็ญใจ) ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีโภคะน้อย

... ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะมาก ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีโภคะมาก

... ปฏิปทาเป็นไปเพื่อเกิดในสกุลต่ำ ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนเกิดในสกุลต่ำ

... ปฏิปทาเป็นไปเพื่อเกิดในสกุลสูง ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนเกิดในสกุลสูง

... ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีปัญญาทราม ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีปัญญาทราม

... ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีปัญญามากย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีปัญญามาก


... ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตน

เป็นทายาทแห่งกรรม

มีกรรมเป็นกำเนิด

มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์

มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย

กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีต ฯ

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
 ... เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้

... สุภมาณพ โตเทยยบุตร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า


... " แจ่มแจ้งแล้ว พระเจ้าข้า แจ่มแจ้งแล้ว พระเจ้าข้า

... พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศธรรมโดยปริยายมิใช่น้อย

... เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ หรือเปิดของที่ปิด หรือบอกทางแก่คนหลงทาง

... หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่าผู้มีตาดีจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น

... ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ

... ขอพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฯ "


ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
ความฝันเทพบันดาลของพระโพธิสัตว์
โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
   
... คำว่า ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ คือ เล็งญาณดูสัตว์โลก ดูหัวใจโลกนะ ไม่ได้ดูทรัพย์สมบัติข้าวของของโลก

... ดูหัวใจ หัวใจใดที่พอจะรับอรรถรับธรรมเป็นเครื่องพยุงตนไปได้ พระองค์ก็สงเคราะห์ ไม่ว่าคนทุกข์คนจนไปหมด เป็นอย่างนั้นนะ
   
... พอพูดอย่างนี้ เราระลึกถึงท่านเจ้าคุณองค์หนึ่ง(น่าจะเป็นท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ จูม พนฺธุโล)

... ไม่ระบุชื่อท่านแหละ แหม! ชัดเจนมาก อันนี้รู้สึกว่าชัดเจนเอามาก ความฝันของท่าน ความฝันโพธิสัตว์

... ท่านบอกว่า ท่านปรารถนาพระโพธิญาณ

... ทีนี้กลางคืนท่านนอนหลับ ฝันล่ะสิบ้านนี้ท่านไม่เคยไปเลย ท่านก็ต้องเสี่ยงเอา ใครจะว่ายังไงก็ว่าเถอะ ท่านว่าอย่างนั้น

... เพราะตอนกลางคืนที่ท่านฝันนั้น พวกปลาหมอเขาเอาขังไว้ ที่หลังบ้านเขา ใส่โอ่งใหญ่ๆ ขังไว้เต็มไปหมด
   
... ทีนี้ปลาหมอโพธิสัตว์ก็ยังมี เห็นไหมล่ะ เวลานั้นไปเป็นปลาหมออยู่ เป็นเชื้อโพธิสัตว์ด้วยกัน

... พอท่านนอนหลับกลางคืนก็ฝัน ปลาหมอพาบริวารมา เดี๋ยวนี้กำลังถูกกักขังจะถูกต้มถูกแกงเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ

... นี่เห็นว่าท่านเป็นสายโพธิสัตว์ นั่นทำไมเขารู้

... นี่ล่ะอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมมันหากบอกกันเอง ทราบว่าท่านเป็นสายโพธิสัตว์

... ก็โพธิสัตว์เป็นที่ให้ความร่มเย็น ปลดเปลื้องทุกข์ทั้งหลายแก่สัตว์

... จึงต้องพากันมา มาก็บอกว่าเวลานี้ถูกกักขังอยู่ที่บ้านนั้นๆ นั่นฟังซินะ

... เขาขังไว้หลังบ้านเขา ใส่โอ่งขังไว้ ขอให้ท่านไปโปรดด้วย
   
... พอตื่นมามันฝังลึก ท่านว่า แหม! มันสะดุด เลยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เสี่ยงบ้าเสี่ยงดีเอาว่างั้น จะไปบ้านนี้

... พอตื่นขึ้นมา ท่านก็ไปเลยเชียว ไปคนก็ไม่รู้จักกันด้วยนะ

... ท่านก็บึ่งเข้าไปตรงฝัน มันฝันอะไรพึลึกพิลั่น ไปก็ไปเห็นปลาจริงๆ

... ท่านเลยขอบิณฑบาตเอาเลย เขาให้หมด นั่น

... พอพ้นภัยแล้วเอาไปปล่อยให้เห็นต่อหน้าต่อตาเลย

... นี่เป็นยังไงคำฝัน ดูซิท่านเป็นโพธิสัตว์

... แล้วพวกสัตว์อยู่ในนั้นเป็นโพธิสัตว์ก็มี เป็นหัวหน้าอยู่นั้น

... นั่นล่ะเป็นหัวหน้าที่มาหาโพธิสัตว์ด้วยกัน ตกลงก็เปลื้องชีวิตของเขาได้หมดเลย

... นี่ละเป็นคำฝันที่แปลกประหลาด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 09, 2014, 11:43:44 PM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ท่านฝันทีไรนี้รู้สึกจะแม่นยำเอามากทีเดียว อย่างที่ว่าเณรสมนั่น เณรสมที่หลุดจากนรกมาเกิด  แล้วบวชเป็นเณรอายุได้ ๑๕ ปี อันนี้ก็แบบเดียวกัน ปลานั้นก็เข้าใจกันแล้วไม่ใช่เหรอ ท่านบุกเข้าไปจนถึง เลยได้มาจริงๆ แม่นยำมากความฝันของท่านโพธิสัตว์

