เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



ผู้เขียน หัวข้อ: ความเกี่ยวข้องกันในการสร้างพระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์  (อ่าน 86933 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... " เออ...ก็มงคลราชหัตถี ท่านสามารถฝึกสอนให้รู้ดีถึงเพียงนี้แล้ว เหตุไฉน เมื่อยามแล่นไปในวันนั้น เรากดเกี่ยวเหนี่ยวไว้โดยแรงด้วยพระแสงขออันคมยิ่ง ยังไม่สามารถที่จะห้ามได้ มันเป็นเพราะเหตุใดหนอ พ่อหัตถาจารย์? "
     
... " พระเจ้าข้า เหตุไฉน พระองค์จึงตรัสดังนี้เล่า "

... ท่านอาจารย์ช้างผู้ขมังเวทย์ได้ทีจึงรับทูลตอบ


... " ขึ้นชื่อว่าราคะดำกฤษณานี้ ย่อมมีคมเฉียบแหลมยิ่ง เกินกว่าคมแห่งพระแสงขอนั้นไปร้อยพันทวี

... อนึ่ง ถ้าจะว่าช้างร้อนเล่า ขึ้นชื่อว่าร้อนแห่งเพลิงคือราคะดำกฤษณานี้ ย่อมร้อนรุ่มอยู่ในทรวงของสัตว์บุคคลอย่างเหลือร้อน ยิ่งกว่าร้อนแห่งเพลิงตามปกติเป็นไหนๆ

... อนึ่ง ถ้าจะว่าไปข้างเป็นพิษเล่า

.. ขึ้นชื่อว่าพิษคือราคะดำกฤษณานี้ ย่อมมีพิษซึมซาบฉุนเฉียวเรี่ยวแรงรวดเร็วยิ่งเกินกว่าพิษแห่งจตุรภิธภุชงค์ คือ พิษพระยานาคทั้งสี่ชาติ สี่ตระกูลเป็นไหนๆ

... เพราะเหตุนั้น ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงไม่อาจเพื่อจะเที่ยวกดพญามงคลราชหัตถี ซึ่งแล่นได้ด้วยแรงแห่งราคะดำกฤษณานั้น ให้หยุดยั้งด้วยกำลังพระแสงขอได้ พระเจ้าข้า "


... นายหัตถาจารย์ผู้เชี่ยวชาญพูดอธิบายอย่างยืดยาว
     
... " เออ...ก็ไฉนพญาคชสารนี้ จึงกลับมาโดยลำพังใจตนเอง? "

... พระเจ้าอยู่หัวทรงถามขึ้น หลังจากที่ทรงนิ่งฟังท่านอาจารย์ช้างอธิบายอยู่ นายหัตถาจารย์จึงทูลตอบว่า
     
... " พระเจ้าข้า ข้อซึ่งพญาช้างไปแล้วและกลับมานั้น ใช่ว่าจะมาโดยใจตนก็หาไม่ โดยที่แท้ กลับมาด้วยกำลังอำนาจมนตรามหาโอสถของข้าพระพุทธเจ้า "
     
... ได้ทรงสดับดังนั้น พระองค์จึงดำรัสว่า

... " ถ้ากระนั้น ท่านจงแสดงกำลังมนต์และโอสถให้เราเห็นสักหน่อยเถิดเป็นไร "


ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... นายหัตถาจารย์ผู้เรืองเวทย์ รับพระราชโองการแล้ว หวังจักสำแดงอำนาจมนต์ของตนให้ประจักษ์แก่สายตาชาวพระนคร

... จึงสั่งให้บริวารไปนำเอาก้อนเหล็กก้อนใหญ่มา แล้วให้ช่างทองเอาใส่เตาสูบ เผาด้วยเพลิงให้ก้อนเหล็กนั้นสุกแดงแล้ว

... จึงเอาคีมหยิบออกจากเตา เรียกพญาช้างเข้ามาแล้วก็ร่ายมนต์มหาโอสถประเสริฐ พลางบังคับให้คชสารจับเอาก้อนเหล็กแดงนั้นด้วยคำกำชับสั่งว่า

... " ดูกร พญานาคินทร์ผู้ประเสริฐ! ตัวท่านจงหยิบเอาก้อนเหล็กนั้นในกาลบัดนี้ แม้นเรายังไม่ได้บอกให้วาง ท่านจงอย่าได้วางเลยเป็นอันขาด "
     
... พญาคชสารตัวทรงพลัง ครั้นได้ฟังคำนายหัตถาจารย์สั่งบังคับ ก็ยื่นงวงมาจ้องจับเอาก้อนเหล็กซึ่งลุกเป็นไฟ

... แม้วาจะร้อนงวงเหลือหลาย จนงวงไหม้ลุกเป็นเปลวควันขึ้นก็ดี ก็ไม่อาจจะทิ้งก้อนเหล็กนั้นเสียได้ ด้วยกลัวต่อกำลังมนตราของนายหัตถาจารย์นั้นเป็นกำลัง

... สมเด็จพระบรมกษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นงวงคชสารถูกเพลิงไหม้อยู่เช่นนั้น ก็ทรงเกรงพญาช้างจะถึงแก่กาลมรณะ จึงดำรัสสั่งให้นายหัตถาจารย์ บอกให้พญาช้างสารทิ้งก้อนเหล็กนั้นเสีย

... แล้วทรงหวนคิดถึงราคะดำกฤษณาของพญาช้างที่ยืนอยู่ตรงพระพักตร์ พร้อมกับคำชักอุปมาอธิบายของนายหัตถาจารย์เมื่อครู่นี้ ทรงรำพึงไป ก็ยิ่งทรงสังเวชในพระราชหฤทัยแสนทวี จึงทรงเปล่งออกซึ่งสังเวชวาทีว่า

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... " โอหนอ...น่าสมเพชนักหนา

... ด้วยฝูงสัตว์มาติดต้องข้องขัดอยู่ด้วยราคะดำกฤษณา อันมีพิษพิลึกน่าสะพรึงกลัวร้ายกาจยิ่งนัก

