เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



ผู้เขียน หัวข้อ: สวรรค์หกชั้นแบบละเอียด ตอนที่ 1 จาตุมหาราชิกาภูมิ, ดาวดึงส์ภูมิ และ ยามาเทวภูมิ  (อ่าน 24341 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Webmaster

  • Administrator
  • สมาชิก
  • *****
  • กระทู้: 404
    • ดูรายละเอียด


อธิบายสวรรค์หกชั้นแบบละเอียด ตอนที่ 1
จาตุมหาราชิกาภูมิ, ดาวดึงส์ภูมิ และ ยามาเทวภูมิ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเป็นผู้ถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ในสวรรค์ เหมือนสิ่งของที่นำมาประดิษฐานไว้ ธรรม ๑๐ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำหยาบ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ ไม่อยากได้ของผู้อื่น ไม่มีจิตคิดปองร้าย มีความเห็นชอบ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการนี้แล เป็นผู้ถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ในสวรรค์ เหมือนสิ่งของที่เชิญมาประดิษฐานไว้ ฯ

จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ-สวรรค์ชั้นที่ ๑

เทวภูมิอันดับที่ ๑ นี้ เป็นแดนสุขาวดี มีเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ ๔ พระองค์ ทรงเป็นผู้ปกครองดูแล จึงได้ชื่อว่า จาตุมหาราชิการเทวภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพ ซึ่งมีท้าวจาตุมหาราชทรงเป็นอธิบดี

เมืองสวรรค์ชั้นฟ้าจาตุมหาราชิกานี้ มีเมืองใหญ่เป็น เทพนครอยู่ถึง ๔ เทพนคร (ธตรฐมหาราช วิรุฬหกมหาราช วิรูปักษ์มหาราช เวสสุวัณมหาราช) แต่ละเทพนครมีป้อมปราการ กำแพงทองทิพย์เหลืองอร่ามงามนัก ประดับประดาไป ด้วยสัตตรัตนะแก้ว ๗ ประการ … ภายในเทพนครอัน กว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีปราสาทแก้วซึ่งเป็นวิมานที่อยู่ ของเทพยดาชาวฟ้าทั้งหลายปรากฏตั้งเรียงรายอยู่ เรียงรายมากมาย พื้นภูมิภาคก็หาใช่เป็นพื้นแผ่นปฐพี เช่นมนุษยโลกเรา โดยที่แท้ เป็นพื้นแผ่นสุวรรณทองคำ มีสีเหลืองอร่ามรุ่งเรืองเลื่อมพรรณรายเรียบเสมอมี ครุวนาดุจหน้ากลอง และมีความวิเศษอ่อนนิ่มดังฟูกผ้า เมื่อฝูงเทพยดาทั้งหลายเหยียบลงไป ก็มีลักษณาการ อ่อนยุบลง แล้วก็เต็มขึ้นมาเช่นเดิม มิได้เห็นรอยเท้า ของเทพยดาทั้งหลายเหล่านั้นเลย

สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาเทวภูมินี้ นอกจากจะมีสมบัติ ทิพย์อันอำนวยความสุขนานาประการแล้ว ยังมีสระ โบกขรณีซึ่งมีน้ำใสยิ่งกว่าแก้ว เต็มไปด้วยปทุมชาติ นานาชนิด ส่งกลิ่นทิพย์หอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ เป็นดั่งเช่นมีใครแสร้งเอาน้ำอบน้ำหอมไปประพรมไว้ ตลอดกาลฉะนั้น มีดอกไม้นานาพรรณสีสันวิจิตร ตระการตาและมีรุกขชาติต้นไม่สวรรค์อันแสน ประเสริฐนักหนา เพราะมีผลอันโอชารสยิ่ง และอันว่า มิ่งไม้ในสรวงสวรรค์นั้น ย่อมมีดอกมีผลเป็นทิพย์ ปรากฏให้เหล่าชาวสวรรค์ได้ชื่นชมอยู่ตลอดกาล ไม่มีวันร่วงโรยและหมดไปเลย

ทางไปสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ก็คือต้องประกอบกรรมอันเป็นบุญเป็นกุศล เช่น ให้ทานรักษาศีลเป็นต้น นี่กล่าวอย่างกว้างๆ