... ทีนี้อีกอันที่สองนี้ ก็คือ มีเณรหนึ่งตกนรก พอกรรมเบาบาง เขาก็ปล่อยออกจากนรก เหมือนกับนักโทษในเรือนจำ ผู้ใดที่มีกรรมเบาบาง เขาก็เอาออกไปใช้งานนั้นงานนี้ อันนี้ก็ลักษณะเดียวกัน พอได้โอกาสก็ขโมยหนีนรก

... เหมือนกับพวกนักโทษที่โทษเบาบางออกมาทำงานข้างนอก ขโมยหนี อันนี้ก็แบบเดียวกันให้ออกมาจากนรกมาภายนอกอย่างว่านี่แหละ
   
... ขโมยหนีมาเกิดเป็นคนอายุได้ ๑๕ ปี เขาก็บอกว่า ครู่เดียวทำไม ๑๕ ปี แล้วก็มาบวชเป็นเณรอยู่นั้น 
   
... เณรก็เณรอยู่ในวัดท่านเสียด้วยไม่ใช่ธรรมดา มากลางคืนนั้นฝันเอาอย่างพิลึกพิลั่นทีเดียว ยมบาลเขาตามมาเลยทีเดียว

... อันนี้เราก็ดูได้เขียนไว้บ้างแล้ว แต่นานๆ มานี้ก็จะลืม

... มาก็มาซักไซ้ไล่เลียงถามหาว่าเณรนั้นชื่อว่าอย่างนั้น มาอยู่ที่นี่ไหม

... บอกว่ามาอยู่แล้ว มาบวชเป็นเณร นี่มันเป็นตัวขโมยมาจากนรกพอปล่อยออกจากนรก เรียกว่า ให้อยู่ขอบนรกว่างั้นเถอะพูดง่ายๆ ให้ออกจากนรก พอกรรมของมันเบาบางบ้างแล้ว มันขโมยมานี้ มันเป็นโทษจะจับคืนไปนรกอีก

... เอ้า! เวลานี้เณรนี้กำลังบวชอยู่ก็ขอบิณฑบาต ขอให้เณรอยู่ไปได้ไหม

... โอ๋ย! ไม่ได้เรื่องของกรรม ใครจะขออะไรไม่ได้ทั้งนั้น แม้แต่ผมมานี้ ก็มาในนามของกรรม มาในนามแห่งกรรมของเณรนั้น ไม่ใช่ผมเองนั่นฟังซิ เวลาตอบ
   
... ท่านสลดสังเวช เพราะพูดกันชัดเจนทีเดียวกับยมบาล มาตัวใหญ่เท่ากุฏิว่างั้น มาทีแรก ครั้นเข้ามาๆ ขยับเข้ามา ก็มาเป็นคนธรรมดา เข้ามาหาพูดเรื่องราวอะไร อันนี้เราสรุปได้แค่นี้นะ คือ นานแล้วจำไม่ได้

... พอตื่นขึ้นมา ท่านก็เลยรีบเรียกพระมากระซิบล่ะซิ โอ๊ย! เมื่อคืนนี้ฝันเป็นยังไงมันประหลาด สลดสังเวชน่าสงสารเณร ท่านว่าอย่างนั้นนะ

... แล้วก็เล่าให้ฟัง ว่าเณรนี้ออกจากนรกมา ชื่อว่า เณรสม อายุได้ ๑๕ ปี บวชเป็นเณร นี่ยมบาลเขาตามมาแล้ว เขาจะเอาไปลงนรกตามเดิม ทีนี้เข้านรกเลยแหละ เพราะมันแหวกแนวต้องลงนรกเลย ไม่ได้อยู่ขอบนรกแหละ

... มาก็เรียกพระมากระซิบเรื่องราวเป็นอย่างนั้นๆ ให้เราทราบเฉพาะ คอยฟังเหตุการณ์ว่างั้นนะ
   
... เขาบอกจนเวล่ำเวลาเขาจะมาเอาโน่นนะ เขาไม่ได้บอกธรรมดา เขาบอกเวล่ำเวลาจะมาเอา

... เพราะฉะนั้นท่านถึงกำหนดเวลาที่เขาบอกนั้น บอกกับพระว่าเขาจะมาเวลาเท่านั้น เขาจะมาเอาเณรนี้ เอาเณรกลับคืนไปลงนรกตามเดิม ก็ทำความเข้าใจกันเฉพาะพระเท่านั้น

