พระพุทธเจ้า ๓ ประเภท
เมื่อได้ชี้แจงให้ทราบถึงน้ำใจพระโพธิสัตว์ ผู้ปรารถนาพระพุทธภูมิเป็นเบื้องแรกดังกล่าวมาแล้ว บัดนี้ เพื่อความเข้าใจในเรื่องราวตามลำดับ จักขอกลับมากล่าวถึงประเภทแห่งสมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสีย ก่อน ก็สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เมื่อจะแบ่งเป็นประเภท ก็ได้ ๓ ประเภท ตามพระบารมีที่ได้ทรงสร้างสมอบรมมา คือ พระปัญญาธิกะพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง พระสัทธาธิกะพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง พระวิริยาธิกะพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง ซึ่งมีอรรถาธิบายตามที่ท่านพรรณนาไว้ ดังต่อไปนี้
พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะนี้ พระองค์ทรงสร้างพระบารมีชนิดปัญญาแก่กล้า คือทรงมีพระปัญญามาก แต่มีพระศรัทธาน้อย จึงทรงสร้างพระบารมีน้อยกว่าพระพุทธเจ้าในประเภทอื่น เมื่อจะนับเวลาที่ทรงสร้างพระบารมีตั้งแต่ต้น จนกระทั่งได้ตรสพระปรมาภิเษกสมโพธิญาณ เป็นเวลายาวนาน ดังนี้
ก. เริ่มแรกตั้งแต่ทรงดำริในพระทัยที่ว่า "เราจักเป็นพระพุทธเจ้าสักองค์หนึ่ง" ได้ทรงนึกอย่างนี้อย่างเดียว มิได้ออกโอษฐออกพระวาจาแต่ประการใด ก็นับเป็นเวลานานถึง ๗ อสงไขย
ข. ต่อจากนั้น จึงออกโอษฐปรารถนาว่า "เราจักตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้าให้จงได้" แล้วก็ทรงสร้างพระบารมีเพื่อพระโพธิญาณเรื่อยไป พร้อมกับออกโอษฐปรารถนาอยู่อย่างนั้น นับเป็นเวลานานได้ ๙ อสงไขย
ค. ต่อจากนั้น จึงจะได้รับลัทธาเทศ คือ คำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งว่า "จักได้ตรัสรู้เป็นองค์พระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน" ครั้นได้รับลัทธาเทศบาลดังนี้แล้ว ก็ต้องสร้างพระบารมีอยู่อีกนานหนักหนา นับเป็นเวลาได้ ๔ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป
จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะนี้ ต้องทรงสร้างพระบารมีมาตั้งแต่เริ่มแรก จนกว่าจะได้ตรัสรู้นั้นนับเป็นเวลานานถึง ๒๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัปพอดีและมีข้อควรทราบไว้ในที่นี้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ
สมเด็จพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะนี้ หลังจากพระองค์ได้ทรงสร้างพระบารมีมานานแล้ว และเมื่อจะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าว่า "จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน" เป็นครั้งแรกนั้น ในขณะนี้ หากพระองค์ท่านจะละความปรารถนาดั้งเดิมที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเสีย แล้วกลับมามีพระทัยน้อมไปในทางสาวกโพธิญาณ คือปรารถนาที่จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานในชาตินั้น พูดอีกทีก็ว่าพระองค์ทรงกลับใจไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้า เพราะทรงคิดเห็นว่า