... ราคะ คือ ความกำหนัดนี้ ย่อมมีอาทีนวโทษเป็นอันมาก

... ก็เพราะเพลิงราคะมีกำลังหยาบช้ากล้าแข็ง ร้อนรุ่มสุมทรวงสัตว์ทั้งหลายอยู่อย่างนี้

... สัตว์ทั้งหลายจึงต้องถูกราคะกิเลสย่ำยีบีฑา นำทุกข์มาทุ่มถมให้จมอยู่ในอู่แอ่งอ่าวโลกโอฆสงสาร ไม่มีวันสิ้นสุดลงได้

... เพราะราคะกิเลสนี่แล สัตว์ทั้งหลายจึงต้องไปตกนรกหมกไหม้อยู่ในมหานรกทั้งแปดขุม

... และสัตว์ทั้งหลายบางหมู่ต้องไปเกิดอยู่ในอุสสุทนรกบริวารมีประมาณร้อยยี่สิบแปดขุม

... อนึ่ง เพราะอาศัยราคะกิเลสนี้ สัตว์ทั้งหลายจึงต้องทนทุกขเวทนาอยู่ในเปติวิสัยภูมิ

... และสัตว์ทั้งหลายบางหมู่ต้องไปเกิดอยู่ในกำเนิดเดียรฉาน สัตว์ทั้งหลายที่ต้องบ่ายหน้าไปสู่อบายภูมิ ก็เพราะอาศัยราคะดำกฤษณาเป็นประการสำคัญ ฉะนั้นจึงน่าสมเพชนัก "

     
... ครั้นทรงแสดงสังเวชวาทีฉะนี้แล้ว สมเด็จพระบรมกษัตริย์หน่อพระพุทธางกูร จึงตรัสแสดงอาทีนวโทษแห่งราคะดำกฤษณาต่อไปว่า
     
... " บรรดาสัตว์ทั้งหลายในโลกสันนิวาสนี้ เพราะอาศัยราคะดำกฤษณาย่อมเบียดเบียนบีฑาซึ่งกันและกัน เป็นต้นว่า

... บิดาย่อมเบียดเบียนบุตร บางทีฆ่าเสียก็มี

... บุตรย่อมเบียดเบียนบิดา บางทีฆ่าเสียก็มี

... บิดาย่อมเบียดเบียนธิดาตน เพราะร้อนรนด้วยราคะกฤษณาก็มี
     
... อนึ่ง  ฝูงสัตว์ในโลกสันนิวาสนี้เพราะร้อนด้วยราคะย่อมเบียดเบียนซึ่งกันและกัน เป็นต้นว่า

... บุตรย่อมเบียดเบียนชนนี บางทีฆ่าเสียก็มี

... ชนนีย่อมเบียดเบียนบุตร บางทีฆ่าเสียก็มี

... บางทีพี่ชายมุ่งหมายปองร้าย ราวีตีรันฟันฆ่าน้องชายของตนให้ตายก็มี

... บางมีพี่หญิงย่อมบีฑาฆ่าน้องสาว ที่สืบกษิรมารดาเดียวกันมาก็มี

... บางทีหลานสาวบีฑาลุงตัวให้ตายก็มี

... บางทีลุงลุ่มหลงลงทัณฑกรรมบีฑาหลานสาวตนเองก็มี

... บางทีภัสดาย่อมบีฑาโบยรันฟันแทงภริยาตน ให้ถึงตายก็มี

... บางทีภริยาบีพ่าฆ่าตีสามีตน ให้ถึงตายก็มี
     
... สัตว์ทั้งหลายเห็นเช่นนี้ เพราะอาศัยความร้อนแห่งพลังราคะดำกฤษณามาบีฑา ให้ระทมตรมทุกข์ ถึงซึ่งความพินาศนานาประการ

... แม้แต่บุตร ธิดา มารดา บิดา และภรรยาสามีที่แสนรักนักหนาแล้ว ยังเบียดเบียนบีฑากันเพราะอำนาจราคะกิเลสเป็นมูลฐาน มากกว่ามากสุดประมาณ
     
... อีกประการหนึ่ง ฝูงสัตว์ในโลกสันนิวาสนี้ เพราะอาศัยอำนาจราคะดำกฤษณา บางคราย่อมจ่ายทรัพย์สินไปในทางไร้ประโยชน์

... บางทีย่อมเสื่อมจากยศและเกียรติคุณ

... บางทีย่อมประกอบกรรมทำสิ่งที่เป็นโทษ

... บางทีย่อมทำความสุขให้เสื่อมสิ้นทุกเมื่อ และให้ใจเชือนเบือนเบื่อจากกุศล ห้ามทางข้างฝ่ายสุคติภพ

... บางทีให้ลุอำนาจแก่ความโลภและความโกรธ และให้เจริญโทษทุกภพทุกชาติที่เกิด ให้ถือกำเนิดในอบายภูมิทั้งสี่

... เพียงเท่านี้ก็หาไม่ ฝูงสัตว์ทั้งหลายในโลกสันนิวาสนี้ เพราะอาศัยอำนาจราคะดำกฤษณา บางคราย่อมทำตนให้พินาศจากศีลสมาทาน

... บางกาลย่อมทำตนให้เสื่อมจากภาวนาสมาธิจิตเป็นนิจกาล

... ก็อันว่าความอากูลด้วยราคะกิเลส ย่อมเป็นเหตุให้เกิดอาทีนวโทษให้เสวยทุกข์มากกว่ามาก

... และเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายต้องเศร้าหมองมีประการต่างๆ อย่างพรรณนามา ฉะนี้ "


ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... พระเจ้าสัตตุตาประชา ตรัสแสดงอาทีนวโทษแห่งราคะดำกฤษณาอย่างมากมายดังนี้แล้ว

... จึงพระราชทานรางวัลแก่นายหัตถาจารย์เป็นอันมาก แล้วก็ทรงคำนึงในพระราชหฤทัยว่า

... " สัตว์ทั้งหลายในโลกสันนิวาสนี้ จักพ้นจากอำนาจราคะดำกฤษณา อันเป็นทุกข์ภัยในวัฏฏะนี้ได้ด้วยประการใด? "