... ดูเหมือนประมาณสักทุ่มกว่า เณรนั้นเกิดทุรนทุรายถ่ายท้อง เห็นไหมล่ะ ถ่ายท้องเป็นประมาณๆ ถ่ายไม่หยุดไม่หย่อน
   
... สุดท้ายจะถึงเวลา ท่านเข้าไปเตือนเณร

... เอ้า! เณรจะเป็นยังไงก็เรื่องกรรมของสัตว์ มันแก้ไขไม่ได้แหละ เป็นกรรมของเณร เณรอย่าปล่อยภาวนาพุทโธนะให้ยึดพุทโธไว้ให้ดี ลงนรกก็ให้ลงไปกับพุทโธ จะได้เบาบางทุกอย่างไป

... ท่านว่าอย่างนี้ ถึงเราจะเป็นโทษเป็นกรรมในระยะนั้น เวลานี้เราก็เป็นคุณในหัวใจของเราด้วยพุทโธ ให้พยายามรักษาพุทโธไว้จนกระทั่งสิ้นลมนะ
   
... พอสอนสักเดี๋ยวก็ไปเลย ตาย มันก็ไม่ผิดอะไรใช่ไหมล่ะ ๓ ทุ่ม มาเป๋งเลย ท้องก็ดีๆอยู่ พอทุ่มกว่าๆ เริ่มถ่ายท้องแล้ว ไปถึงระยะนั้นก็ไปเลย นี่ล่ะอันหนึ่งท่านฝันเห็นไหมล่ะ

... จนกระทั่งเอาพระมากระซิบ ท่านองค์นี้ท่านเป็นโพธิสัตว์

... ท่านบอกตรงๆ เลยว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านปรารถนาพุทธภูมิมานานแล้ว จิตใจฝังอยู่กับพุทธภูมิตลอด ท่านว่า

   
... นี่ล่ะเรื่องอำนาจแห่งกรรม ที่มากระซิบในทางความฝันก็ไม่ผิดสักกิสักกีเลยนะ เวลาเท่านั้นจะมาเอา ถึงเลยเวลานั้นก็ไปเลย อย่างพวกปลาหมออยู่ในนั้นก็เหมือนกัน ก็ตามเข้าไป ไม่เคยเห็นบ้านเขาเลย บุกเข้าไปด้วยคำฝันบอก ไปก็ไปเจอจริงๆ นั่นเห็นไหม

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
พระเวสสันดรมหาโพธิสัตว์
จากหนังสือหลวงพ่อเล่าให้ฟัง
โดย พระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี

... เรื่องพระเวสสันดรนี้ คนสมัยใหม่ ค่อนขอดกันมากว่า

... " การสละลูกและเมียเป็นการเห็นแก่ตัว ผลักความลำบากไปให้ลูกเมีย เป็นการไม่ดีมากกว่าจะน่าชมเชย "

... เมื่อนำมาเรียนถามหลวงพ่อก็เล่าให้ฟัง เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2518 เป็นเรื่องยาว จะตัดและย่นย่อลงพอไห้รู้ใจความดังนี้

... พระพุทธเจ้าท่านทรงปรารถนาพุทธภูมิ ตั้งแต่สมัยเกิดเป็น มหาทุกขตะ

... ได้ฟังพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เทศน์ว่า

... " อานิสงส์ของการถวายผ้ากฐินทาน ใครจะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า อย่างตถาคตนี้ก็ได้ "

... ท่านก็เลยเอาเครื่องแต่งตัวเก่าชุดเดียวของท่าน ไปแลกได้เข็ม ๑ เล่ม กับด้าย ๑ กลุ่ม

... ร่วมทอดกฐินกับเจ้านาย แล้วตั้งจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า

... แล้วก็บำเพ็ญบารมีเรื่อยมาเป็นอสงไขยกัป จนกระทั่งเข้าเขตปรมัตถบารมี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 10, 2014, 10:17:17 AM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... มาถึงสมัยพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระพุทธกัสสป

... พระพุทธเจ้าของเราตอนนั้นเสวยพระชาติเป็น สุเมธดาบส อยู่กับลูกศิษย์ลูกหาประมาณ 500 คนในป่า

... วันหนึ่งได้ยินว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระองค์พร้อมด้วยบริวาร

... ก็ไปเฝ้าฟังเทศน์จบหนึ่ง แล้วก็ทูลอาราธนา พระพุทธกัสสป ให้ ไปโปรดที่สำนักในป่า พระองค์ก็ทรงรับ

... เมื่อถึงเวลาที่สมเด็จพระสุคต พร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหลายเสด็จมา ท่านสุเมธดาบส ออกไปรับ