"การที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ต้องสร้างพระบารมี อีกนานนัก เราสมัครเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่จะทรงพยากรณ์ในขณะนี้ดีกว่า"
เมื่อเป็นแต่เพียงกลับใจดังนี้ แล้วตั้งใจสดับพระธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์มณฑลแห่งสมเด็จพระทศพลพระองค์นั้น พอสดับพระธรรมเทศนาบาทพระคาถาที่ ๓ ยังมิทันจะจบลง พระองค์ท่านก็จักได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายทันที ทั้งนี้ก็เพราะมีพระบารมีญาณแก่กล้าอยู่ในขันธสันดานแล้ว
แต่การที่ไม่ทรงรีบคว้าเอามรรค ผลนิพพาน อันอยู่ใกล้แค่พระหัตถ์เอื้อมในครั้งกระนั้น ก็เพราะทรงมีพระมนัสมั่นมุ่งหมายเอาพระพุทธโพธญาณ ทั้งนี้น้ำพระทัยอาจหาญเด็ดเดี่ยวปรารถนาเพื่อจักได้บรรลุถึงพระสัมมา สัมพุทธเจ้าอย่างเดียว จึงสู้ทนทรมาณสร้างพระพุทธบารมีด้วยพระวิริยะอุตสาหะไปอีกนานนักหนา นับเป็นเวลาถึง ๔ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป
พระสัทธาธิกะพุทธเจ้า
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะพุทธเจ้านี้ พระองค์ทรงสร้างพระบารมีประเภทศรัทธาแก่กล้า คือทรงมีพระศรัทธามากยิ่ง จึงทรงสร้างพระบารมีประเภทปานกลาง เมื่อจะนับเวลาที่ทรงสร้างพระบารมีมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งได้ตรัสพระ ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ก็เป็นเวลายาวนาน ดังนี้
ก. เริ่มแรกแต่ทรงดำริในพระทัยไปจนกว่าจะถึงเวลาออกพระโอษฐปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้น นับเป็นเวลานานถึง ๑๔ อสงไขย
ข. นับจำเดิมแต่ออกพระโอษฐ ปรารถนาเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นต้นไป กว่าจะได้ลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์ หนึ่งนั้น นับเป็นเวลาถึง ๑๘ อสงไขย
ค. นับจำเดิมแต่ได้รับลัทธาเทศคำพยากรณ์ครั้งแรกเป็นต้นไป กว่าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกเป็นเอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติ สุดท้ายนั้น นับเป็นเวลานานถึง ๘ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป
จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะนี้ ต้องทรงสร้างพระบารมีมาตั้งแต่แรกเริ่ม จนกว่าจะได้ตรัสรู้นั้น นับเป็นเวลารวมทั้งสิ้นได้นานถึง ๔๐ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป และมีข้อที่ควรทราบไว้ในที่นี้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือว่า
สมเด็จพระพุทธเจ้าสัทธาธิกะนี้ ในขณะที่ทรงได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าว่า "จักได้ตรัสเป็นองค์พระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน" เป็นครั้งแรกนั้น หากพระองค์ท่านจะกลับใจไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่เอาพระสัมมาสัมโพธิญาณอันประเสริฐสุด รีบรุดประสงค์สาวกโพธิญาณ กล่าวคือปรารถนาเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ที่พยากรณ์ตนแล้วตั้งใจ สดับพระสัทธรรมเทศนาในขณะนั้น แต่พอสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าทรงเทศนาบาทพระคาถาที่ ๔ ยังมิทันที่จะจบลง ก็จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายทันที ทั้งนี้ ก็เพราะมีพระบารมีญาณเต็มเปี่ยมอยู่ในขันธสันดานแล้ว