... แล้วจึงทรงเห็นแท้แน่ในพระราชหฤทัยว่า

... " ธรรวมทั้งหลายอื่นนอกจากพุทธกรกธรรมแล้ว ก็ไม่เห็นว่าสิ่งไรอื่นที่จะเปลื้องตนไปให้พ้นจากวัฏฏะ "

... เพราะฉะนั้น พระองค์จึงหยั่งพระราชหฤทัยลงเที่ยง ถือเอาพระพุทธภูมิปณิธานว่า
     
... " เรา ได้ตรัสรู้ซึ่งพระโพธิญาณแล้ว ก็จักทำสัตว์ทั้งหลายให้รู้ด้วย เราพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารเมื่อใด ก็จักทำสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารเมื่อนั้นด้วย "
     
... ครั้นทรงกระทำปณิธานปรารถนา เฉพาะพระพุทธภูมิในพระราชหฤทัยด้วยประการฉะนี้แล้ว

... ก็ทรงสละสิริราชสมบัติประหนึ่งบุคคลสลัดเสียซึ่งก้อนข้าวอันคั่งค้างอยู่ปลายลิ้น สิ้นเยื่อใยในฆราวาสวิสัย พระองค์แต่ผู้เดียวเที่ยวไปสู่ป่าหิมวันต์ประเทศ แล้วทรงเพศเป็นดาบส บำเพ็ญภาวนาอยู่ตราบเท่าพระชนมายุขัยแล้ว ไปบังเกิดในพรหมโลก
     
... เรื่อง ในอดีตที่พรรณนามานี้ มีข้อความประการหนึ่งซึ่งควรนำมากล่าวไว้ในทีนี้ด้วย เพื่อเป็นเครื่องช่วยให้เห็นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอย่างแจ่มชัดก็ คือว่า
     
... พระเจ้าสัตตุตาปะราชา กลับชาติมาก็คือ องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของชาวเราพุทธบริษัททั้งหลาย
     
... พญามงคลหัตถี กลับชาติมาในชาติสุดท้ายภายหลัง คือ พระมหากัสสปะเถระเจ้าสังหวุฒาจารย์ ซึ่งเป็นพระมหาเถระอรหันต์สำคัญที่สุดองค์หนึ่งในศาสนาของเรานี้
     
... นายหัตถาจารย์ผู้ชำนาญเวทย์ กลับมาในชาติสุดท้ายภายหลัง จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจักมาตรัสในอนาคตกาล หลังจากศาสนาของสมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้า (นับจาก พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้ประมาณ ๙๙๙,๙๗๓ ปีมนุษย์ พระศรีอาริย์ฯ จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ของภัทรกัป แถวรัฐฉาน ประเทศพม่า ห่างจากชายแดนไทยไปประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ) ที่เราท่านทั้งหลายเคารพนับถือกันอยู่ทุกวันนี้ เสื่อมคลายสลายสูญไปจากโลกนี้แล้ว

... และเมื่อสมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยได้ตรัสรู้ประกาศพระศาสนาแล้ว เมื่ออีกไม่กี่วันจะปรินิพพาน พระบรมครูจักเสด็จไปที่ภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรตอันเป็นที่บรรจุศพของพระมหากัสสปเถรเจ้าแล้ว พระองค์เจ้าจักยื่นพระหัตถ์เบื้องขวาช้อนเอาซากศพของพระสังฆวุฒาจารย์ อรหันต์กัสสปนั้น ขึ้นชูไว้บนฝ่าพระหัตถ์อันประกอบด้วยจักรลักษณะแล้ว จะมีพระพุทธฏีกาตรัสแก่พระอริยสงฆ์ทั้งหลายว่า
     
... " ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! เธอจงพากันมองดูซึ่งซากศพนี้ นี่คือศพของผู้เป็นพี่ชายของตถาคต ซึ่งเป็นสาวกผู้ใหญ่ในศาสนาของพระสมณโคดมบรมครู (สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย เคยบวชเป็นพระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีนามว่า อชิตภิกษุ เป็นภิกษุหนุ่มมีพรรษาน้อย ฉะนั้น พระองค์จึงทรงเรียกพระมหากัสสปเถรเจ้าด้วยคำกล่าวออกนามว่า " พี่ชายของตถาคต " ในกาลครั้งนั้น) มีนามว่าพระอริยะกัสสปะเถระ เป็นผู้ทรงคุณพิเศษถือธุดงควัตร  จนตราบเท่าดับขันธปรินิพพาน "
   
... ทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสแนะนำดังนี้แล้ว พระศรีอริยเมตไตรยบรมครูก็ทรงสรรเสริญคุณแห่งพระมหากัสสปเถรเจ้าอีกมากมาย ลึกซึ้งนักหนา ต่อหน้าพระอริยสงฆ์ทั้งหลายเป็นอันมาก

... ในขณะนั้น เปลวอัคคีก็จะบันดาลมีเกิดขึ้นเองในซากอสุภของพระเถรเจ้า แล้วก็ค่อยลามเลียลุกไหม้ศพให้สิ้นซากปราศจากเถ้าถ่าน อยู่บนฝ่าพระหัตถ์ ของสมเด็จพระสรรเพชญศรีอริยเมตไตรย ในกาลครั้งนั้นเป็นอัศจรรย์

... และด้วยเหตุนี้แล ตำรากล่าวว่าเป็นเหตุให้พระบรมศาสดาพระเมตไตรยพุทธเจ้าปรินิพพาน

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
คัมภีร์พระอนาคตวงศ์
สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
... ตามที่ปรากฏหลักฐานในพระอนาคตวงศ์ เรื่องการเกื้อกูลกันในการสร้างพระโพธิญาณ ของพระเมตไตรยโพธิสัตว์กับพระสุมงคลโพธิสัตว์ความว่า

... ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้า เสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานคร

... วสนฺโต เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพระพรรษาอยู่ในบุพพารามอันนางวิสาขาสร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิ

... ครั้งนั้น พระองค์ทรงปรารภซึ่งพระอชิตะเถระผู้หน่อบรมพุทธางกูร(ลูกชายพระเจ้าอชาตศัตรู)ให้เป็นเหตุ