ทานสูตร

(อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ หน้า ๖๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)

"ดูกรสารีบุตร! ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวัง ให้ทาน มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน มุ่งการ สั่งสมทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้ เสวยผลแห่งทานนี้ เขาผู้นั้น เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึง ความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช"

ปุญญกิริยาวัตถุสูตร

(อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๖ หน้า ๒๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)

"ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคน ในโลกนี้ ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณ ยิ่ง ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป แล้วเขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดา ชั้น จาตุมหาราช
"ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ท้าวมหาราช ทั้ง ๔ นั้น ได้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานเป็น อดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ย่อมก้าวล่วงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาโดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ อายุทิพย์ วรระณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐิพพทิพย์

ตาวติงสเทวภูมิ-สวรรค์ชั้นที่ ๒

เทวภูมิ อันดับที่ ๒ นี้ เป็นแดนสุขาวดี ซึ่งเป็นที่สถิตย์ อยู่แห่งปวงเทพยดาชาวฟ้าผู้อุปปัติเทพ มีเทพผู้เป็น อธิบดีมเหศักดิ์รวม ๓๓ องค์ โดยมีสมเด็จพระ อมรินทราชาทรงเป็นประธานาธิดี จึงได้ชื่อว่า ตาวติงสเทวภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพ ซึ่งมีเทพสามสิบสามองค์ทรงเป็นประธานาธิบดี

แดนสวรรค์นี้เรียกให้ฟังกันง่ายๆ ในหมู่ชาวเราว่า สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตั้งอยู่เหนือจอมเขาสิเนรุราชบรรพต ปรากฏเป็นเทพนครใหญ่กว้างขวางนักหนา ปรางค์ ปราสาทล้วนแล้วไปด้วยแก้วอันเป็นทิพย์ แวดล้อมรอบเทวนครด้วยปราการกำแพงแก้วทิพย์ อีกเช่นกัน มีประตูกำแพงแก้วถึง ๑๐๐๐ ประตู เมื่อประตูเหล่านั้นเปิดออกแต่ละครั้ง ย่อมปรากฏเสียง ดังไพเราะเป็นยิ่งนัก ในท่ามกลางพระนครนั้น มีปราสาท พิมานอันมีชื่อเสียงปรากฏเลื่องลืออยู่วิมานหนึ่ง คือ ไพชยนตปราสาทพิมาน มีรูปทรงสูงเยี่ยม เอี่ยมอ่องไป ด้วยรัศมีสัตตรัตน์ เพราะประดับไปด้วยแก้ว ๗ ประการ งามสุดจะพรรณา เป็นที่ประทับอยู่ แห่ง สมเด็จ พระอมรินทราธิราช

สวนสวรรค์

แดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียงเลื่องลือ รู้กันแพร่หลายทั้งในหมู่เทวดาและมนุษย์ รู้กันว่าเป็น แดนที่อยู่อันแสนจะสนุกเป็นสุขสำราญ รื่นรมย์น่าชม น่าเที่ยวน่าทอดทัศนา ฉะนั้น จึงปรากฏว่า โยคีฤาษี สิทธิทั้งหลายผู้ได้ฌานอภิญญาก็ดี หรือแม้แต่พระ อริยเจ้าในพระบวรพุทธศาสนาผู้ได้บรรลุอภิญญา ประกอบด้วยอริยฤทธิ์ก็ดี ย่อมถือโอกาสมาเที่ยวชม สวรรค์ชั้นนี้อยู่เสมอๆ ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือสวนสวรรค์ อุทยานทิพย์ที่มีอยู่มากมาย แต่ที่ใหญ่ๆ และมีชื่อเสียงมี ๔ อุทยาน คือ นันทวันอุทยานทิพย์ จิตรลดาวันอุทยานทิพย์ มิสกสวันอุทยานทิพย์ ปารุสกวันอุทยานทิพย์