พระวิริยาธิกะพุทธเจ้า
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะพุทธเจ้านี้ พระองค์ทรงสร้างพระบารมีประเภทมีความเพียรแก่กล้า คือทรงมีพระวิริยะมากยิ่ง จึงต้องการสร้างพระบารมีมากมาย นับเป็นเวลาช้านานกว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าประเภทอื่นทั้งหมด เมื่อจะนับเวลาที่จะสร้างพระบารมีมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งได้ตรัสพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณก้นับเป็นเวลายาวนาน ดังนี้
ก. เริ่มแรกแต่ทรงดำริในพระทัย ไปจนกว่าจะถึงเวลาออกโอษฐปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้น ก็นับเป็นเวลานานถึง ๒๘ อสงไขย
ข. นับจำเดิมแต่ออกโอษฐ ปรารถนาเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นต้นไป กว่าจะได้ลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ก็นับว่าเป็นเวลานานถึง ๓๖ อสงไขย
ค. นับจำเดิมแต่ได้รับลัทธยาเทศ คำพยากรณ์ครั้งแรกเป็นต้นไปกว่าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกเป็นเอกองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายนั้น ก็นับเป็นเวลานานถึง ๑๖ อสงไขยกับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป
จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะนี้ ต้องทรงสร้างพระบารมีตั้งแต่เริ่มแรกที่สุดจนกระทั่งได้ตรัสรู้นั้น นับเป็นเวลายาวนานรวมทั้งสิ้น ๘๐ อสงไขยกับเศษหนึ่งแสนมหากัปพอดี และมีข้อที่ควรทราบไว้ในที่นี้อีกอย่างหนี่งก็คือว่า
สมเด็จพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะนี้ ในขณะที่จะทรงได้รับลัทธยาเทศคือ คำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกนั้น หากพระองค์ท่านจะทรงกลับใจไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า คือ ไม่เอาพระสัมมาสัมโพธิญาณอันประเสริฐสุด รีบรุดเร่งประสงค์เพียงแค่สาวกโพธิญาณแล้วไซร้ ตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนาในขณะนั้น ครั้นสดับอรรถาธิบายพระคาถา ๔ บาท ที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ ทรงจำแนกแจกแจงอรรถออกโดยพิศดาร แต่เพียงจบลงเท่านั้น ก็จะพลันได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายทันที ทั้งนี้ก็เพราะมีพระบารมีญาณเต็มเปี่ยมอยู่ในขันธสันดานแล้ว จึงอาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์และบรรลุถึงพระนิพพานในชาตินั้นได้
เรื่องอสงไขย
