หมวดหลัก > อภิญญาปฎิบัติ

มรณานุสสติเพื่อความไม่ประมาทในการสร้างบารมี

<< < (2/4) > >>

Wisdom:
คนเรา ก็เท่านี้ เธอเวียนเกิดเวียนตายระคนกันไปอย่างนี้มานานแล้ว
คู่ของเธอขณะนี้อาจเป็นพ่อแม่ในอดีตก็ได้ และหลายชาติ
ที่เธอจะพลัดพรากจากกันคนหนึ่งอยู่บนฟากฟ้าสูงส่ง
ส่วนอีกคนตกต่ำในห้วงเหวนรกโลกันต์ เธอจะต้องตาย
ความตายกำลังเดินทางมาถึง คนที่เธอรักต้องตาย
เธอต้องตายจากคนที่รัก เธอทุกข์อย่างนี้มานับชาติไม่ถ้วนแล้ว
ตัดรักเถิดก้าวข้ามบ่อน้ำกามอันแสนตื้นเขิน
ที่ชาวโลกติดหลงใหลในรสชาติกามคุณนี้่ให้ได้เสียที
แล้วความตายจักได้ไม่มาเบียดเบียนเราอีกเลย

อนิจจา ! สัตว์โลก ถูกจองจำกลับยินดี สู้ศัตรูไม่มีอาวุธ
ใครไม่หยุดไม่ถึงพระ ใครไม่ละไม่ถึงนิพพาน

สำหรับเหล่าหน่อเนื้อพุทธะจงตื่นตัว ไม่ประมาทในการสร้างบารมี
เร่งบำเพียรบ่มเพาะจิตเพื่อพระโพธิญาณ เพื่อช่วยเหลือสัตว์ในวัฐสงสาร

Wisdom:




ความเกิด แก่ เจ็บ ความตายกายมนุษย์
ไม่สิ้นสุด เวลามาฉุกเฉิน
ความหมุนเวียน เปลี่ยนแปลงแห่งโลกเดิน
ก็ดำเนินตามกรรม นำชีวี
จันทร์เต็มดวงยังกลับหันเป็นจันทร์แรม
แสงอะแหล่ม นวลอร่ามกลับทรงศรี
น้ำขึ้นแล้ว ยังกลับลดปรากฏมี
ชั่วแล้วดี ดีแล้วชั่วกลั้วกันไป

ชีวิตนี้สั้นนักเปรียบเสมือนพยับแดด แวบวาบ แป๊ปเดียวแล้วหายไป
ชีวิตนี้สั้นนักเปรียบเสมือนรอยขีดในน้ำไม่นานก็หายไป
ชีวิตนี้น้อยนักเสมือนสายฟ้าฟาด แปลบเดียวแล้วหายไป
ชีวิตนี้เหมือนฟองน้ำที่ผุดขึ้นแล้วแตกไป
เมื่อความตายมาเยือนเราจะทำกับมันอย่างไรดี



อันความตาย ชายนารี หนีไม่พ้น
จะมีจน ก็ต้องวาย กลายเป็นผี
ถึงแสนรัก ก็ต้องร้าง ห่างกันที
ไม่วันนี้ ก็วันหน้า จริงหนา...เรา

ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่
เว้นเสียแต่ ต้นทุน บุญกุศล
ทิ้งสมบัติ ทั้งหลาย ให้ปวงชน
แม้ร่างตน... เขาก็เอา ไปเผาไฟ...



เตรียมตัวก่อนตาย เตรียมกายก่อนแก่
เตรียมปลงซ่ะก่อนจะถึงภพหน้า นะท่านเอ๋ย

Wisdom:
อายุคนเราเฉลี่ย76ปี....นั่นคือแค่3592อาทิตย์เท่านั้น

คุณหมดเวลากับการนอนไปถึง1317อาทิตย์

ซึ่งเท่ากับคุณเหลือเวลาที่ใช้ดำเนินชีวิตแค่2635อาทิตย์!!!

......สองพันกว่าอาทิตย์เองที่ได้อยู่บนโลก......



ถามตัวคุณเองดีกว่า ว่าจะยอมเศร้าซักกี่อาทิตย์ เหงาซักกี่อาทิตย์ มีความสุขซักกี่อาทิตย์.......

เพราะทั้งหมดเราก็มีอยู่แค่สองพันกว่าอาทิตย์เอง

ที่กล่าวว่า อายุเฉลี่ยของคนเราคือ76ปีนี้ นี้คือค่ามัชฌิม....ค่าเฉลี่ยอายุคนทั่วไป

บางคนอาจจะอยู่ได้นานกว่านั้น..... แต่อีกหลายๆคนก็อยู่ได้ไม่ถึง......
มันไม่มีอะไรจะมารองรับประกันได้เสียด้วยว่าใครจะอยู่ได้นานแค่ไหน.....
ใครจะรู้ความตายแม้นพรุ่งนี้......

