เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



ผู้เขียน หัวข้อ: มุนีนาถทีปนี การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โดย พระพรหมโมลี วิลาศ ญาณวโร  (อ่าน 57253 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
สมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมจักรพรรดิ์โพธิสัตว์ได้ทรงสดับคำเนมิตตกามาตย์ โหราจารย์กราบทูลพรรณนาบรรยายโดยเอนกประการเช่นนั้น ก็ทรงมีพระกมลตื้นตันเต็มไปด้วยปีติ มิอาจจะดำรงพระสติให้มั่นคงได้ จึงตรัสถามเพื่อให้แน่พระทัยว่า

"เมื่อครู่นี้ ท่านว่ากระไรนะ พระราชครู! ดูเหมือนท่านกล่าวว่า พุทโธ หรือกล่าวว่ากระไร?
พระราชครูโหรา จึงกราบทูลสนองไปว่า
"พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทวราช! บัดนี้สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติเกิดในโลกนี้แล้ว พระเจ้าข้า"

ขณะนั้น จึงนายเนมิตตกาจารย์ผู้หนึ่งซึ่งปัญญาดี มีความฉลาดไหวพริบรวดเร็ว ได้กระทำผ้าสะไบเฉียงบ่าข้างซ้าย และยอกรประณมถวายนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์ บ่ายหน้าไปทางทิศที่ตนทราบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ แล้วกล่าวคำประกาศพระพุทธคุณทูลซ้ำอึกว่า

"ข้าแต่พระมหาราชะ! สมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ พระองค์ทรงเป็นบรมไตรโลกนาถ ไม่มีผู้ใดจะยิ่งกว่า เป็นพระอริยะผู้ทรงคุณประเสริฐ เป็นพระบรมครูตรัสรู้เญยยธรรมทั้งปวง เป็นผู้จำแนกธรรมคือมรรคผลนิพพาน ทรงพระพุทธลักษณะงดงามศิริพิลาส ข้าพระบาทได้ทราบมาว่าพระองค์ทรงปรากฎโดยพระนามขนานว่า สมเด็จพระศรีศากยมุนีชินสีห์ สัมมาสัมพุทธเจ้า อนึ่งเล่า พระองค์กำลังเสด็จมาประทับอยู่ ณ มิจจีนอุทยานกรุงธัญวดีของเรานี่ พระเจ้าข้า

สมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมจักรพรรดิ์ ได้ทรงสดับดังนี้ ก็ทรงมีพระกมลโสมนัสยินดียิ่งนัก จักใคร่เสด็จไปมนัสการสักการะบูชา จึงมีพระบรมราชโองการชักชวนว่า

"มาเถิด... ชาวเราเอ๋ย เราจักพากันไปเฝ้าสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้า เพื่อเป็นกุศลส่วนทัสสนานุตตริยะ การได้ทอดทัศนายอดเยี่ย ดำรัสสั่งแล้ว ก็ทรงจัดแจงประทีปธูปเทียนและมาลัยเครื่องสักการะบูชา เสด็จด้วยจาตุรงคิกเสนาบรมจักรพรรดิ มีเสวกามาตย์ราชบริษัทเป็นปริมณฑลแวดล้อมมากมาย เสด็จไปยังมิจีนอุทยาน ครั้นไปถึงได้ทรงทอดทัศนาการเห็นพระตถาคตเจ้า พระองค์กำลังสถิตเหนือพระบวรบัลลังก์พุทธอาสน์ ทรงงามพิลาศด้วยพระทวัตติงสมหาปุริสลักษณะและพระอสีตยานุพยัญชนะ ก็ทรงถวายอภิวาทด้วยเบญจางคประดิษฐ์ซบพระเศียรเกล้าลงแทบพระบวรพุทธบาทอันไห จิตรด้วยจักรลักษณะทั้งคู่ของสมเด็จพระศรีศากยมุนีโลกนาถเจ้าแล้ว จึงตรัสสดุดีสรรเสริญพระพุทธสรีระอันงามหาที่เปรียบมิได้ ด้วยพระหฤทัยอันโสมนัสชื่นชมว่า "โอ้...นับว่าเป็นบุญแท้ของตน เราได้ยลพระตถาคตเจ้าพร้อมทั้งได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ณ โอกาสบัดนี้ ความเห็นของเราคราวนี้ นับว่าเป็นความเห็นอย่างประเสริฐได้ การระบายลมหายใจของเราคราวนี้ ควรนับได้ว่าเป็นการระบายได้คล่อง ไม่ข้องขัด ชีวิตของเราคราวนี้ ก็จักได้ว่าเป็นชีวิตดีมีผลประเสริฐ"

ครั้นตรัสสดุดีเป็นโถมนวาทีฉะนี้แล้ว สมเด็จพระเจ้าสาครจักรพรรดิราช ก็บังเกิดพระปีติ ทรงรำพึงในพระหฤทัยว่า "เรานี้ได้อุดมสมบัติ ปรากฎเยี่ยมเทียมเทพมไหศูรย์อันประเสริฐล้ำเลิศเกิดแก่เราในชาตินี้ ก็เพราะมีอุตสาหะสร้างสมกุศลสมภารมีทานบริจาคและเป็นผู้มากด้วยศีลสมาทานไว้ แต่ชาติปางก่อน จึงอำนวยผลให้ได้ประสบสุขเห็นปานนี้ นี่เป็นส่วนหนึ่ง ก็ในอนาคตเบื้องหน้าเล่า บัดนี้สมเด็จพระตถาคตศรีศากยมุนีเจ้า ได้ทรงเปลื้องพระองค์ให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารได้แล้ว ทั้งยังทนงนำสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ด้วยฉันใด แม้เรานี้ก็จะตั้งใจเปลื้องตนให้หลุดพ้นจากทุข์ภัยในวัฏสงสารแล้วก็จะนำ สัตว์ทั้งหลายอื่นให้หลุดพ้นได้ด้วยฉันนั้น" เมื่อทรงมีพระมนัสมุ่งหมายซึ่งพระโพธิญาณ ดังนี้แล้วก็ถวายบังคมลาลุกจากอาสน์ทำประทักษิณสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคศรี ศากยมุนีแล้ว ก็เสด็จกลับคืนสู่พระนคร

ครั้นเสด็จมาถึงแล้ว ก็ทรงเร่งร้อนดำรัสสั่งให้ราชบริพารนำเอาแก่นจันทน์บริบูรณ์ด้วยสีและกลิ่น มาเป็นอันมาก รับสั่งให้ประชุมนายช่างก่อสร้างทั้งหลายมากมายหลายหมวดหลายกอง เร่งให้สร้างปราสาทกุฎิอันเป็นที่อยู่ของพระภิกษุสงฆ์ด้วยไม้แก่นจันทน์มาก มายหลายหลัง แล้วรับสั่งให้สร้างกุฎีศาลามณฑปที่พักผ่อนที่หลีกเร้นในราตรีทิวาวัน สร้างหอฉัน ที่จงกรม โรงไฟ และซุ้มพระทวาร ล้วนแล้วแต่แก่นจันทน์อีกเช่นกัน ในวาระสุดท้าย ทรงให้เรียกนายช่างชั้นเอกมาประชุมกันออกแบบสร้างพระคันธกุฎีที่ประทับของ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค สวยงามวิจิตรสัมฤทธิ์ด้วยแก่นจันทน์มีกลิ่นหอม ครั้นมหาวิหารอันสร้างด้วยไม้แก่นจันทน์สำเร็จลงเรียบร้อยทุกประการแล้ว สมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมโพธิสัตว์แวดล้อมด้วยราชบริวาร เสด็จออกมาเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทรงถวายอภิวาทกราบทูลถวายพระมหาวิหารว่า
"ข้าพระองค์ผู้เจรญ! พระเจ้าข้า พระมหาจันทน์วิหารนี้ ข้าพระบาทสร้างถวายเฉพาะพระพุทธองค์ ขอพระพุทธองค์จงทรงพระมหากรุณาอนุเคราะห์ข้าพระบาท ขอจงรับเสนาสนะมหาจันทวิหารแห่งข้าพระบาทนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า"

ครั้นกราบทูลถวายมหาจันทน์วิหาร ฉะนี้แล้ว ก็ทรงนำเสด็จพระพุทธดำเนินเข้าสู่ภายในวิหาร ถวายอาหารบิณฑบาตทานแก่พระอริยสงฆ์มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น ประธาน พร้อมกับทรงอุทิศถวายเครื่องอุปกรณ์ทานอีกมากมาย ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แล้วทรงมีพระกมลผ่องแผ้วชื่นชมโสมนัส บัดนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมจักรพรรดิสาครราชบรมโพธิสัตว์ จึงเปล่งพระวจีปณิธานว่า
"ด้วย เดชะอำนาจแห่งบุญกรรมนี้ ของจงเป็นปัจจัยราสีเสริมส่งให้ข้าพระองค์ ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระศากยมุนีโคดม เสมอด้วยพระนามพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ด้วยเถิด"

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
ครั้นตรัสฉะนี้แล้ว พระองค์จึงทรงตั้งวจีปณิธาน ซ้ำลงไปอีกว่า
"พระ บรมไตรโลกนาถเจ้านี้ ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้รู้ได้ด้วยฉันใด ข้าพระบาทจักของตรัสเป็นพระพุทธเจ้าจะยังสัตว์ทั้งหลายให้รู้ได้ด้วยฉันนั้น พระผู้ทรงพระภาคผู้นาถะของโลกนี้ ได้ล่วงพ้นจากสงสารแล้ว ทรงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้ล่วงพ้นได้ด้วยฉันใด ข้าพระบาทขอจงได้เป็นนาถะของโลก ล่วงพ้นจากทุกข์ในสงสารแล้ว และสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้ล่วงพ้นได้ด้วยฉันนั้น พระผู้มีพระภาคนาถะของโลกนี้ ทรงข้ามได้แล้ว จากโลกและย่อมยังสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามได้ด้วยฉันใด ขอข้าพระบาทจงได้เป็นพระโลกนาถะข้ามได้แล้วจากโลก และยังสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามได้ด้วยฉันนั้นเถิด"
ลำดับนั้น สมเด็จพระปุณาณศรีศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
"ดูกร มหาบพิตร! การที่จะปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น ย่อมเป็นการยากยิ่งนักที่บุคคลจะทำสำเร็จได้ ถ้าพระองค์ใคร่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จงค่อยสดับความอุปมาดังนี้ คือ ในเมื่อห้วงจักรวาลอันกว้างลึกสุดที่จะประมาณ เต็มไปด้วยภูเขาเหล็กลุกเป็นโพลงอยู่ไม่รู้ดับ และมีพื้นเบื้องต่ำตามระหว่างๆ ข้างซอกแห่งภูเขานั้น เต็มไปด้วยน้ำทองแดงที่ร้อนแรงจนเหลวละลายไหลเหลวเคว้งๆ อยู่ดุจมหากุมภีนรก ผู้ใดมีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว สามารถที่จะว่ายน้ำทองแดงไปได้ด้วยกำลังแขนของตน จนตลอดถึงฟากจักรวาลโน้นได้ โดยมิได้อาลัยถึงเลือดเนื้อร่างกายและชีวิต ผุ้มีน้ำจิตองอาจเห็นปานนี้ จึงจะทำตนให้ถึงพุทธภาวะความเป็นพระพุทธเจ้าได้ นี่แหละมหาบพิตร พระพุทธภูมิสำเร็จได้โดยยากดังกล่าวมานี้ ขอจงทราบไว้ในพระทัยเถิด"
สมเด็จพระเจ้าบรมจักรพรรดิได้ทรงสดับพระบรมพุทธาธิบายเปรียบดังนั้น ด้วยกำลังพระปิติกล้า ก็ทรงออกพระวาจารับเอาว่า
"ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ! พระเจ้าข้า ข้าพระบาทนี่และสู้ก้มหน้าว่ายข้ามแม่น้ำทองแดงร้อนนั้นไปให้ได้ อย่าว่าแต่สิ่งที่มีในมนุษยโลกที่พระองค์ทรงพระมหากรุณาชักอุปมาเปรียบเทียบ มานี่เลย ถึงแม้ว่าพระสัพพัญญุตฐาณจะมีอยู่ใต้อเวจีมหานรกก็ดี ตัวข้าพระบาทนี่แลพระเจ้าข้า จะสู้ก้มหน้าดำด้นลงไปค้นคว้าหาให้พบให้จงได้"
สมเด็จ พระปุราณศรีศากยมุนีได้ทรงสดับดังนั้น ก็ทรงทราบด้วยพระสัพพัญญุตญาณว่า ปณิธานของพระบรมจักรพรรดิพุทธางกูรโพธิสัตว์นี่ นานไปอีกแสนนานถึง สิบสอง อสงไขย กับเศษแสนมหากัปจึงจักสำเร็จได้ และพระราชาผู้นี้จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดมเสมอด้วยนามเราตถาคตนี้ เมื่อพระองค์ทรงทราบชัดฉะนี้จึงมีพระพุทธฏีกาดำรัสเป็นพระโอวาทว่า

"ดูกรมหาบพิตร! ถ้าพระองค์มีพระราชประสงค์ซึ่งพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว จงทรงบำเพ็ญพระบารมี ๓๐ ให้ครบบริบูรณ์เถิด"
ฝ่าย สมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมจักรพรรดิเจ้า ครั้นได้ทรงสดับพระพุทธโอวาท ดังนั้น ก็มีพระกมลโสมนัสเป็นนักหนาประหนึ่งว่า ตนจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันพรุ่งนี้ก็ปานกัน จำเดิมแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระองค์ก็ทรงบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหลายเป็นอันมาก กระทำบุญสร้างกุศลปลูกฝังไว้ในพระบวรพุทธศาสนา แต่ยังหาทรงอิ่มในพระทัยไม่ ในภายหลัง จึงได้ออกบรรพชาบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์องค์สาวกของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงพระอุตสาหะหมั่นศึกษาในทางคันถธุระจนชำนิชำนาญในพระไตรปิฎกแล้ว จึงทรงบำเพ็ญเพียรในสมถกรรมฐานภาวนาทำฌานอภิญญามิให้เสื่อม ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว ก็ขึ้นไปอุบัติเกิดในรูปาพจรพรหมโลก

การ สร้างพระพุทธบารมีที่เล่ามานี้ เป็นการสร้างพระบารมีตอนกลาง คือ ตอนเปล่งวจีปณิธานออกโอษฐปรารถนาพระพุทธภูมิ ของสมเด็จพระบรมครูเจ้าของเราทั้งหลายแต่เพียงชาติแรกชาติเดียว ต่อจากชาตินี้ไป พระองค์ก็ได้ทรงเปล่งพระวาจาปรารถนาพระพุทธภูมิต่อพระพักตร์ของสมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าอีกมากมาย จนไม่สามารถจะนำมากล่าวไว้ในที่นี้ให้หมดสิ้นลงได้ จำไว้ง่ายๆ ก็แล้วกันว่า องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าที่ทรงมีพระมหากรุณาประทานคำสอนไว้ ให้พวกเราได้ประพฤติปฏิบัติกันทุกวันนี้น่ะ พระองค์
สร้างพระบารมีตอนเปล่งวจีปณิธานนี้ เป็นเวลานานได้ ๙ อสงไขย