... ถึงตอนไหน เป็นลำราง ไม่มีสะพาน ท่านก็ทอดตัว เป็นสะพานให้พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ เดินข้ามไปบนร่างของท่าน

... ด้วยอำนาจความดี และอำนาจของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย

... ก็ทำให้ท่านสุเมธดาบส ไม่รู้สึกหนัก

... เมื่อถึงแล้วก็ถวายอาหาร และบิณฑบาต แก่พระพุทธเจ้า

... พระพุทธเจ้า ท่านทรงทราบดีว่า

... " ฤาษีองค์นี้ปรารถนาพุทธภูมิ "

... ฉะนั้น ก่อนจะฉันอาหาร ท่านจึง เข้านิโรธสมาบัติ

... บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายเข้า ผลสมาบัติ

... นิโรธสมาบัติ กับ ผลสมาบัติ นี้ต่างกัน วิธีเข้าไม่เหมือนกัน

... นิโรธสมาบัติ เป็นเรื่องของ อริยมรรค อริยผล ไม่ใช่ ฌานโลกีย์

... ถ้าจะเข้าสมาบัติแบบฌานโลกีย์ ต้องปลดนิวรณ์ 5 ประการก่อน ตั้งจิตกำหนดลมหายใจเข้าออก หรือ ใช้คำภาวนา อย่างนี้ เรียกว่า ฌานสมาบัติ เป็นฌานโลกีย์

... สำหรับ ผลสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ ไม่ทำแบบนั้น คือ

... พระพวกนั้นไม่มีนิวรณ์ หานิวรณ์รบกวนไม่ได้อยู่แล้ว

... เวลาที่พระพุทธเจ้าจะเข้า นิโรธสมาบัติ ก็จับสมาบัติ๘ เป็นพื้นฐาน คือ เข้ารูปฌาน ๔ กำหนดผล ที่พระองค์ทรงบรรลุ คือ พระพุทธเจ้าทรงอารมณ์อยู่อย่างนี้ เรียกว่า นิโรธสมาบัติของพระพุทธเจ้า

... ส่วนบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายนั้น เข้าผลสมาบัติ คือ เข้าไม่ถึงฌาน ๔ เข้าแต่เพียง รูปฌาน คือ ฌาน ๑ ถึง ๔ แล้วแต่องค์ไหนจะเข้าแค่ไหน

... แล้วท่านก็ชำระผล ตามที่ท่านบรรลุแล้ว เป็นอรหัตผล แล้วก็ทรงฌาน อันนี้เรียกว่า สมาบัติ มีผลไม่เสมอกันนะ

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... คนที่ถวายทานกับท่านที่ออกจาก ผลสมาบัติ จะมีอาการคล่องตัวมาก ในความเป็นอยู่ เรียกว่า หากินคล่องตัว

... ทีนี้ การถวายทาน กับพระสงส์ที่เป็นพระอริยเจ้าที่ออกจากสมาบัติ ผลการครองชีพของท่าน ผู้นั้นจะมีการคล่องตัวมากขึ้น

... เป็นกรณีพิเศษ คือ จิตจะสามารถบรรลุอริยมรรคอริยผลได้ในชาติปัจจุบัน

... ทานที่ถวายกับท่าน ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ หวังมรรค หวังผล ได้โดยฉับพลัน

... หวังความร่ำรวยเป็น มหาเศรษฐีในวันนั้น มีผลไม่เสมอกัน

... เวลานี้หาพระเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้

... ที่เข้าได้เขาก็ไม่อยากเข้า เพราะคนมันไม่ควรจะได้รับผลแบบนั้น

... เมื่อพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ ออกจากสมาบัติ และฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว

... พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรดถึงอานิสง์การเป็นพระพุทธเจ้าว่า มีอะไรบ้าง เทศน์จบ

... ท่านสุเมธดาบสก็เข้าปฏิญาณตน ปรารถนาพุทธภูมิ

... พระพุทธเจ้า ก็ทรงพยากรณ์ว่า

... " นับแต่นี้ต่อไปไม่ช้านัก จะได้เป็น พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ (ของกัปนี้) เรียกว่า พระสมณโคดมพุทธเจ้า

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ในขณะนั้น มีอัครสาวกซ้ายขวา ตามเสด็จมาด้วย มีความสง่า มีรัศมีดีกว่าพระสงฆ์ทั้งหลาย

... ฉะนั้น จึงมีฤาษี ๒ ท่านด้วยกัน เข้ามากล่าวปวารณา เป็นสาวกเบื้องขวาและสาวกเบื้องซ้าย

... พร้อมกันนั้น มีผู้ชาย ๑ ผู้หญิง ๑ เข้ามาตั้งความปรารถนา จะเป็นบิดาและมารดาของพระพุทธเจ้าสมณโคดม