ครูบาอาจารย์ท่านจะเตือนให้พิจารณาถึงความตายให้บ่อยๆ
ไม่ให้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยทิ้งไปเปล่าๆ.....
ให้เพียรพยายามเลิกละกิเลสในใจของตน เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเกิดเพื่อตายอีก

ความตายเป็นทุกข์ก็จริง...... แต่ท่านสอนให้พิจารณาทุกข์
ให้เอาทุกข์ที่จะต้องมาถึงแน่ๆมาเตือนตน...... ความตายจึงมีประโยชน์กับผู้ที่รู้จักพิจารณา
ความตายเป็นสัจจธรรมที่ฟังเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆธรรมดา เหมือนเป็นเรื่องพื้นๆ.....
แต่สำหรับผู้ที่พิจารณาโดยแยบคายจะได้อุบายดับทุกข์-ละกิเลสอันยอดเยี่ยม

มรณํง เม ภวิสสติ...... พึงระลึกถึงความตายที่จะมาถึงตัวเราเถิด

อธุวํ ชีวิตตํ......ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง

ธุวํ มรณํ.....ความตายเป็นของเที่ยง

อนิจจา ! สัตว์โลก ถูกจองจำกลับยินดี สู้ศัตรูไม่มีอาวุธ
ใครไม่หยุดไม่ถึงพระ ใครไม่ละไม่ถึงนิพพาน

สำหรับเหล่าหน่อเนื้อพุทธะจงตื่นตัว ไม่ประมาทในการสร้างบารมี
เร่งบำเพียรบ่มเพาะจิตเพื่อพระโพธิญาณ เพื่อช่วยเหลือสัตว์ในวัฐสงสาร

Wisdom:
สักวันหนึ่งข้าพเจ้าต้องตาย
สักวันหนึ่งท่านก็ต้องตาย
สักวันหนึ่งคนที่ข้าพเจ้ารักต้องตาย
สักวันหนึ่งคนที่ท่านรักก็ต้องตาย

สักวันหนึ่งของที่ข้าพเจ้าชอบต้องพัง
สักวันหนึ่งของที่ท่านชอบก็ต้องพัง
สักวันข้าพเจ้าต้องพลัดพราก
สักวันท่านก็ต้องพลัดพราก

สักวัน.... เราต้องตาย
สักวัน.... สักวัน.....

อาจจะเป็นตอนนี้..... วันนี้.... หรือพรุ่งนี้.....
แต่ยังไง เราและท่าน ก็.... ต้องตายเป็นแน่แท้