พรรณนาในวจีปณิธาน ความปรารถนาตอนออกโอษฐเปล่งพระวาจากว่าจะตรัสรู้แห่งองค์สมเด็จพระบรมครูศรี ศากยมุนีโคดม เห็นสมควรจะยุติลงไปแล้ว จึงขอยุติลง ด้วยประการฉะนี้

จบบทที่ ๓

บทที่ ๔


พระบารมีตอนปลาย

บัดนี้ จักพรรณนาถึงการสร้างพระบารมี เพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณขององค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดมบรม ครูเจ้าตอนปลาย คือตอนที่ทรงได้รับลัทธาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธ เจ้าทั้งหลายต่อไป

เมื่อพระองค์ได้ทรงเริ่มสร้างพระบารมีตอนต้นเป็นมโนปณิธานตั้งความปรารถนา ซึ่งพระพุทธภูมิแต่ในพระหฤทัยเป็นเวลานาน ๗ อสงไขยและต่อมาได้ทรงสร้างพระบารมีตอนกลางเป็นวจีปณิธานตั้งความปรารถนาซึ่ง พระพุทธภูมิด้วยการออกโอษฐ์เปล่งพระวาจาเป็นเวลานาน ๙ อสงไขย ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทก่อน ตอนนี้ ก็ถึงการสร้างพระบารมีตอนปลาย ซึ่งเป็นตอนที่สำคัญเพราะความมุ่งมั่นในพระโพธิญาณของพระองค์ใกล้จะสำเร็จลง แล้ว โดยได้รับลัทธาเทศคำพยากรณ์จากสำนักแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ว่าจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในกาลอนาคตแน่นอน ซึ่งนั่นก็หมายความว่า พระองค์ใดทรงเป็น นิยตโพธิสัตว์ คือ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้แน่นอนต่อการได้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ในตอนนี้เองแม้ว่าพระองค์ใกล้จะได้สำเร็จพระโพธิญาณ เพราะได้ผ่านการสร้างพระบารมีมานาน ๒ ตอนต้น รวมกันถึง ๑๖ อสงไขยก็ดี ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังต้องทรงสร้างพระบารมีในตอนปลายนี้อีก เป็นเวลานานถึง ๔ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป

ก่อนอื่นขอแจ้งให้ทราบว่า ในการกล่าวถึงการสร้างพระบารมีตอนปลายนี้ ตั้งใจว่าจะพรรณนาให้มากกว่าตอนอื่น เพราะเป็นตอนสำคัญที่เราท่านควรสนใจ เมื่อได้ปรับความเข้าใจกันเป็นอันดีเช่นนี้แล้ว ก็จะได้เริ่มเข้าเรื่องเสียที

ที่ว่า สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเราทั้งหลาย ได้ทรงพระอุตสาหะสร้างพระบารมีในตอนปลายนี้ เป็นเวลานานถึง ๔ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัปนั้น พึงทราบตามลำดับของพระชาติที่พระองค์ทรงมีโอกาสพบสมเด็จพระพุทธเจ้าและได้ รับลัทธยาเทศพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่พระองค์พบในพระชาตินั้นๆ ดังต่อไปนี้

๑. สมเด็จพระทีปังกรอุบัติ

บรรดาเวลา ๔ อสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัปนั้น ในอสงไขยที่หนึ่งคนแรกทีเดียว ปรากฎว่ามีสารมัณฑกัปหนึ่งบังเกิดขึ้น ก็คำว่า สารมัณฑกัปนี้ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงจะจำได้ว่า เป็นกัปที่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ๔ พระองค์ใช่ไหมเล่า เพราะได้เคยกล่าวไว้แล้วในตอนว่าด้วยเรื่องอสุญกัปโน่นแล้ว ก็ในสารมัณฑกัปที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี่ ก็มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ๔ พระองค์ คือ
๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎตัณหังกรพุทธเจ้า
๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฏเมธังกรพุทธเจ้า
๓. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสรณังกรพุทธเจ้า
๔. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรพุทธเจ้า
ก็ในระยะกาล ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๓ พระองค์แรก คือพระตัณหังกรพุทธเจ้าและพระเมธังกรพุทธเจ้า และพระสรณังกรพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกและประกาศพระศาสนาอยู่นั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเรา ก็ได้เกิดในโลกนี้ ด้ประสบพบปะและสร้างพระบารมีในสำนักของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นทุกๆ พระองค์มา แต่เพราะวาสนาบารมียังไม่เต็มที่บริบูรณ์ดี จึงยังไม่ได้รับลัทธาเทศพยากรณ์จากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งสามพระองค์นั้นเลย ฉะนั้นตอนนี้จึงไม่ค่อยสำคัญเท่าใดนัก มาถึงตอนสำคัญเอาเมื่อถึงศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายในสารมัณ ฑกัปนั้น คือศาสนาของสมเด็จพระสรรเพชญทีปังกรพุทธเจ้า จึงจะเกิดเหตุสำคัญ ซึ่งจะได้พรรณนาดังต่อไปนี้

จะกล่าวกลับจับความ จำเดิมตั้งแต่ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสรณังกรพุทธเจ้า ค่อยเสื่อมสลายสูญสิ้นไปหมดแล้ว โลกก็ว่างจากศาสนาอยู่ชั่วระยะกาลนานช้า ต่อมาจึงได้มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นอีกพระองค์หนึ่ง สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงอุบัติขึ้นแล้ว ก็ทรงประกาศพระพุทธศาสนา ยังศาสนธรรมให้แผ่กว้างออกไปเหล่าสัตว์ทั้งหลายในสมัยนั้น ครั้นได้รับรสพระธรรมเทศนา ต่างก็ได้บรรลุมรรคผลตามสมควรแก่อุปนิสัยของตนเป็นอันมากแล้ว

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
กาลครั้งนั้น ยังมีพราหมณ์มาณพหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏนามว่า สุเมธพราหมณ์ มีทรัพย์มหาศาลนับได้มากมายหลายโกฏิทีเดียว นอกจากนั้นยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในเชิงมนต์ เฟื่องฟุ้งรู้แจ้งในไตรเพทางคศาสตร์ฉลาดในศิลป์สิ้นทุกประการ วันหนึ่งสุเมธพราหมณ์ผู้หนุ่มนั้น นั่งอยู่ภายในห้องระโหฐานเป็นที่สงัดแล้วรำพึงขึ้นด้วยจินตามยปัญญาว่า
"ขึ้น ชื่อว่า การก่อภพกำเนิดเกิดเป็นรูปกายขึ้นใหม่นี้ ย่อมมีกองทุกข์ท่วมท้นหฤทัยเที่ยงแท้ อนึ่ง แม้เมื่อชนม์ชีพแตกพรากจากกายทำลายร่างสรีรพยพนั้นเล่า ก็เป็นทุกข์ถึงที่สุดใหญ่ยิ่งกว่าทุกข์ทั้งปวง การก่อภพชาติใหม่นี้เป็นทุกข์ใหญ่หลวง เพราะก่อชาติกำเนิด ชาติก่อให้เกิดชรา ชราก่อให้เกิดพยาธิมรณะ เมื่อชาติชรา พยาธิ มรณะ มีขึ้นมาได้แล้ว ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บไข้ ไม่ตายก็คงจะมีเป็นแม่นนั่น อย่ากระนั้นเลย ควรที่เราจะประสงค์เจาะจงแสวงหาความดับชาติ ชรา พยาธิ มรณะนั้นให้จงได้ อนึ่ง ตัวเราคงต้องตายต้องทอดทิ้งซึ่งร่างกายอันเน่าเปื่อยปฏิกูลนี้ แล้วไปเกิดใหม่ให้ได้ทุกข์อีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไฉนจึงยังหนักหน่วงห่วงใยในร่างกายเครื่องปฏิกูลนี้อยู่เล่า ควรที่เราจะพึงหาทางออกไป ไม่เกิดเสียจะดีกว่า ก็แต่ว่าหนทางนั้นเห็นทีจะพึงพบได้โดยยาก จำเราจะพึ่งความพยายามให้จงมาก อุตสาหะเสาะแสวงหาหนทางนั้นให้พบจงได้ อนึ่งความทุกข์ภัยพยาธิมีแล้วฉันใด ความสุขก็คงมีเช่นเดียวกัน อีกประการหนึ่ง เมื่อภวะกำเนิดคือความก่อเกิดมีแล้วฉันใด วิภวะคือความไม่ก่อกำเนิดเป็นร่างกาย ก็คงจะมีเช่นเดียวกัน อีกประการหนึ่ง เมื่อความร้อนคือเตโชธาตุไฟมีอยู่แล้ว ความเย็นคืออาโปธาตุ ก็มีไว้สำหรับความร้อนแก้กันฉันใด ก็เมื่อไฟคือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย บังเกิดมีแล้ว สิ่งที่พึงระงับดับอัคคีเหล่านั้น ก็คงมีเป็นแม่นมั่น อีกประการหนึ่ง เหมือนการบาปมีแล้ว ย่อมมีการบุญแก้ ความเกิดมีแน่ ความไม่เกิดเที่ยงแท้ที่สัตว์พึงปรารถนา ก็คงจักมีเป็นแม่นมั่น
อีก ประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้ทรงพลัง แต่มีตัวแปดเปื้อนคูถอุจจาระเน่าเหม็นร้ายกาจนักหนา เมื่อมาเห็นสาระอันเต็มเปี่ยมด้วยน้ำใสสะอาด ควรหรือที่เขาจะไม่กระวีกระวาดล้างเนื้อล้างตัวเสียให้หมดมลทิน ก็ตัวเรานี้ ในเมื่อมลทินคือกิเลสที่ควรล้างกำลังแปดเปื้อนฉันใด ตัวเรานี่เล่า ก็มีร่างกาย อันเปรียบประหนึ่งหมู่มหาโจรใจฉกาจสามารถที่จะปล้นผลาญจิตใจ ให้ขาดจากกุศลธรรมทั้งปวง จำเราจะตัดห่วงเสน่หาในกายทอดทิ้งเสียอย่าให้มีอาลัย เหมือนหนึ่งบุรุษที่ถูกโจรชิงทรัพย์ไปฉันนั้นเถิด
สุเมธ มาณพผู้มีปรีชา ครั้นคิดอุปมาทบทวนย้อนหน้าย้อนหลังวิจิตรพิศดารมากมายดังนี้แล้ว ในที่สุด ก็ตัดสินใจให้เปิดคลังสมบัติของตนมากมายหลายโกฏิบริจาคให้เป็นทานแจกจ่าย ยาจกวณิพกพวกอนาถาหาที่พึ่งมิได้จนหมดลิ้นแล้ว ก็ออกไปสู่ประเทศเขตป่าใหญ่ ณ ที่ใกล้เชิงเขาธรรมิกบรรพตจัดแจงสร้างบรรณศาลาอาศรมบทเป็นที่อาศัยเสร็จแล้ว ก็เปลื้องผ้าสาฎกเนื้อดีที่ตนครอง นุ่งผ้าเปลือกป่านและคากรองบวชเป็นดาบสสร้างพรตพรหมจรรย์ ไม่กี่วันต่อมา ก็ละทิ้งเสียซึ่งบรรณศาลาที่อยู่ เพราะรู้ว่ายังทำให้เกิดห่วงใย เข้าป่าลึกเข้าไปอีก อาศัยสถานร่มไม้รุกขมูลเป็นที่อยู่ เลือกดูผลไม้ที่หล่นลงมาเอาเป็นประมาณ รับประทานเป็นอาหารพอแต่ว่าเป็นปาปนมัติเครื่องเลี้ยงชีพเท่านั้น มีจิตมุ่งมั่นปฏิบัติโดยทางกสิณานุโยคพยายามอยู่ในอรัญญสถานไม่นานก็ได้ บรรลุอภิญญาสมาบัติ

ครั้นเมื่อสุเมธดาบสผู้ยิ่งด้วยพรตพรหมจรรย์ ท่านได้สำเร็จอภิญญาณานสมาบัติบริบูรณ์ดี มีวสีภาพเชี่ยวชาญชำนาญแล้ว ก็เพลิดเพลินเจริญฌานเป็นสุขอยู่ หารู้ไม่เลยว่า บัดนี้ สมเด็จพระชินสีห์ทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ มาตรัสเป็นพระบรมโลกนายกแล้ว ความจริงนั้นควรจะรู้ หากไม่เพลิดเพลินเจริญฌานอยู่ เพราะธรรมดาวิสัยของผู้ได้อภิญญาสมาบัติย่อมรู้เห็นซึ่งนิมิตในกาลทั้ง ๔ ก่อน คือกาลเมื่อผู้ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาปฏิสนธิ ๑ กาลเมื่อพระองค์ประสูติจากพระครรภ์ ๑ กาลเมื่อได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑ กาลเมื่อทรงประทานพระธรรมจักรเทศนา ๑ ซึ่งสุเมธดาบสฌานมีอยู่แล้ว จะไม่แสวงหาสระน้ำที่มีอมตธรรมเป็นอทกวารี แล้วล้างเสียซึ่งมลทินคือกิเลสนั้นหรือไฉน

อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนโยธีนายทหารผู้ชายฉลาดที่ถูกข้าศึกศัตรู หมู่ปรปักษ์ปัจจามิตรมาล้อมไว้ เมื่อหนทางที่พอจะประลาดหลีกลี้หนีไปได้ยังมีอยู่ ควรหรือที่จะหลงมุมานะสู้จนเสียชีวิตไม่คิดหนี ก็ตัวเรานี้เมื่อข้าศึกคือกิเลสมีอำนาจร้อนรุมหุ้มห้อมล้อมไว้อยู่ และหนทางเป็นที่เกษมเปรมใจคือพระนิพพาน อันเป็นที่หลีกหนีจากกิเลสมีอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้จักไม่คิดหลีกหนีไปหรือไฉน

อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีโรคาพยาธิบีฑาอยู่ เพื่อได้พบแพทย์ผู้วิเศษแล้ว ควรหรือที่บุรุษนั้นจะไม่คิดอ่านเยียวยารักษาพยาธิแห่งตนให้หาย ก็ตัวเรานี้ เมื่อโรคพยาธิคือกิเลสมาย่ำยีบีฑาเบียดเบียนอยู่ จะไม่เสาะแสวงหาแพทย์ทิพยาจารย์ให้พยาบาลขจัดเสียซึ่งโรคาพยาธิคือ กิเลสหรือไฉน

อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนชายผู้มีน้ำใจรักความสะอาด ซึ่งมีซากศพอันแรงร้ายกาจด้วยกลิ่นเหม็นปฏิกูลน่าเกลียดยิ่ง มาผูกพันกระสันติดอยู่กับคอตน ควรหรือที่ชายคนนั้นจะสู้ทนกลิ่นเหม็นได้ เขาย่อมจะร้อนรนขวนขวายปลดเปลื้องซากศพนั้นให้พ้นจากคอตนเสียโดยเร็วฉันใด ตัวเรานี้เล่าจะเอื้อเฟื้ออาลัยอาวรณ์อะไร ในร่างกายอันเน่าเปื่อยปฏิกูลมากมูลอยู่ด้วยซากสางต่างๆ จงรีบหาทางปลดเปลื้องทอดทิ้งเสีย อย่าให้เป็นห่วงใยเฝ้าอาลัยเหลียวแลอยู่ เหมือนบุรุษผู้มีซากศพติดคอนั่นเถิด

อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษถูกหมู่โจรร้ายใจฉกาจมันอาจหาญพากันมาปล้นกลุ้มรุมชิงฉวย เอาห่อทรัพย์ได้แล้ว แลเห็นว่าตัวจักไม่สามารถเพื่อจะหักชิงเอาห่อทรัพย์กลับคืนมาได้ เขาย่อมสิ้นอาลัยในทรัพย์ไม่เสียดาย หมายแต่จะเอาชีวิตรอดรีบวิ่งหนีไปโดยเร็ว ข้อนี้มิได้รู้ในกาลสำคัญที่กล่าวมานี้ ก็เพราะความที่ตนเพลิดเพลินเจริญฌานเป็นการหนักอยู่ จึงมิได้เห็นมิได้รู้ด้วยมิได้ใฝ่ใจดูซึ่งเหตุอื่นเลย ต่อเมื่อหมู่มหาชนเป็นอันมาก อาราธนาสมเด็จพระทีปังกรตถาคตเจ้ามาแต่ปัจจันตประเทศ จึงเกิดเหตุมหาโกลาหลเป็นการใหญ่ เพราะว่าประชาชนทั้งหลายมีความชื่นชมโสมนัสต่างพากันจัดแจงตกแต่งหนทาง แผ้วถางเกลี่ยมูลพูนถมระดมกันกระทำทางเป็นที่เสด็จพระพุทธดำเนินอยู่

ในขณะนั้น สุเมธดาบสผู้มีตบะอันสูง เพราะบรรลุฝั่งแห่งอภิญญา เที่ยวจาริกมาทางอากาศกลางเวหา มองลงมาเห็นประชาชนประชุมอยู่เป็นหมู่มาก ดูหลากประหลาดด้วยล้วนรื่นเริงบันเทิงจิตน่าพิศวง สุเมธดาบสจึงลงจากคัคฆณัมพรห้วงเวหาหาว แล้วมีพจนประภาษถามข่าวคราวชนมนุษย์หมู่นั้นว่า
"มหาชนชวนชื่นรื่นเริงบันเทิงจิต ชวนกันประกอบกิจแผ้วถางปฐพีโสภโณภาสเพื่อบุคคลผู้ใดจะจรมา?"
มหาชนเหล่านั้นได้ฟังถาม จึงแจ้งความแก่สุเมธฤาษีผู้มีฤทธิ์ว่า
"ข้า แต่ท่านฤาษี! สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้อนุตตรโลกนายกยอดบุคคลเสด็จอุบัติขึ้น ในโลกแล้ว กาลบัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายมีใจเลื่อมใสในพระองค์เป็นยิ่งนัก จึงชวนกันแผ้วยถางเพื่อให้เป็นทางที่เสด็จพระพุทธดำเนิน ณ สถลมารควิถีเพื่อที่จะได้เสด็จมาแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพวกเราชาวเมืองนี้"
สุเมธ ฤาษี แต่พอได้สดับว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าบังเกิดแล้วในโลกเท่านั้น ก็พลันเกิดปิติเป็นล้นพ้นสุดประมาณ จึงมาจินตนาการว่า กาลนี้ควรที่เราจะหว่านพืชเพื่อผล ขระนี้เป็นมงคลขณะบังเกิดมี หาควรที่เราจะมาทำละเมินเสียไม่ ครั้นได้คำนึงจินตนาด้วยอำนาจศรัทธากอปรด้วยญาณโสมนัสฉะนี้แล้ว จึงกล่าวกะชนเหล่านั้นว่า
"แม้ท่านทั้ง หลาย แผ้วถางทางถวายพระพุทธเจ้าละก็จงของให้โอกาสแก่เราสักแห่งหนึ่งเถิด เราบังเกิดศรัทธาปรารถนาใคร่จะทำทางถวายพระพุทธเจ้าบ้าง"
คราว นั้น ชนทั้งหลายเห็นว่าฤาษีเป็นผู้มีฤทธิ์เป็นผู้มีฤทธิ์เพราะเหาะมากลางอากาศได้ เช่นนั้น ก็เลยชี้มือไปตรงบริเวณซึ่งถากถางทางยากลำบาก เพราะมีเปือกตมโคลนเลน เป็นบริเวณที่ต้องถมหามูลดินมาเกลี่ยให้เสมอ เป็นส่วนที่ทำยาก แล้วบอกแก่ฤาษีว่า
"ถ้าท่านปรารถนาจะทำทาง ถวายต้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จงทำบริเวณที่ตรงนั้นให้สำเร็จด้วยดีเถิด ท่านฤาษี"
สุเมธ ดาบสบรมโพธิสัว์ ครั้นเขายกอนุญ่าตให้ทำที่ตรงนั้นให้สะอาดเรียบร้อย ก็มิรอช้า อุสาหะตั้งหน้าประกอบการมีจิตวารำพึงพระพุทธนามว่า พุทโธ นั้นเป็นเนืองนิตย์ เปลื้องหนังเสือที่รองนั่งออกผูกทำเป็นถุงกะทอห่อหิ้วซึ่งมูลดิน เอามาถมในที่ลาดลุ่มลึกเป็นเลนเหลวอยู่นั้น ยังมิทันที่จะทำได้สำเร็จตลอด เหลืออยู่ยาวประมาณชั่วตัวคน ก็ได้เวลาที่สมเด็จพระทศพลมิ่งมงกุฎพุทธทีปังกรศาสดา เสด็จพาพระขีณาสวสงฆ์มากมายมาใกล้จะถึง

เสียงศัพท์บรรเลงอื้ออึง ด้วยสำเนียงทวยเทพศุภสุรคณานิกรเป็นถ่องแถวแนวสลอนด้วยมหาชนเอนกแน่นหนา ทำปัจจุคมนาการนำเสด็จพระพุทธดำเนินมา บางหมู่ก็ประโคมดุริยดนตรีแตรสังข์กังสดาลห้องกลองก้องสนั่นศัพท์แซ่ซ้อง สาธุการ เอิกเกริกด้วยความโสมนัสทั้งมนุษย์และเทพยดาอินทร์พรหมต่างก็มีกรประณมมิได้ คลายเคลื่อนแลละลานเลื่อนตามเสด็จพระพุทธดำเนินมา ฝูงเทวดาก็ประโคมทิพยดนตรีหมู่มนุษย์ก็ประโคมดีดสีตีเป่าตามภาษามนุษย์ ดำเนินนำตามเสด็จพระพุทธลีลา บางเทพยดาก็โปรยปรายทิพยบุปฝา มีดวงดอกทิพยมณฑารพโกสุมเป็นประธานลอยเลื่อนเกลื่อนทั่วทั้งทิศานุทิศ ณ เบื้องบนนภากาศ หมู่มนุษยชาติก็ยกขึ้นซึ่งเครื่องสักการะบูชาล้วนเครื่องหอม แห่ห้อมล้อมจรลีตามเสด็จพระพุทธดำเนินมา

กาลครั้งนั้น สุเมธดาบสก็มีจิตเบิกบานอธิษฐานอุทิศชีวิตถวายแด่พระพุทธองค์ จึงปลดเปลื้องชำาสยายเกษาลง ลาดปูผ้าเปลือกไม้กับหน้งเสือรอนั่งบนเปือกตมนั้นแล้ว ก็ทอดกายนอนคว่ำหน้าลงต่อถนนที่ขาดลาดลุ่มเป็นเลนเหลว ที่ตนทำยังไม่ทันเสร็จนั้น พลันตั้งใจคำนึงนึกว่า
"ขอ อาราธนาพระพุทธองค์ จงทรงพระมหากรุณาพาพระขีณาสวสงฆ์ทั้งหลายเสด็จทรงย่างพระบาทดำเนินไปบนกาย แห่งข้าพระบาทนี้เถิด จักได้เกิดเป็นหิตานุหิประโยชน์แก่ข้าพระบาท พระองค์อย่าได้ย่างพระบาทหลักลงเลียบลุยเลนเหลวนี้เลย"
แล้วก็หมอบคว่ำหน้านิ่งเฉย เพื่อรอให้สมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้าพาพระอริยสงฆ์ทรงเหยียบกายของตน ซึ่งทอดเป็นสะพานอยู่อย่างนั้น

มีกรณีที่เราท่านทั้งหลาย ควรจะทราบไว้ในตอนนี้ ก็คือว่า ในขณะนี้หากสุเมธฤาษีจะปรารถนาหน่วงเอาอมตธรรมกำจัดกิเลสเสียให้ขาดจาก สันดานแล้ว ก็จักได้สำเร็จอย่างแน่นอน เพราะอุปนิสสัยแห่งพระอรหังรุ่งเรืองเต็มอยู่ในสันดานแล้ว เพียงแต่ได้สดับพระสัทธรรมเทศนากึ่งบาทพระคาถาก็จักได้บรรลุอรหัตผล สำเร็จเป็นพระอรหันตอริยบุคคลทันที แต่สุเมธมหาฤาษีเคยสร้างพระบารมีมาเพื่อปรมาภิเษก สัมโพธิญาณปรารถนาการได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามานานนักหนา จึงในขณะนี้ท่านมหาฤาษีก็คิดไปว่า
"จะ มีประโยชน์ใหญ่หลวงอย่างไร หากเราจะได้อมตธรรมแต่เพียงตน จะมีประโยชน์ใหญ่หลวงอย่างไร ด้วยการได้ข้ามโอฆสงสารแต่ผู้เดียว แต่เมื่อใด เราได้ถึงความเป็นพระสัพพัญญูผู้ข้ามโลกแล้ว เมื่อนั้นเราจักยังสัตว์ทั้งหลายทั้งมนุษยโลกและเทวโลกให้ข้ามได้ด้วย จักให้ชึ้นสถิตสำเภอธรรม ขนส่งให้ลุล่วงข้ามถึงฝั่งแห่งพระนฤพานให้จงได้"
จินตนาคิดไปเสียเช่นนี้ จึงมิปรารถนาเป็นสาวกสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในกาลครั้งนี้

คราวนั้น สมเด็จพระภควันต์ทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเสด็จมาถึง จึงเสด็จสถิตอยู่ ณ เบื้องเศียรเกล้าแห่งสุเมธฤาษีนั้น ครั้นทรงพิจารณาดูด้วยพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ก็พลันมีพระพุทธฎีกา ตรัสแก่ชาวประชาพุทธบริษัททั้งหลายในที่นั้นว่า
"ถ้า ท่านทั้งหลาย แคล้วคลาดจากอมตธรรมไม่ได้บรรลุมรรคผลธรรมวิเศษในศาสนาของเรานี้แล้ว และยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในภพสงสาร นานไปในอนาคตกาลเบื้องหน้า ก็จงปรารถนาให้ได้บรรลุในศาสนาของดาบสนี้เถิด ต่อไป ดาบสผู้นี้จักได้อุบัติตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในโลกทรงนามว่า สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดม ในระยะเวลาอีก ๔ อสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัป นักตั้งแต่กัปนี้เป็นต้นไป ในกรณีย่อมเปรียบเหมือนบุรุษที่ว่ายข้ามมหานทีถึงจะคลาดเคลื่อนจากท่าเหนือ นี้ข้ามขึ้นไม่ได้แล้วไซร้ ก็คงจะข้ามขึ้นจากท้องนทีได้ ณ ท่าน้ำต่ำลงไปอีกเป็นแน่แท้ ฉันใด เมื่อท่านทั้งหลายแม้คลาดจากศาสนาของเรานี้แล้ว หากมีวาสนาก็คงจะได้สำเร็จในศาสนาของพระพุทธังกูรเจ้าดาบสนี้ ในอนาคตกาลฉะนั้น"
เมื่อองค์พระภควันต์ที ปังกรพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ฉะนี้ ก็ทรงสงเคราะห์ยกทักขิณบาทเบื้องขวาขึ้นจรดกายสุเมธดาบสนั้นก่อน แล้วก็เสด็จบทจรพาพระขีณาสวสงฆ์เหยียบกายสะพานนั้นไป ฝ่ายเทพนิกร นาค ครุฑ คนธรรพ์เมื่อได้สดับพระพุทธฎีกาดังนั้น ต่างก็น้อมหัตถ์นมัสการพระพุทธังกูรสุเมธดาบสเจ้า แล้วก็เลยหลีกจรดลโดยเสด็จพระพุทธดำเนินต่อไป ครั้นล่วงทัศนวิสัยสมเด็จพระพุทธองค์สงฆ์บริษัทแล้ว สุเมธดาบสมหาบุรุษก็อุฏฐาการลุกขึ้นจากนั้น หากแต่ยังมีมนัสเต็มไปด้วยความสุขสันต์ปรีดาปราโมทย์ จึงมิได้เคลื่อนกายไปไหน กลับทำบัลลังก์นั่งสมาธิคำนึงด้วยปิติว่า
"เรา มีฌานชำนาญเป็นอันดี หมู่ฤาษีทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุจะได้มีอิทธิวชิรธรรม สามารถเสมอด้วยเรานั้นหามิได้ เพราะเราได้อาศัยสมบัติธรรมมากอยู่ในสันดาน จึงได้เสวยความสุขสิ้นกายวิการเห็นปานนี้"