... สตรีท่านหนึ่งขอ เป็นภรรยาเป็นคู่บารมี

... เพราะการบำเพ็ญบารมีที่จะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องบริจาคลูกเมียให้เป็นทาน

... ก็ไม่เป็นไรจะขอสนับสนุน เมธาดาบสเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้

... แล้วก็มีผู้หญิงผู้ชายอีกคู่หนึ่งมาขออาศัยพุทธบารมีที่บำเพ็ญร่วมกันนี้ จะเป็นลูกหญิงลูกชาย ของท่านเมธดาบส

... ยอมถูกบริจาคเป็นทานเพื่อ พระโพธิญาณ

... บรรดาท่านฤาษีทั้งหลาย บริษัททั้งหลาย ที่มีความเคารพในสุเมธดาบส ก็มากราบพระพุทธเจ้าบอกว่า

... " ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายอาศัยบุญบารมีที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมานี้

ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นสาวกของท่านสุเมธดาบส ในสมัยที่ท่านบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า "

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... แล้วสมัยต่อมา ว่างจากพระพุทธเจ้า (ระหว่างพุทธันดรองค์พระพุทธกัสสปกับพุทธันดรองค์พระปัจจุบัน)

... สุเมธดาบส เกิดเป็น พระเวสสันดร

... หญิงชายคู่ที่ต้องการเป็น บิดามารดา ก็มาเกิดเป็น พระเจ้ากรุงสญชัย กับ พระนางผุสดี

... หญิงที่ปฏิญาณ เป็นคู่บารมี มาเป็น พระนางมัทรี

... อีก ๒ คนที่ปรารถนา เป็นลูก ก็มาเป็นชาลีกับกัณหา

... นี่เรื่องเดิม มีมาอย่างนี้ ต่างคน ต่างตั้งใจ จะมาเสริมสร้างบารมีให้ท่านสุเมธดาบส มาเป็นพระพุทธเจ้า

... แล้วจะว่า พระเวสสันดร เห็นแก่ตัวอย่างไร

... พระพุทธเจ้าท่านตรัสพระบาลีบทหนึ่งว่า


... กัมมัง สัตเต วิภัชชติ

กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์


... คนที่เกิดมาในโลกนี้ ต่างคนต่างมีความดีความชั่วไม่เท่ากัน ฉะนั้น

... บางคนจึงมีความอยากจนเข็ญใจ บางคนรวย

... บางคนมีวาสนาบารมีมาก บางคนมีวาสนามีบารมีน้อย

... บางคนเกิดมาในกองเงินกองทอง แต่พอพ่อแม่ตาย กลับมาขอทานเขากิน

... อาศัยที่คนเกิดมานี้ มีกรรมไม่เท่ากัน

... เราจะไปกะเกณฑ์ให้ทุกคนมีความเข้าใจเสมอกันไม่ได้ ในเรื่องของศาสนา


... แล้วบรรดาคนที่คัดค้านความดีของพระพุทธเจ้า

... จงทราบว่าคนเหล่านั้นมาจากอบายภูมิ

... เพราะว่าเวลานี้สัตว์ที่เกิดจากอบายภูมิมีอำนาจในโลก แล้วต่อไปไม่ช้ามันก็หมด

... ต่อจากนั้นก็จะมีสัตว์ที่มาจากสวรรค์และพรหมโลกมากขึ้น เพราะว่า

... พระพุทธศาสนาจะก้าวขึ้นอีกวาระหนึ่ง

... โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย เวลานี้มีพระอริยเจ้ามากแล้ว

... พระอริยเจ้ามีมากเพียงไร คนผู้รับธรรมจากพระอริยเจ้า ก็มีมากขึ้น

... โลกก็จะมีความเยือกเย็นขึ้น แต่พร้อมกันนั้น ก็จะได้พบกับบรรดาอลัชชีทั้งหลายไปด้วย


ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... อันนี้ เราต้องดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า นับแต่ปรารถนาพระโพธิญาณเป็นต้นมา

... พระองค์ก็มีแต่ความดีสร้าง ความดีทุกชาติ

... แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีผู้ลิดรอนความดีทุกชาติเหมือนกัน

... เทวทัต ก็เป็นคู่ปฏิปักษ์ที่จองเวรกันมา

... พระยามาราธิราช ผู้ปรารถนาพุทธภูมิอีกคนหนึ่ง ก็เป็นคู่จองเหมือนกัน

... ถอยหลังไป ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป

... พระพุทธเจ้า กับ เทวทัต เป็นเพื่อกัน

... พุทธเจ้าเป็นพ่อค้าสุจริต

... วันหนึ่ง ยายแก่ยากจนนำถาดทองคำมาเสนอขายแก่เทวทัต

... แกทราบดีว่า เป็นทองคำ แต่ทำเป็นดูไปดูมาบอกว่า

... " ยายถาดนี่ไม่ใช่ทองคำแท้ "