1 ชีวิตนี้วิปริตผันแปร ไม่แน่นอน
2 วัย หมดไปตามลำดับแห่งวัย
3 หนุ่มก็ตาย แก่ก็ตาย
4 ชีวิต ไม่ถึงร้อยปีก็จะตาย
5 ถ้าอยู่เลยร้อยปี ก็ต้องตายเพราะความแก่เป็นแน่แท้
6 คนโง่ก็ตาย คนฉลาดก็ตาย
7 สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนก้าวเดินไปสู่ความตาย
8 คนถึงคราวตาย หมู่ญาติก็ช่วยไม่ได้
9 ชีวิตนี้น้อยนัก ชีวิตนี้สั้นนัก
10 วันและคืนย่อมผ่านไป
11 เมื่อมีชีวิต วัยแห่งชีวิตก็ร่นเข้ามา
12 เกิด ก็เป็นทุกข์
13 จะตาย ก็ตายไปคนเดียว
14 กาลเวลาล่วงไป ราตรีก็ผ่านไป
15 ตาย ก็เป็นทุกข์
16 แก่ ก็เป็นทุกข์
17 สัตว์โลกถูกมฤตยูห้ำหั่น
18 จะวิ่งหนีก็ไม่ทัน (ความตายไม่มีใครหนีได้)
19 สัตว์โลก ถูกชราปิดล้อม
20 เจ็บ ก็เป็นทุกข์
21 จะเกิด ก็เกิดมาคนเดียว
22 ชีวิตนี้คับแค้น และสั้นนิดเดียว
23 ชีวิตสิ้นสุดลงที่ความตาย
24 เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ควรเกื้อกูลกัน
25 เมื่อสัตว์จะตาย ไม่มีผู้ป้องกัน
26 เมื่อคนจะตาย ยังแถมประกอบด้วยทุกข์อีก
27 คนที่ร้องให้ถึงคนตาย เขาก็จะต้องตายด้วย
28 ปราชญ์กล่าวว่าชีวิตนี้น้อยนัก
29 เห็นอยู่เมื่อเช้า สายก็ตาย
30 ที่ตายแล้วก็แล้วไป ไม่ควรเศร้าโศกถึง
31 ปราชญ์ทั้งหลาย บอกแล้วว่าชีวิตนี้น้อยนัก
32 โลกถูกความตายครอบเอาไว้
33 เมื่อความตายมาถึงตัว ก็ไม่มีใครป้องกันได้
34 เมื่อคนตายแล้วสมบัติสักนิดก็ไม่ติดไป
35 ทุกชีวิตที่เกิดมาแล้วจะต้องแตกสลายในที่สุด
36 ทุกชีวิตจะต้องทอดทิ้งร่ายกายไว้ในโลก
37 ไม่มีใครผัดเพี้ยนกับความตาย ซึ่งมีอำนาจมากได้
38 สถานที่ที่ได้ชื่อว่าไม่มีคนตาย ไม่มีในโลก
39 ทุกคนควรทำหน้าที่ของตนและไม่ควรประมาท
40 ทั้งหนุ่มและแก่ ล้วนร่างกายแตกดับไปทุกคน
41 สัตว์โลกถูกมฤตยูห้ำหั่น ถูกชราปิดล้อม
42 เมื่อสัตว์ถูกชรานำเข้าไปแล้ว ไม่มีผู้ป้องกัน
43 ความผัดเพี้ยนกับมฤตยูอันมีกองทัพใหญ่นั้น ไม่ได้เลย
44 กี่วันผ่านไป ชีวิตก็ยิ่งใกล้ความตาย
45 คนทุกคนต้องตาย
46 วัยสิ้นไปตามคืนและวัน
47 การตายโดยชอบธรรม ดีกว่าการมีชีวิตอยู่โดยไม่ชอบธรรม
48 อายุของคนย่อมหมดสิ้นไป
49 ความตายย่อมมีแก่ผู้เกิด
50 วันคืนเคลื่อนคล้อย อายุก็เหลือน้อยเข้าทุกที
51 สัตว์ทั้งปวงย่อมถูกชราและมรณะพัดพาไป
52 สายเห็นกันอยู่ รุ่งเช้าอีกวันก็ตาย
53 มีชีวิตอยู่อย่างไม่ถูกต้อง หาประเสริฐไม่
54 เงิน ก็ซื้ออายุให้ยืนยาวไม่ได้
55 สัตว์ทั้งปวง จัดทอดทิ้งร่างไว้ในโลก
56 ตั้งอยู่ในธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวปรโลก
57 วัยย่อมเสื่อมลงเรื่อยไป ทุกหลักตา ทุกลืมตา
58 เมื่อตาย ทรัพย์สักนิดเดียวจะติดตัวไปก็ไม่มี
59 ตายเพื่อความถูกต้องประเสริฐกว่า
60 ถึงคราวตาย บุตรทั้งหลายก็ช่วยไม่ได้
61 ถึงคราวตาย บิดา ญาติพี่น้องก็ช่วยไม่ได้
62 รวยก็ตาย จนก็ตาย
63 ทรัพย์สมบัติ ก็ซื้อความแก่ไม่ได้
64 สักวันหนึ่ง ก็จะพรากจากกันไป
65 วันคืน ไม่ผ่านไปเปล่า
66 มฤตยู พยาธิ ชรา ทั้งสามนี้ดุจไฟลามลุกไหม้
67 ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรม ใครเล่าจะกลัวความตาย
68 ผู้ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตายไม่มี
69 วันคืนผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมจะเหลือน้อยลง
70 อายุย่อมหมดไปทุกขณะที่หลับตาและลืมตา
71 คนจะมีชีวิตอยู่ได้ก็เพียงร้อยปี หรือจะเกินก็เพียงเล็กน้อย
72 แม้ชีวิตอยู่ร้อยปี ก็ไม่พ้นความตายไปได้ มวลมนุษย์ล้วนมีความตายรออยู่ข้างหน้า