... พระบรมโลกเชษฐ์  จึงตรัสพระธรรมเทศนาสำแดงซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐พระองค์ อันจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล (นับระยะกาลจากสมัยองค์พระปัจจุบันถึงสมัยพระสุมงคลพุทธเจ้า มีระยะเวลา ๕ อสงไขย ๕๐๐,๐๐๐ กัป และหนึ่งอสงไขย พระท่านว่า มีหนึ่งหมื่นล้านกัป และ กัปหนึ่ง กินระยะเวลาไม่ต่ำกว่า ๘๐ ล้านปี)
     
... ครั้งนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร จึงกราบทูลอาราธนาสมเด็จพระทศพล ให้ทรงแสดงอดีตนิทานแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ พระองค์ที่จะลงมาตรัสรู้ในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไป เป็นใจความว่า
     
... หลังจากสิ้นศาสนาตถาคตไปแล้วหนึ่งพันห้าร้อยปี ผู้คนมีจิตใจหยาบช้าไม่เคารพในศีลห้า  ชอบฆ่าสัตว์ ลักขโมย ผิดลูกเมียคนอื่น ชอบพูดโกหก ชอบดื่มสุราเมรัยเครื่องดองของเมา ยาเสพย์ติดให้โทษนานา   
     
... พระอาทิตย์จะร้อนแรงแผดเผาน้ำในมหาสมุทรให้แห้งเหือด ต้นไม้ใบหญ้าก็แห้งกรอบจนเกิดเป็นไฟลุกไหม้ไปทั่วโลก มนุษย์แลสัตว์ทั้งหลายก็ตายจนหมดสิ้น

... โลกจะร้าง ไม่มีต้นไม้ กอหญ้า มนุษย์และสัตว์ มหาสมุทรก็แห้งเหือดไม่มีน้ำจนครบพันปี

... หลังจากนั้นจะมีฝนตกใหญ่ในมนุษย์โลก จนน้ำในแม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง และมหาสมุทรเต็มเปี่ยม พื้นโลกชุ่มชื้นขึ้น

... ก็บังเกิดมีต้นไม้ ต้นหญ้างอกงาม จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้ทั้งหมด

... หลังจากโลกกลายเป็นป่าไม้เขียวชอุ่มทั้งโลกแล้ว ประมาณหนึ่งหมื่นปี ก็บังเกิดมีมนุษย์มาเกิดในโลก 

... ในยุคนั้น มนุษย์ทั้งหลายไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด แต่เป็นโอปปาติกะผุดเกิดเป็นตัวตนขึ้นมาด้วยอำนาจบุญกรรมของแต่ละคน (คนยุคแรกๆ จะเป็นพรหมและเทวดาที่หมดบุญมาเกิดกัน) 
     
... ยุคนั้น ยังไม่มีพระจันทร์และพระอาทิตย์ส่องสว่าง มนุษย์ทั้งหลายอาศัยรัศมีแสงสว่างอันเกิดจากอำนาจบุญของตัวเอง

... ในระยะแรกมนุษย์ทั้งหลายมีอาหาร คือ ธรรมปีติ เพราะจุติมาจากพรหมและเทวดา

... เมื่อโลกมีมนุษย์บริบูรณ์  มีพระอาทิตย์ ดวงจันทร์ นับระยะจากที่มีมนุษย์มาบังเกิดในโลกประมาณ ๙๘๕,๐๓๑ ปี

... เป็นกาลสมควรที่ท่านปรีชาทรงธรรมบรมโพธิสัตว์ หรือที่เราชาวพุทธรู้จักท่านในชื่อว่า พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ซึ่งขณะนี้ท่านพักอยู่ที่สวรรค์ชั้น ดุสิต

... พระองค์อันเหล่าเทวดาและพรหมทั้งหลาย มีท้าวสหัมบดีมหาพรหมและท้าวสักกะเทวราชเป็นประธาน ทูลอาราธนาแล้ว จักจุติมาตรัสเป็น สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ครั้งนั้น กรุงเกตุมดีมหานคร (ปัจจุบันพระท่านว่าคือเขตแถวๆ พระเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง) โดยยาวได้เจ็ดโยชน์ โดยกว้างได้ ๑๒ โยชน์ มีแก้วเจ็ดประการประกอบเป็นกำแพงแก้วเจ็ดชั้นโดยรอบพระนคร 
   
... ครั้งนั้น มหานฬกาลเทวบุตร ก็จุติลงมาเกิดเป็นสมเด็จบรมจักรพรรดิทรงพระนามว่า สมเด็จพระสังขจักรบรมจักรพรรดิ 

... เสวยสิริราชสมบัติในกรุงเกตุมดีมหานคร ในท่ามกลางเมืองนั้น มีปรางค์ปราสาทอันแล้วด้วยแก้วเจ็ดประการ ผุดขึ้นมาแต่มหาคงคาลอยมายังนภาดลอากาศเวหามาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร

... ปรางค์ปราสาทนี้แต่กาลก่อนเป็นปรางค์ปราสาทแห่งสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ ครั้นสิ้นบุญสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทแล้ว ปรางค์ปราสาทก็จมลงไปในคงคา

... เมื่อสมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมจักรพรรดิเสวยสิริราชสมบัติ ปรางค์ปราสาทก็ผุดขึ้นมาด้วยอานุภาพแห่งบุญญาธิการ

... ก็ภายในปราสาทอันเป็นที่ประทับ แวดล้อมด้วยหมู่พระสนมแสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณแปดหมื่นสี่พันนาง มีพระราชโอรสประมาณพันพระองค์พระราชโอรสองค์ใหญ่นั้น ทรงพระนามว่า อชิตะราชกุมาร

... เจ้าอชิตะราชกุมารนั้นทรงเป็นปรินายกแก้วแห่งสมเด็จพระราชบิดาผู้เป็นพระยาบรมสังขจักร อันบริบูรณ์ไปด้วยแก้วเจ็ดประการ คือ จักรแก้ว๑ นางแก้ว๑ แก้วมณีโชติ๑ ช้างแก้ว๑ ม้าแก้ว๑ คหบดีแก้ว๑  ปรินายกแก้ว๑ 

... อันว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดินั้นย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ เป็นที่เกษมสานต์ยิ่งนักเหลือที่จะพรรณนา

