เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



ผู้เขียน หัวข้อ: ความเกี่ยวข้องกันในการสร้างพระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์  (อ่าน 86194 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
จากหนังสือสุวรรณภูมิปกรณ์
โดยพระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต)
พระพุทธกุกกุสันธกาล(ยุคไทยขุนสรวง,สาง)
     
... เรื่องทั้งนี้ ได้รวบรวมเรียบเรียงขึ้นถึง พระพุทธันดรทั้ง ๓ ที่มีมาแล้ว และมีเรื่องปรากฎอยู่เฉพาะเท่านั้น ได้นำมาเป็นหลักฐาน ๓ พุทธันดร

... และไทย ๓ กาลที่ปรากฎอยู่ ณ ยุคขุนสรวง นางสางนั้น อันตรงกับ พุทธันดรพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์

... ซึ่งมีเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิมีนามชื่อว่า พระมหาปนาทบรมจักรพรรดิ ซึ่งมีปรากฎในอนาคตวงศ์ว่า

... ในสมัยพระพุทธกาลนั้น ได้มาเกิดเป็นช้างป่าชื่อ ปาลิไลยกะ ได้ทะนุบำรุงพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๓ เดือน ณ พระพุทธพรรษาที่ ๑๐ นั้น

... ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพยากรณ์ว่า

... " จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธองค์พระองค์หนึ่งเป็นที่ ๑๐ มีพระนามว่า พระสุมงคลสัมมาสัมพุทธองค์ ในอนาคตกาล "

... อีกด้วย พอเป็นเรื่องอ้างขึ้นได้จึงนำมาอ้างเพื่อรู้ระยะกาลสมัยดึกดำบรรพ์นั้น
     
... เฉพาะไทยนี้มีเพียงชื่อที่ยังคงอยู่ในความรู้ของไทย

... เมื่อมีเรื่องอยู่ก็จะได้มีเค้าความ จะได้ความสำคัญขึ้น เฉพาะก็คือมีเล่าถึงการคิดตัวหนังสืออ่านได้ และเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสได้จะอย่างไรก็ตามเรื่องที่มีมาแล้ว และพระคันถรจนาจารย์ท่านได้จารึกลงในใบลาน กระทั่งเป็นคัมภีร์ที่ยืนยงคงมาแล้วอย่างน้อยก็เกือบ ๒,๐๐๐ ปี หรือกว่าดียิ่งกว่าฝรั่งที่เขียนกันในเร็วๆ นี้

... ซึ่งยืนยันว่าหลักฐานนี้มีมานานแล้ว และพระคันถรจนาจารย์ท่านเขียนสืบต่อกันมา ก็คงจะหลายสิบองค์จึงยั่งยืนอยู่มาได้จนถึงบัดนี้
     
... ในกาลก่อน กระทั่งถึงกาลพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น

... ในกาลนั้น ชมพูทวีปมีชื่อว่าโสฬสนคร(๑๖นคร)ซึ่งปรากฎในอนาคตวงศ์ ระบุถึงต้นภัทรกัปเป็นยุคสมัยพระพุทธองค์ทรงพระนามว่าพระกุกกุสันโธ อันตรงกับยุคสมัยขุนสรวง

... และเมืองสรวงไทยก็คือ เมืองทอง และสุวรรณภูมิรัฐประเทศไทยนี้ ซึ่งยุคสมัยเดิมนั้นชื่อว่า เมืองสรวง
     
... ก็กาลที่มีอายุเจริญขึ้นไปถึงนับไม่ได้(สมัยนั้นยังไม่มีการนับเลขกัน) แล้วลดลงมาถึง ๔๐,๐๐๐ ปีเป็นอายุขัยนั้น

... ชมพูทวีป หรือ มัชฌิมชนบท ซึ่งยุคสมัยนั้นชื่อว่า โสฬสนคร(เมือง ๑๖) นั้น

... ส่วนทางช่วงแหลมทอง ก็มีชื่อว่า สุวรรณทวีป ก็คือ เมืองทอง หรือ เมืองถิ่นทอง ซึ่งเป็นชื่อที่ต่างๆ อยู่ในเมืองสรวงนั้น ได้มีมาตั้งแต่ขุนสรวงและนางสาง ได้มีลูกหลานแผ่เชื้อสายสืบต่อกันตลอดมา จึงเจริญขึ้นกระทั่งนับไม่ได้ ก็คือ กาลดึกดำบรรพ์นั้น
     
... ครั้นอายุลดลงมาถึงกาล ๔๐,๐๐๐ ปีเป็นอายุขัย ซึ่งเป็นกาลพระกุกกุสันโธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น แหลมทอง มีชื่อว่า เมืองทอง
     
... ครั้นกาลเวลาล่วงมามากๆ เข้า ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป จึงมีชื่อต่างๆ ขึ้น เช่นชื่อเมืองทอง เมืองแก้ว, เมืองพริบ คือ เมืองเพชร เมืองพลี คือ เมืองแก้วแสงก็คือ เมืองไพลิน หรือ เมืองพลิน บางทีก็ชื่อ กรุงพาลี
     
... ถ้าเป็นชื่อพ่อขุน แม่ขุน ก็มีชื่อว่าท้าวกรุงพาลี จ้าวแม่ หรือ นางพระยากรุงพาลี
     
... ชาวเมืองก็เรียกชื่อชาวเมืองพาลี , ชาวกรุงพาลี หรือ ชาวพาลี , ชาวพลินชาวไพลิน
     
... โดยเฉพาะชื่อว่าเมืองแก้ว และ ขุนแก้วนั้นว่ามีสืบมาจากเมืองสรวง และ เมืองทอง
     
... แต่ก่อนกาลพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น พ่อขุนแก้วไทยฟ้า กับ นางพระยาก่องแก้ว

... มีลูกชายทรงโปรดปรานมากจึงตั้งชื่อว่า ยอดแก้วไทย

... ทั้งได้แก้วหินสุกสว่างก้อนหนึ่ง จึงเปลี่ยนชื่อ เมืองทอง ขนานชื่อตามแก้วแสงก้อนใหญ่นั้นว่า เมืองแก้วพริบพลี

... และพระลูกเจ้าพ่อขุนยอดแก้วไทยฟ้านี้ เมื่อทรงเป็นมหาขุนได้มีเนมิตนามชื่อว่า พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ
     
... ในพระพุทธวงศ์ และ อนาคตวงศ์ ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ตรัสแก่พระสารีบุตรเถระ

... ทรงตรัสไว้ตั้งแต่สมัยปฐมโพธิกาล ณ คราวที่เสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์ครั้งแรก

... ในพระพุทธพรรษาที่ ๓ได้ทรงกระทำตามพระพุทธวงศ์ ก็คือพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสรู้มาแล้วและได้ตรัสอนาคตวงศ์

... ก็คือ พระพุทธองค์ที่จะได้ตรัสรู้ในอนาคตกาลอีก ๑๐ พระองค์ อนาคตวงศ์ทรงปรารภพระนางมหาปชาบดีโคตมี และ อชิตะภิกขุ จึงตรัสทักขิณาวิภังคสูตร
     
... ต่อมา พระสารีบุตรเถรได้ทูลถาม จึงตรัสอนาคตวงศ์ จะได้ย่อพอได้ความ เพื่อเป็นหลักฐานในยุคสมัยขุนสรวงนางสาง และพระพุทธันดรพระกุกกุสันธพุทธกาลนั้น ดังนี้

... ในกาลที่อายุมนุษย์ลดลงมาเหลือเพียง ๔๐,๐๐๐ ปีนั้น ชมพูทวีปได้มีชื่อว่า โสฬสนคร
     
... ในส่วนอื่นมีชื่อว่า เมืองทอง และเมืองแก้วปนๆ กันอยู่ คือ เมืองพลิน กรุงพาลี บ้าง