73 ชีวิตของเราเป็นของน้อย ชราและพยาธิก็คอยย่ำยี
74 กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์ทั้งหลาย พร้อมกันไปกับตัวมันเอง
75 คนใดร้องให้บ่นเพ้อถึงคนที่ตายไปแล้ว แม้คนที่ร้อนนั้นก็ต้องตายเหมือนกัน
76 เมื่อมาเกิด ก็ไม่มีใครอ้อนวอนมาเกิด เมื่อตายจากโลกนี้ ก็ไม่มีใครอนุญาตให้ไป
77 วันคืนล่วงไป ชีวิตของคนก็พร่องลงไป จากประโยชน์ที่จะทำ
78 ชีวิตของสัตว์เหมือนภาชนะดิน ซึ่งล้วนมีความสลายเป็นที่สุด
79 ทั้งคนมี ทั้งคนจน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า
80 รูปกายของสัตว์ย่อมร่วงโรยไป แต่ชื่อและโครตไม่เสื่อมสลาย
81 อายุสังขาร ใช่จะประมาทไปตามสัตว์ผู้ยืน นั่ง นอน หรือ เดินอยู่ก็หาไม่
82 สิ่งมีชีวิตทั้งปวง ย่อมกลัวโทษและกลัวความตาย จงทำตนเป็นอุปมา แล้วไม่พึงฆ่าหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่า
83 เพราะฉะนั้น ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ทุกคนควรกระทำกิจหน้าที่ และไม่พึงประมาท
84 ร่างกายนี้ ไม่นานนัก เมื่อวิญญาณจากไปแล้ว หมู่ญาติก็เกลียดกลัว เอาไปทิ้งในป่าช้าเหมือนท่อนไม้
85 เมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้วด้วยมรณะสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับจากการรักชีวิต
86 กาลเวลาล่วงไป วันคืนผ่านพ้นไป วัยก็หมดไปที่ละตอน ๆ ตามลำดับ
87 อายุของคนนี้น้อยนัก จะต้องจากโลกนี้ไป จึงควรทำกุศล และประพฤติพรหมจรรย์
88 น้ำเต็มฝั่ง ไม่ไหลทวนขึ้นที่สูง ฉันใด อายุของคน ก็ย่อมไม่เวียนไปสู่วัยเด็กอีก ฉันนั้น
89 ชีวิตนี้เป็นสิ่งคับข้อง เป็นสิ่งเล็กน้อย ประกอบด้วยทุกข์ ใครเล่ายังจะอาศัยชีวิตนี้ ไปสร้างเวรกับผู้อื่น
90 ชีวิตนี้น้อยนัก ไม่ถึงร้อยปีก็ตายกันแล้ว ถ้าจะอยู่เกินไป ก็ต้องตายเพราะความแก่
91 วันคืนย่อมล่วงไป ชีวิตย่อมหมดเข้าไป อายุของสัตว์ ย่อมสิ่นไป เหมือนน้ำแห่งแม่น้ำน้อย ๆ ฉะนั้น
92 ชนเหล่าใดกำหนดรู้รูปธาตุ ไม่ตั้งอยู่ในอรูปธาตุ ย่อมหลุดพ้นไปได้ในในโรธธาตุ, ชนเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้ละมัจจุได้
93 อายุของมนุษย์มีน้อย คนดีพึงดูถูกอายุนั้นเสีย พึงประพฤติดุจคนมีศรีษะถูกไฟใหม้ มฤตยู (ความตาย) จะไม่มาถึง ย่อมไม่มี
94 ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเขลา ทั้งฉลาด ล้วนไปสู่อำนาจแห่งความตาย ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า
95 ความตายย่อมครอบงำคนเก็บดอกไม้ (กามคุณ) ที่มีใจข้องในอารมณ์ต่าง ๆ ไม่อิ่มในกาม ไว้ในอำนาจ
96 ภัยของสัตว์ผู้เกิดมาแล้ว ย่อมมี เพราะต้องตายแน่นอน เหมือนภัยของผลไม่สุก ย่อมมี เพราะต้องหล่นในเวลาเช้าฉะนั้น
97 ภาชนะดินที่ช่างหม้อทำแล้ว ล้วนมีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด, ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น
98 ผู้เลี้ยงโคย่อมต้อนฝูงโคไปสู่ที่หากินด้วยพลอง ฉันใด, ความแก่และความตาย ย่อมต้อนอายุของสัตว์มีชีวิตไปเช่นกัน ฉันนั้น
99 การร้องให้ ความโศกเศร้า หรื การคร่ำครวญร่ำไรใด ๆ ย่อมไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
ผู้ที่ตายแล้วก็คงอยู่อย่างเดิมนั้นเอง
100 เมื่อถูกพญามัจจุราชครอบงำ ไม่ว่าบุตร ไม่ว่าบิดา ไม่ว่าญาติพวกพ้อง มีไว้ก็ช่วยต้านทานไม่ได้ จะหาที่ปกป้องในหมู่ญาติ
เป็นอันไม่มี