... แล้วตีราคาให้ต่ำๆ

... รุ่งขึ้น ยายแกเอาไปให้พระพุทธเจ้าดู

... ท่านตีราคาให้เท่ากับน้ำหนักทองคำที่ควรจะได้ แกก็ขายให้

... ต่อมาเทวทัตรู้เรื่องก็โกรธหาว่า ตัดหน้า แล้วประกาศ เลิกเป็นมิตร บอกว่า

... " เราจะจองล้างจองผลาญท่านทุกชาติ ไปเป็นจำนวนชาติ เท่ากับเมล็ดทรายในกำมือนี้ "

... แล้วแกก็ตามมาตัดรอนพระพุทธเจ้าทุกชาติ

... ชาติหนึ่ง พระพุทธเจ้าบำเพ็ญขันติบารมี

... เทวทัตไปเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไปเชิญดาบสมาถามว่า

... " ท่านถือขันติบารมีใช่ไหม "

... ตอบว่า " ใช่ "

... " ถ้างั้นใครทำอะไรท่านๆ ก็ไม่โกรธใช่ไหม "

... ตอบว่า " ใช่ " อีก

... พระราชาก็ลอง โดยเอามีดตัดแขนซ้ายไปข้างหนึ่ง ถามว่า

... " โกรธไหม "

... ตอบว่า " ไม่โกรธ "

... แกก็ตัดเรื่อยไป ลงท้ายเลยตัดกลางตัวขาด ถามว่า

... " โกรธไหม " ก็ตายเสียแล้ว จะไปตอบได้ยังไง

... มาในสมัย พระเวสสันดร นี่แกก็มาเกิดเป็นชูชกอีก

... นี่เรื่องพระเวสสันดรมีความเป็นมาอย่างนี้

... บรรดานักศึกษาเขาไม่มีความรู้ และครูเขาก็ไม่มีความรู้เบื้องต้น

... เมื่อลูกศิษย์ถาม ครูไม่มีความรู้ก็ตอบไม่ได้

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
ท่านท้าวมาลัยโพธิสัตว์
จากหนังสือ ตายแล้วไปไหน ตายแล้วไม่สูญ
โดย พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

... วันที่ไปเยี่ยมจาตุมหาราชที่เล่ามาแล้วนั้น ก็เลยไปดาวดึงส์ ไปยามาแล้วก็ดุสิต

... ที่ชั้นดุสิตหลวงพ่อปานมารับ ก็กราบๆ ท่าน ท่านถามว่า

... " เออ อยากพบพระศรีอาริย์ไหมล่ะ "

.. ตอบว่า " อยากจะ เจอะ จะเจอะ ยังไงได้ล่ะ "

.. ท่านบอกว่า " ไม่ต้องไปหรอก ท่านมาแล้ว "

... สวย ดุสิตนี่สวยจริง ๆ ยามาน่ะ เขาขาวพรึ่ดหมด

... ต้นไม้น่ะมีแค่ ดาวดึงส์แห่งเดียวนะ

... เทวดานักฟ้อนก็มีแต่ดาวดึงส์แห่งเดียวเพราะว่า เป็นเมืองหลวง

... ชั้นยามาสวดมนต์ตะพึด ดุสิตสวยสดงดงาม

... ไปถึงชั้นนิมมานรดี เทวดาที่ทำหน้าที่นิรมิตต่างๆเป็นชั้นที่ ๕

... ที่ว่า "ชั้น"น่ะไม่ใช่เป็นชั้นซ้อนๆ กันนะ

... เป็นพื้นเดียวอย่างโลกเรานี่แหละ แบ่งเป็นเขตเท่านั้นเอง แต่เป็นทิพย์

... ไปถึงแวะ เยี่ยมท่านแก้วจินดาก่อน ท่านแก้วจินดา ท่านก็มาด๊งเด๊ง ๆ ตามมสภาพของท่าน

... องค์นี้เคยทะเลาะกันมาเรื่อย

... ท่านถามว่า มาไงล่ะ ตอบว่า มาเที่ยวซี

... ถามท่านว่า เออ วิมาน พระยามาราธิราช อยู่ไหน หัวเราะก้ากเลย

... บอกว่า พระโง่ยังงี้ก็มีด้วย

... ถามว่า ทำไมล่ะ

... ตอบว่า ที่นี่เขาเรียก ท้าวมาลัย ครับ ที่นี่ไม่มีพระยามาราธิราชหรอก

... มีแต่สมัยพระพุทธเจ้า ชื่อแกจริงๆ ชื่อ ท้าวมาลัย เป็นหัวหน้าเทวดาชั้น ที่ 6 เป็นผู้ว่าการ

... ก็เลยไปหากัน ท่านก็ออกมารับแหม สวยแฉ่งเลย รัศมีกายผ่องใส มารับที่เขตวิมานเชียวนะ

