เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



ผู้เขียน หัวข้อ: หลวงตาสอนศิษย์ เรื่อง ความคล่องตัวทางโลก  (อ่าน 6821 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Webmaster

  • Administrator
  • สมาชิก
  • *****
  • กระทู้: 404
    • ดูรายละเอียด


หลวงตาสอนศิษย์
เรื่อง ความคล่องตัวทางโลก

ศิษย์: ทำอย่างไรการเงินจึงจะไม่ติดขัดและมีการลื่นไหล มีคนอุปถัมถ์ค้ำชูครับ

หลวงตา: ก็สวดบทจักรพรรดิบ่อยๆ ไง สวดมนต์บ่อยๆ ฮะ จิตเราอยู่ในกระแสพุทธมนต์และก็อธิษฐาน ...

คือเวลาเราสวดเนี่ยะ จิตเราอยู่ที่พุทธมนต์ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นพลังงานที่อยู่ในโลก พอเราน้อมมาก็มีอาการมีความรู้สึก ถ้าเราสวดนานๆ จะมีความรู้สึกฮะ

โลกเรามีทุกอย่างอยู่ในโลกเนี่ยะ เป็นพลังงานที่ ... แม้แต่เราก็มีทั้งดี และไม่ดีอยู่ในโลก ทุกคนมีหมด แต่พลังงานของพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเนี่ยะ มันมีตั้งแต่อดีตปัจจุบันและอนาคต ...

องค์ไหนท่านไปแล้วก็ไป องค์ต่อๆ มาก็ไปเรื่อยๆ ภัทรกัปป์เนี่ยะมีห้าองค์ใช่มะ ไปแล้วสี่พร้อมกับพระอรหันต์อีกเยอะแยะไปหมดเลย และเหลืออีกหนึ่งพร้อมกับพวกอีกเยอะเลย เพราะนั้นบารมีท่านยังไม่รวม บารมีท่าน ทุกองค์อ่ะอยู่ในไตรสรณคมน์หมด อยู่ในจักรพรรดิหมด ไม่ไปไหน ...

เพราะนั้นเวลาเราสวดเนี่ยะ พลังงานมันมาที่เรา มันมีทุกอย่างเลยฮะ ถ้าว่ากันตามสภาพของความเป็นจริง ท่านให้พิจารณาตัวเราเองสิ่งที่เราเคยทำในอดีต พอเรานึกไปเนี่ยะ มันก็เกิดภาพ เกิดอาการ เกิดความรู้สึกทั้งดีและไม่ดี ...

ทุกวันเนี่ยะ เราไปไหนเนี่ยะ ทุกคนมีความรุ้สึกหมด เวลาตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสต้องมีความรู้สึก รู้สึกในเรื่องของกิเลสตัณหาอุปาทาน รู้สึกเรื่องของความโลภความโกรธความหลง รู้สึกความเพลิดเพลินใจ รู้สึกความเสียใจดีใจ รู้สึกฮะถ้าเรามองไปเนี่ยะชอบไม่ชอบนี่คือความรู้สึก ...

คือเราเสพทุกวันน่ะเราไม่พักเลย ทีนี้ท่านให้สวดมนต์เพราะอะไร เพราะหยุดไง หยุดคิดไง มันต้องสวดตลอดเวลา ครูบาอาจารย์รุ่นก่อนๆ นี่นะ นี่คือกรรมฐาน คำว่ากรรมฐานคืองานของจิตฮะคือฝึกจิตฝึกให้รู้ง่ะ ...

กิเลสตัณหาทุกคนมีหมดแหละ พระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าท่านก็มี ... เมื่อก่อน มีเหมือนเรานี่แหละแต่ท่านรู้ไง ท่านรู้และก็หยุด ... ก็จบ รู้นะฮะ ไม่ใช่ตัดกิเลสตัณหาฮะ ท่านรู้ รู้นะฮะ รู้มันก็ไม่ยุ่งกะมัน เราอยู่ในโลกเราต้องเจออยู่แล้วฮะ โลกเราก็เจริญแล้วเสื่อมโดยปกติอยู่แล้ว ...

การจะศึกษาธรรมะไม่ได้ศึกษาที่ไหน อยู่ในโลกเนี่ยะ ท่านสอนชัดเจนมากเลย เราไปติดมันเองท่านบอก เราไปหาเรื่องเอง คำว่ากำลังคือกำลังใจ สวดมนต์ภาวนาสวดไปเรื่อยๆ จิตเราก็ห่างจากกิเลสตัณหาอุปาทานอยู่แล้วตอนที่เราสวด ...

