... พระเจ้าสัตตุตาประชา ตรัสแสดงอาทีนวโทษแห่งราคะดำกฤษณาอย่างมากมายดังนี้แล้ว
... จึงพระราชทานรางวัลแก่นายหัตถาจารย์เป็นอันมาก แล้วก็ทรงคำนึงในพระราชหฤทัยว่า
... " สัตว์ทั้งหลายในโลกสันนิวาสนี้ จักพ้นจากอำนาจราคะดำกฤษณา อันเป็นทุกข์ภัยในวัฏฏะนี้ได้ด้วยประการใด? "
... แล้วจึงทรงเห็นแท้แน่ในพระราชหฤทัยว่า
... " ธรรวมทั้งหลายอื่นนอกจากพุทธกรกธรรมแล้ว ก็ไม่เห็นว่าสิ่งไรอื่นที่จะเปลื้องตนไปให้พ้นจากวัฏฏะ "
... เพราะฉะนั้น พระองค์จึงหยั่งพระราชหฤทัยลงเที่ยง ถือเอาพระพุทธภูมิปณิธานว่า
... " เรา ได้ตรัสรู้ซึ่งพระโพธิญาณแล้ว ก็จักทำสัตว์ทั้งหลายให้รู้ด้วย เราพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารเมื่อใด ก็จักทำสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารเมื่อนั้นด้วย "
... ครั้นทรงกระทำปณิธานปรารถนา เฉพาะพระพุทธภูมิในพระราชหฤทัยด้วยประการฉะนี้แล้ว
... ก็ทรงสละสิริราชสมบัติประหนึ่งบุคคลสลัดเสียซึ่งก้อนข้าวอันคั่งค้างอยู่ปลายลิ้น สิ้นเยื่อใยในฆราวาสวิสัย พระองค์แต่ผู้เดียวเที่ยวไปสู่ป่าหิมวันต์ประเทศ แล้วทรงเพศเป็นดาบส บำเพ็ญภาวนาอยู่ตราบเท่าพระชนมายุขัยแล้ว ไปบังเกิดในพรหมโลก
... เรื่อง ในอดีตที่พรรณนามานี้ มีข้อความประการหนึ่งซึ่งควรนำมากล่าวไว้ในทีนี้ด้วย เพื่อเป็นเครื่องช่วยให้เห็นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอย่างแจ่มชัดก็ คือว่า
... พระเจ้าสัตตุตาปะราชา กลับชาติมาก็คือ องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของชาวเราพุทธบริษัททั้งหลาย
... พญามงคลหัตถี กลับชาติมาในชาติสุดท้ายภายหลัง คือ พระมหากัสสปะเถระเจ้าสังหวุฒาจารย์ ซึ่งเป็นพระมหาเถระอรหันต์สำคัญที่สุดองค์หนึ่งในศาสนาของเรานี้
... นายหัตถาจารย์ผู้ชำนาญเวทย์ กลับมาในชาติสุดท้ายภายหลัง จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจักมาตรัสในอนาคตกาล หลังจากศาสนาของสมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้า (นับจาก พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้ประมาณ ๙๙๙,๙๗๓ ปีมนุษย์ พระศรีอาริย์ฯ จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ของภัทรกัป แถวรัฐฉาน ประเทศพม่า ห่างจากชายแดนไทยไปประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ) ที่เราท่านทั้งหลายเคารพนับถือกันอยู่ทุกวันนี้ เสื่อมคลายสลายสูญไปจากโลกนี้แล้ว
... และเมื่อสมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยได้ตรัสรู้ประกาศพระศาสนาแล้ว เมื่ออีกไม่กี่วันจะปรินิพพาน พระบรมครูจักเสด็จไปที่ภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรตอันเป็นที่บรรจุศพของพระมหากัสสปเถรเจ้าแล้ว พระองค์เจ้าจักยื่นพระหัตถ์เบื้องขวาช้อนเอาซากศพของพระสังฆวุฒาจารย์ อรหันต์กัสสปนั้น ขึ้นชูไว้บนฝ่าพระหัตถ์อันประกอบด้วยจักรลักษณะแล้ว จะมีพระพุทธฏีกาตรัสแก่พระอริยสงฆ์ทั้งหลายว่า
... " ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! เธอจงพากันมองดูซึ่งซากศพนี้ นี่คือศพของผู้เป็นพี่ชายของตถาคต ซึ่งเป็นสาวกผู้ใหญ่ในศาสนาของพระสมณโคดมบรมครู (สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย เคยบวชเป็นพระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีนามว่า อชิตภิกษุ เป็นภิกษุหนุ่มมีพรรษาน้อย ฉะนั้น พระองค์จึงทรงเรียกพระมหากัสสปเถรเจ้าด้วยคำกล่าวออกนามว่า " พี่ชายของตถาคต " ในกาลครั้งนั้น) มีนามว่าพระอริยะกัสสปะเถระ เป็นผู้ทรงคุณพิเศษถือธุดงควัตร จนตราบเท่าดับขันธปรินิพพาน "
... ทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสแนะนำดังนี้แล้ว พระศรีอริยเมตไตรยบรมครูก็ทรงสรรเสริญคุณแห่งพระมหากัสสปเถรเจ้าอีกมากมาย ลึกซึ้งนักหนา ต่อหน้าพระอริยสงฆ์ทั้งหลายเป็นอันมาก
... ในขณะนั้น เปลวอัคคีก็จะบันดาลมีเกิดขึ้นเองในซากอสุภของพระเถรเจ้า แล้วก็ค่อยลามเลียลุกไหม้ศพให้สิ้นซากปราศจากเถ้าถ่าน อยู่บนฝ่าพระหัตถ์ ของสมเด็จพระสรรเพชญศรีอริยเมตไตรย ในกาลครั้งนั้นเป็นอัศจรรย์
... และด้วยเหตุนี้แล ตำรากล่าวว่าเป็นเหตุให้พระบรมศาสดาพระเมตไตรยพุทธเจ้าปรินิพพาน