หมวดหลัก > พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี

พระอดีตวงศ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้มาตรัสรู้ในอดีตกาล

<< < (7/10) > >>

Webmaster:
พระกกุสันธะพุทธเจ้า

หลังจากศาสนาของพระเวสภูพุทธเจ้าล่วงไป ๒๙ กัป จึงได้ถึงกัปปัจจุบัน เรียกว่าภัททกัป มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแล้ว ๔ พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์แรกทรงพระนามว่า พระกกุสันธะพุทธเจ้า
พระกกุสันธะพุทธเจ้า เกิดในสกุลพราหมณ์ชื่อว่า กกุสันธะกุมาร เป็นบุตรของพราหมณ์ปุโรหิตในราชสำนักของพระเจ้าเขมังกร เขมะวดีนคร นามว่าอัคคิทัตตะพราหมณ์ มารดาชื่อวิสาขาพราหมณี
กกุสันธะกุมารเกษมสำราญอยู่ ๔,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ กามะปราสาท กามวัณณะปราสาท และกามสุทธิปราสาท มีภริยาชื่อว่า โรจินีพราหมณี และมีบาทบริจาริกาแวดล้อมอีก ๓๐,๐๐๐ นาง
วันหนึ่ง กกุสันธะพราหมณ์ได้เห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช จึงมีใจน้อมไปทางบรรพชา
เมื่อนางโรจินีพราหมณีให้กำเนิดบุตร นามว่า อุตตระกุมาร จึงได้ออกบรรพชาโดยรถม้า โดยมีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๔๐,๐๐๐ คน
กกุสันธะพราหมณ์บำเพ็ญเพียรอยู่เป็นเวลา ๘ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ รับข้าวมธุปายาสจากธิดาวชิรินธพราหมณ์ ณ สุจิรินธนิคม และรับหญ้า ๘ กำจากคนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ สุภัททะ ปูลาดใต้ต้นสิรีสะ (ต้นซึก) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้น
พระกกุสันธะพุทธเจ้าทรงเสด็จไปยังป่าอสิปตนะมิคทายวัน ใกล้มกิลนคร ทรงแสดงปฐมเทศนาแก่พระสาวกที่ออกบวชติดตามจำนวน ๔๐,๐๐๐ รูป ทำให้พระสาวกทั้งหลาย สำเร็จเป็นพระอริยบุคล

ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระกกุสันธะพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๔๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๒ แสดงยมกปาฏิหาริย์ ที่ กัณณกุชชนคร
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๓๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๓ แสดงธรรมแก่ยักษ์ นรเทพ
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดานับจำนวนไม่ได้

พระกกุสันธะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาตเพียงครั้งเดียว โดยทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๔๐,๐๐๐ รูป ที่ได้รับฟังปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปัตนมิคทายวัน

พระกกุสันธะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระวิธุระเถระ และพระสัญชีวะเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระสามาเถรี และพระจัมปาเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระพุทธิชะ

พระกกุสันธะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๔๐ ศอก มีพระรัศมีแผ่ไปไกล ๑๐ โยชน์ เมื่อพระชนมายุได้ ๔๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพาน

Webmaster:
พระโกนาคมนะพุทธเจ้า

หลังจากศาสนาของพระกกุสันธะพุทธเจ้าล่วงไป จึงได้ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโกนาคมนะพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในภัททกัปเดียวกัน
พระโกนาคมนะพุทธเจ้า เกิดเป็นบุตรของพราหมณ์แห่งโสภวดีนคร นามว่า โกนาคมนะกุมาร บิดาคือยัญญทัตตพราหมณ์ และมารดาคืออุตตราพราหมณี
โกนาคมนะกุมารเกษมสำราญอยู่ ๓,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ ดุสิตะปราสาท สันดุสิตะปราสาท และสันตุฏฐะปราสาท มีภริยาชื่อว่า รุจิคัตตาพราหมณี และมีบาทบริจาริกาแวดล้อมอีก ๑๖,๐๐๐ นาง
วันหนึ่ง โกคมนะพราหมณ์ได้เห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช จึงมีใจน้อมไปทางบรรพชา
เมื่อนางโรจินีพราหมณีให้กำเนิดบุตร นามว่า สัตถวาหะกุมาร จึงได้ออกบรรพชาโดยคชยาน โดยมีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๓๐,๐๐๐ คน
โกนาคมนะพราหมณ์บำเพ็ญเพียรอยู่เป็นเวลา ๘ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ รับข้าวมธุปายาสจากอัคคิโสณพราหมณกุมารี ธิดาของอัคคิโสณพราหมณ์ และรับหญ้า ๘ กำจากคนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ ชฏาตินทุกะ ปูลาดใต้ต้นอุทุมพร (ต้นมะเดื่อ) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้นเอง
พระโกนาคมนะพุทธเจ้าทรงเสด็จไปยังป่าอสิปตนะมิคทายวัน ใกล้สุทัสสนะนคร ทรงแสดงปฐมเทศนาแก่พระสาวกที่ออกบวชติดตามจำนวน ๓๐,๐๐๐ รูป ทำให้พระสาวกทั้งหลาย สำเร็จเป็นพระอริยบุคล

พระโกนาคมนะพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมาภิสมัยให้บังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๓๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๒ แสดงยมกปาฏิหาริย์ ที่สุนทรนคร
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๓๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๓ แสดงธรรมบนดาวดึงส์เทวโลกโปรดพุทธมารดา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่เทวดา ๑๐,๐๐๐ โกฏิ

พระโกนาคมนะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาตครั้งเดียว แก่พระสงฆ์สาวก ๓๐,๐๐๐ รูป ณ สุรินทวดีอุทยาน กรุงสุรินทวดี

พระโกนาคมนะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระภิยโยสะเถระ และพระอุตตระเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระสมุททาเถรี และพระอุตตราเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระโสตถิชะ

พระโกนาคมนะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๓๐ ศอก และปรินิพพานเมื่อมีพระชนมายุได้ ๓๐,๐๐๐ ปี

Webmaster:
พระกัสสปะพุทธเจ้า

หลังจากศาสนาของพระโกคมนะพุทธเจ้าล่วงไป จึงได้ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกัสสปะพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในภัททกัปเดียวกัน
พระกัสสปะพุทธเจ้า เกิดในสกุลพราหมณ์นามว่ากัสสปะพราหมณ์ เป็นบุตรของพราหมณ์แห่งพาราณสีนคร นามว่าพรหมทัตตะพราหมณ์ มารดาชื่อธนวดีพราหมณี
กัสสปะพราหมณ์เกษมสำราญอยู่ ๒,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ หังสวาปราสาท ยสวาปราสาท และสิรินันทะปราสาทมีภริยาชื่อว่า สุนันทาพราหมณี และมีบาทบริจาริกาแวดล้อมอีก ๔๘,๐๐๐ นาง
วันหนึ่ง กัสสปะพราหมณ์ได้เห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช จึงมีใจน้อมไปทางบรรพชา
เมื่อนางสุนันทาพราหมณีให้กำเนิดบุตร นามว่า วิชิตเสนะกุมาร จึงได้ออกบวชโดยปราสาทลอยเลื่อนไปลงที่ต้นนิโครธ (ต้นไทร) ผู้ที่อยู่ในปราสาทนั้นออกบวชตามทั้งหมด ยกเว้นนางบาทบริจาริกา
กัสสปะพราหมณ์บำเพ็ญความเพียรอยู่เป็นเวลา ๗ วัน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ รับข้าวมธุปายาสจากนางสุนันทาพราหมณี และรับหญ้า ๘ กำจากคนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ โสมะ ปูลาดใต้ต้นนิโครธ (ต้นไทร) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้นเอง
พระกัสสปะพุทธเจ้าทรงเสด็จไปยังป่าอิสิปตนะมิคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี และทรงแสดงปฐมเทศนาแก่พระสาวกที่ออกบวชติดตาม ทำให้พระสาวกทั้งหลายเหล่านั้น สำเร็จเป็นพระอริยบุคล

ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระกัสสปะพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๒๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๒ แสดงยมกปาฏิหาริย์ ที่สุนทรนคร
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๓ แสดงธรรมบนดาวดึงส์สวรรค์
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่เทวดา ๕,๐๐๐ โกฏิ

พระกัสสปะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาตเพียงครั้งเดียว

พระกัสสปะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระติสสะเถระ และพระภารทวาชะเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระอนุฬาเถรี และอุรุเวฬาเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระสัพพมิตตะ

พระกัสสปะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๒๐ ศอก เมื่อพระชนมายุได้ ๒๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพาน ณ เสตัพยอุทยาน ใกล้เสตัพยนคร แคว้นกาสี