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ฝ่ายว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้

... มีนามปรากฏว่า  สุพรหมา  นางพราหมณีผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพรหมวดี

... ในกาลนั้น ท่านปรีชาทรงธรรมบรมโพธิสัตว์ รับอาราธนาจากบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายแล้ว ก็จุติลงมาจากดุสิตเทวโลก

... ลงมาถือกำเนิดในครรภ์แห่งนางพรหมวดี ภรรยาแห่งมหาปุโรหิตพราหมณ์ผู้ใหญ่ ในวันเพ็ญเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง  พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลายสิบสองประการ คือ เหล่าเทพดาพากันทำสักการะบูชา ดังห่าฝนตกลงในกลางอากาศ

... แล้วมีปรางค์ปราสาททั้งสามผุดขึ้นมา เพื่อจะให้เป็นที่สำราญแห่งพระบรมโพธิสัตว์ปราสาทหลังที่หนึ่งชื่อว่า ศิริวัฒนะ หลังที่สองชื่อว่าสิทธัตถะ หลังที่สามชื่อว่าจันทกะ

... ปรางค์ปราสาททั้งสามนี้เป็นที่จำเริญพระสิริสวัสดิมงคล ควรจะให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ปรากฏงามดังดวงพระจันทร์ แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันหอมมิรู้ขาด  เดียรดาษไปด้วยนางนาฏสนมประมาณเจ็ดแสนคน

... ส่วนมเหสีแห่งพระเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระนามว่า  จันทมุขี  เป็นประธานแห่งนางบริวารทั้งหลายเจ็ดแสน

... มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า  พราหมณ์วัฒนะกุมาร
     
... พระมหาบุรุษผู้ประเสริฐทรงพระเกษมสำราญอยู่ในปราสาททั้งสาม  ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้
     
... เมื่อพระเมตไตรยมหาสัตว์เจริญวัย ทรงเป็นปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรบรมจักรพรรดิแทนที่บิดา

... จนพระองค์มีพระชนมายุสองหมื่นปี ได้เสด็จขึ้นสู่รถแก้วอันเป็นทิพย์วิมาน มีสิริหาเสมอมิได้ เสด็จไปประพาสอุทยานทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ ประการนี้เป็นเทวทูตคือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะแล้ว
     
... หลังจากนั้นเมื่อกลับมาถึงปราสาท ทรงใคร่ครวญถึงภาพคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ที่ได้เห็นตอนกลางวันนั้น จิตใจก็เกิดความสลดใจ ความเบื่อหน่ายก็ตัดสินใจออกบวชแสวงหาพระโพธิญาณ
     
... มีพระทัยน้อมไปในบรรพชา พิจารณาเห็นเพศสมณะเป็นอารมณ์ ในขณะนั้นอันว่าปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญยับยั้งอยู่นั้นก็ลอยไปในอากาศ พร้อมทั้งพระราชโอรสและหมู่นางกัลยาทั้งหลายไปกับปรางค์ปราสาท 
     
... ครั้งนั้นเปรียบประดุจดังว่า พญาหงส์ทองบินไปในเวหา ฝ่ายฝูงเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชา ต่างเหาะตามมากระทำสักการะบูชาในอากาศเนืองแน่นกันมากเป็นอเนกอนันต์

... เหล่าพวกอสูรทั้งหลายก็เข้าแวดล้อมพิทักษ์รักษาปรางค์ปราสาท ฝ่ายพญานาคราชนั้นกระทำสักการะบูชาด้วยแก้วมณี พญาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี อันเป็นเครื่องประดับตน เหล่าคนธรรพ์ทั้งหลายนั้นกระทำสักการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ฟ้อนรำมีประการต่างๆ 
     
... เมื่อพระเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์นั้น ฝูงเทพดา  อินทร์พรหมยมยักษ์และมนุษย์นาคครุฑคนธรรพ์ทั้งหลาย กระทำสักการะบูชา

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ครั้นเสด็จถึงควงไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ์ คือ ต้นกากะทิง แล้ว

... ปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศในที่ใกล้ปริมณฑลไม้มหาโพธิ์นั้น 

... ฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวพัตร์กับเครื่องบริขารทั้งแปดน้อมเข้าไปถวายพระบรมโพธิสัตว์แล้ว

... พระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศาให้ขาดแล้วก็โยนขึ้นไปในอากาศ ก็ถือเอาเครื่องบริขารทั้งแปดประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว ส่วนว่าบริวารทั้งหลายนั้น ก็ชวนกันบวชตามสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก
     
... ฝ่ายพระมหาบุรุษเมตไตรยเจ้านั้น กระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระศรีมหาโพธิ์สิ้นประมาณ ๗ วัน 
     
... ในเมื่อเวลาเย็น พระองค์ก็เสด็จเข้าสู่ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ ทรงนั่งเหนือสันถัตหญ้า แล้วทรงเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐานจนได้ฌาน ๘
     
... ในยามแรกทรงได้ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ ระลึกชาติของพระองค์เองได้โดยไม่มีจำกัด ตั้งแต่ครั้งแรกเริ่มปรารถนาโพธิญาณ รู้ว่าปรารถนาพุทธภูมิกับพระพุทธเจ้าพระองค์ใดบ้าง และพระพุทธเจ้าแต่ละองค์สอนว่าอย่างไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น
     
... ครั้นล่วงเข้ามัชฌิมยามทรงเห็นซึ่งการเกิดและการตายของสัตว์ทั้งหลายด้วยทิพจักษุญาณ 
     
... ล่วงไปในปัจฉิมยามที่สุดนั้น พระองค์ทรงพิจารณาซึ่งปัจจยาการอันประกอบไปด้วยองค์ ๑๒ ประการ ตามกระแสพระปฏิจจสมุปบาทธรรมด้วยสามารถอนุโลมและปฏิโลม และทรงหยั่งปัญญาใคร่ครวญในปัญจขันธ์โดยความเป็นอนิจจํ คือ หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ทุกขํ โดยความเป็นทุกข์ทนได้ยากยิ่ง อนตฺตา โดยความที่มันต้องแตกดับสลายตัวไปในที่สุด
     