... ที่ไปกันตอนนี้สมทบกันไปหลายชั้น จำนวนมันก็หลายหมื่นซี

... ท่านเชิญเข้าไป ไอ้หน้ามุขมันนิดเดียวแหละถามท่านว่า ขึ้นหมดรึนี่

... ท่านตอบว่า ไม่เป็นไร หรอก วิมานเทวดายืดได้ แน่ะ เก่งเสียด้วย

... ไม่เหมือนเมืองมนุษย์หรอก ตั้งแค่ไหนก็แค่นั้น มองดูกะว่า จุสัก ๒๐๐ ก็แย่แล้ว

... แต่เราเข้าไป เป็นหมื่นยังเต็มไม่ถึงครึ่ง คุยไปคุยมา


ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ถามท่านว่า ทำไมถึงไปลิดรอนพระพุทธเจ้า

... ตอบว่า ปัดโธ่ ท่านไม่รู้จักความโง่ของผม

... ถามว่า ทำไมล่ะ

... ตอบว่า ผมกลัวพระพุทธเจ้าจะเทศน์สอนเอาคนไปนิพพานเสียหมด พอเวลาผมเป็นพระพุทธเจ้าบ้างแล้ว ผมจะสอนใครล่ะ

... เราก็นึกในใจว่า โธ่ ไม่น่าโง่เลย จะขนไปยังไงหมด

... ถามท่านว่า เวลานี้ยังเป็น พระยามาร ไหม

... ท่านตอบ ไม่ ๆ ๆ ๆ พวกท่านมีหลายคน แหม เขากลัวพระยามารกันจริง ๆ

... ก็ไอ้มารอยู่ในตัวเองน่ะไม่ยักกลัว

... พระยามารนี้เวลานี้ช่วยชาวบ้าน พวกพุทธมามกะทุกคน

... พระยามารต้องบังคับให้ลูกน้องไปช่วยเหลือ คือ ที่ประคับประคอง

... พวกเรานี่แหละ จะเรียกว่า พระยามาร ไม่ได้แล้วนะ

... ต้องเรียกว่า ท้าวมาลัย

... ทีนี้ย้อนมาตอนต้น ตามตำนานที่พระพุทธเจ้าตรัส มีคนถามว่า

... ทำไม่ท่านไม่ทรมานพระยามาราธิราชล่ะ

... ท่านตอบว่า ไม่ใช่คู่ปรับกัน พระยามารนี่จองขัดคอ ให้ปั่นป่วนนิดหน่อย ไม่จองเวรแรงขนาดเทวทัต

... เมื่อสมัยนั้น ท่านเป็นคนเลี้ยงม้าด้วยกันทั้งคู่ จะม้าแข่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ซี

... ท่านไปเกี่ยวหญ้าม้ากัน เกี่ยวไปก็แยกห่างกันไปที

... ทีนี้ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เสด็จจากภูเขาคันธมาทน์

... กุฏิของท่าน มันไม่ค่อยดี ท่านต้องการ ต้นหญ้านี่ ไปผสมกับดินทาฝา เพราะพระจะเกี่ยวหญ้าเองก็ไม่ควร

... เมื่อเห็นสองคนนี้เกี่ยวหญ้า ท่านก็เหาะลงมายืนเฉย

... พระพุทธเจ้าของเรา ก็นึกในใจว่า เราเอาของเราถวายท่าน ก็เป็นการสมควร

... อยากจะเอาของเพื่อนถวายบ้างสักก้อนหนึ่ง

... แต่ถ้าเพื่อนกลับมาแล้วแสดงความไม่พอใจ ก็จะมีโทษมาก

... เพราะพระพุทธเจ้าเป็นพระที่มีบุญหนัก ก็เลยไม่ได้ถวายไป

... พอตอนเย็นกลับมารวมกัน ขนหญ้าขึ้นเกวียน ท่านก็เล่าเรื่องให้ฟัง

... เท่านั้นแหละแกโกรธหาว่า กลัวจะดีเท่าเทียม

... เอาละ ท่านไปไหนก็ตาม เราจะตามไปขัดคอ

... แต่ทุกชาติไม่ได้ขัด มาขัดเอาชาติสุดท้าย

... เมื่อพระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยออกมหาภิเนษกรมณ์ เห็นท่าไม่เป็นเรื่องแล้ว สิทธัตถะนี้ไปแน่ กูไม่ทันนี่หว่า

... แล้วก็มาขัดคอ ต่างๆ อย่างที่ทราบ กันดีอยู่แล้ว

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... มาในระยะหลังๆ ที่พระเจ้าอโศกมหาราช จะฉลองพระศาสนา

... อีตอนนั้นซี พระอุปคุต ท่านไปคุดอยู่กลางมหาสมุทร

... บรรดาพระทั้งหลายนั่งประชุมกันว่า พระเจ้าอโศกมหาราช จะฉลองพระศาสนา เจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน คราวนี้ ยังไง ๆ พระยามารต้องเล่นงานแน่ แล้วเราจะมีใครป้องกันได้บ้าง

... พระอรหันต์ตั้งสองแสนองค์ ปฏิสัมภิทาญาณก็มีอภิญญาก็มี ไม่มีใครสู้พระยามารได้หรือ ?