พระเกศจุฬามณีเจดีย์

เบื้องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ มีสถานที่สำคัญที่สุดอยู่ แห่งหนึ่ง คือ พระเกศาจุฬามณีเจดีย์ เป็นพระเจดีย์มี ทรงสัณฐานใหญ่ ประเสริฐวิเศษเป็นมโหฬาริกและ ศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่ในทิศอาคเนย์คือทิศตะวันออกเฉียงใต้ แห่งเทพนคร องค์พระเจดีย์นั้นสวยสดงดงามมีรัศมี รุ่งเรืองนักหนา เพราะว่าสร้างด้วยแก้วอินทนิลอันเป็น ทิพย์ ตั้งแต่กลางถึงยอดประเจดีย์นั้นทำด้วยสุวรรณ ทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ผุดผ่อง และประดับไปด้วยสัตต พิธรัตนะคือแก้ว ๗ ประการ ส่วนสูงทั้งหมด ๘๐๐๐๐ วา มีปราการกำแพงทองคำเนื้อแท้ล้อมรอบทุกด้านเป็น จตุรทิศ แต่ละทิศมีความยาวนับได้ ๑๖๐๐๐๐ วา มีธงประดับนานาชนิดมีสีสันแตกต่างกัน ฝูงเทพยดา ทั้งหลายบางหมู่ถือเครื่องดีดสีตีเป่าสังคีตสรรพดุริยางค์ ต่างๆ มาบรรเลงถวายบูชาพระเจดีย์ทุกวันมิได้ขาด

พระเกศาจุฬามณีเจดีย์นี้ เป็นที่บรรจุสิ่งสำคัญอันหา ค่ามิได้ถึง ๒ อย่างด้วยกัน คือ

๑. พระเกศโมลี แห่งพระพุทธองค์ โดยมีประวัติความเป็นมา ว่า เมื่อครั้งจะเสด็จออกบรรพชา พระองค์ทรงตัดมวยพระ โมลี แล้วทรงอธิษฐานว่า "ถ้าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณแล้ว ขอให้มวยพระเกศโมลีจงลอยขึ้นไป บนนภากาศเถิด อย่าได้ตกลงมาสู่พื้นปฐพีเลย" คราที่นั้น สมเด็จพระอมรินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ จึงทรงนำผอบทองคำมารองรับพระเกศโมลีไว้ แล้วทรงนำขึ้นบนดาวดึงส์สวรรค์ สร้างพระเจดีย์นี้ สำหรับบรรจุพระโมลีนั้น

๒. พระบรมธาตุ เขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระพุทธองค์ โดยมีความเป็นมาว่า เมื่อครั้งถวายพระเพลิงพระพุทธ สรีระเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ท่านโทณพราหมณ์ ซึ่งได้รับ แต่งตั้งให้เป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุเปิดรางทองคำ ออกนั้น โทณพราหมณ์เห็นเหล่ากษัตริย์ทั้งหลาย พิลาปร่ำไห้ถึงพระบรมครูก็พลันฉุกคิดได้ จึงแยกพระเขี้ยว แก้วนี้เสียต่างหากจากพระบรมสารีริกธาตุส่วนอื่น โดยซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะแห่งตน แล้วสาละวนจัดแบ่ง พระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนเพื่อถวายกษัตริย์ เหล่านั้นต่อไป ฝ่ายสมเด็จพระอมรินทราธิราชผู้เลื่อมใส ในพระสัพพัญญูเจ้าอย่างลึกซึ้ง ได้เสด็จมาสังเกตุการณ์ อยู่ ด้วยพระทัยประสงค์จะได้พระบรมสารีริกธาตุเหมือนกัน จึงอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาอันประเสริฐจากผ้าโพก ศีรษะของพราหมณ์เฒ่านั้น ลงสู่ผอบทองคำทิพย์อีกทอด หนึ่ง ด้วยกิริยาอันเลื่อมใสยิ่ง แล้วรีบเสด็จเอามา ประดิษฐานบรรจุไว้ ณ พระเกศจุฬามณีเจดีย์

ทางไปดาวดึงส์สวรรค์

คำตอบง่ายๆ คือ "สร้างเสบียง" กล่าวคือ บุญกุศล พยายามทำตนให้เป็นคนดีมีศีลธรรม ห้ามตนไม่ให้ ทำกรรมอันหยาบช้าลามก ความสกปรกแห่งกายวาจาใจ อย่าให้มีบังเกิด