กาล เมื่อสุเมธฤาษีนั่งบัลลังก์สมาธิอยู่นั้น บรรดาเทพเจ้าทุกราศีสถานในโลกจักรวาล ต่างก็มาประสานศัพท์นฤนาทก้องแซ่ซ้องสาธุการถวายพรว่า
"ท่าน จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเที่ยงแท้ มิได้แปรปรวนวิปริต ขอองค์ท่านจงสถิตถือมั่นผูกพันความพยายามไว้อย่าทำให้ความเพียรมั่นนั้นกลับ ถอยน้อยลงไป จงทำวิริยะบารมีให้ยิ่งใหญ่ เพื่อได้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณต่อไปเถิด"
สุเมธ ดาบสบรมโพธิสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อได้สดับพระพุทธพยากรณ์ทำนายและเทพเจ้าทั้งหลายถวายพรดังนั้น ก็ยิ่งมีกมลมั่นคำนึงพินิจฉันในพระพุทธพยากรณ์นี้ว่า
"อัน ธรรมดาพระพุทธพากยกถาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนี้ย่อมเป็น สุภาษิต จะได้วิปริตผิดพจนะกระแสแปรไปเป็นสองหรือเปล่าสูญเสียมิเป็นจริงนั้น ย่อมเป็นไปมิได้ พระองค์ดำรัสอรรถคดีสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมีเป็นแน่แท้สมกระแสพระพุทธบรรหารพระโพธิญาณของเราเห็นจะไม่สูญคงจะสำเร็จสมประสงค์เป็นมั่นคง เราคงได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเที่ยงแท้แน่นอน"
ครั้น คิดพินิจฉัยดังนี้แล้ว สุเมธมหาฤาษีจึงพิจารณาพระทศบารมีธรรมทั้งสิบสืบไป ด้วยอำนาจอภิญญาสสมาบัติอันตนชำนาญด้วยดีเป็นวสีภาพ จึงได้ทราบว่าโพธิปริปาจนธรรมสำหรับบ่มพุทธภูมินั้น ตนได้สั่งสมมามากมายชั่วระยะเวลานานนักหนาแล้ว ก็แลด้วยเดชะมหานุภาพที่พระดาบสนั่งพิจารณาบารมี ที่เคยสร้างไว้มากมายนับไม่ถ้วนอยู่ในขณะนั้น พอจบลงก็พลันบันดาลเกิดโกลาหล ทั่วพิภพจบสกลพสุธาดลพื้นปฐพี ก็มีอันก้องกึกพิลึกสนั่นหวั่นไหว ประหนึ่งว่าจะแหลกทลายลงก็ปานนั้น

ครานั้น มหาชนต่างก็ล้มสยบหวาดเสียวอยู่มิได้ล่วงรู้ดีประการใด พากันตกใจกลัวแต่เหตุการณ์ข้าที่ร้ายนั่นแหละเป็นกำลัง จึงรีบพากันเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระทีปังกรสัมพุทธเจ้าแล้วกราบทูลถามว่า

"ข้า แต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ! มหาโกลาหลนี้ จักเป็นด้วยมหาศักดานุภาพของทวยเทพอินทร์ พรหม ยมยักษ์ ฤาษีสิทธิศักดิ์ อสูร มานพ นาค ครุฑ ตนใด ข้าพระบาททั้งหลายจักได้ทราบนั้นหามิได้ จักเป็นมหาวินาสภัยมาบีฑาโลกธาตุ หรือจักเป็นด้วยอำนาจอุปัทวะการบาปกรรมสิ่งใดประดามี หือว่าจะมีสวัสดีมงคลเป็นประการใด ขอพระองค์จงทรงแสดงเหตุให้ทราบเกล้วแก่เหล่าข้าพระบาททั้งปวงด้วยเถิด พระเจ้าข้า"


ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
สมเด็จพระทีปังกรสัมพุทธเจ้า จึงทรงมีพระพุทธฎีกาสำแดงเหตุมหาโกลาหลแก่มหาชนเหล่านั้นว่า

"ท่าน ทั้งหลาย อย่ามีความสะดุ้งหวาดเสียวต่อภัยสิ่งใดเลย เหตุที่เมทนีคือแผ่นดินเกิดกึกก้องโกลาหลกำเริบเช่นนี้ ก็เพราะเราตถาคตได้พยากรณ์สุเมธฤาษีว่า เธอจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในอนาคตกาล บัดนี้ สุเมธดาบสนั้นพินิจฉัยคำนึงในบารมีธรรมของตน ด้วยเหตุนั้น มหาโกลาหลจึงบังเกิดขึ้น ด้วยเดชะอำนาจคุณบารมีของพระโพธิสัตว์นั้นเป็นเหตุ"

หมู่มหาชน ครั้นได้สดับพระพุทธฎีกาดังนั้น ต่างก็มีกมลโสมนัสปสันการในพระสุเมธโพธิสัตว์ จึงพากันรีบจัดประทีปธูปเทียนบุปผาสุมาลัย ออกไปประชุมกันกระทำสักการบูชา ต่างกันก็มีมุรอัตถวาทีถวายพรด้วยคำมงคลเป็นต้นว่า

"ขอให้ท่านดาบส ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้า สมจริงเถิด"

แม้ทวยเทพในสกลสถานทั่วหมื่นโลกธาตุ ก็พากันมาประชุมสักการะบูชา ด้วยทิพยสุคนธมาลัยงามเลิศต่างๆ โปรยปรายลงมาราวกะห่าฝน ที่พื้นปฐพีดลดารดาษทั่วทิศ บันลือศัพท์สาธุการเพรียกพร้องร้องถวายเทพพรมงคลว่า

"ข้า แต่พระสุเมธดาบสผู้เจริญ! วันนี้ท่านมาทำปณิธานอันยิ่งใหญ่ ได้แล้วซึ่งคำพยากรณ์จากสำนักแห่งสมเด็จพระทีปังกรทศพลญาณ ขอความปรารถนาของท่าน จงสำเร็จสมประสงค์ ขอท่านจงได้ตรัสเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ เหมือนเช่นพรรณพฤกษชาติ ย่อมทรงช่อต่อผลอุบัติโดยฤดูกาล อนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์พระองค์ที่ล่วงแล้วๆ ล้วนแต่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงที่สุด ก็ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณสถิตเหนือ อปราชิตบัลลังก์และได้ทรงแสดงพระธรรมจักรเทศนา อันเป็นพระพุทธประเพณีสืบมาฉันใด ขอท่านดาบสจงบำเพ็ญบารมีให้ถึงที่สุด แล้วสถิตเหนืออปราชิตบัลลังก์แสดงธรรมจักรเทศนา เหมือนกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นเถิด อนึ่ง นทีแม่น้ำน้อยใหญ่ใดๆ ย่อมมีกระแสชลอันไหลหลั่งมาสู่มหาสมุทรทั้งหมดนี้ฉันใด ขอท่านจงได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์จอมโลก เป็นที่ไหลหลั่งมาแห่งสรรพสัตว์ทั่วโลกธาตุประชุมเป็นสโมสรสันนิบาตกัน ณ สำนักแห่งพระองค์ ดังมหาสมุทรใหญ่เป็นที่รวมแห่งกระแสชล ฉะนั้น"

เมื่อสุเมธฤาษีผู้มีฤทธิ์ใหญ่ ได้เห็นหมู่เทพยดาและมนุษยนิกรมาสโมสรประชุมกันกระทำสักการะบูชา และอำนวยศุภพรด้วยประการเป็นอันมากเช่นนี้ ก็มีความปรีดาว่า กาลยังอีก ๔ อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัปเท่านั้น เราก็จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเที่ยงแท้ เมื่อแน่แก่ใจตนเช่นนั้น ก็มีความอิ่มใจยิ่งนัก จึงอธิษฐานมั่นด้วยวิริยะบารมีหน่วงเอาพระพุทธานุสสติเป็นอารมณ์ น้อมกายบ่ายพักตร์นมัสการเฉพาะทิศ ซึ่งเป็นที่สถิตอยู่แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคพุทธทีปังกรแล้ว ก็เหาะไปสู่ประเทศป่าใหญ่อันเป็นที่อยู่ของตนโดยนภากาศอยู่เจริญอภิญญา สมาบัติมิให้เสื่อม สิ้นชนมายุแล้วก็ไปอุบัติเกิดในพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้.

สมเด็จพระโกณฑัญญะอุบัติ

เมื่อ สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไปแล้ว ศาสนาของพระองค์ก็ยังเจริญถาวรอยู่ในโลกนี้สืบต่อมาอีกหนึ่งแสนปี เมื่อครบกำหนดหนึ่งแสนปีแล้ว ศาสนาของพระองค์ก็สิ้นอายุลง เพราะว่า พระอริยสงฆ์สาวกผู้ได้ดื่มอมตธรรมวิเศษสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ต่างก็ดับขันธ์นิพพานไปหมดสิ้น ทั้งเหล่าพุทธศาสนิกชนคนนับถือพระพุทธศาสนาต่างก็ทำกาลกิริยาตายไปๆ ศาสนธรรมก็เสื่อมถอยน้อยลงจนหาผู้ทรงจำคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดามิได้ ด้วยอำนาจแห่งโลภะ โทสะ โมหะ เข้าครอบงำอยู่ในดวงจิตของสัตว์ทั้งหลายนักหนา ปวงประชาจึงไม่สนใจใยดีในพระสัทธธรรม มิหนำซ้ำ พากันประพฤติย่ำยี บรรพชิตนักบวชก็เป็นอลัชชีหลงใหลในอามิสสักการะ ไม่นำพาที่จะทรงไว้ซึ่งศาสนาธรรมคำสอนของพระองค์ด้วยการประพฤติปฏิบัติชอบใน พระธรรมวินัย จะป่วยการกล่าวไปใย ถึงฝ่ายคฤหัสถ์ชาวบ้านที่ยังครองเรือน เมื่อเจ้ากูทั้งหลายไม่สนใจทรงจำคำสอนในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จักทรงศาสนาไว้ได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ ศาสนาขององค์พระชินสีห์ทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสื่อมสูญลงสิ้น จะได้ยินแม้แต่เพียงบทว่า นโม ตสฺส ดังนี้ จากปากของผู้ใดผู้หนึ่งย่อมไม่มี จึงนับได้ว่า บัดนี้ศาสนาของพระองค์ได้สิ้นสุดลงแล้ว

กาล เวลาค่อยล่วงลงไปเรื่อยๆ นานนักหนา เป็นเวลาถึงอสงไขยหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าเป็นสุญกัป เพราะไม่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และสมเด็จพระเจ้าบรมจักรพรรดิเสด็จมาอุบัติในโลกเรานี้เลย ครั้นต่อมาจึงมีสารกัปบังเกิดขึ้น คำว่า สารกัป นี้ ท่านทั้งหลายยังพอจำได้หรือไม่ว่า หมายความว่าอย่างไร? ใช่แน่แล้ว กาลเวลาที่เรียกว่าสารกัปนี้ หมายถึงว่าเป็นกัปที่มีสมเด็จพระพุทธเจ้ามาตรัสในโลกหนึ่งพระองค์ ก็ในสารกัปที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ ก็มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกหนึ่งพระองค์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฏโกณฑัญญะ สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนายก ทรงพระเดชพระยศหาที่สุดมิได้ ประกาศศาสนธรรมให้เหล่าสัตว์ผู้เลื่อมใสได้ดื่มอมติธรรม นำตนให้พ้นจากภัยในวัฏสงสารเป็นอันมาก

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของพวกเราได้อุบัติเกิดเป็นสมเด็จพระเจ้าจักพรรดิราช ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าวิชิตาวี บรมจักรพรรดิ พระองค์ ทรงตั้งอยู่ในจักรพรรดิธรรม มีน้ำพระทัยเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาการุญภาพ ในสรรพสัตว์ทุกถ้วนหน้าทั้งมนุษย์และนก โดยมิได้มีอาชญาและศาสตราเครื่องประหารสัตว์ ทรงบำรุงประชาชนและบำเพ็ญราชกิจในราชสีมามณฑลโดยธรรมสม่ำเสมอเป็นนิตย์

ครั้ง หนึ่ง สมเด็จพระโกณฑัญญะศาสดาจารย์เจ้าทรงมีพระอริยสงฆ์สาวกแวดล้อมเป็นบริวาร เสด็จจาริกไปโดยลำดับจนถึงพระนครของพระเจ้าวิชิตาวีราชบรมจักรพรรดิ พระองค์จึงเสด็จออกไปทรงกระทำการต้อนรับด้วยความเคารพเลื่อมใสแล้ว ได้ทรงบำเพ็ญมหาทานแก่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีองค์สมเด็จพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นเวลานานตลอดไตรมาสมิได้ขาดเลย สมเด็จพระโกณฑัญญะสัพพัญญูเจ้าได้ทรงกระทำพุทธพยากรณ์ไว้ในคราวนั้นว่า
"พระ บรมขัตติยาธิบดีวิชิตาวีจักรพรรดิพระองค์นี้ คือหน่อพระชินสีห์พระโพธิสัตว์ สืบไปเมื่อหน้าในอนาคตกาล พระองค์จะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าเป็นแม่นมั่น"
สมเด็จ พระโกณฑัญญะสัพพัญญูเจ้า ดำรัสพยากรณ์ทำนายพระบรมโพธิสัตว์โดยนัยนี้แล้ว ก็ทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาสมเด็จพระบรมจักพรรดิราชทรงปสาทะเลื่อมใส จึงทรงสละมไหศูรย์สมบติให้แก่ข้าราชการบริพารผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้วก็ทรงบรรพชา ในสำนักพระบรมศาสดาเพื่อบำเพ็ญเนกขัมมบารมีในพระบวรพุทธศาสนา ทรงศึกษาเล่าเรียนในคันถธุระ พระปริยัติธรรมไตรปิฎก และทรงบำเพ็ญสมถกรรมฐาน ในที่สุดก็ได้สำเร็จฌานอภิญญามิได้เสื่อมถอย ครั้นกาลเวลาเคลื่อนคล้อยล่วงไป ถึงคราวที่พระภิกษุวิชิตาวีบรมโพธิสัตว์ ผู้มีพุทธบารมีถึงแก่ชีพิตักษัยแล้ว ก็ไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมในพรหมโลกเสวยพรหมสมบัติเป็นสุขสืบไป

๓. สมเด็จพระสุมังคละอุบัติ


เมื่อ ศาสนาของสมเด็จพระสัพพัญญูโกณฑัญญะพุทธเจ้าเสื่อมสูญไปหมดแล้ว กาลเวลาก็ล่วงมาจนสิ้นสารกัปนั้น และเวลาต่อมาจากนั้นมา โลกก็ว่างจากพระพุทธศาสนา เพราะไม่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาประกาศอมตธรรมนำสัตว์ออกจากโอฆสงสารช้านาน ต่อกาลครั้งหนึ่ง จึงมีสารมัณฑกัปบังเกิดขึ้นอีก ก็ในสารมัณฑกัปนี้ ปรากฎมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ๔ พระองค์ คือ
๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า
๓. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
๔. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎโสภีตะสัมมาสัมพุทธเจ้า

ใน สมัยที่สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์แรกในสารมัณฑกัปนี้คือ ขณะที่สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังทรงประกาศพระศาสนา ยังมหาชนให้ดื่มอมตธรรมคุณพิเศษอยู่นั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของพวกเราก็ได้มาอุบัติเกิดถือกำเนิดในตระกูลพรหมณ์มหาศาล มีนามอันเป็นมงคลว่า สุรุจิพราหมณ์