... ช้างป่าชื่อ ปาลิไลยกะ ซึ่งเป็นพระบรมโพธิสัตว์วิริยาธิกะพุทธภูมิ

... ได้เกิดเป็นสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า

... ทรงพระบรมเดชานุภาพตลอดทวีปทั้ง๔ ทรงมีสัตตรัตนสมบัติ ๗ ประการ

... กับมีคทาใหญ่ สถิต ณ เชิงรอง ซึ่งตั้งบนพานทองใหญ่ อันเป็นนิมิตสมบัติจักรพรรดิชุดบก

... และเป็นเนมิตนามชื่อว่า มหาปนาทจักรพรรดิ เป็นประจำมา
     
... ก็สัตตรัตนสมบัติ ๗ ประการนั้นคือ
   
๑. จักกรัตนะ จักรแก้ว
 
๒. หัตถิรัตนะ ช้างแก้ว
   
๓. อัสสรัตนะ ม้าแก้ว
   
๔. มณีรัตนะ แก้วมณี
   
๕. อิตถีรัตนะ นางแก้ว
   
๖. คหปติรัตนะ ขุนคลังแก้ว
   
๗. ปรินายกรัตนะ ขุนพลแก้ว
     
... ทั้งนี้มีอยู่ ๒ ชุด ชุดบกและชุดน้ำ

... ถ้ามีพระคทาใหญ่(กระบองยอด) สถิต ณ เชิงตั้งบนพานทองใหญ่ เพราะมหาคทานั้นเป็นนิมิตที่ระบุนามชื่อว่า มหาปนาทบรมจักรพรรดิ จึงเป็นชุดบกหรือชุดแผ่นดิน
     
... และสัตตรัตนสมบัติ ๗ ประการนั้น แต่มีสังข์ใหญ่ หรือมหาสังข์สถิต ณ เชิงพานทองใหญ่ อันเป็นนิมิตสมบัติจักรพรรดิชุดน้ำ หรือชุดทะเล
     
... และทั้ง ๒ ชุดนั้น ก็มีปราสาทแก้ว ปราสาททอง หรือ รัตนะปราสาท สุวรรณปราสาทพร้อมกับมีแก้ว,ทอง,เงิน,แร่ธาตุต่างประดับพร้อมทุกประการ
     
... ในพระพุทธันดรต้นภัทรกัปนี้ พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ ได้อุบัติขึ้นแล้ว ณ เมืองแก้วมีนามว่า ยอดแก้วไทย

... ครั้นเจริญถึงอายุกาลแล้ว จึงมีปราสาทแก้วปรากฏขึ้น แม้ภูเขาใหญ่ๆ ก็กลายเป็นปราสาทขึ้น

... บ้างก็เกิดเป็นพื้นทองขึ้นเป็นสิริเกียรติสมบัติ บริชนและพาหนะก็เป็นรัตน จึงเป็นสัตตรัตนสมบัติ

... มีมหาคทาสถิตเป็นสิริบรมจักรพรรดิราชสมบัติ ณ ทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ เป็นบริวาร

... ทรงสำราญเป็นปกติตลอดกาลนาน ในกาลชนม์ชีพนั้น ทรงชำนาญศิลปะวิทยาการตลอดทุกชนิด ได้ทรงประดิษฐ์และสร้างเสกสรรเครื่องกลต่างๆ ได้ และปรินายกช่วยทำขึ้นตามประสงค์
     
... บางทีช้างแก้ว ม้าแก้วนำมาให้

... บางอย่างจักรแก้วบันดาลให้ เช่น ดวงแก้วลอยในท้องฟ้า ส่องให้มองเห็นได้ทั่วทุกทวีปใหญ่น้อย

... หลายอย่างที่แก้วมณีรัตนดลดาลให้เช่น ไฟฟ้า และเสียงสายฟ้า
     
... ที่ทรงคิดเป็นพิเศษก็คือ ลายสือ ซึ่งทรงคิดว่า

... " ถ้าเอาเสียงคำพูดกับจำนวนนับเข้าลายเส้นได้ คงจะคงที่และอยู่ได้นาน ทั้งจะนำไปไหนก็ได้ "

... เมื่อครุ่นคิดอยู่นั้น ด้วยบุญญานุภาพพระบารมี ๑๐ ทั้งรัตนะ ๗ และเทพโพธิสัตว์มิตรสหายทั้งหลาย

... ก็ร่วมกันส่งแสงสว่างเป็นปัญญาบารมี พร้อมพลันก็บันดาลให้เกิดปัญญาญาณสว่างแจ้ง ส่องให้เห็น ก.กา ข.ขา ข่า. ข้า เป็นต้น

... และอินทรีย์ทั้งปวงก็คล่องแคล่ว จึงใช้มือเขียนได้ ใช้เสียงและปากอ่านได้

... ใช้ปัญญาส่องทราบได้ว่า ถูกและผิด
     
... เมื่อทรงคิดได้ เขียนได้ อ่านได้คงที่และชำนาญแล้ว

... จึงสอนขุนคลังแก้วให้ทำบัญชี

... สอนขุนพลแก้วให้เขียนวิชาสอนทหารและเขียนกฎหมาย

... และสอนชาวเมืองให้เขียนวิชาต่างๆ

... และให้นางแก้วทั้งบริวาร เรียนเขียน จดคำสอน คำเพลง คำกลอน และข้อความ

... " ทำดีให้จำ ทำชั่วให้ละเว้น "

... มีการประพฤติผิดลักฉ้อ ทำร้ายฆ่าฟัน กล่าวเท็จหลอกลวง กินดื่มของมึนเมาและติดตัง
   
... เอื้อเอ็นดู ช่วยเหลือกัน ซื่อตรงต่อกัน อ่อนน้อมผู้ใหญ่พ่อแม่

... ผู้ชายให้รู้ต่อสู้ทำงาน ป้องกันตัว คุ้มครองสินตน

... ผู้หญิงเรียนรู้การครัว การเรือนเลี้ยงลูก คุ้มครองสินสาวตัวตน ตลอดถึงทุกคนให้รู้เซ่นสรวงอำนวยผีต้น ฯลฯ
   
... ครั้นล่วงมาถึงกาล สมเด็จพระกุกกุสันโธได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธองค์แล้ว ได้เสด็จไปแสดงพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตรจบแล้วเทพพรหมตลอดสุดนั้นได้เปล่งเสียงรับต่อๆ กัน ทั้งได้เกิดมหัศจรรย์ให้หมื่นโลกธาตุสะท้านสะเทือนหวั่นไหวตลอดถึงเมืองแก้วซึ่งได้ทำให้มหาคทานั้นพลัดตกจากเชิงกระเด็นลง ณ พื้นปราสาท แต่ไม่แตกหัก

... จึงทรงดำริถึงบุญบารมี มหาคทาก็ลอยขึ้นสถิต ณ เชิงตามเดิม ได้ทรงเห็นเช่นนั้นทรงดำริก็ทรงทราบด้วยญาณปัญญาว่า

... " พระมหาบุรุษได้อุบัติและได้ตรัสรู้ กับได้แสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจบแล้ว เป็นกาลถึงพร้อมพระรัตนตรัยแล้ว "

... พระเจ้าจักรพรรดิจึงตรัสประกาศให้รัตนะนั้นๆ ไปนำรัตนะนั้นๆ มาถวายให้ตลอดได้ทรงสำราญประทับอยู่โดยปกติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 07, 2014, 04:46:33 AM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... พระพุทธกาลที่ได้ตรัสรู้นั้นได้ล่วงไปช้านาน กระทั่งพระปัญญาบารมีแก่กล้าที่จะเพิ่มได้อีก

... ทรงระลึกได้จึงตรัสสั่งขุนคลังแก้วว่า

... " ท่านจงไปสู่โสฬสมหานครนั้น นำเอามณีรัตนะมาให้เรา "