ทานสูตร

(อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ หน้า ๖๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรสารีบุตร! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวัง ให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า

"ตายไปแล้ว เราจักได้เสวยผลทานนี้"

แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า

"การให้ทาน เป็นการกระทำที่ดี"

เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยา ตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลาย ในชั้น ดาวดึงส์สวรรค์

ปุญญกิริยาวัตถุสูตร

(อังคุตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๖ หน้า ๒๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคน ในโลกนี้ กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมี ประมาณยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีล มีประมาณยิ่ง แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จ ด้วยภาวนาเลย เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้น ดาวดึงส์

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ท้าวสักกะ จอมเทพในชั้นดาวดึงส์สวรรค์นั้น ได้กระทำบุญกิริยาวัตถุ ที่สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก ได้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่ สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก พระองค์จึงทางเจริญก้าวล่วง เหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์โดยฐานะ ๑๐ ประการคือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์

ยามาเทวภูมิ-สวรรค์ชั้นที่ ๓

เทวภูมิ อันดับที่ ๓ มีเทพผู้มเหศักดิ์ทรงนามว่า สมเด็จ ท้าวสุยามเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดีผู้ปกครอง เพราะฉะนั้น จึงมีนามว่า ยามาเทวภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพซึ่งมี สมเด็จพระสุยามเทวาธิราชทรงเป็นอธิบดี

ยามาเทวภูมินี้ เป็นเทพนครที่ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้น ไตรตรึงษ์ขึ้นไปเบื้องบนไกลแสนไกล ภายในเทพนครนี้ ปรากฏว่ามีปราสาทเงินและปราสาททอง เป็นปราสาท พิมานที่สถิตอยู่ของเทพเจ้าชาวสวรรค์ชั้นยามาทั้งหลาย ปราสาทวิมานเหล่านั้นสวยงามวิจิตรตระการยิ่งกว่า ปราสาทวิมานในสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ มีสวนอุทยาน และสระโบกขรณีอันเป็นทิพย์อยู่หลากหลาย จำง่ายๆ คือ ในสวรรค์ชั้นนี้ ไม่ปรากฏมีแสงพระอาทิตย์ และพระจันทร์เลย เพราะว่าอยู่สูงกว่าพระอาทิตย์และ พระจันทร์มากมายนัก เทพยดาทั้งหลายย่อมแลเห็น แสงสว่าง ด้วยรัศมีแห่งแก้วและรัศมีที่ออกมาจากกาย ตัวแห่งเทพเจ้าเหล่านั้นเอง การจักรู้วันคืนได้ก็ด้วย จากบุปผชาติดอกไม้ทิพย์ในสวรรค์ชั้นนี้นั่นเอง หากว่า เห็นดอกไม้ทิพย์บาน ก็แสดงว่าเป็นเพลารุ่งกลางวัน หากดอกไม้ทิพย์หุบลง ก็เป็นนิมิตแสดงว่า เพลาราตรี

เหล่าเทพผู้มีบุญทั้งหลาย ย่อมมีองคาพยพและหน้าตา งดงามรุ่งเรืองนักหนา มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างผาสุก เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ตามสมควรแก่อัตภาพ

ทางไปสวรรค์ชั้นยามา

ต้องพยายามอุตส่าห์สร้างเสบียงกล่าวคือบุญกุศล ต้องเป็นผู้มีกมลสันดานหนักแน่นไปด้วยกุศลสมภาร ไม่หวั่นไหวง่อนแง่นในการบำเพ็ญบุญ

ทานสูตร

(อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ หน้า ๖๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคน ในโลกนี้ กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณ ยิ่ง แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความ เป็นสหายแห่งเทวดาชั้น ยามา

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ท้าวสุยามเทพบุตร จอมเทพในชั้นยามานั้น ทำบุญกิริยาวัตถุด้วยทานเป็น อดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ท้าวเธอจึงทางเจริญรุ่งเรืองก้าวล่วงเหล่าเทวดา ชั้นยามาสวรรค์ โดยฐานะ ๑๐ ประการคือ อายุทิพย์ วรระณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์