... เมื่อเช้าตรู่แสงสุรีย์จับขอบฟ้า ก็ได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ ทรงพระนามชื่อว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ   
     
... ปางเมื่อ สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงพระธรรมจักรนั้น มนุษย์ เทวดาและพรหมทั้งหลายประมาณสามแสนโกฏิ ได้ธรรมาภิสมัย(คือ ได้เป็นพระอรหันต์) ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรส คือ พระนิพพานอันมิรู้แก่รู้ตาย 

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... พระองค์มีพระกายสูงได้ ๘๐ ศอก พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้าทรงประกอบไปด้วยพระฉัพพรรณรังสีรัศมีหกประการ สว่างออกจากพระสรีระกายเป็นอันงาม ประดุจดังว่าท่อธารสุวรรณธาราอันไหลหลั่งออกมา ข่มแสงสว่างแห่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์แผ่ไปในหมื่นจักรวาลส่องสว่างอยู่เป็นนิตย์ทีเดียว 

... มนุษย์ทั้งหลายไม่อาจกำหนดรู้กลางวันและกลางคืน พระพุทธรัศมีพระพุทธเจ้าจักดำรงในโลกอยู่เป็นนิตย์ มนุษย์ทั้งปวงทราบว่าเวลานี้เป็นเวลาเย็นซึ่งเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์อัสดงคตแล้ว ด้วยเสียงของนกในเวลากลับมาสู่รังนอน และด้วยปลายกลีบดอกประทุมแลปลายกลีบดอกไม้หุบ รู้ว่าเวลานี้เป็นเวลาเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น ด้วยเสียงร้องของนกที่บินออกหากิน และด้วยปลายกลีบดอกไม้บาน ฯ
     
... ครั้งนั้นดอกประทุมใหญ่มีประมาณสามสิบศอกชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นมารับฝ่าพระบาทที่ทรงเหยียบย่างไปแล้วทุกๆ ก้าวพระบาทที่ทรงเสด็จไป
     
... สมัยนั้น มนุษย์ทั้งปวงไม่ต้องเป็นชาวนาไม่ต้องเป็นพ่อค้า ไม่มีโรคเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยสุขทุกเมื่อ มีสติระลึกถึงพระพุทธคุณเป็นอารมณ์เนืองๆ ด้วยเดชานุภาพแห่งพระพุทธคุณนั้น มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภคซึ่งโภชนาหารแห่งข้าวสาลีอันบังเกิดมีมาเอง ได้ประดับประดาสรีระกายและผ้านุ่งผ้าห่มเครื่องอาภรณ์ต่างๆแต่ต้นกามพฤกษ์(ต้นกัลปพฤกษ์นี้ พระท่านว่าเกิดขึ้นในวันประสูติของพระมหาสัตว์และเกิดมีทั่วทุกสถานในโลก) ประพฤติเลี้ยงชีวิตอยู่เป็นสุข
     
... อันว่า องค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเจ้าทรงสร้างพระบารมีมาสิ้นกาลช้านานถึง ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัป

... มีทาน ศีลบารมีอันเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ กองพระบารมีทั้งหลายที่สำเร็จเป็นองค์พระสรรเพชญพุทธเจ้านั้น คือ พระบารมีของพระองค์ครั้งหนึ่งปรากฏชัดเจน เป็นปรมัตถบารมีอันยิ่งยอดกว่าพระบารมีทั้งปวง

... อันสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา จึงทรงแสดงซึ่งนิทานแห่งกองพระบารมีของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย มาตรัสพระธรรมเทศนาแก่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ความว่า

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... อตีเต กาเล ในกาลล่วงมาแล้วช้านาน(นับถอยหลังจากปัจจุบันห้า-หกอสงไขย) มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามชื่อว่า สมเด็จพระสิริมิตตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสในโลก 
     
... ครั้งนั้นพระเมตไตรยได้เสวยสิริราชสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในเมืองอินทปัตถมหานคร ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักรบรมจักรพรรดิ

... มีแก้วเจ็ดประการคือ จักรแก้ว แก้วมณี ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนคลังแก้ว และนางแก้ว 
     
... อินทปัตถมหานครนั้นมีความยาวเจ็ดโยชน์ กว้างสามโยชน์ มีต้นกัลปพฤกษ์สี่ต้นเกิดที่ประตูเมืองทั้งสี่แห่ง ปราสาทเหล่านี้มีพื้นเจ็ดชั้น สูงสองโยชน์ บังเกิดในท่ามกลางพระนคร พระยาสังขจักรเสวยราชสมบัติในปราสาทนั้น

... พระสิริมิตตพุทธเจ้า เสด็จอุบัติในโลก ที่ประทับของพระพุทธเจ้าอยู่ห่างจากอินทปัตถมหานคร ๑๖ โยชน์

... พระเจ้าสังขจักรนั้น มิได้ทราบถึงการอุบัติของพระพุทธเจ้าสิริมิตตสัพพัญญูพระองค์นั้น
     
... อยู่มาในกาลวันหนึ่ง เมื่อพระบารมีกล้าขึ้นแล้ว พระเจ้าสังขจักรเสด็จประทับนั่งอยู่ภายใต้เศวตฉัตรมีพระทัยปรารถนาว่า 
     
... " ผู้ใดมาบอกข่าวแห่งพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะบังเกิดมีแล้ว พระองค์จะสละสิริราชสมบัติให้แก่บุคคลผู้นั้น แล้ว พระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังสำนักแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น "
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 29, 2014, 12:48:07 AM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ในกาลนั้น ยังมีกุลบุตรเข็ญใจผู้หนึ่ง(กุลบุตรผู้นี้มิใช่อื่นไกล คือ ช้างปาริไลยกะโพธิสัตว์ ชาติที่เกิดเป็นกุลบุตรผู้เข็ญใจนี้อยู่ในช่วงบารมีต้น) ได้บรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา ด้วยมารดาของสามเณรนั้นเป็นทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่ง 