เราสวดบ่อยๆ มันก็ห่างบ่อยๆ อ่ะ ท่านถึงให้สวดมนต์ภาวนาเพราะอย่างนี้แหละฮะ ไม่มีอะไรซับซ้อนฮะ ธรรมะ ตามสภาพของความเป็นจริง สิ่งที่เราตาเราเห็นน่ะ ถ้าพิจารณานะเห็นหมดเลย ...

ในยุคปัจจุบัน ท่านบอกดีมากเลยฮะ มนุษย์มีทุกระดับเลย มีตั้งแต่สุดๆ ต่ำๆ ถึงสูงสุดๆ สามารถมองได้พิจารณาได้ตามสภาพของความเป็นจริง การแก่การเจ็บการตาย แต่ถ้าเราสวดมนต์ภาวนา เราจะเริ่มสัมผัสโดยจิตสัมผัส ความรู้สึกในโลกของมิติในโลกของวิญญาณ ตาเห็นภาพจิตเห็นนาม ...

นามคือพลังงาน คือบุญกะบาป อย่างตาเรามองเห็นรูปพระหรือรูปหลวงปู่ดู่เนี่ยะ เราสวดมนต์ภาวนาบ่อยๆ นึกถึงพระบ่อยๆ เนี่ยะจิตเราเห็นนามคือความสว่าง แว้บๆ มันเป็นภาพซ้อนคือรูปและนามไง มันเป็นศาสตร์ที่ใครๆ ก็ฝึกได้ท่านบอก ...

เราก็ฝึกได้ มันเป็นพื้นฐานเข้าใจมะ ต้องศึกษาจากพื้นฐานไปก่อนนะ ไม่ใช่ไปเอายอดเลยนะฮะ ไม่ใช่ บางคนอธิษฐานเลยไม่เกิด แต่อารมณ์ยังเหมือนเดิมอยู่ ไปทำกรรมฐานทุกปีๆ ละหลายรอบ อารมณ์เหมือนเดิม ยังขี้บ่นยังด่าลูกหลานเหมือนเดิม ไม่มีประโยชน์นะ ท่านบอก ฮ่าๆ มันไม่ได้ปรับเลย ...

จริงๆ กรรมฐานนี่ ถ้าเราฝึกจริงๆ เพลินฮะ เพลินมาก ถ้าเราสวดภาวนาไปเรื่อยๆ นะฮะ ถ้าไม่ขี้เกียจนะเพลิน ทำได้ตลอดเวลายืนเดินนั่งนอน เตรียมตัวตายฮะ เตรียมตัวที่จะต้อง เผชิญกับโลก โลกมันกลม เกิดภัยธรรมชาติ ภัยจากมนุษย์ด้วยกัน เกิดจากโรค มันต้องฝึกไว้ มันเป็นสภาพของความเป็นจริงท่านบอก ...

สิ่งที่ดีนะฮะกับสิ่งไม่ดีอ่ะ มันอยู่ด้วยกันก็จริง เหมือนเรานึกถึงสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีมันก็จะไม่มา มันคนละพลังงาน ถึงดีกะไม่ดีอยู่กะเรานะ แล้วก็อยู่ในโลกเนียะ ถ้าเราคิดดี สิ่งที่ไม่ดีมันไม่มา ทีนี้เราสวดมนต์เนี่ยะ มันเป็นพลังงานที่ดี ถามว่าถ้ามีภัยธรรมชาติ เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรเนียะเวลาเราสวดมนต์ ถามว่าสิ่งที่ไม่ดีมันจะมามั้ย ... ไม่มาๆ มันมาไม่ได้ฮะ มันเบนไปที่อื่น เบนไปในสถานที่ๆ ไม่ดี พลังงานเหมือนกันในโลกเนี่ยะดูดเข้าหากันอยู่แล้วฮะ นี่คือธรรมะจริงๆ ...

คนอารมณ์ไม่ดีอายุสั้นนะยังไงก็สั้น คนอารมณ์ดีอายุยืนฮะ แหะๆๆ นี่คือเรื่องจริงฮะ เราจะไปแก้ไขคนอื่นไม่ได้ท่านบอก เราต้องแก้ไขตัวเอง สวดมนต์ดีที่สุด


เรียบเรียงจากธรรมบรรยายของ
พระครูวินัยธร วรงคต วิริยะธโร (หลวงตาม้า)