... ขุนคลังแก้วได้รับโองการแล้ว เพราะเป็นคหบดีรัตนะจึงมีอิทธิพลสมบูรณ์ ได้เหาะขึ้นไปยังโสฬสมหานครทางอากาศ
     
... ณ ปัจจุสมัย เช้าตรู่วันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ากุกุกสันโธนั้น ทรงทอดพระเนตรตรวจโลก ได้ทรงเห็นและทรงทราบแล้ว

... มีพระพุทธประสงค์ทรงโปรดพระอนาคตพุทธองค์ทั้งสองนั้น(ขุนคลังแก้วก็ปรารถนาพระโพธิญาณเหมือนกัน)

... และวันนั้นเป็นวันอุโบสถและวันฟังธรรม ประชาชนต่างหลั่งไหลไปสู่มหาวิหาร

... พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับในมหาวิหารนั้น ได้ประทับอยู่ในสมาธิ

... ทรงอธิษฐานพระพุทธรัศมีให้แผ่ซ่านสว่างไปในอากาศ ให้เห็นได้เฉพาะคหบดีรัตนะก็ได้เห็นในอากาศแต่ที่ห่างไกล
     
... คหบดีรัตนะได้ลงสู่พื้น ก็ได้เห็นหมู่ชาวชนหญิงชายต่างไหลหลั่งเข้าสู่มหาวิหารเพื่อรักษาอุโบสถและฟังธรรมก็เข้าไปด้วย

... ครั้นเข้าไปแล้ว ก็ได้เห็นพระกุกกุสันธะซึ่งประทับนั่ง ณ พระพุทธอาสน์ ก็มิได้รู้จัก ได้กระทำเคารพกราบไหว้ แล้วจึงถามว่า
   
... " มาณพผู้เจริญท่านมีนามชื่อว่าอะไร จึงมีรูปโฉมเป็นอันดี "
   
... พระบรมครูตรัสตอบว่า
   
... " คหบดีรัตนะ เราชื่อว่าพุทธศาสดาจารย์ "
   
... คหบดีรัตนะซักต่อไปว่า
   
... " ท่านชื่อว่าพระศาสดาจารย์ เพราะอะไร "
 
... พระพุทธมหามุนีเจ้าได้ฟัง จึงตรัสตอบว่า
   
... " เราชื่อว่าศาสดาจารย์นั้น ก็เพราะประกอบด้วยอาจริยคุณ ๓๑ ว่า อิติปิ โส ภควา "
   
... (พระพุทธคุณนี้ นับเป็นตัวอักษรได้ ๕๖ นับเป็นศัพท์ได้ ๓๑ จึงเป็นคุณ ๓๑)
     
... ขุนคลังแก้ว จึงจดจารึกเป็นลายสือลงบนแผ่นทองคำ

... แล้วจดจารึกอาการ ๓๒ คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ฯลฯ มุตตํ มตฺถเก มตฺถลุงคํ(ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ มูตร มันสมอง)

... กับจดจารึกทวัตติงสมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และจดจารึกกำหนดอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ

... กับทั้งวาดเขียนพระรูปโฉมส่วนสัดสูง ๖๐ ศอก ลงในแผ่นทองคำทั้ง ๒ เสร็จแล้ว

... ได้กราบทูลลา เหาะลอยกลับมายังพระราชสำนักสมเด็จพระมหาปนาทบรมจักรพรรดิ

... ได้ถวายพระสุพรรณบัฏทั้ง ๒ นั้น ให้ทอดจักษุญาณพิจารณาพระคุณพิเศษและพระสิริลักษณะพระรูปโฉมส่วนสัดพระองค์สูง ๖๐ ศอกของพระกุกกุสันธพุทธองค์นั้น

... พร้อมกับตัวสือจารึกพระพุทธคุณ๓๑ และอาการ ๓๒ ทั้ง ๒ อย่างนั้น
     
... ได้ทอดพระเนตรแล้วมิได้รู้จัก และมิได้ทราบแจ้งพระพุทธคุณนั้น

... จึงตรัสถามปุโรหิตพราหมณ์ซึ่งเฝ้าอยู่นั้นก็ได้ทรงสดับคำทูลว่า

... " อักษรลายสือจารึกนี้เป็นพระพุทธคุณเที่ยงแท้แล้ว "

... ดังนี้ สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิได้สดับแล้ว ทรงเกิดปีติโสมนัสปลาบปลื้มพระทัยสลบลงกับที่
     
... ครั้นทรงฟื้นขึ้นแล้ว จึงตรัสถามอีก ได้สดับคำทูลว่า

... " พระคุณวิเศษนี้ เป็นพระพุทธคุณของพระสัมมาสัมพุทธเที่ยงแท้แล้ว "

... ดังนี้ ก็ทรงปีติโสมนัสปลาบปลื้มพระทัย สลบลงอีกเป็นครั้งที่สอง

... ครั้นทรงฟื้นขึ้นแล้ว ก็ได้ตรัสถามถึงภาพวาดเขียนพระรูปโฉมสิริลักษณ์วรกายนั้น เป็นอย่างพระพุทธรูปจริงหรือประการใด

... ก็ได้สดับคำทูลว่า

... " พระรูปโฉมที่วาดมานี้เป็นพระรูปโฉมของสมเด็จพระพุทธองค์เที่ยงแท้ "

... ดังนี้แล้ว ก็ได้ทรงปีติโสมนัสปลาบปลื้มพระทัย สลบลงอีกเป็นคำรพที่ ๓
     
... ครั้นทรงฟื้นแล้ว ได้ตรัสว่า

... " บัดนี้เราได้ฟังประพฤติเหตุแห่งสมเด็จพระพุทธองค์ อันเป็นดวงแก้วหาค่ามิได้

... เพราะตัวท่านอันเราใช้ให้ไป จึงได้รู้แจ้งพระพุทธรัตนะนั้น

... เครื่องสักการบูชาอื่นๆ หาควรกระทำสักการะบูชาแก่ท่านไม่

... สมบัติจักรพรรดิทั้งหมดนี้ จึงควรแก่ท่าน "

... ดังนี้แล้ว ได้ทรงกระทำราชาภิเษกคหบดีรัตนะขุนคลังแก้ว ให้เสวยสิริราชสมบัติจักรพรรดิ

... กับได้ทรงอธิษฐานสัตรัตนสมบัติทั้งพระมหาคทาให้คงอยู่เพื่อดำรงสิริสมบัตินั้นๆ ให้ครอบครองสืบต่อไปแล้ว
     
... สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิทรงสละจักรพรรดิสมบัติแล้ว พระองค์เดียวเสด็จไปทางทิศภาคที่สมเด็จพระกุกุกสันธบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ โสฬสมหานครนั้น

... ด้วยพระตนุกานุภาพพระเจ้าจักรพรรดิอันมีฉลองพระบาทแก้ว และพระมหามกุฎแก้วนั้น ซึ่งประจำพระองค์อยู่ จึงส่งให้เสด็จได้เร็ว แลเสด็จได้ไกล

... ครั้นเสด็จถึงมหานิโครธไทรใหญ่ต้นหนึ่ง จึงเข้าไปอาศัยประทับนั่งในร่มไทรนั้นพอบรรเทาเหน็ดเหนื่อยแล้ว
     
... ทรงสบายพระวรกายแล้ว ก็ทรงกระทำนมัสการลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ไปในทางที่พระพุทธองค์ประทับอยู่นั้น

... แล้วทรงกระทำอธิษฐานปรารถนาว่า

... " พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโปรดให้ปีติโสมนัสในพระองค์เกิดแก่ข้าพระองค์แล้ว