... สู้ได้ ไม่ใช่สู้ไม่ได้ แต่ทุกองค์บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา

... ทีนี้ในการประชุมคราวนั้น พญานาคขึ้นมาฟังด้วยพอดี

... พญาครุฑบินมาในอากาศเห็นเข้าก็จะฉะพญานาคละซี ปฏิปักษ์กันนี่ โฉบลงมา

... พญานาควิ่งพรวดเข้าไปกลางวงพระ พระทั้งหลายตกตะลึง

... บอกว่าเณร ช่วยพญานาคเดี๋ยวนี้

... เณรแกอายุ 7 ปีเท่านั้น เป็นพระอนาคามีได้อภิญญา

... พอท่านสั่ง เณรก็ยิ้ม เข้าวาโยกสิณ เอาลมหอบพยาครุฑไปเสียไกล

... พระได้ท่า บอกว่า เณรฉันบอกให้แกช่วยพญานาค แกยิ้มนั่นยิ้มเยาะพระ นี่ต้องลงทัณฑกรรม

... นั่นแน่ ไม่ใช่เล่น หาเรื่องคนเป็นที่หนึ่ง เณรก็ยอม แล้วแต่พระคุณเจ้าจะ ลงทัณฑ์

... ท่านก็สั่งว่า ถ้าอย่างนั้นเธอจงลงไปตามอุปคุตมานั่น

... ตอนแรกปรึกษากันว่า ใครจะเป็นคน ไปนิมนต์พระอุปคุต ที่จำพรรษาอยู่กลางทะเล

... พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า มีอุปคุตคนเดียวเท่านั้น ที่เป็นคู่ปรับพระยามาธิราช ปราบให้แพ้น่ะได้

... แต่คู่ปรับนี้ ต้องปราบให้แพ้ด้วย แล้วทำให้เลื่อมใส กลับเป็นคนดีด้วย

... ความประสงค์เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านจะปราบก็ปราบได้

... แต่ท่านไม่สามารถทำให้ พระยามารเป็นคนดีได้

... ตอนก่อนจะนิพพาน ท่านจึงบอกไว้ว่า พระยามาราธิราชนี้มีคู่ทรมานเป็นพระอรหันต์

... เบื้องหลัง เมื่อเรานิพพานไปแล้ว ๒๐๐ ปี มีนามว่า อุปคุต

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... พอพระอุปคุตมาถึง พระทั้งหลายก็ว่า

... " นี่อุปคุตเป็นอรหันต์แล้ว หาความสุขแต่ผู้เดียว ไม่ช่วยกันบำรุง พระพุทธศาสนา ไปเข้านิโรธสมาบัติ อยู่กลางทะเลอย่างนี้ ต้องถูกลงทัณฑกรรม "

... เอาอีกแล้ว ทัณฑกรรมเฟ้อจริงๆ

... พระอุปคุตก็ยอมรับว่า ไม่เป็นไรครับ เอาไงก็ว่ามาเถอะ

... เลยได้รับมอบหมายให้ต่อต้าน พระยามาราธิราช ในอีก ๗ วันข้างหน้า

... พระอุปคุตก็ยอม แต่ขอกินข้าวให้อ้วนเสียก่อน ไม่อ้วนนี่ ท่าจะไม่เป็นเรื่อง เอา ๗ วันก็พอ

... ตอนเช้าท่านก็เดินย่องแย่งเป็นขี้ยาเข้ามาในเมือง

... มีคนเขาบอกว่า นี่องค์นี้แหละที่เขาไปตามมาต่อต้านพระยามาร

... พระเจ้าอโศกมหาราชว่า โถ ! พระขี้ยา ผอมเหลือแต่กระดูกยังงี้หรือ จะไปต่อต้านพระยามาราธิราช ไม่ได้ต้องลอง

... เลยเอาช้างพระที่นั่ง ตัวดุที่ตกมัน มายืนดักข้างทาง

... พอพระอุปคุต คล้อยหลังก็ไสช้างไล่แทงเลย

... พระอุปคุตได้ยินเสียงข้างหลัง เอ๊ะ อะไรกันแน่

... เห็นช้างวิ่งเข้ามาใกล้ท่านก็ เอานิ้วจิ้มปั๊บ บอกว่า "หยุด" ช้างกันจ้ำเบ้าเลย นั่งเหมือนกะหินอยู่ตรงนั้น จะขี้แตก ด้วยหรือเปล่าจำไม่ได้

... พระเจ้าอโศกมหาราชเลยบอกว่า ไม่ต้องไปบิณฑบาตหรอก แล้วท่านก็เอามาเลี้ยงเสียอ้วนปี๋เลย