กาลเวลาที่นับเป็นจำนวนอสงไขยและเป็นจำนวนมหากัปที่ว่าเรื่อยมานั้น ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้ ฟังเรื่อยๆ ไปแต่เพียงผิวเผินก็ย่อมเป็นสักแต่ว่าอย่างนั้นเอง... คือ คล้ายๆ กะว่าพูดเพื่อให้เกิดความระรื่นหู ผู้ที่ไม่รู้อาจจะคิดด่วนสรุปความเอาเองง่ายๆ ตามประสาของผู้มีปัญญามักจะแล่นไปข้างหน้าว่า คงเป็นเวลาที่ไม่นานเท่าไหร่กระมัง? อย่าด่วนคิดเอาเองดังนั้น เพราะความจริงไม่ใช่ ด้วยว่า กาลเวลาที่นับเป็นอสงไขยและเป็นมหากัปนั้น มันเป็นเวลาที่ยาวนานนักหนา พึงทรงทราบอรรถาธิบายที่ท่านพรรณนาไว้ ดังต่อไปนี้
กาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย นั้น ท่านกำหนดเอากาลเวลาที่มากมายยาวนานเหลือที่จะนับจะประมาณได้ เพราะคำว่า อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ คืออย่านับดีกว่า โดยมีคำอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า
ฝนตกใหญ่มโหฬารทั้งกลางวันกลางคืนเป็นเวลานานถึง ๓ ปีติดต่อกันมิได้หยุด มิได้ขาดสายเม็ดฝน จนน้ำฝนเจิ่งนองท่วมท้นเต็มขอบเขาจักรวาล อันมีระดับความสูงได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ทีนี้ ถ้าสามารถนับเม็ดฝน และหยาดแห่งเม็ดฝนที่กระจายเป็นฟองฝอยใหญ่น้อย ในขณะที่ฝนตกใหญ่ ๓ ปีติดต่อกันนั้น นับได้จำนวนเท่าใด อสงไขยหนึ่งเป็นจำนวนปีเท่ากับเม็ดฝนและหยาดแห่งเม็ดฝนที่นับได้นั้น
อุปมานี้เป็นอุปมากาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย ท่านทั้งหลายที่รู้สึกว่าเข้าใจยากในข้อความที่ว่ามานี้ ต้องอ่านทบทวนดูอีกทีแล้ว คงจะเข้าใจดีขึ้น และแล้วก็คงจะเห็นเองว่าเวลาที่อสงไขยๆ นั้น เป็นเวลานานหนักหนาเพียงไร
สมเด็จพระจอมมุนี สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย แต่ละพระองค์แต่ละประเภทต้องทรงสร้างพระบารมีมาจำนวนหลายๆ อสงไขย จึงนับได้ว่า พระองค์ต้องการมีน้ำพระทัยประกอบไปด้วยวิริยะอุตสาหะน่าสรรเสริญเป็นนักหนา ยิ่งกว่านั้น ยังยืดเวลาที่เป็นเศษนับเป็นแสนมหากัปอีกด้วย ก็เวลาที่นับเป็นกัปหรือมหากัปนี่ ก็หาใช่เวลาเล็กน้อยไม่ พึงทราบอรรถาธิบายในเรื่องมหากัป ดังต่อไปนี้
เรื่องมหากัป
ยังมีจอมบรรพตภูเขาใหญ่หนึ่ง ซึ่งตั้งตระหง่านเงื้อมทะมึนอยู่ เมื่อทำการวัดภูเขานั้นโดยรอบ ย่อมได้ปริมาณความกว้างใหญ่และส่วนสูงได้ ๑ โยชน์พอดี ทีนี้ พอถึงกำหนด ๑๐๐ ปี มีเทพยดาผู้วิเศษองค์หนึ่งมีหัตถ์ถือเอาผ้าทิพย์ซึ่งมีเนื้อละเอียดอ่อน ประดุจควันไฟลงาจากเบื้องสวรรค์เทวโลก ครั้นพอมาถึง ก็ลงมือเช็ดถูบนยอดภูเขาใหญ่ด้วยผ้าทิพย์นั้นหนหนึ่งแล้วกลับไปเสวยทิพย สมบัติอยู่ ณ วิมานอันแสนสุขแห่งตนบนเทวโลกตามเดิม พอครบกำหนด ๑๐๐ ปีอีกแล้วจึงถือเอาผ้าทิพย์มาเช็ดถูยอดภูเขานั้นอีกหนหนึ่ง เทพยดาผู้วิเศษนั้นเฝ้าเช็ดถูยอดภูผาตามวาระอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ร้อยปีเช็ดถูทีหนึ่งๆ จนกระทั่งภูเขาใหญ่ที่สูงได้ ๑ โยชน์น้น สึกเกรียนเหี้ยนลงมาราบเป็นหน้ากลองเสมอพื้นดินแล้วเมื่อใด ตลอดเวลาเท่านั้นแหละจึงกำหนดได้ว่าเป็นหนึ่งมหากัป