... ด้วยเดชะความสัตย์นี้ ขอบริขาร ๘ อันเป็นทรัพย์มรดกของพระภิกษุสงฆ์ จงเลื่อนลอยมาเถิด "
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 07, 2014, 05:03:19 AM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ครั้งนั้น สมเด็จพระสัพพัญญูกุกกุสันโธทรงทราบวาระจิตแล้ว จึงตรัสให้บริขาร ๘ นั้นลอยมาตกลงตรงพระพักตร์พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดินั้นด้วยพระพุทธานุภาพสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิได้ทอดพระเนตรเห็นเป็นมหัศจรรย์แล้ว ได้ใช้พระหัตถ์ทั้งคู่นั้นประคองบริขาร ๘ ยกขึ้นเหนือเศียรเกล้าตรัสว่า

... " บริขาร ๘ เราจักอาศัยท่านออกจากสังสารทุกข์ ให้ได้พบพระนิพพานอันประเสริฐสุดวิสัย "

... ตรัสเสร็จแล้ว ทรงเปลื้องเครื่องราชอิสริยาภรณ์ออกจากพระวรกายแล้ว ได้ครองสบง ทรงจีวรซ้อนสังฆาฏิพาดคาดกายพันมั่นคง ทรงเพศบรรพชิต อุปสมบทเป็นภิกขุภาวะสำเร็จแล้ว
   
... จึงเอาพระมหามงกุฎแก้ววางลงในฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสว่า

... " มงกุฎแก้วจงไปสู่สำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลพระองค์ว่า

... บัดนี้พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิเสียสละราชสมบัติ ออกทรงเพศบรรพชิตเป็นพระภิกขุในพระพุทธศาสนาแล้ว

... มีความปรารถนาเพื่อจะมายังสำนักสมเด็จพระทศพลญาณ ท่านจงไปกราบทูล ดังนี้ "

... แล้วมหามงกุฎแก้วก็เลื่อนลอยไปในอากาศเวหาประดุจว่าพระยาราชหงส์

... ถึงแล้ว จึงลงยังสำนักแล้วตั้งอยู่แทบพระบาท ได้กราบทูลดุจมีวิญญาณ
     
... สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์ได้ตรัสรับว่า

... " สาธุ "

... แล้ว ลำดับนั้นสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ ซึ่งสำเร็จเพศเป็นพระภิกขุด้วยพระพุทธดำรัสว่า

... " สาธุ " ดังนี้แล้ว

... จึงเป็นอุปสมบทสมบูรณ์แล้วด้วย

... พระองค์ก็เที่ยวโคจรบิณฑบาตไปตามละแวกบ้าน ได้อาหารบิณฑบาตพอเป็นยาปนมัต ก็บริโภคฉันพอทรงพระชนม์ชีพ สำเร็จแล้ว

... ก็เจริญพระกัมมัฎฐานอยู่ในที่อันสมควร พิจารณาซึ่งพระพุทธคุณว่า อิติปิ โส ภควา เป็นอาทิ

... และเจริญกายคตาสติกัมมัฎฐานว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ฯลฯ (ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ) เป็นต้น
     
... ทรงเจริญไปด้วยอุตสาหะตลอดอย่างนั้น ได้ยังโลกียฌานและอภิญญา๕ ให้บังเกิดขึ้น ด้วยพระบารมีที่สร้างสมมานานแล้วนั้น

... จึงเหาะลอยขึ้นไปโดยทางอากาศเวหา กระทั่งถึงสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้า

... พอได้โอกาส จึงเข้าเฝ้า ได้ทัศนาการพระรูปโฉมและพระสิริลักษณะของสมเด็จพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์

... อันประดับไปด้วยพระมหาปุริสลักขณะ ๓๒ และอนุพยัญชนะ ๘๐ อันงามบริบูรณ์ครบทุกประการแจ่มแจ้งแล้ว

... ก็บังเกิดปีติโสมนัสปลาบปลื้มเต็มเปี่ยมซาบซ่านทั่วสรรพางค์ตลอดสกลกายแล้วก็สลบลง ณ ที่นั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 07, 2014, 05:11:06 AM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
     ... สมเด็จพระภควันต์ทรงเอาอุทกวารี ประพรมลงเหนือพระอุระ

... ก็ทรงฟื้นสมประฤดีขึ้นมาแล้ว พระองค์จึงถวายนมัสการ กราบลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์แทบพระบาท

... กราบทูลอาราธนาให้สมเด็จพระพุทธองค์ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนา
   
... ครั้งนั้นสมเด็จพระกุกกุสันธทศพลบรมศาสดาจารย์ก็ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนาว่า
   
... " ภิกขุ ท่านจงพิจารณาซึ่งสภาวะธรรมที่จะนำตนไปสู่พระนิพพานด้วยตนเองเถิด " (ภิกขุ แปลว่า ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร)
     
... พระภิกขุมหาปนาทบรมโพธิสัตว์วรพุทธางกูร ได้สดับกระแสพระพุทธดำรัสตรัสเป็นนัยดังนั้น

... แล้วพระองค์ก็ปีติโสมนัสอิ่มอาบซาบซ่านทั่วสรรพางค์กาย

... จึงทรงอธิษฐานเล็บของพระองค์ ให้คมดุจมีดโกนเด็ดเศียรเกล้าตรงคอให้ขาดแล้ว จับยกขึ้นกระทำสักการบูชา ฝ่ายเศียรเกล้านั้นได้กราบทูลว่า
   
" พระองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า

พระองค์ได้โอกาสโปรดฝูงสัตว์ทั้งหลายก่อน

ข้าพระองค์มีความปรารถนา

เป็นพระพุทธองค์เมื่อภายหลัง

ด้วยผลศีลทานของข้าพระองค์ในครั้งนี้

ขอเชิญองค์พระอัครมุนีพระผู้มีพระภาคเจ้า

โปรดเสด็จสู่พระนิพพานก่อนเถิด

ข้าพระองค์ขอตามเสด็จพระพุทธองค์

เข้าสู่พระนิพพานต่อภายหลัง "
     
... พอขาดคำแล้วพระภิกขุมหาปนาทบรมจักรพรรดิก็ดับขันธ์สิ้นชีวิตินทรีย์

... และพลันนั้น พระเศียรซึ่งตั้งบนฝ่าหัตถ์ทั้งคู่ก็เกร็งแข็ง ด้วยอานุภาพอธิษฐานชูบูชาอยู่ตามเดิมนั้น ก็ลุกโพลงขึ้นตลอดถึงพระสรีระสรรพางค์ เป็นดวงประทีปเทียนสักการะบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์,พระธรรม,พระสงฆ์,ตามธรรมนิยม

... มีกลิ่นหอมเป็นทิพย์ มีแสงสว่างกระจ่างแจ่มแจ้ง ไม่มีควันอบอวล ไม่ร้อนอบอ้าว เป็นดวงสุกโพลงเฉพาะ ไม่ไหม้ลุกลามไปอื่น

... ทั้งนั้นเป็นไปตามพระพุทธานุภาพที่ได้ทรงโปรดประทาน

... ส่วนพระภิกขุพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดินั้น ก็จุติไปอุบัติเกิด ณ ดุสิตสวรรค์ เสวยทิพยสมบัติเป็นสุขสถาพร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 08, 2014, 10:46:33 AM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดินี้ในเรื่องว่าครองอาณาจักรวรรดิ หรือจักรพรรดิราชสมบัตินั้น ซึ่งมีทวีปใหญ่ทั้ง ๔จะเห็นในปัจจุบันนี้มีก็คือ

๑. ชมพูทวีป คือ ทวีปเอเซียกับทวีปยุโรป

๒. กาฬทวีปทวีปดำ คือ แอฟริกา ชาวคนดำ

๓. กัทมทวีป ทวีปเทา คือ โปลา ออสเตรเลียชาวคนเทา

๔. ปภัสรทวีป ทวีปแสงแดง หรือ ปุพวิเทห คือ ทวีปตะวันออก ก็คือ เอมุก  อมริก,อเมริกา,ไทยว่า มริกัน
     