... สามเณรนั้นคิดแสวงหาทรัพย์จะไปให้แก่มารดาเพื่อจะให้พ้นจากทาสทาสี  จึงเที่ยวไปโดยลำดับจนถึงกรุงอินทปัตถมหานคร

... ฝูงมหาชนชาวพระนครไม่รู้จักว่าสามเณรนั้นเป็นอย่างไร ครั้นเห็นเข้าก็สงสัยว่ามหายักษ์ พากันจับไม้ไล่ทุบตีสามเณร

... สามเณรกลัวก็วิ่งหนีมหาชนไปถึงพระราชวัง ไปยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระเจ้าสังขจักร พระองค์จึงตรัสถามว่า
     
... " มาณพนี้ มีนามชื่อใด " 
     
... เจ้าสามเณรกราบทูลว่า
     
... " อาตมาภาพมีนามชื่อว่า  สามเณร " 
     
... จึงตรัสถามว่า 
     
... " ชื่อว่าสามเณรนั้น ด้วยเหตุดังฤา " 
     
... สามเณรจึงทูลว่า 
     
... " มีนามว่าสามเณรนั้น  ด้วยเหตุว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำบาปภายนอก แล้วตั้งอยู่ภายในกุศล เหตุดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีนามชื่อว่าสามเณร "     
     
... พระองค์ก็ทรงตรัสถามว่า 
     
... " นามกรของท่านนั้นผู้ใดให้แก่ท่าน "
     
... สามเณรจึงทูลว่า 
     
... " พระอาจารย์ของอาตมาให้แก่อาตมา "   
     
... พระองค์จึงตรัสถามว่า 
     
... " พระอาจารย์ของท่านนั้นชื่อดังฤา "   
     
... สามเณรจึงทูลว่า
     
... " อาจารย์ของอาตมาท่านมีนามชื่อว่า ภิกษุ "   
     
... จึงตรัสถามต่อไปว่า 
     
... " พระอาจารย์ของท่านมีนามชื่อว่าภิกษุนั้น ด้วยเหตุดังฤา "   
     
... สามเณรจึงกราบทูลว่า 
     
... " อาจารย์ของข้าพเจ้านั้นเป็นชื่อ สังฆะรัตนะ  อันเป็นแก้วหาค่ามิได้ "   

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ครั้นทรงสดับว่า

... " พระสังฆรัตนะ "

... ในพระพุทธศาสนาหาได้เป็นอันยากยิ่งนัก  พระองค์ทรงมีความยินดีหาที่จะอุปมามิได้  คำนึงอยู่ในพระราชหฤทัยว่า 
     
... " จะเสด็จลงจากอาสน์ไปนมัสการเจ้าสามเณร "   
     
... เดชะที่พระองค์ทรงมีความเลื่อมใสในพระสังฆรัตนะ  ดอกปทุมชาติก็บังเกิดผุดขึ้นรองรับพระองค์เอาไว้มิได้เป็นอันตราย จึงถวายนมัสการเจ้าสามเณรโดยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว จึงตรัสถามเจ้าสามเณรต่อไปว่า 
     
... " พระสังฆรัตนะอาจารย์ของท่านนั้น บุคคลผู้ใดให้นามกร "   
     
... เจ้าสามเณรก็ทูลว่า 
     
... " องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสิริมิตตสัพพัญญู พระองค์โปรดประทานนามให้ชื่อว่า พระสังฆรัตนะ แก่พระอาจารย์ของอาตมา "   
     
... เมื่อสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ผู้ทรงพระอุตสาหะในพระศาสนา ได้ทรงฟังสามเณรออกวาจาว่า " พุทโธ " ซึ่งเป็นเสียงที่ได้ยินยากยิ่งในหลายโกฏิกัปแล้ว พระองค์ก็ถึงวิสัญญีภาพสลบลงอยู่กับที่ ครั้นพระองค์ได้พระสติขึ้นมา  จึงตรัสถามสามเณรอีกว่า 
     
... " ดูก่อนเจ้าสามเณรผู้เจริญ บัดนี้พระพุทธเจ้าเสด็จยับยั้งอยู่ในฐานะที่ดังฤา " 
     
... สามเณรจึงทูลว่า 
     
... " พระมหากรุณาธิคุณเจ้า เสด็จยับยั้งอาศัยอยู่บุพพารามวิหาร อันมีอยู่ในอุตตรทิศแต่กรุงอินทปัตถมหานครนี้ ไปไกลมีระยะทางประมาณได้ ๑๖ โยชน์ (๒๕๖ กิโลเมตร)"   
     
... ได้ทรงฟังสามเณรแจ้งความว่าพระพุทธเจ้าบังเกิดแล้วในโลก จึงตรัสว่า 
     
... " ดูก่อนสามเณร ผิว่าองค์พระสัพพัญญูเจ้าเสด็จอยู่ในฐานทิศใด เราก็จะไปในประเทศทิศนั้น "   

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... สมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมบพิตรผู้ประเสริฐ หาความเอื้อเฟื้อในสิริราชสมบัติบรมจักรของพระองค์มิได้ ด้วยพระหฤทัยนั้นผูกพันอยู่ในการที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นที่ยิ่งอย่างอุกฤษฏ์

... ก็กระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรนั้น ให้สึกออกมาเสวยสิริราชสมบัติแทนพระองค์เป็นพระราชาอันประเสริฐ พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า

     
... " อสัตตบุรุษ ย่อมไม่ทำตามสัตตบุรุษ ผู้ให้อยู่ซึ่งราชสมบัติ อันบุคคลพึงให้ได้ยาก อาการของสัตตบุรุษทั้งหลาย ย่อมเป็นสภาพอันอสัตตบุรุษทำตามได้ยาก 
     
... ดูก่อนสารีบุตร ผู้มีธรรมเป็นราชา สัตตบุรุษทั้งหลายย่อมให้ทาน ที่บุคคลอื่นให้ได้ยาก ย่อมทำกรรมที่บุคคลอื่นทำได้ยาก พวกอสัตตบุรุษย่อมทำตามไม่ได้
     