อยู่ มาวันหนึ่ง สุริจิพราหมณ์ได้ออกไปถวายนมัสการและสดับธรรมีกถา ณ สำนักแห่งองค์สมเด็จพระสุมังคละสัมพุทธเจ้าบรมโลกนายกแล้ว จึงกราบทูลอาราธนาว่า
"ข้อแต่ พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ วันพรุ่งนี้ ข้าพระบาทขออาราธนาพระพุทธองค์ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงไปรับอาหารบิณฑบาตของพระบาท พระเจ้าข้า"
สมเด็จ พระสุมังคละศาสดาทรงรับอาราธนาแล้ว พราหมณ์ก็ถวายบังคมลามาสู่เรือนและรำพึงว่าพัสดุสิ่งของทั้งหลายที่จะตกแต่ง เป็นยาคูภัตตาหาร กับทั้งผ้าไตรจีวรที่จะถวายแก่พระภิกษุสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค ที่อาราธนาได้เป็นจำนวนมาก ก็พอจะมีถวายทั่วทุกองค์ได้ ก็แต่ว่าสถานที่ๆ จะแต่งตั้งอาสนะที่นั่งของภิกษุทั้งหลายให้เพียงพอนี่แล รู้สึกว่าจะอัตคัตคับแคบขัดข้องนัก จักทำฉันใดดี? สุรุจิพราหมณ์เธอครุ่นคิดวิตกอยู่อย่างนี้ ก็เพราะว่าพระภิกษุสงฆ์สาวกของพระตถาคตเจ้าในกาลครั้งนั้นมีมากมายนัก นัยว่ามีตั้งแสนกว่ารูปขึ้นไป แต่ด้วยใจเลื่อมใสโอฬารกว้างขวาง เธอจึงนิมนต์อาราธนามาฉันที่เรือนของตนหมดทุกรูปไม่ทันคิด มาคิดได้เอาก็เมื่อกลับถึงบ้านแล้วนั่นเอง

ด้วย เดชะอำนาจอภินิหารทานบารมีของพระโพธิสัตว์เจ้าก็ให้บันดาลร้อนถึงบัณฑุกัมพล สิลาอาสน์สมเด็จพระอินทราธิราชเจ้าจอมไตรตรึงษ์สวรรค์ ท้าวเธอจึงพลันตรวจดูก็ทรงรู้เหตุว่า
"พระ บรมโพธิสัตว์สุรุจิพราหมณ์ เธออาราธนาพระภิกษูสงฆ์กับพระสัพพัญญูเจ้าแล้ว บัดนี้ วิตกด้วยว่าจะตกแต่งปูลาดอาสนะให้พอเพียงแก่พระสงฆ์อันมากมายนักหนา กาลนี้ควรที่เราจะต้องลงไปช่วยสงเคราะห์ในบุญกรรมนั้น"
ทรง ดำริดังนี้แล้ว สมเด็จพระอมรินราธิราชจอมทวยเทพเจ้าเหล่าชาวสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ จึงจำแลงแปลงเพศเป็นนายช่างใหญ่ มีมือถือขวานมายืนปรากฎอยู่ต่อหน้าพราหมณ์โพธิสัตว์ แล้วจึงทรงเอื้อนอรรถตรัสถามว่า
"ท่านผู้เจริญ ท่านจะต้องการจ้างทำงานสิ่งใดบ้างหรือไม่?"
"ท่านรับจ้างทำงานสิ่งใดเป็นบ้างเล่า?" สุรุจิพราหมณ์ถามขึ้นทั้งๆ กำลังวิตกอยู่'

"ขึ้น ชื่อว่าศิลปศาสตร์ในการช่าง ส่งไรที่ข้าพเจ้าจะมิได้รู้ มิได้เชี่ยวชาญนั้นมิได้มี คือการสร้างโรงร้าน หรือเรือนอยู่ หรือมณฑปใหญ่ ใครจะจ้างทำสิ่งใดๆ ข้าพเจ้าก็ย่อมทำได้อย่างสวยงามสิ้นทุกประการ" อันทวัฑฒกีคือนายช่างพระอินทร์บอกความสามารถของตน
"ถ้า เช่นนั้นก็ดีแล้ว เรามีการที่จะจ้างท่านให้ทำสักอย่างหนึ่ง แต่ก็สงสัยว่าท่านจะทำไม่ได้เสร็จตามความประสงค์ของข้าพเจ้า" พราหมณ์กล่าวขึ้นตามความรู้สึกอันจริงใจของตนในขณะนั้น
" ข้าแต่ท่านมหาพรามหณ์ การสิ่งใดของท่านมี ก็จงบอกแก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าคิดว่าจักทำให้สำเร็จตามความต้องการของท่านได้ "นายช่างพระอินทร์รุกเร้าถาม


สุรุจิ พราหมณ์จึงว่า "ดูกรนายช่าง บัดนี้เราได้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ประมาณแสนกว่ารูปเอาไว้ให้มารับบิณฑบาตฉันในวันพรุ่งนี้ ตอนอรุณรุ่งเช้า เราคิดว่าจะจ้างให้ท่านสร้างมหามณฑปใหญ่ ให้ปูลาดเป็นอาสนะถวายพระสงฆ์มากมายเห็นปานนั้น ท่านยังจะสามารถรับทำได้หรือไม่?"


"ข้าพเจ้า รับจะสร้างให้เสร็จตามความต้องการของท่านได้แต่ว่าท่านสามารถจะให้ค่าจ้าง แก่ข้าพเจ้าได้หรือ?" นายช่างพระอินทร์กลับถามถึงเรื่องค่าจ้างแรงงาน


"เอา เถิด...เมื่อท่านทำได้ตามความต้องการของข้าพเจ้าแล้ว ท่านประสงค์ค่าจ้างเท่าใด ข้าพเจ้าจะไม่ขัดข้องเลย แม้แต่ชีวิตของข้าพเจ้าก็ยินดีสละให้ได้ อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติที่ข้าพเจ้ามีอยู่เลย ขอให้ข้าพเจ้ามีสถานที่ๆ จะถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระภิกษุสงฆ์ตามความตั้งใจของข้าพเจ้าก็แล้วกัน" พราหมณ์กล่าวตอบ


อินทวัฑฒกีก็กล่าวว่า "ดีแล้ว" ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะรับทำเอง ขอท่านจงบอกสถานที่ๆ จะก่อสร้างมณฑปนั้นเถิด" เมื่อสุรุจิพราหมณ์ชี้มือไปยังบริเวณเนื้อที่อันกว้างใหญ่ของตนแห่งหนึ่ง จึงไปยืนแลดูที่บริเวณนั้นด้วยกำลังเทพศักดามหานุภาพ ก็บันดาลภูมิสถานบริเวณกว้างใหญ่นั้น ให้มีอันเตียนเลี่ยนตลอดราบรื่นมีพื้นเสมอเป็นอันดี สมเด็จท้าวสักรินทรโกสีย์จึงดำริว่า
"ในภูมิสถานมีประมาณเท่านี้ มหามณฑปแล้วไปด้วยแก้วเจ็ดประการ จงบังเกิดมี ณ กาลบัดนี้"
ครา ที่นั้น ก็บังเกิดมหัศจรรย์ด้วยเทพนฤมิต มหามณฑปวิภูสิตสำเร็จแล้วด้วยแก้วหลังใหญ่ ก็ทำลายปฐพีผุดขึ้นมา เสาและขื่อแห่งมหามณฑปนั้น ประดับสลับต้นกันแล้วไปด้วยแก้วและเงินทอง ตามเชิงข่ายรายรอบเขตมณฑปนั้น มีระบายตาข่ายกระดึงแก้วและทองห้อยอยู่ระยับสลับกันเป็นอันดี เวลามีลมอ่อนรำเพยพัด ก็อุบัติเสียงเสนาะศัพท์สำเนียงกระดึงดังวังเวงฟังเสียงดังเพลงทิพย์ อนึ่ง ในที่ว่างบางแห่งย่อมมีทิพย์สุคนธบุปผชาติหอมฟุ้งขจรตลบอบอวลไปทั่วมหามณฑป สถาน แล้วสมเด็จท้าวมัฆวานเทวราชจึงอธิษฐานจิตเนรมิตว่า
"อาสนะอันสมควรพร้อมทั้งตั่งรองเท้าน้ำใช้น้ำฉัน จงพลันบังเกิดขึ้นภายในมณฑปนี้"

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
ทรง อธิษฐานแล้ว ก็ทอดพระเนตรไปในมหามณฑปขณะนั้น อาสนะสงฆ์ครบจำนวนก็บังเกิดขึ้นพลันพร้อมไพบูลย์และมีตุ่มใหญ่ๆ เต้มไปด้วยน้ำใสตั้งไว้ตามมุมมหามณฑปนั้น ครั้นสำเร็จสิ่งประสงค์แล้ว ก็กลับมาบอกความแก่สุรุจิพราหมณ์ผู้เป็นนายจ้าง ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งวิตกอยู่ในเรือนด้วยคิดว่า บุรุษนายช่างนั้นคงทำไม่สำเร็จเสียมากกว่า เพราะตามธรรมดาต้องใช้เวลาสร้างนานเป็นเดือนเป็นปี ครั้นท้าวโกสีย์แปลงมาบอกว่า
"ข้า แต่ท่าน บัดนี้ มหามณฑปนั้น ข้าพเจ้าทำสำเร็จแล้ว ท่านจงไปดูก่อน เสร็จแล้วอย่าลืมย้อนกลับมาให้ค้าจ้างค่าออกแก่ข้าพเจ้าเสียก็แล้วกัน"

พราหมณ์ ผู้โพธิสัตว์เจ้าได้สดับดังนั้น ก็ดีใจ รีผลุนผลันลุกขึ้นออกไปดู ครั้นเห็นประจักษ์แจ้งแก่สายตา ก็มีความโสมนัสเป็นล้นพ้น มีกมลเต็มไปด้วยปิติ มิได้ทันที่จะคิดถึงสิ่งใด รีบกลับเข้าไปในเรือนเพื่อจักจ่ายทรัพย์อันเป็นค่าจ้างแก่นายช่างผู้วิเศษ ก็ให้เกิดเหตุอัศจรรย์ใจเป็นล้นพ้น เพราะว่าคนผู้เป็นนายช่างซึ่งทวงค่าจ้างอยู่เมื่อครู่นี้ ให้มีอันเป็นอันตรธานหายไปเสียแล้ว จึงได้สติวิจารณ์ดูด้วยปัญญา ก็ตระหนักแน่แก่ใจว่า
"มหา มณฑปประดับงามตระการเป็นปานนี้ มนุษย์ที่ไหนจักทำได้ นี่ชะรอยท้าวสหัสนัยน์จอมไตรตรึงษ์ทรงรู้ถึงความวิตกหนักใจของเรา จึงทรงพระอุตสาหะเสด็จมากระทำความอนุเคราะห์แก่อาตมาเป็นแน่แท้"

ครั้นตระหนักแน่ในใจฉะนี้ ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาเป็นทวีตรีคูณในบุญวิบากเป็นนักหนา จึงจินตนาการสืบไปว่า
"ด้วย ความงามของมหามณฑปมีความประเสริฐถึงเพียงนี้ อาตมาจะถวายทานแก่พระสงฆ์มีองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเป็นประธาน แต่เพียงเวลากาลวันเดียวหาควรไม่ จำเราจักอาราธนาพระสงฆ์ถวายทานสืบไปอีก ให้ได้สักเจ็ดวันเถิด นั่นแหละจึงจะสมควร"


ดำริ ดังนี้แล้ว สุรุจิพราหมณ์ผู้มีทรัพย์มหาศาลก็สั่งให้จัดแจงพัสดุสิ่งของสำหรับถวายทาน เพิ่มขึ้นอีกเป็นอันมาก ได้บำเพ็ญมหาทานบริจาคแด่พระสงฆ์มากมายสุดประมาณทุกๆ วันถ้วนถึงเจ็ดวัน ครั้นถึงวันอวสานที่สุดจะเลิกแล้วนั้น สุรุจิพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ได้จัดบำเพ็ญมหาทานเป็นพิเศษ คือครั้นพระภิกษูสงฆ์ทั้งปวงฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยก็ให้ชำระบาตรเช็ดถู ให้สะอาดดีแล้ว ก็ให้ใส่ให้เต็มด้วยน้ำมันเนย น้ำผึ้งน้ำอ้อยทั้งแสนกว่าบาตรเป็นส่วนเภสัชทานแล้ว ก็จัดการถวายไตรจีวรครบผ้าบริวารอันกอปรด้วยมูลค่าเป็นอันมาก แต่ผ้าไตรจีวรที่มิสู้งามที่ถึงแก่พระภิกษุนวกะผู้บวชใหม่ สถิต ณ อาสน์สุดท้าย ก็ยังมีค่านับได้หลายตำลึง จะป่วยการกล่าวไปใย ถึงไตรจีวรที่ได้แก่พระเถระผู้ใหญ่ในสังฆมณฑลนั่นเล่า


คราวนั้น สมเด็จพระสุมังคละบรมโลกุตมาจารย์ เมื่อจะทรงประทานภัตตานุโมทนากถา จึงทรงพิจารณาว่า
"มหาพราหมณ์ผู้นี้ มีอุตสาหะมาบำเพ็ญอามิสมหาทานใหญ่ยิ่งนักฉะนี้ จะมีอานิสงส์เป็นประการใดหนอ"

ก็ทรงทราบด้วยพระญาณทุกประการแล้ว จึงโปรดประทานพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
"ดูกร มหาพราหมณ์ กาลล่วงไปในอนาคตกำหนดไว้ ๒ อสงไขยเศษอีกแสนกัป ในเบื้องหน้านั้น ตัวท่านจะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปอันจักมี ณ ที่สุด ๒ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปนั้น"
ครั้น ได้สดับพระพุทธพยากรณ์จากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระชินสีห์เป็นลัทธยาเทศเช่นนี้ สุรุจิมหาพราหมณ์โพธิสัตว์ก็ปรีดาปราโมย์ยิ่งนัก ดำริว่า
"เรา จักได้สำเร็จโพธิญาณเป็นเที่ยงแท้แล้ว ก็แต่ว่า บัดนี้ จักมีประโยชน์อันใด ด้วยฆราวาสวิสัยครองเรือนอยู่ จำเราจักสู้อุตสาหะบำเพ็ญเนกขัมมบารมีออกบวชดีกว่า"

เบื้อง ว่า พระโพธิสัตว์นั้น ครั้นคิดบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเช่นนี้ จึงสละสมบัติอันไพบูลย์มิได้อาลัย ออกบรรพชาในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าบรมศาสดา อุตสาห์บำเพ็ญคันถะธุระและสมถกรรมฐาน ก็สำเร็จฌานอภิญญาสมาบัติมิได้เสื่อม สิ้นชนมายุแล้วก็ไปอุบัติเกิดเป็นองค์พระพรหมวิเศษ เสวยพรหมสุข ณ ชั้นพรหมโลก