... คนไทยนี้ก็ไปอยู่ทั่วมาแล้วจึงเห็นว่าเป็นไปได้ ได้นำมาอ้างขึ้นตามต้นเรื่องนั้นทั้งอนาคตวงศ์นี้ก็เป็นต้นเรื่องดึกดำบรรพ์ทั้งในอดีตและ อนาคตและทั้งทวีปใหญ่ในโบราณก็มี ๔ ชื่อ คือ

๑. ชมพูทวีป

๒. อุตตรกุรุทวีป

๓. ปุพพวิเทหทวีป ที่ใกล้กับไทยก็ลงไปถึงออสเตรเลีย 

๔. อมรโคยานทวีป ชื่อก็ใกล้กับเอมุก อมริก อเมริกา
     
... ต้นเรื่องติโรกุฑฑสูตรเล่าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่พระเจ้าพิมพิสาร

... เล่าในกาล พระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธ หมู่เปรตเข้าไปทูลถาม พระกุกกุสันโธตรัสว่า

... " อนาคตแผ่นดินใหญ่สูงขึ้นประมาณ ๑ โยชน์ พระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธจักอุบัติ "
     
... ไม่ทรงกำหนดกาลตามพระพุทธพจน์นั้น ได้กาลแผ่นดินสูง ๑ โยชน์ ๑๖ ก.ม. ถึงยุคมิคสัญญีก็ได้ครึ่งโยชน์ ๘ ก.ม.
     
... โลกวิทยาว่า โลกมีอายุ ๕,๕๐๐ ล้านปี จากกาลผีฟ้าแสงอาภัสสรกาย ถึงพระกุกกุสันธกาล ตลอดถึงยุคมิคสัญญีซึ่งกาลนี้

... โลกวิทยากล่าวว่า ยังลุกเป็นดวงไฟมหึมาอยู่

... ของเราเย็นเป็นแผ่นดินโลกมาแล้วมีอายุล่วงมาได้ ๕๐๐ กับ ๑,๐๐๐ ล้านปีที่ ๑ ตรงกับยุคขุนสรวง

... กำหนดกันง่ายๆ ว่า

... ยุคสรวง พุทธันดรที่ ๑ กาลพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธ

... เท่ากับ ๕ ร้อยล้านปี

... กับพันล้านปีที่ ๑ คร่อมเข้าพันล้านปีที่ ๒

... แผ่นดินสูง ๑ โยชน์ (๑๖ ก.ม.)ตรงกับสมัย สรวง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 07, 2014, 05:21:05 AM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
พุทธันดรที่ ๒ สมัยพระโกนาคมน์พุทธเจ้า

... พ่อขุนแถนไทยมากมายหลายหลาก ต่างชื่อกันบ้างมีชื่อซ้ำกันบ้าง ได้ปกครองอาณาจักรแถนไทยสืบต่อกันมา

... ต่างก็ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองมากบ้างน้อยบ้าง ตามระบบแบบไทยตลอดมา

... ทั้งได้ติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนความเจริญแก่กันและกัน อันเป็นสัมพันธไมตรี ตลอดถึงจัมปากรัฐ จดถึงชมพูทวีปมัชฌิมชนบทหรือมัธยมประเทศตลอดด้วย
     
... โดยเฉพาะก็คือ การเรียนสือไทย หรือ ลายสือไทยได้มีการสอนกันมาก เรือนหลวง จวนลูกขุนมูลนาย วัง ได้ตั้งเป็นโรงเรียนขึ้นทุกแห่ง การเรียนจึงแพร่หลายให้รู้สือ อ่านออกเขียนได้ และได้ตั้งเป็นตำราไทยมีชื่อว่า " รู้สือไทย "
     
... พระโกนาคมนสัมมาสัมพุทธองค์ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ณ มัชฌิมประเทศนั้น ได้เสด็จโปรดชาวโลกตลอดชมพูทวีป และ ถึงจัมปากรัฐ

... พระเจ้ากรุงจัมปาก ทรงพระนามว่า พระเจ้าธรรมราชาธิราช ก็ทรงเลื่อมใสได้ตรัสถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะด้วยความเคารพนับถือ

... ทั้งได้ส่งข่าว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้พ่อขุนแถน ผู้บุรพสหายได้ทราบ
     
... พ่อขุนแถนไทยจึงได้เสด็จ จัมปากรัฐแล้ว

... พากันไปเฝ้าถึงพระมหาวิหาร

... ต่อมา พระผู้มีพระภาคโคนาคมนก็ได้เสด็จโปรดถึงอาณาจักรแถนไทยด้วย

... ในกาลก่อนสมัยพระพุทธกาลนั้น ณ ราชอาณาจักรจัมปากรัฐนั้น

... ก็เป็นสมัยพระเจ้าธรรมราชาธิราชเจ้า ทรงครองราชสมบัติ

... พระองค์ทรงทศพิธราชธรรม อันเป็นมรดกตกทอดมาจากพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น

... จึงทรงมีมิตรสัมพันธไมตรีตลอดทุกอาณาจักรประเทศ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 07, 2014, 05:25:01 AM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
     ... และก็ถึงอาณาจักรประเทศแถนไทยด้วย

... ก็ในกาลนี้ ในอนาคตวงศ์มีเรื่องอันเป็นพระพุทธพจน์ตรัสเล่าแสดงแก่พระสารีบุตรเถระ

... จึงเป็นเรื่องในสมัยพระพุทธกาลพระสมณโคดมของเรานี้มีว่า

... พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าตรัสเล่าว่า

... พระยาช้างนาฬาคีรี ซึ่งเป็นบรมโพธิสัตว์วิริยาธิกะนี้

... ได้ไปบังเกิดเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ของพระเจ้าธรรมราชาธิราชนั้น ซึ่งมีนามชื่อว่า ธรรมเสนกุมาร เป็นที่ ๑

... กับมีพระอนุชาอีก ๔ องค์ คือ

... ที่ ๒ มีนามว่าภัททกุมาร

... ที่ ๓ มีนามว่า รามกุมาร

... ที่ ๔ มีนามว่า ปมาทกุมาร

... ที่ ๕ มีนามว่า ธัชชกุมาร
     
... ต่างได้ไปเรียนสำเร็จศิลปศาสตร์ ในสำนักทิสาปาโมกขาจารย์ ณ ตักศิลาพร้อมกัน

... พระธรรมเสนกุมารนั้น สำเร็จวิชาทานศีลธรรมศาสตร์

... พระภัททกุมาร สำเร็จธนูศรพิษศิลปศาสตร์

... พระรามกุมาร สำเร็จวิชาดอกไม้ไฟศิลปศาสตร์

... พระปมาทกุมาร สำเร็จวิชาช่างทองศิลปศาสตร์

... พระธัชชกุมาร สำเร็จวิชาบำราบอสรพิษศิลปศาสตร์
     
... ครั้นสำเร็จแล้ว ก็กลับมาพร้อมกัน และพร้อมกันเข้าเฝ้า จึงสำแดงศิลปศาสตร์ที่สำเร็จมานั้น ให้ทอดพระเนตรเห็นประจักษ์แจ้งทุกพระองค์

... พระเจ้าธรรมราชาธิราชพระราชบิดา ได้ตรัสสรรเสริญเป็นอันมาก

... เมื่อจะยกราชสมบัติให้ครองนั้น ได้ทรงพระราชดำริแล้ว

... จึงตรัสสั่งทั้ง ๕ พระองค์ให้ไปแสดงศิลปศาสตร์ ณ เมืองถิ่นอื่น

... ใครได้ชมเชยมาก ก็จะยกราชสมบัติให้ผู้นั้นได้ครองต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 07, 2014, 05:30:34 AM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... พระเจ้าธรรมราชาได้ทรงจัดเรือ ให้พระราชโอรสเสด็จรอนแรมไปตามห้วงมหาสมุทรใหญ่
     