101 ข้าพเจ้าไม่มีความชั่ว ซึ่งทไว้ ณ ที่ไหน ๆ เลย ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นเกรงความตายที่จะมาถึง
102 การร้องให้หรือโศกเศร้า จะช่วยให้จิตใจสงบ สบาย ก็หาไม่ ทุกข์ยิ่งเกิดเพิ่มพูนทับทวี ทั้งร่ายกายก็พลอยทรุดโทรม
103 คนที่รักใคร่ ตายจากไปแล้ว ย่อมไม่ได้พบเห็นอีกเหมือนคนตื่นขึ้นไม่ได้เห็นสิ่งที่ได้พบในฝัน
104 จะตายก็ไปคนเดียว จะเกิดก็มาคนเดียว ความสัมพันธ์ของสัตว์ทั้งหลาย ก็เพียงแค่ได้มาพบปะเกี่ยวข้องกันเท่านั้นเอง
105 คนที่สละความเศร้าโศกไม่ได้ มัวทอดถอนถึงคนที่จากไปแล้ว ตกอยู่ในอำนาจของความโศก ย่อมประสบความทุกข์หนักยิ่งขึ้น
106 ตอนเช้ายังเห็นกันอยู่มากคน พอตกเห็นบางคนก็ไม่เห็น เมื่อเย็น ยังเห็นกันอยู่มากคน ตกถึงเช้า บางคนก็ไม่เห็น
107 ถ้าบุคคลจะเศร้าโศกถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่แก่ตน (เช่นผู้ที่ตายไปแล้ว เป็นต้น) ไซร้ ก็ควรจะเศร้าโศกถึงตนเอง
ซึ่งตกอยู่ในอำนาจของพญามัจจุราชตลอดเวลา
108 แม่น้ำเต็มฝั่ง ไม่ไหลทวนขึ้นที่สูง ฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่เวียนกลับมาสู่วัยเด็กอีก ฉันนั้น
109 ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนพาล ทั้งบัณฑิต ทั้งคนมี ทั้งคนจน ล้วนเดินหน้าไปหาความตายทั้งหมด
110 ผลไม้สุกแล้ว ก็หวั่นแต่ละต้องร่วงหลุ่นไปตลอดเวลา ฉันใด สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ก็หวั่นแต่จะตายอยู่ตลอดเวลา ฉันนั้น
111 อายุของคนน้อยนัก คนดีไม่ควรลืมอายุ ควรระลึกถึงอายุดุจคนถูกไฟไหม้ศรีษะ เพราะการที่ความตายจะไม่มาถึงนั้น ไม่มีเลย
112 ถ้าจะเศร้าโศกถึงคนที่ตายไปแล้ว ก็ควรจะเศร้าโศกถึงตนเองด้วย ที่ตกอยู่ในอำนาจของความตายตลอดเวลา
113 ห้วงน้ำที่เต็มฝั่ง พึงพัดต้นไม้ซึ่งเกิดที่ตลิ่งไปฉันใด, สัตว์มีชีวิตทั้งปวง ย่อมถูกความแก่และความตายพัดไปฉันนั้น
114 เพราะฉะนั้น สาธุชน สดับคำสอน ของท่านผู้ไกลกิเลสแล้ว พึงกำจัดความร่ำไรรำพันเสีย เห็นคนล่วงลับจากไป ก็ทำใจให้ได้ว่า
ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เราจะขอให้เป็นอยู่อีกย่อมไม่ได้
115 ดูซิ.. ถึงคนอื่น ๆ ที่กำลังเตรียมตัว เดินทางไปตามยถากรรม ที่นี่สัตว์ทั้งหลายเผชิญกับอำนาจ ของพญามัจจุราชเข้าแล้ว
กำลังดิ้นรนกันอยู่ทั้งนั้น
116 เมื่อวัยเสื่อมสิ้นไปอย่างนี้ ความพลัดพรากจากกัน ก็ต้องมีโดยไม่ต้องสงสัย หมู่สัตว์ที่ยังเหลืออยู่ ควรเมตตา เอื้อเอ็นดูกัน
ไม่ควรจะมัวเศร้าโศกถึงผู้ที่ตายไปแล้
117 วันคืนล่วงไปเท่าไรชีวิตก็พร่องลงไปเท่านั้น เวลาแห่งความตายรุกไล่เข้าไปทุกอิริยาบท ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาทเวลา
118 จะอยู่ในอากาศ อยู่กลางมหาสมุทร เข้าไปสู่หลืบเขา ก็ไม่พ้นจากมฤตยูได้ ประเทศคือดินแดนที่มฤตยูจะไม่รุกรานผู้อยู่ ไม่มี
119 กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยล่อมละลำดับไป ผู้เล็งเห็นภัยในมรณะนั้น พึงทำบุญอันนำสุขมาให้
120 เมื่อเศร้าโศกไป ก็เท่ากับทำร้ายตัวเอง ร่างกายจะผ่ายผอม ผิดพรรณจะซูบซีดหม่นหมอง ส่วนผู้ที่ตายไปแล้ว
ก็จะเอาความโศกเศร้านั้นของเรา ไปช่วยอะไรตัวเขาไม่ได้ ความร่ำไรรำพัน ย่อมไร้ประโยชน์
121 ผู้ที่เศร้าโศกถึงคนตาย ก็เหมือนเด็กร้องให้ เหมือนกับขอพระจันทร์ที่โคจรไปในอากาศ คนตายถูกเผาอยู่
ย่อมไม่รู้ว่าญาติคร่ำครวญถึง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศก เขาไปแล้วตามวิถีทางของเขา