๔. สมเด็จพระสุมนะอุบัติ

เมื่อ ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมังคละบรมโลกนายกเสื่อมสิ้นล่วงไปแล้ว โลกก็ว่างจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานสิ้นกาลได้พุทธันดรหนึ่ง จึงปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเสด็จอุบัติตรัสในโลกนี้อีกพระองค์ หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนายก ทรงประกาศศาสนธรรมนำสัตว์ทั้งหลายให้ออกจากทุกข์ในวัฏสงสารได้เป็นจำนวนมาก


กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดในภุชงคตระกูล เป็นพญานาคราชนามว่า พญาอดุลยวาสุกรี มีมหิทธศักดานุภาพอันยิ่งใหญ่ ได้เป็นอิสสราธิปไตยในนาคพิภพ ครั้นได้แจ้งกิตติศัพท์บันลือว่า
"บัดนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสุมนะบรมศาสดาจารย์ ทรงอุบัติมาตรัสในโลกแล้ว"
เพียง แต่ได้สดับอรรถประโยคนี้เข้าเท่านั้น พญาอดุลยวาสุกรีก็ให้มีอันเป็นเกิดขนพองสยองเกล้าด้วยความปรีดาปราโมทย์ เป็นนักหนา รีบพาประยูรวงศ์สัมพันธ์ ญาติคณานาคบริษัทออกจากนาคพิภพมาถวายนมัสการกระทำสักการะบูชาสมเด็จพระสุมนะ พุทธองค์กับพระอริยสงฆ์บริวาร ทำการประโคมด้วยดุริยางค์ดนตรีสำเนียงเสนาะเลิศ แล้วได้อุทิศถวายทิพยภูษามีสีงามประเสริฐแด่พระพุทธองค์และพระสงฆ์บริวารมี หฤทัยเบิกบานชมชื่นในพระพุทธคุณ ถึงพระไตรสรณคมน์เป็นนาถะที่พึ่ง


จึงในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระสุมนะบรมศาสดาจารย์ได้ทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
"พญา อดุลยนาคราชนี้ นานไปในอนาคตกำหนดได้ ๒ อสงไขยกับเศษอีกแสนกัปแล้วจักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปอันจักมี ณ ที่สุดแห่ง ๒ อสงไขยกับแสนมหากัปนั้น"

ครั้น ได้สดับพระพุทธพยากรณ์ฉะนี้ พญาอดุลยวาสุกรีก็มีจิตยินดีปราโมทย์ยิ่งนัก แล้วถวายนมัสการลงพาบริวารของตนกลับไปยังนาคพิภพ เสวยภิรมย์ชมสมบัติเป็นสุขอยู่ตลอดกาลนาน จวบจนถึงกาลอายุขัย


๕. สมเด็จพระเรวตะอุบัติ


เมื่อ ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมดสิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลาสิ้นกาลนับได้พุทธันดรหนึ่ง แล้วจึงมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมโลกนายกทรงพระยศพระคุณหาที่สุดมิได้นำสัตว์ทั้งหลายให้ลุถึงความเกษมสวัสดีเป็นอันมาก


กาลครั้งหนึ่ง พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่า อติเทวมาณพ ศึกษาเจนจบในไตรเวทางคศาสตร์ วันหนึ่ง ได้มีโอกาสสดับมธุรสธรรมิกถา ที่แสดงคุณแห่งปหานการละกิเลส จากพระโอษฐองค์สมเด็จพระโลกเชษฐเรวตะพุทธเจ้า แล้วมีจิตเลื่อมใสนักหนามีศรัทธาตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ ยกมือขึ้นเหนืออุตมางค์ พลางเปลื้องผ้าห่มสีสวยสดมีค่าหนึ่งพันตำลึง ออกทำสักการะบูชาพระสัทธรรมเทศนา


จึงในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระเรวตะบรมศาสดาจารย์ได้ทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
"อติ เทวมาณพผู้นี้ นานไปในอนาคตจักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมในกาลภัทรกัปอันจักมี ณ ที่สุดแห่ง ๒ อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัป"

ครั้น ได้สดับพระพุทธพยากรณ์ ฉะนี้ อติเทวมาณพผู้โพธิสัตว์ทรงพุทธบารมี ก็มีจิตยินดีปลาบปลื้มเป็นทียิ่ง อุตสาหะบำเพ็ญกุศลทรงพระบารมี ครั้นถึงแก่ชีพิตักษัยก็ได้ไปอุบัติเกิดในสุคติภูมิ


๖. สมเด็จพระโสภิตะอุบัติ

เมื่อศาสนาขององค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อสูญหมดสิ้น ไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานนับได้ประมาณพุทธันดรหนึ่ง แล้วจึงปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกพระองค์ หนึ่ง นับเป็นองค์สุดท้ายในสารมัณฑกัปนั้น ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ โสภิตะ สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นบรมโลกนายกทรงพระยศและพระคุณหาที่สุดมิได้ ทรงยังพุทธเวไนยทั้งหลายให้ได้ดื่มอมตรสบรรลุอริยธรรมข้ามพ้นจากหัวงมหรรณ พภพสงสารเป็นประมาณมิใช่น้อย ตามสมควรแก่อุปนิสัยแห่งตน

กาลครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล มีนามว่า อชิตมาณพ อยู่ ในเมืองรัมมวดีนคร วันหนึ่งได้มีโอกาสสดับมธุรธรรมิกถาจากพระโอษฐสมเด็จพระโลกเชษฐโสภิตะสัมมา สัมพุทธเจ้าแล้วมีจิตเลื่อมใสนักหนา มีศรัทธาตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์และศีล ต่อมาได้บำเพ็ญมหาทานการบริจาคอันยิ่งใหญ่แก่พระอริยสงฆ์ซึ่งมีองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน สละทรัพย์บริจาคทานมากมายในครั้งนี้อยู่นานถึงหนึ่งสัปดาห์

คราที่นั้น จึงองค์สมเด็จพระสรรเพชญ์โสภิตะบรมศาสดาจารย์ได้ทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
"อชิตพราหมณ์ ผู้นี้ นานไปในอนาคตจักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในกาลภัทรกัปป์อันจักมี ณ ที่สุด แห่ง ๒ อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัป"
ครั้นได้สดับพระพุทธ พยากรณ์ฉะนี้ อชิตพราหมณ์ผู้โพธิสัตว์ก็มีจิตยินดีปลาบปลื้มเป็นที่ยิ่ง อุตสาหะบำเพ็ญกุศลสร้างพระบารมีต่อไป ในไม่ช้า ก็ถึงแก่ชีพิตักษัย ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริฐ ณ เทวโลก แดนสุขาวดี

๗. สมเด็จพระอโนมทัสสีอุบัติ

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ คือพระสุมังคลพุทธเจ้า ๑ พระสุมนะพุทธเจ้า ๑ พระเรวตะ พุทธเจ้า ๑ และพระโสภิตะพุทธเจ้า ๑ ได้เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรียงกันตามลำดับและได้ทรงกระทำพุทธพยากรณ์ทำนาย พระบรมโพธิสัตว์ของเรามาทุกๆ พระองค์ดังกล่าวแล้วนั้น กาลต่อมา ครั้นสิ้นอายุศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์สุดท้าย คือ พระโสภิตะพุทธเจ้า โลกก็ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนาอยู่นาน จนสิ้นสารมัณฑกัปนั้น ครั้นขึ้นอสงไขยกัปใหม่ก็ยิ่งซ้ำร้าย เพราะอสงไขย หนึ่งต่อมานั้นเป็นสุญอสงไขยคือ ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสเลยสักพระองค์เดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้โลกเรามือบอดปลอดจากพระสัทธรรม ถูกอวิชชาเข้าครอบงำเพราะไม่มีผู้นำทางไปสู่ความสว่าง คือพระนฤพาน เมื่อโลกว่างเว้นห่างไกลจากพุทธกาลนานนักแล้ว คราที่นั้นจึงมี วรกัป หนึ่งบังเกิดขึ้น ก็คำว่าวรกัปนี้ ก็คงจะเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า เป็นชื่อของกัปที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสในโลก ๓ พระองค์ ใช่ไหมเล่า ก็วรกัปที่เรากำลังกล่าวถึงกันอยู่นี้ ก็มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ๓ พระองค์ คือ
๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า
๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปทุมะสัมพุทธเจ้า
๓. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎนารทะสัมพุทธเจ้า
ในกาลเมื่อสมเด็จ พระมิ่งมงกุฎอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเป็นองค์ปฐมใน วรกัปนั้น พระองค์ทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนา ยังศาสนธรรมได้แพร่หลาย นำความสว่างไสวให้เกิดขึ้นในดวงใจของเหล่าประชานิกร เพราะได้สดับคำสอนอันเป็นสัจธรรม นำตนให้พ้นภัย ได้บรรลุคุณวิเศษ ตามสมควรแก่อุปนิสัยวาสนาบารมีของตนๆ เป็นอันมากแล้ว

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราทั้งหลายได้สืบปฏิสนธิถือเอากำเนิดเกิดเป็น พญายักขเสนาบดี มี ฤทธาศักดานุภาพมาก ได้เป็นใหญ่กว่ายักษ์บริษัทนับได้แสนโกฏิปกครองบริษัทบริวารของตนให้ได้รับ ความสุขโดยถ้วนหน้า กาลวันหนึ่ง ได้สดับข่าวว่า
สมเด็จพระอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติตรัสในโลกแล้ว
พอ ได้สดับกิติตศัพท์บันลือเช่นนี้ ก็มีจิตยินดีเต็มตื้นไปด้วยปิติเป็นที่ยิ่ง จึงนิรมติมณฑปใหญ่อันวิจิตร งดงามล้วนไปด้วยแก้วเจ็ดประการ แล้วอาราธนาสมเด็จพระพุทธองค์พร้อมกับพระอริยสงฆ์บริวารเข้าไปในมณฑปนั้น พร้อมด้วยยัขบริวาร บำเพ็ญมหาทานเป็นอันมาก ตลอดเจ็ดวัน ด้วยมีมนัสมุ่งพระโพธิญาณ

กาลครั้งนั้น จึงองค์สมเด็จพระอโนมทัสสีบรมศาสดา เมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนาทาน จึงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
ท่าน พญายักขเสนาบดีนี้ นานไปในอนาคตกำหนดอีก ๑ อสงไขยแสนมหากัป จักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนโคดม ในกาลภัทรกัป อันจักมี ณ ที่สุดแห่ง ๑ อสงไขยแสนมหากัปนั้น
ครั้นได้สดับพระพุทธพยากรณ์ ฉะนี้ พญายักขเสนาบดีก็มีจิตยินดีปรีดาปราโมทย์เป็นยิ่งนัก ตั้งจิตมั่นในอันที่จะสร้างพระบารมี เพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณต่อไป

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
๘. สมเด็จพระปุทมะอุบัติ

กาลเมื่อศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมด สิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานาน นับได้พุทธันดรหนึ่ง แล้วจึงปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกพระองค์ หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ ปทุมะ สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมโลกนายก ทรงพระยศและท่านหาที่สุดมิได้ ทรงนำสัตว์ทั้งหลายให้บรรลุถึงความเกษมสวัสดีเป็นอันมากแล้ว

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าสืบปฏิสนธิถือกำเนิดในดิรัจฉานภูมิ ด้วยอำนาจวัฏสงสารความเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะชักพาให้องค์พระโพธิสัตว์เกิด เป็นพญาไกรสรสีหราช อยู่ในอรัญญประเทศ วันหนึ่งได้พบสมเด็จพระปทุมะสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมกับพระสงฆ์บริษัท กำลังทรงนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ณ รุกขมูลโคนต้นไม้ใหญ่

พญาไกรสรสีหราช ได้เห็นภาพ อันควรแก่การเลื่อมใสที่ใครๆ จะมีโอกาสเห้นได้โดยยากเช่นนั้นแล้ว ก็มีจิตชื่นบานคิดว่า
เราจักทำการพิทักษ์รักษาพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระอริยสงฆ์เหล่านี้ แม้จะสิ้นชีวีไปก็ตามที
แล้ว ก็กระทำประทักษิณบริรักษ์เดินเวียนไปมาเฝ้าดูอยู่ หวังใจให้พระบรมครูกับพระอริยสงฆ์ปลอดอันตราย จนสรีระกายอิดโรยอ่อนเพลียนักหนา เพราะมิได้ขวนขวายแสวงหาภักษาหารตลอดกาลหนึ่งสัปดาห์

ครั้นสมเด็จพระปทุมะสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเสด็จยับยั้งเสวยวิมุติสุขอยู่ในนิโรธสมาบัติครบ ๗ วันแล้ว จึงทรงออกจากสมาบัติ ได้ทรงเห็นพญาสัตว์ไกรสรสีหราชกระทำอธิการ คือผู้สละชีวิตเฝ้าบริรักษ์อยู่เช่นนั้น จึงทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
พญา ไกรสรสีหราชนี้ นานไปในอนาคตกำหนดพอสิ้นอสงไขยนี้กับอีกแสนมหากัป จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปอันจักมี ณ ที่สุดแห่งอสงไขยกับอีกแสนมหากัป
เมื่อ สมเด็จพระปทุมะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำพุทธพยากรณ์ดังนี้แล้ว ก็พาพระภิกษุสงฆ์ออกจากอรัญราวป่าไป เพื่อทรงทำพุทธกิจเกื้อกูลพุทธเวไนย ถึงอวสานกาลแล้ว ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป ฝ่ายพญาไกรสรสีหาชนั้น ครั้นสิ้นชีวิตกาลก็ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริฐเสวยทิพยสัมบัติเป็น สุขอยู่ ณ เทวโลก แดนสุขาวดี

๙. สมเด็จพระนารทะอุบัติ

กาลเมื่อศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎปทุมะพระพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมดสิ้นไป แล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลาช้านาน สิ้นกาลนับได้พุทธันดรหนึ่งแล้ว จึงปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าสมเด็จพระมิ่งมงกุฎนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมโลกนาย ทรงพระยศและท่านหาที่สุดมิได้ ทรงนำสัตว์ทั้งหลายให้ลุถึงความเกษมสวัสดีเป็นอันมากแล้ว