... เมื่อพระราชกุมารทั้งหลายไปถึงท่ามกลางมหาสมุทรเข้าแล้ว

... ฝ่ายพระราชกุมารมีเจ้าภัททกุมารเป็นอาทิ ซึ่งเป็นพระอนุชาแห่งเจ้าธรรมเสนบรมโพธิสัตว์ทั้ง ๔ พระองค์ ไม่มีสติปัญญาสำคัญผิดคิดมิชอบ หลงใหลไปในท้องสมุทร

... ครั้งนั้น เจ้าภัททกุมารเข้าใจว่า ลูกศรอันเป็นพิษที่อาจารย์สั่งสอนมานั้นว่า มีอยู่ภายใต้ท้องพระมหาสมุทร โดยคิดว่า

... " เราจะโจนลงไปในน้ำ สำแดงศิลปศาสตร์ภายใต้ท้องพระมหาสมุทร มีชัยชนะได้ลูกศรอันมีพิษขึ้นมา

... เมื่อพระบิดาได้ทรงฟังว่าเรามีชัยก็จะยกศิริราชสมบัติให้แก่เรา "

... เจ้าภัททกุมารคิดดังนี้แล้ว ก็โจนลงไปในท้องมหาสมุทร

... ครั้งนั้นมหามัจฉาปลาใหญ่ ก็กินกุมารนั้นเสีย

... ครั้นสำเภาแล่นไปในเบื้องหน้า จนถึงเวลาเที่ยงคืน น้ำในท้องมหาสมุทรเป็นสีพราย เปรียบเหมือนดอกไม้ไฟ

... เจ้ารามกุมารสำคัญในใจว่า

... " เพลิงดอกไม้ไฟนั้น มีอยู่ในท้องมหาสมุทรถ้าเราลงไปเอาขึ้นมา ทราบถึงพระบิดาก็จะยกศิริราชสมบัติให้แก่เรา "

... คิดแล้วก็โจนลงไปในท้องมหาสมุทร ปลาใหญ่ก็กินกุมารนั้นเสีย

... ครั้นเวลารุ่งสว่างขึ้นมา ถึงตะวันเที่ยงสำเภาแล่นไป

... เจ้าปมาทกุมารนั้น เห็นดวงพระอาทิตย์ปรากฏในท้องพระมหาสมุทร ก็สำคัญว่า

... " ทองคำเนื้อบริสุทธิ์ปราศจากราคีมีอยู่ในน้ำ ถ้าเราลงไปดำเอาขึ้นมาได้ เห็นว่าชัยชนะจะพึงมีแก่อาตมา พระบิดาทรงทราบแล้วก็จะยกศิริราชสมบัติให้แก่เรา "

... คิดแล้วก็โจนน้ำดำลงไป ปลาใหญ่ก็กินกุมารนั้นเสีย

... สำเภาแล่นไปจนถึงเมืองหนึ่งเข้า เจ้าธัชชกุมารนั้นขึ้นไปในเมือง เพื่อจะสำแดงศิลปะศาสตร์ของตน

... จึงร่ายมนต์แล้วก็แปลงกายเป็นอสรพิษเลื้อยไปในท่ามกลางมหาชนทั้งหลาย

... ชาวเมืองเห็นงูร้ายเลื้อยมาดังนั้น ก็ชวนกันกลุ้มรุมตีด้วยไม้ค้อนก้อนดิน กระทำให้พินาศฉิบหาย ตายอยู่ในที่นั้น

... ตกว่า พระราชกุมารทั้ง ๔ ตายสิ้น ด้วยศิลปะศาสตร์ของอาตมาอันหาปัญญาสำคัญมิได้ ด้วยคิดวิปลาสผิดไป ก็ได้ซึ่งความฉิบหายดังนั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 07, 2014, 05:36:17 AM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ยังเหลืออยู่แต่เจ้าธรรมเสนกุมารผู้เป็นพี่ชาย อาศัยอยู่ในเมืองนั้น

... ยังมีพระฤๅษีทั้งหลายประมาณ ๘๐,๐๐๐ องค์ มาแต่ป่าหิมพานต์ เหาะมาโดยอากาศเวหาลงในเมืองนั้น แล้วก็เข้าไปโคจรบิณฑบาตในท่ามกลางเมือง

... เจ้าธรรมเสนกุมารทัศนาเห็นพระดาบสทั้งหลายเดินตามกันมาเป็นอันมาก จึงคิดว่า

... " เรารู้วิชาการศิลปศาสตร์มาแต่สำนักตักศิลา ก็เรียนมามากอยู่แล้วยังไม่เหาะไปในอากาศได้

... พระดาบสทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนแต่เหาะได้ด้วยกันสิ้นทุกองค์ จะเป็นเหตุดังฤาหนอ

... จำจะเข้าไปไต่ถามพระดาบสดูสักหน่อย "

... คิดแล้วเจ้าธรรมเสนก็เข้าไปหาพระดาบสทั้งหลายถามว่า

... " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้านี้เหาะได้ด้วยเหตุดังฤา "

... พระดาบสทั้งหลายจึงตอบว่า

... " ดูก่อนมาณพพระฤาษีทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมไปอาศัยอยู่ในมหาวันต์ราวป่าใหญ่

... แล้วได้ซึ่งวิชาการเหาะได้ในอากาศ เหตุดังนั้นเราจึงได้มาถึงเมืองนี้ "

... เจ้าธรรมเสนกุมารจึงว่า

... " ข้าพเจ้าก็มีศิลปะศาสตร์เชี่ยวชาญชำนาญอยู่ ในเมืองจำปากนครหาผู้จะเสมอมิได้ เหตุไรข้าพเจ้าจึงมิอาจเหาะไปได้

... ถ้าข้าพเจ้ารู้วิชชาศิลปะศาสตร์เหาะได้ด้วยอุบายของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะขอเป็นทาสของพระผู้เป็นเจ้า

... ขอพระผู้เป็นเจ้า จงได้กรุณาข้าพเจ้าด้วยเถิด "

... พระดาบสได้ฟังพระราชกุมารว่าดังนั้น ก็มีความเอ็นดูกรุณา แล้วจึงแสดงอิทธิฤทธิ์พากุมารธรรมเสนนั้น เหาะไปยังป่าหิมพานต์

... ให้ธรรมเสนราชกุมารบวชเป็นดาบส แล้วก็สอนให้กระทำสมถะบริกรรมภาวนาเจริญฌานในกสินทั้ง ๑๐ กอง

... ยังอภิญญาสมาบัติให้บังเกิดบริบูรณ์ ได้ซึ่งตาทิพย์ รู้จิตผู้อื่น ระลึกชาติหนหลังได้ ทรงอิทธิฤทธิ์ เป็นศิลปศาสตร์อันประเสริฐ

... พระดาบสธรรมเสนนั้น ได้ซึ่งของอันวิเศษแล้ว ก็คิดว่า

... " เราจะไปแสดงศิลปศาสตร์ให้พระราชบิดาเห็นเป็นอัศจรรย์ "

... คิดแล้วก็ลาพระดาบสทั้งหลายด้วยวาจาว่า

... " จะไปแสดงศิลปศาสตร์แก่พระราชบิดา "

... กราบนมัสการลาพระดาบสแล้ว ก็เข้าฌานกระทำอิทธิฤทธิ์เหาะมาในอากาศเวหา มีเฉพาะหน้าเมืองจำปากะ

... ชาวเมืองเห็นพระดาบสธรรมเสน ก็ชวนกันสรรเสริญยิ่งนักหนา

... ฝ่ายพระดาบสธรรมเสน ก็เข้าไปสู่สำนักพระราชบิดา

... พระธรรมราชาธิราช ทอดพระเนตรเห็นพระโอรสทรงเพศเป็นบรรพชิตดาบสเข้ามาหาดังนั้น

... ก็บังเกิดความเสน่หาเป็นอันมาก ยังพระธรรมเสนดาบสราชโอรสให้นั่งบนตัก แล้วก็ตรัสไต่ถามประพฤติเหตุทั้งปวงว่า