Wisdom:
บทอ่านฝึกปลงอสุภะ

ช่วงนี้ขอให้ทบทวนพิจารณาโดยภาพรวม คือ
มองความเป็นไปในวงกว้าง



ความตายปรากฎแล้ว

(มองไปพิจารณาตามเนื้อความแล้วสร้างภาพตามไป)
ร่างกาย จากสีแดงเหลืองค่อยๆซีดลงๆ 3 วันผ่านไป ร่างกายก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคลํ้าผสมกับสีดำแดงเป็นจํ้าๆ และซากศพเริ่มเน่าเหม็นพองอืดขึ้น เริ่มมีนํ้าหนองไหลออกมาจากร่างกาย แมลงวันแมลงหวี่บินว่อนเต็มไปหมด ต่างรุมเข้าดูดกินนํ้าเหลือง แล้วไข่ขยายพันธ์ต่อไป เพียงแค่ 3 วัน เท่านั้นหนอนตัวเล็กๆ ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ก็มีอยู่ทั่วร่างซากศพแล้วกลิ่นเหม็นของซากศพโชยไปทั่วทิศ หมู่สัตว์ทั้งหลายอันมีสุนัข หนู นก แร้ง กา ต่างก็ตามกลิ่นเข้ามารุมทึ้งซากศพ ทำให้ซากศพกระจัดกระจายกองทั่วพื้นอันมี ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง เนื้อ เอ็น เยื่อในกระดูก ไต ตับ หัวใจ ม้าม ปอด ถุงนํ้าดี พังผืด มันข้น ไขมัน มันสมอง อาหารใหม่ อาหารเก่า ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล้ก นํ้าปัสสาวะ อุจจาระ นํ้าเหลือง เลือด เสมหะ เหงื่อ ไขข้อ นํ้าตา นํ้ามูก นํ้าลาย และโครงกระดูก ของซากศพที่เรียงกันพอจะดูออกว่า เป็นกระดูกคนนอนกองอยู่กับพื้น
เมื่อพิจารณา โดยสีที่กำลังเปลี่ยนแปลง โดยรูปสัณฐานที่ค่อยๆ เน่าเละ 1 เดือนผ่านไป ร่างกายอันเป็นที่รักของเราก็สลายไป เห็นคราบนํ้าเหลือง นํ้าหนอง เศษเนื้อหนังก็สลายไปในที่สุด ทุกอย่างว่างเปล่า มองไปเหลือเพียงกองกระดูกที่เป็นของแข็งที่ยังย่อยสลายไม่หมด 1 ปีผ่านไป ลม ฝน แสงแดดและการกัดกินของหมู่สัตว์ กองกระดูกค่อยๆ ผุพังสลายไป กลายเป็นดิน มองพิจารณาโดยรอบอีกครั้ง
ณ ที่แห่งนั้น มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีเรา ไม่มีเขา
เราไม่มีกายสังขารเป็นภาระ เราจึงมีแต่ความสบาย สงบวิเวก
แล้วก็ตั้งต้นใหม่อีกครั้งเหมือนเห็นตัวเราเกิดใหม่แล้วก็เริ่มต้นพิจารณา อาการผุพังเน่าเปื่อยของกายเนื้อต่อไป ไปเรื่อยๆหลายๆครั้ง
นี่คือ การพิจารณาโดยภาพรวม