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ หวังความบริสุทธิ์แห่งขันธสันดานจึงได้ไปสร้างอาศรมอยู่ในป่าใหย่ ออกบวชเป็นฤาษี มีวิริยะบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ จนได้สำเร็จฌานสมาบัติและอภิญญาอันแกล้วกล้าชำนาญ วันหนึ่ง สมเด็จพระพุทธนารทะบรมครูแวดล้อมด้วยพระอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณวิเศษชั้นพระ อรหันต์และพระอนาคามีบุคคล กับอุบาสกอีกมากมายหลายท่าน ได้พากันเข้าไปในที่ใกล้อาศรมฤาษี คราที่นั้น องค์พระมหาฤาษีโพธิสัตว์ผู้ทรงอภิญญาได้ทอดทัศนาเห็น ก็ให้บังเกิดความเลื่อมใสจึงได้เนรมิตอาศรมมากมายให้มีจำนวนเพียงพอกับพระ บรมครูเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย ถวายให้นั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สมัยนั้น สมเด็จพระภควันต์นารทะศาสดาจารย์เจ้า จึงแสดงพระธรรมเทศนานิวาสนานุโมทนา และอานิสงส์แห่งการเจริญพระพุทธานุสติ ด้วยมธุรสวาทีของสมเด็จพระชินสีห์สัพพัญู ฤาษีโพธิสัตว์ได้สดับมีความปรีดาปราโมทย์เป็นที่สุด ในวันรุ่งขึ้น จึงเหาะไปยังอุตตรกุรุทวีปด้วยอำนาจฌานวิสัย เพื่อนำเอาภัตตาหารมาถวายพระพุทธองค์และพระอริยสงฆ์ พร้อมกับอุบาสกทั้งหมดอย่างพอเพียง กระทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานถึงหนึ่งสัปดาห์ ในวันสุดท้าย ได้ทำพุทธบูชาสักการะด้วยแก่นจันทร์แดงอันมีค่าสูง ด้วยความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

จึงในครั้งนั้น สมเด็จพระสรรเพชญนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพระพุทธฎีกา ดำรัสพยากรณ์ว่า
มหา ฤาษีผู้มีมหานุภาพนี้ นานไปในอนาคตกำหนดแต่นี้ไปในที่สุด ๑ อสงไขย แสนมหากัป จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม อย่างแม่นมั่น ในที่สุดแห่ง ๑ อสงไขยแสนมหากัปนั้น
ครั้น ได้สดับพระพุทธพยากรณ์จากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระชินสีห์เจ้าฉะนี้ ท่านมหาฤษีโพธิสัตว์ผู้ทรงอภิญญาก็มีจิตปลาบปลื้มปราโมทย์นักหนา อุตสาหะบำเพ็ญพระพุทธบารมีเมื่อถึงแก่ชีพิตักษัยแล้ว ก็ไปอุบัติบังเกิดเป็นพระพรหมวิเศษ ณ พรหมโลก

ท่าน ผู้มีปัญญาทั้งหลาย สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสมณโคดมบรมครูเจ้าของเราท่านทุกวันนี้ พระองค์ได้ทรงสร้างพระบารมีในตอนปลายเป็นนิยตโพธิสัตว์เที่ยงแท้ที่จะได้ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักของพระพุทธเจ้าเป็นลำดับมาทุกๆ พระองค์ นับตั้งแต่พระองค์ที่หนึ่ง คือสมเด็จพระมิ่งมงกุฎ ทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า จนถึงสมเด็จพระมิ่งมงกุฎนารทะสัมพุทธเจ้า ที่เรากำลังกล่าวถึงกันอยู่ในบัดนี้ นับไปได้กี่พระองค์แล้วเล่า?
"...อ๋อ ก็จะไปยากอะไร นับได้ทั้งหมดด้วยกัน รวม ๙ พระองค์ ใช่หรือไม่?"
"ถูกต้องแล้ว..."
"...อ้าว ก็ในเมื่อถูกต้องแล้ว ไฉนจึงมาเฉไฉให้เสียเวลาไปเปล่าๆ สะดดุหยุดเสียกลางคันเช่นนี้ มีเหตุผลอะไรรึ... หรือว่าพระองค์สร้างพระบารมีมาเพียงแค่นี้?"
"เปล่า! ที่หยุดลงนี่ ไม่ใช่คิดจะกล่าวออกไปนอกเรื่องหรือว่าพระองค์สร้างพีระบารมีเพียงแค่นี้ ไม่ใช่ทั้งสิ้น แต่ต้องการที่จะบอกให้ทราบว่า บัดนี้ กาลเวลาก็ได้ล่วงเลยมาแล้ว..."
"กาลเวลาอะไรกัน แล้วมันเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างไร?"
"อ้าว...ก็ กาลเวลาที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของทรงใช้ในการสร้างพระบารมีตอนปลายนี้นะซี นับตั้งแต่ได้พบพระพุทธทีปังกรองค์ที่ ๑ เป็นต้นมา จนถึงพระพุทธนารทะองค์ที่ ๙ นี้นับเป็นเวลาได้ ๔ อสงไขยแล้ว ทีนี้ สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเรา ก็ทรงเป็นพระพุทธเจ้าประเภทที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ ทรงเป็นพระพุทธเจ้าประเภท ปัญญาธิกะ ก็อันว่าพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะนี้ ต้องทรงสร้างพระพุทธบารมีตอนปลายเป็นเวลานานถึง ๔ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องหยุดเรื่องการพรรณนาเรื่องไว้เสียสักนิดก่อนในตอนนี้ แล้วบอกให้ทราบว่า ในระยะเวลายาวนานถึง ๔ อสงไขยนี้ พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราทรงได้มีโอกาสพบพระพุทธเจ้า เพียง ๙ พระองค์เท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือเศษอีกหนึ่งแสนมหากัปนั้น พระบรมโพธิสัตว์จะมีโอกาสพบพระพุทธเจ้าอีกกี่พระองค์ และทรงเสวยพระชาติเป็นอะไรบ้าง ก็จะได้พรรณาให้ฟังในกาลบัดนี้ ขอจงตั้งอกตั้งใจสดับด้วยดีต่อไปเถิด


๑๐. พระปทุมมุตระอุบัติ


บัด นี้ จะขอกล่าวกลับจับความ จำเดิมเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์คือ พระอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จมาอุบัติและทรงกระทำพุทธพยากรณ์ ทำนายพระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเรา โดยทรงพยากรณ์เรียงกันตามลำดับในวรกับดังกล่าวมาแล้ว กาลต่อมา เมื่อสิ้นศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกเรานี้ก็ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนาอยู่นานจนสิ้นวรกัปนั้น ครั้นสิ้นวรกัปนั้นแล้วขึ้นกัปใหม่ต่อมา ก็น่าอนาถ เพราะขาดผู้ทรงคุณพิเศษ ไม่มีสมเด็จพระพุทธเจ้ามาเสด็จอุบัติสักพระองค์เดียว เลยกลายเป็นสุญกัป คือกัปทีสูญเปล่าจากพระพุทธเจ้าไป ทำให้โลกว่างเว้นจากพุทธกาลมาช้านานนักหนา คราที่นั้น จึงมีสารกัปหนึ่ง บังเกิดขึ้นปรากฎมีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก นี้พระองค์หนึ่ง พระนามว่า สมเด็จมิ่งมงกุฎปทุมุตระสัมมาสัมพุทธเจ้า


คราว นั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นนายบ้านชื่อ ชฎิล ต่อมาได้ทรงเพศเป็นดาบส ปรากฎด้วยตบะเดชะมีฌานธรรมอันเชี่ยวชาญ วันหนึ่ง ได้มีโอกาสพบสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วมีน้ำใจประกอบไปด้วยความเลื่อมใสเป็นอันมาก จึงได้ตกแต่งจีวรทานถวายพระอริยสงฆ์ซึ่งมีองค์สมเด็จพระปทุมมุตระพุทธเจ้า เป็นประธาน


เมื่อองค์สมเด็จพระปทุมุตระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสวยภัตตาหารและทรงแสดงอนุโมทนากถาจบลงแล้ว จึงทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า

ชฎิล ดาบสผู้นี้ นานไปในอนาคต จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัป อันจักมีในที่สุดหนึ่งแสนมหากัป


ครั้น ได้สดับพระพุทธฎีกาทรงพยากรณ์ฉะนี้ ชฎิลดาบสก็ปลาบปลื้มยินดีเป็นล้นพ้น มีดวงกมลกระหยิ่มอยู่ ดูประหนึ่งว่าตนจักได้สำเร็จแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณในวันในพรุ่ง จึงมีวิริยะอุตสาหกรรมสร้างพระบารมีให้ยิ่งขึ้นไป ไม่ช้านาน ไปในเบื้องต้น


๑๑. สมเด็จพระสุเมธะอุบัติ


เมื่อ ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎปทุมุตระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญไปแล้ว โลกก็ว่างจากพระบวรพุทธศาสนาจนสิ้นสารกัปนั้น ครั้นขึ้นมหากัปใหม่ต่อมา ก็เป็นเวลาที่เรียกว่าเป็น สุญกัป คือเป็นกัปที่สูญเปล่าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัส เป็นสุญกัปอยู่อย่างนี้ สิ้นกาลช้านานจำนวน ๓๐,๐๐๐ มหากัปทีเดียว ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายคงจะเข้าใจกันดีแล้วว่า มหากัปหนึ่งนั้นเป็นเวลานานเท่าใด ทีนี้ ก็จงใช้วิจารณปัญญาพิจารณาดูเถิดว่า ในระยะนี้ไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสในโลกถึง ๓๐,๐๐๐ มหากัป อย่างนี้แล้ว โลกเราจะมืดบอดจากพระสัทธรรมเป็นเวลาช้านานเพียงไร


เมื่อ ๓๐,๐๐๐ สุญกัปล่วงไปโดยลำดับแล้ว คราที่นั้นจึงมีมัณฑกัปหนึ่งบังเกิดขึ้น มัณฑกัป นี้เป็นกัปที่มีสมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติตรัสในโลก ๒ พระองค์ คือ

๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระสุเมธพุทธเจ้า


๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระสุชาตะพุทธเจ้า



ก็ ในกาลเมื่อสมเด็จพระมิ่งมงกุฎ พระสุเมธะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นในโลก พระองค์ทรงบำเพ็ญพระพุทธจริยา ประกาศศาสนธรรมคำสอน ยังประชากรทั้งเทพยดาแลมนุษย์ให้ได้ดื่มอมตรส นำความสว่างไสวให้ปรากฎในดวงหทัยของชาวโลกเป็นอันมาก พระองค์ทรงเป็นพระบรมโลกุตตมาจารย์ของประชาสัตว์ ซึ่งไม่มีศาสดาองค์ใดจะเทียมเหมือน ดำรงพระยศและท่านหาที่สุดมิได้ เป็นที่สุดเคารพเลื่อมใสแห่งดวงใจของชาวโลกทั้งผอง

กาล ครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์ของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นมนุษย์หนุ่มมีนาม อุตตรมาณพ มีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลประกอบด้วยข้าทาสบริวารเป็นอันมาก วันหนึ่งได้มีโอกาสพบพระบรมศาสดา ได้สดับพระธรรมเทศนาแล้ว ก็มีกมลเปี่ยมล้นไปด้วยความเลื่อมใสจึงให้บริวารขุดขนทรัพย์สมบัติสำหรับ ตระกูลขึ้นจากภูมิภาคปฐพี มีประมาณแปดสิบโกฎิ ออกบำเพ็ญทานอันยิ่งใหญ่แด่พระอริยสงฆ์มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ครั้นได้สดับอนุโมนากถาในวาระสุดท้าย จึงละเพศฆราวาสวิสัย มิได้อาลัยในทรัพย์สมบัติ ออกบวชเป็นภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา


คราที่นั้น จึงองค์สมเด็จพระภควันต์สุเมธมุนีนาถ ได้ทรงมีพระพุทธฎีกาพยากรณ์ว่า

อุ ตตรภิกขุนี้ นานไปเบื้องหน้าในอนาคตจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนี โคดมในภัทรกัปอันจักมีในอนาคตกาล


ครั้น ได้สดับพระพุทธพยากรณ์ฉะนี้ หน่อพระชินสีห์อุตตรภิกขุผู้มีบารมี ก็เกิดปรีดาปราโมทย์ด้วยมีหฤทัยมุ่งมั่นพระโพธิญาณมาช้านานนักหนา จึงสู้อุตสาหะบำเพ็ญบารมีเป็นที่ยิ่งสิ่งประเสริฐอื่นใด ไม่ว่จะเป็นมนุษย์สมบัติ เทวสมบัติ หรือแม้แต่พรหมสมบัติอันวิเศษ ก็ไม่มีเจตจำนงที่จะต้องการ หวังแต่พระสัมโพธิญาณอยู่อย่างเดียวเป็นสำคัญ ครั้นดับขันธ์ถึงแก่ชีพิตักษัยในชาตินั้นแล้ว ก็มีสุคติภพเป็นที่ไปในเบื้องหน้า


๑๒. สมเด็จพระสุชาตะอุบัติ


เมื่อ ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุเมธะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมดสิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนา นับเป็นเวลาช้านานได้พุทธันดรหนึ่ง แล้วจึงมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นในโลกอีกพระองค์ หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ สุชาตะ สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ สามารถนำโลกทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ในวัฎสงสาร ประทานอมตธรรมให้แก่พุทธเวไนยเป็นอันมากแล้ว


กาล ครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็น สมเด็จพระบรมจักรพรรดิราชเจ้า ทรงมหิทธิอำนาจแผ่ไปในทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร วันหนึ่งได้ทรงสดับข่าวสารว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สุชาตะมหามุนีนาถทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ก็ทรงมีพระกมลผ่องแผ้วปรีดาปราโมทย์ เสด็จพาบริวารเข้ไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นได้ทรงสดับมธุรธรรมีกถาก็ยิ่งทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใส ทรงกระทำสักการะบูชาซึ่งพระรัตนตรัยด้วยมหาจักรพรรดิสมบัติอันไพบูลย์ด้วย สัตตพิธรัตนสารแก้วเจ็ดประการ แล้วทรงบำเพ็ญวรามิสมหาทานอันเลิศแด่พระอริยสงฆ์มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า เป็นประธาน ทรงสละฆราวาสวิสัยออกบรรพชาในสำนัก แห่งสมเด็จพระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เพื่อเพิ่มพูนพระเนกขัมมบารมี


ครั้ง นั้น ชาวชมพูทวีปทั้งหลาย ต่างก็นำเอาแก้วแหวนเงินทองซึ่งเคยเป็นเครื่องราชบรรณาการสมเด็จพระเจ้า จักรพรรดิราชนั้น มารวมกันเป็นทุนสร้างพระอารามใหญ่แห่งหนึ่งถวายเป็นของสงฆ์ ครั้นเสด็จแล้วก็ทำการฉลองพากันถวายทานตรั้งมโหฬารแด่พระสงฆ์ ซึ่งมีองค์สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์เป็นประธาน กาลครั้งนั้น องค์สมเด็จพระโลกเชษฐสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงอนุโมทนา จึงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
พระ บรมจักรพรรดิภิกษุนี้ นานไปในกาลอนาคตภายหน้าจักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปที่จักมีปรากฎในอนาคตกาล