... " ดูก่อนพ่อพระกนิษฐ กุมารทั้ง ๔ คนนั้น ไปอยู่ในที่ดังฤา จึงมาแต่พ่อผู้เดียวดังนี้ "

... พระดาบสธรรมเสนจึงเล่าความแต่หนหลัง ตั้งแต่ต้นจนอวสานให้พระบิดาฟังสิ้นทุกสิ่งทุกประการ

... สมเด็จพระเจ้าธรรมราชาธิราชได้ทรงฟัง จึงตรัสว่า

... " ดูก่อนพ่อธรรมเสนผู้ลูกรัก บัดนี้บิดาแก่ชราอายุมากแล้ว บิดาจะยกศิริราชสมบัติมิ่งมไหศวรรย์เศวตฉัตร มอบให้ในกาลบัดนี้ "

... เมื่อพระธรรมเสนดาบสได้สดับฟังพระบิดาตรัสดังนั้น ก็รับเอาศิริราชสมบัติไว้ตามพระบิดาให้

... จึงมีโจทย์เข้ามาว่า

... " พระธรรมเสนดาบสนั้น ทรงเพศบรรพชิต สำเร็จอิทธิฤทธิ์อภิญญาสมาบัติทุกประการอยู่แล้ว เหตุไรเล่าจึงรับเอาศิริราชสมบัติในครั้งนี้ "

... พระอรรถกถาจารย์เจ้าผู้เป็นปราชญ์วิสัชนาแก้ว่า

... " พระธรรมเสนนั้นเป็นหน่อพุทธางกูร จะใคร่ก่อสร้างพระบารมีแสวงหาพระโพธิญาณ ถ้ายับยั้งอยู่ด้วยเพศบรรพชิตดังนี้แล้ว ก็มิอาจจะกระทำทานมหาบริจาคอันใดได้

... ด้วยไม่มี บุตร ภรรยายอดรัก ข้าทาสหญิงชาย และ โค มหิงส์ ช้าง ม้า ราชรถ สรรพสิ่งทั้งปวง ซึ่งจะสละเป็นมหาบริจาค แม้อยู่เป็นฆราวาสประกอบไปด้วยบุตร ภรรยาแล้ว จึงอาจสามารถยังมหาทานให้บังเกิดกองทานบารมี เป็นปรมัตถมงกุฏได้โดยสะดวก

... เหตุดังนั้นพระธรรมเสนดาบสบรรพชิตบรมโพธิสัตว์ จึงรับเอาศิริราชสมบัติที่สมเด็จพระราชบิดายกให้ "

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 07, 2014, 05:41:32 AM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ครั้งนั้นพระบรมโพธิสัตว์ธรรมเสนก็เปลื้องเครื่องบริขารบรรพชิตออกเสียจากสรีรกาย ทรงเพศเป็นคฤหัสถ์ แล้วก็กล่าวประกาศถ้อยคำเป็นอธิษฐานว่า

... " ดูก่อนอัฐบริขารผู้เจริญเอ๋ย ท่านจงไปยังสำนักพระดาบสทั้งหลายเถิด "

... ในขณะขาดคำอธิษฐานแห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้าครั้งนั้น เครื่องบริขารทั้ง ๘ ก็ปลิวลอยไปในอากาศเวหา ลงยังสำนักแห่งพระดาบสทั้งหลาย

... ส่วนสมเด็จพระธรรมราชาธิราชผู้เป็นพระบิดา ก็ให้ตีกลองร้องป่าวชาวพระนคร ให้มหาชนทั้งหลายสันนิบาตประชุมพร้อมกันแล้ว จึงกระทำอภิเษกสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ผู้เป็นพระราชโอรส กับด้วยนางลัมภุสสราชเทวี เป็นอัครมเหสีครอบครองกรุงจำปากมหานครเป็นสุขสำราญมา

... ล่วงกาลช้านาน พระราชเทวีอัครมเหสีทรงพระครรภ์ ถ้วนทศมาสแล้วก็คลอดพระราชบุตร พระนามว่า ธรรมสารกุมาร

... เมื่อพระราชบุตรบทจรยกย่างได้ถนัดแล้ว นางก็ทรงครรภ์อีก ประสูติพระราชธิดา พระนามว่า สาริณีกุมารี
   
... ลำดับนั้น พระเจ้าธรรมเสนผู้เป็นบรมกษัตริย์แสวงหาพระโพธิญาณ เสด็จด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา และพระราชมเหสี ไปประพาสนอกพระนคร เพื่อจะลงสรงสาครเล่นน้ำให้สุขสำราญ กับด้วยราชบริวารสาวสนมกรมในทั้งปวง และหมู่มุขมนตรีทั้งหลายก็ลงเล่นน้ำสำราญใจ

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ครั้งนั้น ยังมียักษ์ตนหนึ่งได้ทัศนาการเห็นพระกุมาร และกุมารีทั้งสองพระองค์ ก็มีความปรารถนาเพื่อจะกินเป็นภักษาหาร บ่มิอาจอดกลั้นความอยากอยู่ได้

... จึงเดินมาสำแดงกายให้ปรากฏเฉพาะหน้าแห่งพระเจ้าธรรมเสนบรมกษัตริย์ แล้วก็ร้องขอด้วยคำว่า

... " ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ข้าพเจ้ามาบัดนี้มีความปรารถนาจะขอรับพระราชทาน พระกุมารและพระกุมารี ทั้ง ๒ ของพระองค์

... พระองค์จงทรงพระกรุณาข้าพเจ้า โปรดเกล้าพระราชทานกุมารและกุมารี ให้แก่ข้าพเจ้ากินเป็นภักษาหารในกาลบัดนี้เถิด "

... เมื่อพระเจ้าธรรมเสนบรมโพธิสัตว์ ได้ทรงฟังยักษ์ทูลขอพระลูกรักทั้ง ๒ ดังนั้น ก็เกิดความกรุณาจิตขึ้นมา จึงตรัสว่า

... " ดูก่อนยักษ์ผู้เจริญ ท่านกล่าวถ้อยคำดังนี้เพราะนักหนา เป็นสุนทรวาจาอันยิ่ง "

... ตรัสแล้วก็เสด็จอุฏฐาการ จูงเอาข้อพระหัตถ์กุมารและกุมารีทั้ง ๒ องค์มาส่งให้แก่ยักษ์ แล้วตรัสว่า

... " เชิญท่านมารับเอาปิยบุตรทานของเรา "

... แล้วก็จับเอาพระเต้าทอง มาหล่อหลั่งอุทกวารีลงเหนือมือยักษ์ จึงตรัสว่า

... " ราชกุมารและราชกุมารีทั้ง ๒ องค์นี้

ใช่เราจะไม่มีความเสน่หาอาลัยหามิได้

แต่เรามีความรักพระสัพพัญญุตญาณนั้น

ยิ่งกว่ากุมารทั้ง ๒ ได้ร้อยเท่าพันทวี

ด้วยเดชะผลทานของเราที่สละกุมารทั้ง ๒ องค์

ให้เป็นทานแก่ท่านบัดนี้

ขอให้บังเกิดมีผลเป็นที่สุดถึงพระสัพพัญญูสรรเพชุดาญาณ

ในอนาคตกาลเบื้องหน้า "

... พระองค์ประกาศแก่ฝูงเทพเจ้าทั้งหลายแล้ว มหัศจรรย์ก็บังเกิดมีต่างๆ นานา เป็นต้นว่าแผ่นดินไหวทั่วโลกธาตุ

... ครั้นว่ายักษ์ได้รับพระราชทานแล้ว ก็กินกุมารทั้ง ๒ องค์เป็นอาหาร แล้วก็เข้าสู่อรัญญราวป่า