อีกอุปมาหนึ่งว่า ยังมีกำแพงแห่งหนึ่ง ซึ่งใหญ่มหึมาเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส มีความกว้างและความลึกวัดได้ ๑ โยชน์พอดี ทีนี้ พอถึงกำหนด ๑๐๐ ปี ปรากฎมีเทพยดาองค์หนึ่งมีหัตถ์ถือเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาหยอดใส่กำแพงสี่ เหลี่ยมที่ว่านี้เมล็ดหนึ่ง แล้วกลับไปเสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ วิมานอันแสนสุขแห่งตนบนเทวโลก ครั้นครบกำหนด ๑๐๐ ปีอีกแล้ว จึงนำเอาเมล็ดพันธุ์ผผักกาดมาใส่เพิ่มเติม ลงมาในกำแพงสี่เหลี่ยมนั้นอีกเมล็ดหนึ่ง แต่เทพยดาผู้วิเศษนั้น เฝ้าเวียนมาหยอดใส่เมล็ดพันธุ์ผักกาดด้วยอาการอย่างนี้ ร้อยปีหยอดใส่ลงไปเมล็ดหนึ่งๆ จนกระทั่งเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้น เต็มเสมอขอบปากกำแพงอันกว้างใหญ่ได้โยชน์หนึ่งนั้นแล้วเมื่อใด ตลอดเวลาเท่าที่อุปมาเปรียบเทียบมานี้ จึงจะกำหนดนับได้ว่าเป็นหนึ่งมหากัป
ตามที่กล่าวมานี้ เป็นการชี้ให้เห็นความยาวนานแห่งเวลาที่เรียกว่า มหากัป ด้วยการกล่าวอุปมา หากจะนับเป็นเวลาให้ทราบกันเป็นระยะๆ ก็พอจะมีทางนับได้ ดังต่อไปนี้
อันตรกัป
สมัยเริ่มแรกแต่ดึกดำบรรพ์นั้น บรรดามนุษย์คือว่าคนเรานี้ ไม่ใช่ว่าจะมีอายุน้อยนิดเดียว เกิดมาในโลกแต่เพียง ๗๐-๘๐ ปีมาแล้ว ก็ให้มีอันเป็นถึงแก่กาลกิริยาได้แก่ต้องตายไปตามๆ กันเป็นส่วนมาก ตามที่รู้เห็นกันในปัจจุบันทุกวันนี้ก็หามิได้เลย โดยที่แท้มนุษย์ในสมัยเริ่มแรกนั้น มีอายุยืนนานมากคือ มีอายุถึงอสงไขยปี
ก็จำนวนที่เรียกอสงไขยนั้น ก็คือจำนวนปีที่มีเลขหนึ่งขึ้นหน้าแล้วมีเลขศูนย์ตามหลังอีก ๑๔๐ เลขศูนย์ หรือจะว่าเป็นจำนวนที่นับด้วยตัวเลข ๑๔๐ หลักก็ได้ ถ้าอยากจะทราบว่ามันเป็นจำนวนเท่าใด? ได้ตัวเลขรูปร่างเป็นอย่างไร? จะลองทำดูก็ได้ คือ ตั้งเลข ๑ เข้าแล้วต่อเติมเลขศูนย์เข้าข้างท้ายต่อเติมไปให้ได้ ๑๔๐ เลขศูนย์ จำนวนเท่าที่ได้นั้นนับเป็นอสงไขยปี
อสงไขยปีนี้เอง เป็นอายุของมนุษย์เราโดยอนุมานในสมัยเริ่มแรก แล้วอายุอันมีจำนวนมากมายมหาศาลนั้นก็ค่อยๆ ลดลงมา โดยร้อยปีลดลงปีหนึ่งๆ ลดลงมาๆ (อาการที่อายุลดลงมานี้ พึงเห็นตัวอย่างเช่น ในสมัยที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น อายุของมนุษย์มี ๑๐๐ ปีเป็นประมาณ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลนั้น ตราบเท่ามาถึงปัจจุบันนี้ล่วงแล้วได้ ๒๕๐๐ กว่าพรรษา เอาเป็นว่า ๒๕๐๐ พรรษาก็แล้วกัน ในจำนวน ๒๕๐๐ นี้ หนึ่งร้อยปีหักออกเสียหนึ่งปี ก็คงเป็นหักออก ๒๕ ปี เมื่อ ๑๐๐ ปี หักออกเสีย ๒๕ ปี ก็คงเหลือ ๗๕ ปี จึงเป็นอันยุติได้ว่า อายุของมนุษย์เรา ในสมัยปัจจุบันนี้ประมาณ ๗๕ ปี เป็นเกณฑ์โดยมาก) อายุของมนุษย์ก็ค่อยๆ ลดลงด้วยอาการอย่างนี้จนกระทั่งเหลือเพียง ๑๐ ปี เมื่อเหลือเพียง ๑๐ ปีแล้ว ทีนี้ไม่ลดต่อไปอีกละ แต่จะเพิ่มขึ้นคือค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ร้อยปีเพิ่มขึ้นปีหนึ่ง ๆ เช่นเดียวกับตอนที่ลดลงมานั่นเอง เพิ่มขึ้นๆ เรื่อยไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งมนุษย์มีอายุยืนนานถึงอสงไขยปีอีกตามเดิม เวลาหนึ่งรอบอสงไขยนี้ เรียกว่าเป็นหนึ่งอันตรกัป