ระวังอุปาทานหวาดกลัวจากการปลงอสุภะ

ในการฝึกปลงอสุภะนั้น ตามหลักการให้พิจารณาซากศพของคนอื่นที่เน่าเปื่อยไม่สวยงาม
แต่เมื่อจำภาพที่เน่าเปื่อยได้แม่นแล้ว ต้องตั้งสมมติฐานให้เห็นร่างกายตัวเองเป็นซากศพที่กำลังเน่าเปื่อยที่ไม่สวยงาม อันเป็นการพิจารณาให้เห็นว่ากายนี้ก่อเกิดขึ้นด้วยการรวมตัวของธาตุทั้ง 4 คือ ดิน นํ้า ลม ไฟ เมื่อตายลงหมดลมหายใจ เป็นการขาดธาตุลม ธาตุอื่นอีก 3 ธาตุ คือ ไฟ นํ้า ดิน ก็ต้องแตกสลายออก กายเนื้อก็จะผุพังเน่าเปื่อยสลายไป ในที่สุดไม่เหลืออะไรให้เห็นสัมผัสยึดมั่นว่านี่ คือ ตัวเราเป็นการชี้ชัดให้เข้าถึงสัจธรรมแห่งสามัญลักษณะ 3 ประการที่ว่า อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อนัตตา ความไม่ใช่ตัวตนเราเขา
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เมื่อเกิดขึ้นตั้งอยู่จะต้องดับไป
ในขณะที่กำลังปลงอสุภะร่างกายอันไม่สวยงามของเรานั้น
ไม่ว่าจะฝึกแบบตั้งสมมติฐาน หรือฝึกแบบตาทิพย์เห็นตัวเราเองนั้น
เมื่อเจริญถึงตอนที่กายเนื้อกำลังเน่าเปื่อย น่าเกลียดน่ากลัว หรือตอนที่กายเนื้อสลายไปหมดแล้ว ขอให้อย่าพึ่งรีบคลายออกจากการเจริญภาวนาขณะนั้น เพราะถ้าไปคลายถอนออกจากสมาธิในขณะนั้นแล้ว จะทำให้ยึดอุปาทานของกายเนื้อที่กำลังเน่าเปื่อย หรือว่ากายเนื้อที่สูญสลายหายไปนั้น พอออกจากสมาธิแล้วจิตใจจะไม่สมบูรณ์ รู้สึกตนเอง ไม่สมประกอบ เหม่อลอยหรือตื่นตระหนกตกใจได้


วิธีปฏิบัติให้ถูกต้อง

เมื่อเจริญสมาธิภาวนาปลงอสุภะ ไม่ว่าด้วยวิธีใดหรือปลงสังขารกายเนื้อที่กำลังเน่าเปื่อยอยู่ในภาวะใดก็ตามแม้จะมีธุระรีบด่วน
ควรที่จะปรับภาพนิมิต หรือภาพจินตนาการในขณะนั้นให้กายเนื้อค่อยๆ เกิดสมบูรณ์กลับคืนสู่สภาพครบอาการ 32 ประการก่อนดังนี้
1. ถ้าปลงอสุภะซากศพเห็นกำลังเน่าเปื่อยไม่หมดก็ให้ตั้งจิตอธิษฐาน ให้กายเนื้อที่กำลังสลายนั้นค่อยๆ เต็ม มีเนื้อหนังสมบูรณ์ขึ้นมา และจากสภาพที่เน่าเละให้ผิวค่อยๆ ปกติ จนมีสีเลือดดังคนมีชีวิตเมื่อครั้งสมบูรณ์พร้อมแล้ว ก็ส่งจิตใจความนึกคิดเข้าไปในภาพนั้นกลับคืนสู่สภาพเหมือนคนมีชีวิตที่สามารถเคลื่อนไหวได้ แล้วค่อยๆเหนี่ยวนำภาพนั้น กลับคืนสู่ร่างกายเนื้อที่นั่งอยู่นั้นอีกครั้งหนึ่ง ตื่นขึ้นมาจะได้มีจิตใจที่สมบูรณ์
2. ถ้าปลงอสุภะซากศพถึงตอนที่ละลายหมดแล้ว ให้ตั้งสติขึ้นว่าตัวเรายังไม่หมดกรรมในภพนี้ชาตินี้วิญญาณยังต้องคืนร่างเพื่อใช้กรรมชาตินี้ให้หมด>>
ด้วยเหตุนี้ ขอให้รวบรวมจิตใจความนึกคิดให้เป็นหนึ่งมองไปข้างหน้า อธิษฐานรูปนิมิตหรือวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนกายเนื้อนั้น ปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่งแล้ว ตั้งจิตเหนี่ยวนำรูปนิมิตหรือวิญญาณนั้นเข้าคืนสู่ร่างอย่างปกติสมบูรณ์แล้วจึงคลายออกจากสมาธิจิตใจจะได้สมบูรณ์สมประกอบอีกครั้ง


ท่านที่ไม่เจริญสมาธิต่อ

ก็เตรียมตัวถอนออกจากการปลงอสุภะ ด้วยการค่อยๆถอนลมหายใจลึกๆ 10 ครั้ง และหายใจแบบปรกติ 10 ครั้ง จึงค่อยๆลืมตาขึ้น ครู่หนึ่งต่อมา จึงลุกขึ้นจากที่นั่งได้