... ฝ่ายพระเจ้าธรรมเสนบรมกษัตริย์กับพระราชมเหสี ก็เสด็จกลับเข้าพระนคร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 07, 2014, 05:44:34 AM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ในกาลเมื่อเสด็จถึงประตูเมือง พระองค์ทอดพระเนตรบุรุษแก่คนหนึ่งนั่งเป็นทุกข์อยู่ในที่นั้น จึงมีพระราชโองการตรัสถามว่า

... " เหตุไฉน ท่านจึงมานั่งเป็นทุกข์อยู่ในที่นี้ "

... บุรุษนั้นจึงกราบทูลว่า

... " ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ จำเดิมแต่เกล้ากระหม่อมเกิดมา จนอายุถึงเพียงนี้แล้ว บุตร ภรรยา ก็หามีไม่ ข้าพระบาทจึงมานั่งเศร้าโศกอยู่ในที่นี้ "

...  พระองค์ได้สดับฟังบุรุษแก่กราบทูลดังนั้น จึงตรัสว่า

... " เราจะยกพระราชมเหสีให้เป็นทานบารมีอันยิ่งแก่ท่าน "

... ตรัสแล้วก็จับเอาข้อพระหัตถ์พระราชมเหสีลงจากยานุมาศ พาพระนางเข้าไปให้ใกล้บุรุษแก่นั้นแล้วตรัสว่า

... " ท่านจงมารับเอาองค์พระราชมเหสีของเราไปโดยเร็วเถิด เรายกให้เป็นทานแก่ท่านบัดนี้ "

... แล้วก็หลั่งอุทกวารีให้ตกลงเหนือมือบุรุษแก่ แล้วก็ประกาศด้วยวาจาปรารถนาว่า

... " เดชะผลทานที่เราได้ยกนางลัมภุสสราชเทวีอัครมเหสีให้แก่ท่านครั้งนี้

ขอให้เป็นปัจจัยแก่พระสร้อยสรรเพชุดาญาณเถิด "

... ในกาลครั้งนั้น อัศจรรย์ก็บังเกิดมีแผ่นดินไหวเป็นอาทิ ดุจสำแดงมาแล้วแต่หนหลัง

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ครั้นบุรุษแก่ได้รับพระราชทานพระราชมเหสีแล้ว จึงมีวาจาปราศรัยกับพระนางว่า

... " ดูก่อนเจ้าผู้เจริญ ตัวของเรานี้เป็นคนแก่เฒ่า อนึ่งเล่าทรัพย์สมบัติทั้งปวงก็ไม่มี ดังฤาเจ้าจะอยู่ด้วยพี่ได้ "

ครั้นพระเจ้าธรรมเสนได้ทรงฟังบุรุษแก่กล่าววาจากับด้วยพระนางดังนั้น จึงทรงคิดว่า

... " เราจะยกราชสมบัติให้กับบุรุษแก่เสีย แล้วจะออกทรงบรรพชาเป็นดาบสเห็นว่าจะประเสริฐ "

... ดำริดังนี้แล้ว

... จึงให้หาตัวบุรุษผู้นั้นมา ทรงยกพระราชสมบัติให้ กระทำพระราชพิธีราชาภิเษก สถาปนาพระนามชื่อว่า พระเจ้ามหาฉัตตธรรมราชา ให้ปกครองสืบต่อไป

... แล้วก็ร้องประกาศตั้งความปรารถนาให้ได้สำเร็จแก่พระสัพพัญญุตญาณดุจในหนหลัง อัศจรรย์ก็บังเกิดเหมือนแต่ก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 07, 2014, 01:28:24 AM โดย DHAMMASAMEE »

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... แล้วก็ทรงพระอธิษฐานว่า

... " ดูก่อนอัฐบริขารทั้ง ๘ ประการ เชิญมายังสำนักแห่งเราในกาลบัดนี้ "

... ในขณะนั้นอันว่าเครื่องบริขารบรรพชิตทั้ง ๘ ประการ ก็เลื่อนลอยมาตกลงตรงพระพักตร์ดุจดังว่ามีจิตวิญญาณ

... พระบรมโพธิสัตว์ก็ทรงเพศบรรพชาเป็นดาบส เจริญบริกรรมภาวนา ยังอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้บังเกิดขึ้นเหมือนครั้งก่อนแล้ว

... ก็เหาะไปในอากาศลงยังป่าพระหิมพานต์ เข้าไปสู่สำนักแห่งหมู่พระฤาษีทั้งหลาย

ออฟไลน์ DHAMMASAMEE

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 222
    • ดูรายละเอียด
... ในกาลนั้น พระอริยสาวกองค์หนึ่งของพระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธองค์ ได้เข้าพักอยู่สุขสำราญในป่าหิมพานต์นั้น

... พระฤาษีทั้งหลายได้พบเห็นพระอรหันต์แล้วก็มีความเชื่อและเลื่อมใส ได้เข้าไปกราบสักการบูชาพระอริยสาวกนั้น นิมนต์ให้ยับยั้งอยู่ ๑ ราตรี

... ครั้น รุ่งขึ้นเวลาเช้า พระอริยสาวกองค์อรหันต์ ก็ได้พาพระดาบสธรรมเสนเหาะเข้าไปในสำนักพระมหาวิหาร และเข้าเฝ้าพระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธองค์นั้น
     
... พระดาบสธรรมเสนได้เข้าไปกราบนมัสการแทบพระบาทมูลพระสัพพัญญูเจ้า

... ได้พิจารณาดูพระทวัตติงสมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ชัดเจนแล้ว ก็ได้เกิดปีติโสมนัสขึ้น

... จึงได้ทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้แสดงพระสัทธรรมเทศนา

... สมเด็จพระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธองค์ ทรงพระกรุณาตรัสว่า
     
... " ดาบสธรรมเสนผู้เจริญ บัดนี้ตัวท่านสมควรจะพิจารณาซึ่งกิริยาที่จะให้ไปถึงเมืองแก้ว

... คือ พระอมตมหานครนิพพาน จึงจะชอบแก่ตัวท่านด้วยตัวเองเถิด "
     
... พระดาบสบรมโพธิสัตว์ได้สดับพระพุทธฎีกาเป็นนัยเช่นนั้น ก็บังเกิดความเชื่อเลื่อมใสขั้นสัทธาปสาทะเต็มเปี่ยมแล้ว

... ก็ได้อธิษฐานเล็บของพระองค์ให้คมดุจดาบ ได้ใช้ตัดเศียรเกล้าให้ขาดแล้ว

... ใช้พระหัตถ์ทั้งสองรับประคองยกขึ้นกระทำสักการะบูชาสมเด็จพระพุทธองค์ และได้กล่าวตั้งความปรารถนาว่า
     
... " พระองค์สมเด็จพระโกนาคมน์

ได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐ

ถึงเมืองนิพพานก่อนแล้ว

ข้าพระองค์ก็ปรารถนาสำเร็จ

เป็นพระศรีสรรเพชญ์สัมพุทธองค์พระองค์หนึ่ง
     
อนึ่งพระองค์ได้เสด็จไปสู่เมืองแก้วก่อน

ข้าพระองค์ ขอสำเร็จพระนิพพานในเบื้องหน้า "
     
... ภายหลังได้กล่าวคาถาเป็นใจความ ๒ ข้อดังนี้แล้ว

... พระบรมโพธิสัตว์ธรรมเสนดาบสนั้นก็จุติเคลื่อนไปอุบัติ ณ ดุสิตสวรรค์
     
... แล้วส่วนพระเศียรเกล้า พระสรีระกายนั้นก็ลุกเป็นเพลิง เสมือนเทียนประทีปบูชา

... มีกลิ่นหอมเป็นสุคนธ์ทิพบูชา ลุกเป็นประทีปต้นเฉพาะ ไม่ลุกลามไหม้ไปที่อื่น

... ด้วยพระพุทธานุภาพ และด้วยอำนาจอธิษฐานบารมี กระทั่งหมดสิ้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 07, 2014, 05:46:27 AM โดย DHAMMASAMEE »