... ธรรมของสัตตบุรุษทั้งหลาย เป็นธรรมที่อันธพาลดำเนินการไม่ได้คือ ธรรมที่อันพาลพึงนำไปปฏิบัติได้ยาก เพราะฉะนั้น ทางไปจากโลกนี้ของสัตตบุรุษทั้งหลายและอสัตตบุรุษทั้งหลายจึงแตกต่างกัน
     
... อสัตตบุรุษย่อมพากันไปสู่นรก  สัตตบุรุษย่อมมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า
     
... ดูก่อนสารีบุตร ผู้มีธรรมเป็นราชา ผู้เจริญ

... การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก

... การเลี้ยงชีวิตเป็นความทุกข์เข็ญ

... การได้พบเห็นพระพุทธเจ้า การได้ฟังธรรม  การพบพระสงฆ์ เป็นเรื่องที่บุคคลพึงได้ยากยิ่ง

... จักรพรรดิสมบัติอันบุคคลพึงได้โดยยาก

... กรรมอันพระราชาทำแล้วอันบุคคลอื่นทำได้ยาก "


ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ครั้นกระทำราชาภิเษกเจ้าสามเณรแล้ว

... เอโก ว แต่พระองค์เดียวเสด็จไปโดยมีพระทัยเฉพาะต่ออุดรทิศ ตั้งพระทัยสู่บุพพารามวิหาร อันเป็นที่ประทับแห่งองค์พระสิริมิตตสัพพัญญู

... พระเจ้าบรมสังขจักรจอมทวีปเป็นสุขุมาลชาติ พระสรีระกายนั้นละเอียดอ่อนเป็นอันดี เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปตามมรรคาหนทางแต่พระบาทเปล่าเวลาวันเดียว พระบาททั้งสองข้างก็ภินทนาการแตกออก จนพระโลหิตไหลตามฝ่าพระบาททั้งสอง 

... เมื่อพระบาททั้งสองเดินมิได้แล้ว ในกาลนั้นพระองค์ก็ลงนั่งคุกเข่าคลานไปทีละน้อย ค่อยๆ คมนาการไปตามหนทางที่เจ้าสามเณรชี้แจงบอกมานั้น จะได้ละความเพียรเสียหามิได้ 
     
... ครั้นล่วงไปถึงสี่วัน พระหัตถ์ซ้ายขวาและพระชงฆ์ทั้งสองข้างนั้น ก็แตกช้ำพระโลหิตไหลออกมา จะคลุกคลานไปบ่มิได้ เจ็บปวดแสนสาหัส เห็นขัดสนพระทัยนักแล้ว ถึงกระนั้นพระองค์ก็มิได้คิดท้อถอยย้อนรอยกลับคืนมา หมายมั่นในพระทัยว่าอาตมาจะไปให้ถึงสำนักขององค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้าให้จงได้ 
     
... ครั้นพระองค์ทรงคุกคลานไปมิได้แล้ว พระองค์ก็ลงพังพาบไถลไปแต่ทีละน้อย ด้วยพระอุระของอาตมา ประกอบไปด้วยทุกขเวทนาเหลือที่จะอดกลั้น  พระองค์ทรงยึดหน่วงเอา พระพุทธคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ (หรือที่เรียกว่าเจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน)ด้วยพระเจตนาจะใคร่พบเห็นพระสิริมิตตพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันใหญ่ยิ่ง  แล้วก็ทรงอดกลั้นซึ่งทุกขเวทนานั้นเสีย หาเอื้อเฟื้ออาลัยในร่างกายของพระองค์ไม่

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ครั้งนั้น สมเด็จพระสิริมิตตสัพพัญญูผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงพระมหากรุณาเล็งแลดูสัตว์โลกทั้งหลายด้วยพระญาณ

... ก็รู้แจ้งเห็นกำลังความเพียรแห่งบรมสังขจักรนั้นเป็นอุกฤษฏ์โดยยิ่งวิเศษแล้ว

... มิใช่อื่นมิใช่ไกล เป็นหน่อพุทธางกูรพุทธวงศ์อันเดียวกันกับพระตถาคต สมควรที่ตถาคตจักเสด็จไปสู่ที่ใกล้แห่งบรมสังขจักร

... เมื่อพระองค์ทรงพระดำริแล้ว ก็เสด็จพระพุทธดำเนินมาด้วยพระสิริวิลาศเป็นอันงาม แล้วพระองค์ทรงกระทำอิทธิฤทธิ์นิรมิตพระบวรกายของพระองค์ให้อันตรธานสูญหาย กลับกลายเป็นมาณพหนุ่มน้อย ขึ้นรถขับทวนมรรคามาเฉพาะหน้าแห่งสมเด็จบรมสังขจักรนั้น แล้วพระพุทธสัพพัญญูเจ้าจึงร้องถามไปว่า 
     
... " ผู้ใดมานอนกลางทางขวางหน้ารถเรา จงหลีกไปเสียเราจะขับรถไป "   
     
... ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์จึงตรัสตอบพระพุทธฎีกาว่า 
     
... " ดูก่อนนายสารถีผู้ขับรถ ท่านจะมาขับเราไปให้พ้นจากหนทางนั้นด้วยเหตุดังฤา ตัวเราผู้รู้จักคุณสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ยิ่งนัก ชอบแต่นายสารถีจะยั้งรถของท่านให้หลีกเราเสียจึงควร ถ้าท่านไม่หลีกเราก็ให้ท่านขับรถไปเหนือหลังเราเถิด ซึ่งจะให้เราหลีกนั้น เราหาหลีกไม่ "
     
... แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาว่า 
     
... " ถ้าแหละท่านจะไปยังสำนักพระพุทธเจ้าแล้ว จงมาขึ้นรถไปกับเราเถิด เราจะพาท่านไปให้ถึงสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้า ให้สมดังความปรารถนา "   
     
... พระจอมขัตติยาจึงตรัสว่า 
     
... " ถ้าท่านเอ็นดูกรุณาแก่เรา เราก็มีความยินดีสาธุอนุโมทนาด้วย " 
     
... ท่านว่าแล้วหน่อพระพิชิตมาร ก็อุตสาหะดำรงทรงพระกายขึ้นสู่รถแห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า สมเด็จพระผู้ทรงธรรม์ก็หันหน้ารถไปตามมรรคาพาพระยาสังขจักรไป