เรื่องอ่านให้คิดอีก

การอบรมวิปัสสนา ในการพิจารณาปลงอสุภะ ที่ทำให้เห็นว่าสังขารนี้เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่สวยงาม เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ดูออกสวยงาม เมื่อตายลงหมดลมหายใจเมื่อใด ร่างกายก็จะเริ่มผุพังเน่าเปื่อยเป็นของไม่สวยงามเลย พิจารณาเช่นนี้อยู่เป็นประจำแล้วจิตใจก็จะคลายจากความยึดมั่นถือมั่น ในความสวยงามของร่างกาย จนกระทั่งเกิดความหดหู่เบื่อหน่าย ไม่อยากที่จะครองแบกสังขารร่างกายนี้ให้เป็นภาระอีกต่อไป คิดมากๆ เข้าจึงอยากจะฆ่าตัวตาย
ในสมัยโบราณ
มีกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่ง พิจารณาปลงอสุภะเป็นอารมณ์อยู่เนื่องๆ เกิดเป็นนิมิตภาพที่เห็นได้ทั้งขณะลืมตาและหลับตา เกิดความเบื่อหน่ายเศร้าสลดจนเกิดภาวะจิตใจห่อเหี่ยวหมดแรงที่จะแบกภาระแห่งการครองสังขารร่างกายนี้อีก จึงมีการไปจ้างศาสนิกชนต่างศาสนาให้ช่วยฆ่าตนให้ตายเสียที จะได้หมดเวรหมดกรรมที่จิตวิญญาณต้องคอยแบกภาระอันหนักหน่วงของกายเนื้อนี้


วิธีแก้ไข

ความคิดและการกระทำการฆ่าตัวตายเช่นนี้เป็นการผิดอย่างมาก
เพราะต้องเข้าใจว่า
พุทธศาสนิกชนเป็นผู้กล้าเผชิญกับความจริงแห่งชีวิตโดยไม่เกรงกลัวความตาย เพราะรู้อยู่แล้วว่า เกิดมาแล้วต้องตายอย่างแน่นอน จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
คนเราเกิดมาเพราะมีกรรมของตนเป็นที่ตั้ง มีกรรมของตนเป็นเผ่าพันธุ์วิญญาณมาเกิดอาศัยอยู่กับกายเนื้อเพื่อใช้กรรมให้หมดไปตามวาระ เมื่อถึงเวลาตายก็ต้องตายอย่างแน่นอน และการฆ่าตัวตายนั้นเป็นบาป ที่จะทำให้ต้องตกนรกอีกหลายชาติ

การปลงอสุภะพิจารณาสังขาร เป็นของไม่เที่ยงไม่สวยงามนี้ เป็นเพียงอุบายแห่งการลดการทรนงหลงตนที่คิดว่ายังมีชีวิตอยู่ได้อีกยาวนานเท่านั้น
คนเราครั้งมีชีวิตอยู่ เมื่อสามารถคลายจากการยึดมั่น ถือมั่น ในกายเนื้อแล้ว ก็จะไม่เป็นทุกข์กับร่างกายเรา กายเรานี้สักแต่ว่ากายไม่ใช่บุคคลตัวตนเราเขา ช่วงเวลาแห่งการมีชีวิตอยู่เราก็ไม่ทุกข์ร้อนกับการอยู่ เรากลับรู้ว่า ร่างกายนี้พร้อมที่จะแตกดับสลายอยู่ทุกเมื่อ ช่วงนี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะต้องรีบเร่งสร้างกุศล ทำความดีบำเพ็ญฝึกอบรมบ่มนิสัยให้จิตเบาบางจากกิเลสให้ได้
เรายังมีกรรมที่ต้องใช้อีกในภพนี้ ที่ยังใช้ไม่หมด ใช้หมดเมื่อใดก็ตาย
ด้วยจิตที่คิดดีแล้ว พิจารณาตั้งสติได้แล้ว ท่านย่อมเป็นบุคคลหนึ่งที่มีสติสัมปชัญญะรู้ระลึกพร้อมอยู่กับเหตุการณ์อันจะเกิดขึ้น ท่านจึงสามารถควบคุมสติตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ผ่านพ้นจากอุปสรรคอันอาจจะเกิดขึ้นกับท่านได้ ที่จะไม่เกิดความคิดที่จะฆ่าตัวตาย
จิตที่ได้ถึงภาวะธรรมแล้ว ท่านจึงเป็นผู้หนึ่งที่มีสติสัมปชัญญะที่มั่นใจในการปฏิบัติฝึกจิตเจริญสมาธิวิปัสสนาสืบเนื่องต่อไปได้อย่างมั่นคง

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version