Webmaster:
พระสมณโคตมพุทธเจ้า

หลังจากศาสนาของพระกัสสปะพุทธเจ้าล่วงไป จึงได้ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคตมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในอันตรกัปที่ ๑๒ แห่งภัททกัปนี้
พระสมณโคตมพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นสิทธัตถะราชกุมาร ในศากยวงศ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางสิริมหามายาเทวี
สิทธัตถะราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๒๙ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ สุจันทะปราสาท โกกนุทะปราสาท และโกญจะปราสาท ทรงมีพระเทวีนามว่า ยโสธราพิมพา มีนางสนมนารีแวดล้อม ๔๐,๐๐๐ นาง
วันหนึ่ง เจ้าชายสิทธัตถะทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
เมื่อพระนางพิมพาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า ราหุลกุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาโดยทรงม้าชื่อกัณฑกะ มีผู้บรรพชาติดตาม ๕ คน เรียกว่า ปัญจวัคคีย์
เจ้าชายสิทธัตถะทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่เป็นเวลา ๖ ปี จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม และรับหญ้า ๘ กำจากคนหาบหญ้าชื่อ โสตถิยะ ปูลาดใต้ต้นอัสสัตถะ (ต้นโพธิใบ) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระปัญญาธิกะพุทธเจ้าในคืนนั้น
พระสมณโคตมพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปัตนะมิคทายวัน แก่ปัญจวัคคีย์ ทำให้ปัญจวัคคีย์สำเร็จเป็นพระอริยบุคคล

ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระสมณโคตมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่พระอัญญาโกณฑัญญะและเทวดา ๑๘ โกฏิ
วาระที่ ๒ แสดงธรรมในมหามงคลสมาคมแก่มนุษย์และเทวดาทั่วหมื่นจักรวาล
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดานับจำนวนไม่ได้
วาระที่ ๓ แสดงธรรมแก่ราหุลกุมาร
ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดานับจำนวนไม่ได้

พระสมณโคตมพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระสารีบุตรเถระ และพระโมคคัลลานะเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระเขมาเถรี และพระอุบลวรรณาเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระอานนท์

พระสมณโคตมพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาตเพียงครั้งเดียว จำนวนพระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป

พระสมณโคตมพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๑๘ ศอก พระรัศมีแผ่ไปได้ ๔ ศอกโดยรอบ เมื่อพระชนมายุได้ ๘๐ ปี จึงปรินิพพานที่เมืองกุสินารา

Webmaster:
ตำนานพระปริตร : อาฏานาฏิยปริตร

   

อาฏานาฏิยปริตร

บทขัดอาฏานาฏิยปริตร

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นมหาวีรบุรุษ ทรงแสดงพระปริตรใด เพื่อคุ้มกันพุทธบริษัททั้ง ๔ มิให้ถูกเบียดเบียน จากอมนุษย์ทั้งหลาย ที่ดุร้ายสันดานหยาบช้า ไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ซึ่งบัณฑิตทั้งหลายรับรองแล้วว่า เป็นศาสนาดีทุกเมื่อ ท่านผู้เจริญทั้งหลายพึงสวดพระปริตรนั้นเทอญ

ตำนาน

สมัยหนึ่งสมเด็จ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสด็จประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฎบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์มหานคร ในครั้งนั้น ท้าวจาตุมมหาราชทั้ง ๔ ซึ่งสถิตย์อยู่เหนือยอดเขายุคันธร ที่เรียกว่าชั้นจาตุมหาราชิกา อันเป็นชั้นต่ำกว่า สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ลงมาซึ่งเป็นที่สถิตย์ขององค์อินทราธิราช

พระอินทร์ ทรงมีเทวะพระบัญชาให้มหาราชทั้ง ๔ ทำหน้าที่เฝ้ารักษาประตูสวรรค์ในทิศทั้ง ๔ เพื่อป้องกันมิให้พวกอสูรมารบกวน โดยมี

ท้าวธตรฐ ผู้เป็นเจ้าแห่งพวกคนธรรพ์ รักษาทิศบูรพา
ท้าววิรุฬหก เป็นเจ้าแห่งกุมภัณฑ์ รักษาทิศทักษิณ
ท้าววิรูปักษ์ เป็นเจ้าแห่งนาคทั้งปวง รักษาทิศปัจจิมท้าวเวสวัน เป็นเจ้าแห่งยักษ์ รักษาทิศอุดร

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีจิตเลื่อมใสศรัทธา ปรารถนาจะเกื้อกูลพระพุทธศาสนา มิให้พวกอสูร หรือพวกศัตรูมาย่ำยีบีฑา แด่พระภิกษุสงฆ์สาวกของพระบรมสุคตเจ้า

จึงคิดจะชวนกันลงมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ก็ห่วงภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ มหาราชทั้ง ๔ จึงมีบัญชาแต่งตั้งให้ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาค และยักษ์ อย่างละแสนรักษาประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ ซึ่งก็ให้พวกคนธรรพ์ รักษาทิศบูรพา กุมภัณฑ์รักษาทิศทักษิณ นาครักษาทิศปัจจิม ยักษ์รักษาทิศอุดร

ครั้นแล้ว ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้ประชุมพร้อมกันที่ อาฏานาฏิยนคร ณ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พร้อมกับผูกมนต์อาฏานาฏิยปริตร ซึ่งมีเนื้อความสรรเสริญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์ มี

พระวิปัสสี ผู้มีสิริอันงาม
พระสิขี พุทธเจ้า ผู้มากด้วยการอนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งปวง
พระเวสสภู พุทธเจ้า ผู้ปราศจากกิเลส มีตบะ
พระกกุสันธะ พุทธเจ้า ผู้มีชัยชนะแก่พญามารและเสนามาร
โกนาคมนะ พุทธเจ้า ผู้มีบาปอันลอยเสียแล้วมีพรหมจรรย์อันจบแล้ว
กัสสปะ พุทธเจ้า ผู้พ้นวิเศษแล้ว จากกองกิเลสทั้งปวง
พระอังคีส พุทธเจ้า ผู้เป็นโอรสแห่งหมู่ศากยราช ผู้มีศักดิ์ มีสิริ ดัง นี้เป็นต้น

ครั้นผูกมนต์พระปริตรแล้ว ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงประกาศแก่บริวารของตนว่า ธรรมอาณาจักรของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นบรมครูของเราทั้ง ๔ ถ้ามีผู้ใดสาธยายมนต์ อาฏานาฏิยปริตร นี้ขึ้น แล้วถ้าใครไม่เชื่อฟัง ไม่สดับ จะต้องถูกลงโทษอย่างสาสม รุนแรง

และแล้วมหาราชทั้ง ๔ ก็พร้อมใจกันลงมาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ภูเขาคิชฌกูฏ กราบบังคมทูลว่าหมู่ยักษ์ทั้งหลาย หมู่นาคทั้งหลาย หมู่กุมภัณฑ์ทั้งหลาย และหมู่คนธรรพ์ทั้งหลาย ผู้มีเดช มีศักดา มีอานุภาพ มีจิตกระด้างหยาบช้า ละเมิดเบญจศีลเป็นอาจิณ ที่ยังไม่เลื่อมใสในคุณของพระรัตนตรัยนั้นมีมากพวกที่เลื่อมใสนั้นมีน้อย

เมื่อพระสาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ยินดีในการอยู่ป่า เพื่อบำเพ็ญสมณธรรม ในที่ห่างไกลจากมนุษย์สัญจร อมนุษย์ผู้ไม่เลื่อมใส ย่อมจะย่ำยี หลอนหลอก กระทำให้เจ็บไข้เป็นอันตรายแก่ชีวิตและพรหมจรรย์ แต่ต่อนี้ไปจะไม่บังเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีกแล้ว ถ้าพระบรมสุคตเจ้าทรงพระกรุณาโปรดรับมนต์อาฏานาฏิยปริตรนี้ไว้ แล้วโปรดประทานให้พระภิกษุสาวก สาธยายอยู่เนือง ๆ อมนุษย์ทั้งปวงก็จะมิกล้าย่ำยีหลอนหลอกทำร้าย อีกทั้งยังจะช่วยปกป้องคุ้มครอง กันภัยทั้งปวงให้อีกด้วยพระเจ้าข้า

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับมนต์พระปริตรนั้นโดยดุษฏี

ท้าวเวสวัณ ก็แสดงอาฏานาฏิยปริตรนั้นถวายและแล้ว มหาราชทั้ง ๔ ก็ถวายมนัสการลา

สมเด็จพระบรมศาสดา จึงทรงมีพระบัญชาให้ประชุมภิกษุทั้งหลายในที่นั้น แล้วทรงแสดงมนต์พระปริตรนั้นให้แก่ภิกษุทั้งหลายได้เรียนสาธยาย เสร็จแล้วทรงมีพุทธฎีกาตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอุตสาหะ สาธยายมนต์พระปริตรนี้ให้บริบูรณ์ในสันดาน จะพ้นจากอุปัทวันอันตรายทั้งปวงได้ อมนุษย์ทั้งหลายก็จะไม่มาย่ำยี หลอนหลอก เธอทั้งหลายจะได้ดำรงค์อยู่เป็นสุข เพื่อยังพรหมจรรย์ให้เจริญ

ภิกษุเหล่านั้นก็เปล่งสาธุการ น้อมรับด้วยเศียรเกล้า จบ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version