ครั้น ได้สดับพระพุทธฎีกาพยากรณ์ฉะนี้ หน่อพระชินสีห์บรมจักพรรดิภิกษุโพธิสัตว์ผู้ทรงพุทธบารมี ก็มีจิตยินดีปลาบปลื้ม สู้อุตสาหะตั้งหน้าศึกษาคันธะธุระ พระปริยัติธรรม และบำเพ็ญพระสมถกรรมฐาน ไม่นานก็ถึงแก่ชีพิตักษัย ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริฐในสุคติภูมิแดนสุขาวดี


๑๓. สมเด็จพระปิยทัสสีอุบัติ

ครั้นศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุชาตะสัมพุทธเจ้าล่วงไปนานแล้ว จึงสิ้นกาลแห่งมัณฑกัปนั้น ครั้นสิ้นกาลปัณฑกัป ที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสสองพระองค์ดังกล่าวแล้ว เมื่อขึ้นกัปใหม่ต่อมา ก็น่าอนาถนักหนา เพราะว่าเป็นสุญกัปเสียทั้งสิ้น ไม่มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเลยสักพระองค์เดียว นับเป็นเวลานานยืดยาวเป็นที่สุด ถึง ๖๐,๐๐๐ กว่ามหากัป นับว่าโลกเรานี้ว่างเว้นจากพุทธกาลมานานมิใช่น้อย ทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องพลอยประลัยจากมรรคผล ไม่มีบุคคลใดใครผู้หนึ่งสามารถลุถึงธรรมวิเศษ คือ อมตมหานฤพานในกาลอันยาวนานนี้ได้ คราวนี้ จึงมี วรกัปหนึ่ง บังเกิดขึ้น ปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตรัสเรียงลำดับกันจำนวน ๓ พระองค์คือ
๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปิยทัสสีพุทธเจ้า
๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎอัตถทัสสีพุทธเจ้า
๓. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎธรรมทัสสีพุทธเจ้า

ในกาลเมื่อสมเด็จพระมิ่งมงกุฎ ปิยทัสสี สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนั้น พระองค์ทรงบำเพ็ญพระพุทธจริยา ประกาศศาสนธรรมคำสอน ยังประชากรทั้งหลายให้ได้ดื่มอมตรส ให้บรรลุธรรมวิเศษเป็นอันมากแล้ว

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่า กัสสปะมาณพ ได้ศึกษาเล่าเรียนจบไตรเพทางคศาสตร์ศิลป์อยู่เป็นสุข กาลวันหนึ่ง กัสสปะมาณพหนุ่มผู้ได้มีโอกาสไปสู่สำนักขององค์สมเด็จพระปิยทัสสีบรมศาสดา ได้สดับมธุรธรรมมีกถา ก็มีดวงกมลกอปรด้วยศรัทธาปราโมทย์ จึงกลับไปยังเรือนตน ให้ขนเอาทรัพย์สมบัติออกมาหลายโกฎิ แล้วให้สร้างอารามแห่งหนึ่งอุทิศถวายแด่พระอริยสงฆ์ ซึ่งมีองค์สมเด็จพระบรมศาสดาเป็นประธาน ด้วยดวงจิตอาจหาญในกุศลสัมมาปฏิบัติ

บัดนั้น องค์สมเด็จพระโลกเชษฐ์ปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงอนุโมทนาจึงมีพระพุทธฎีกาพยากรณ์ว่า
"กัส สปะมาณพผู้นี้ นานไปในอนาคตกาล จักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมในภัทรกัปหนึ่ง อันจักปรากฎมีในอนาคตกาล"
สม เด็จพระปิยทัสสีศาสดาจารย์ ครั้นดำรัสพระพุทธพยากรณ์ ฉะนี้แล้ว ก็ทรงกระทำพุทธกิจโปรดเวไนยสัตว์อยู่จนถึงอวสานกาลแล้ว ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป ฝ่ายกัสสปมาณพก็อุตสาหะอบรมบ่มบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ เมื่อสิ้นอายุกษัยกาลก็มีสุคตเป็นที่ไปในเบื้องหน้า

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
๑๔. สมเด็จพระอัตถทัสสีอุบัติ
กาล เมื่อ ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า เสื่อมสูญหมดสิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานได้พุทธันดรหนึ่ง แล้วจึงมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ ทรงสามารถนำสัตว์ทั้งปวงให้ล่วงพ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสาร ทรงประทานอมตธรรมคุณพิเศษให้แก่พุทธเวไนยเป็นอันมากแล้ว

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นมนุษย์ในตระกูลพรหมณ์ มหาศาล มีนามว่า สุสิมะพราหมณ์ ครั้นเจริญวัยเติบโตใหญ่ขึ้นมา มีจิตยินดีในบรรพชาเพศ จึงสละทรัพย์สมบัติที่ตนมีอยู่ ออกทำบุญให้ทานแก่คนที่ต้องการทรัพย์สินอันมิค่อยจะมีสาระนักจนหมดสิ้น แล้วจึงมุ่งหน้าเข้าป่าใหญ๋ไปบวชเป็นดาบส บำเพ็ญพรตพระพรหมจรรย์จนบรรลุอภิญญาฌานสมบัติ ปรากฎว่าเป็นผู้มีมหิทธิศักดานุภาพเหาะเหิรเดินอากาศได้ ทั้งมีใจยินดีเที่ยวจาริกไปในเทวโลกสวรรค์สองชั้นฟ้า คือ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาและสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ และมีปรีชาฉลาดสามารถแสดงกุศลให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย ทั้งได้นำเอาลายลักษณ์พระพุทธบาทมาทำเป็นพระพุทธบาทเจดีย์ ให้เป็นที่สักการะบูชาของมหาชน เพื่อให้ก่อเกิดเป็นอีกส่วนหนึ่งด้วย

เมื่อสมเด็จพระอัตถทัสสีเสด็จมาตรัสในโลก และกำลังทรงโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาแก่หมู่มหาชนอยู่นั้น วันหนึ่ง สุสิมะมหาฤาษีได้มีโอกาสสดับมธุรธรรมีกถา แล้วเกิดศรัทธาปสาทะเป็นอย่างยิ่ง จึงเหาะขึ้นไปสู่สวรรค์เทวโลกด้วยอำนาจฌานอภิญญา นำเอาดอกมณฑาทิพย์ปทุม และดอกปาริชาติมาสู่มนุษยโลกนี้ แล้วโปรยทิพยบุปผาชาติเหล่านั้นให้ตกลงมาบูชาพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากแล้ว จึงถือเอาก้านทิพยมณฑาใหญ่ดอกหนึ่ง ชูชึ้นกางกั้นทำเป็นฉัตรบูชาสมเด็จพระอัตตทัสสีบรมศาสดาจารย์ ซึ่งกำลังทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาอยู่

ครั้นสมเด็จพระบรมครูผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐแสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว จึงมีพระพุทธดำรัสพยากรณ์ว่า
"สุ สิมะมหาฤาษีผู้นี้ นานไปในอนาคต จักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปหนึ่ง อันจักมีปรากฎในอนาคตกาลภายภาคหน้า"
สมเด็จ พระอัตถทัสสีบรมศาสดาจารย์ ครั้นทรงมีพระพุทธบรรหารพยากรณ์พระบรมโพธิสัตว์สัตว์เจ้าของเราด้วยประการ ฉะนี้แล้ว ก็ทรงกระทำพุทธกิจประดิษฐานพระพุทธศาสนาโปรดประชานิกรพุทธเวไนยทั้งหลาย เมื่อถึงอวสานกาลแล้วก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป ฝ่ายสุสิมะมหาฤาษีบรมโพธิสัตว์เจ้าก็อุตสาหะอบรมบ่มบารมีเพื่อพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณอันยิ่งใหญ่ ครั้นถึงแก่ชีพิตักษัยแล้ว ก็ขึ้นไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมผู้วิเศษ ณ พรหมโลก

๑๕. สมเด็จพระธรรมทัสสีอุบัติ

เมื่อศาสนาของสมเด็จมิ่งมงกุฎอัตตทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมดสิ้นไป แล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานาน นับได้ พุทธันดร หนึ่งคือระหว่างพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งกับอีกพระองค์หนึ่งต่อกัน ครั้งนี้ จึงมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ ธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถเมื่อทรงอุบัติขึ้นแล้ว ก็ทรงสามารถนำสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ภัยในวัฏสงสาร ทรงประทานอมตธรรมคุณพิเศษให้แก่พุทธเวไนยเป็นอันมากแล้ว

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นเทพเจ้า สมเด็จพระอมรินทราธิราช หรือที่เรียกให้รู้กันง่ายๆ ในหมู่ชาวเราว่า พระอินทร์ คราวหนึ่ง พระองค์มีเทพบริษัทแวดล้อมเป็นบริวาร เสด็จลงมาจากเทววิมาน นำนานาทิพย์สักการะมาบูชาสมเด็จพระธรรมทัสสีบรมโลกุตตมาจารย์ ในมหาสมัยคราวประชุมใหญ่แห่งปวงเทพยดา

คราวนั้น องค์สมเด็จพระสรรเพชญธรรมทัสสีมหามุนีนาถ จึงทรงออกโอษฐ์ประกาศเป็นพระพุทธพยากรณ์ว่า
"สมเด็จ พระอมรินทรเทวราชนี้ นานไปในอนาคตกาล จักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปหนึ่งอันจักปรากฏมีในอนาคตภายภาคหน้า"
เมื่อ ได้ทรงสดับพระพุทธฎีกาพยากรณ์เช่นนี้ องค์ท้าวโกสีย์ผู้บรมโพธิสัตว์ก็มีจิตโสมนัส เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มเป็นล้นพ้น แล้วก็ถวายบังคับมนัสการลาสมเด็จพระธรรมทัสสีบรมศาสดาจารย์ พาเทพบริวารกลับไปยังไพชยนตปราสาทพิมานแห่งตน


๑๖. สมเด็จพระสิทธัตถะอุบัติ

ครั้นศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญล่วงไป แล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนาจนสิ้นอายุแห่งวรกัปนั้น เมื่อวรกัปนั้นล่วงไปแล้ว ขึ้นมหากัปใหม่ต่อมา ก็เป็นสุญมหากัป อีก ๒๔ กัป ซึ่งหมายความว่าโลกต้องมืดมนอนธการ ต้องสูญเปล่าจากพระอมตธรรม ไม่ม่ใครสามารถนำตนให้พ้นทุกข์ภัยในวัฏสงสารได้ เป็นเวลานานถึง ๒๔ มหากัป เพราะเป็นสุญกัปไม่มีสมเด็จพระพุทธเจ้ามาตรัสในโลกเลยสักองค์เดียว เมื่อโลกเว้นว่างห่างจากพระพุทธกาลมาเป็นเวลาช้านานด้วยประการฉะนี้แล้ว คราที่นั้น จึงมีสารกัป หนึ่งบังเกิดขึ้น ก็สารกัปนี้ เราท่านทั้งหลายก็คงทราบได้ดีแล้วว่า เป็นมหากัปที่ทรงไว้ซึ่งพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ในสารกัปที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ ก็เช่นเดียวกัน คือมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเพียงพระองค์เดียว ได้แก่สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ สิทธัตถะ สัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงอุบัติขึ้นแล้ว ก็ทรงบำเพ็ญพระพุทธจริยาประกาศศาสนธรรมคำสอน ยังพุทธเวไนยนิกรทั้งทวยเทพแลมนุษย์ให้ได้ดื่มอมตรสเป็นจำนวนมากแล้ว

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นมนุษย์ในตระกูลพราหมณ์ มหาศาลประกอบด้วยยศบริวารมากหลาย ปรากฎนามว่า มังคะมาณพ ได้เล่าเรียนจนจบวิชาไตรเพทางคศาสตร์ ภายหลังมาพิจารณาเห็นว่า ทั้งวิชาไตรเพทและทรัพย์สมบัติอันมหาศาลเป็นของมีสาระน้อย จึงสละทรัพย์สมบัติของตนให้เป็นทานแก่คนยากจนอนาถาเสียจนหมดสิ้น ประกอบด้วยมหิทธิศักดานุภาพสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ทุกเวลาตามใจปรารถนา วันหนึ่งได้เหาะมาจากอาศรมของตน เข้าไปฟังธรรมในสำนักขององค์สมเด็จพระชินสีห์สิทธัตถะสัมมาสัมพุทธเจ้า มีปสาทะเลื่อมใสศรัทธาเป็นอันมาก จึงได้รีบเหาะไปโดยเวหาหาวจนถึงฟากฟ้าป่าหิมพานต์แดนไกล แล้วเลือกเก็บเอาผลชมพู่ลูกหว้ามาถวายสมเด็จพระพุทธองค์พร้อมกับพระอริยสงฆ์ สาวกทั้งหลาย ด้วยดวงใจกอรปด้วยศรัทธาปสาทะเป็นที่ยิ่ง

คราวนั้น องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสิทธิตถะบรมศาสดา เมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนา จึงมีพระพุทธฎีกาพยากรณ์ว่า
"มัง คะดาบสนี้ นานไปในอนาคตกำหนดได้ ๙๔ มหากัปแต่กาลนี้ไป จักได้ตัเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปหนึ่งดังปรากฎจักมีในอนาคตภายภาคหน้า"
ครั้น ได้สดับพระพุทธพยากรณ์ฉะนี้ มังคะมหาฤาษีผู้บรมโพธิสัตว์ ก็มีจิตโสมนัสยินดีเป็นที่สุด หวังจักได้พระพุทธภูมิอันประเสริฐ จึงเกิดวิริยะอุตสาหะอบรมบ่มพระบารมีเพื่อปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ เมื่อถึงกาลสิ้นชีพหมดอายุแล้ว ก็ไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมวิเศษ ณ พรหมโลก



๑๗. สมเด็จพระติสสะพุทธเจ้า

ครั้นศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสิทธัตถะสัมมาสัมพุทธเจ้าล่วงไปแล้ว จึงสิ้นกาลแห่งสารกัปนั้น เมื่อกาลแห่งสารกัปนั้นหมดสิ้นไปแล้ว พอเริ่มต้นกัปใหม่ ก็กลายเป็นสุญกัป ไม่มีสมเด็จพระพุทธเจ้ามาตรีสเสียอีก ๒ มหากัป จึงทำให้โลกเรานี้ว่างเว้นห่างจากพุทธกาลมาช้านานแล้ว ที่นั้นจึงมี มัณฑกัป หนึ่งบังเกิดขึ้น ทรงไว้ซึ่งพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือ
๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎติสสะพุทธเจ้า
๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎมหาปุสสะพุทธเจ้า
ใน กาลเมื่อสมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก แล้ว พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญพระพุทธจริยา ทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนาอันประเสริฐ ให้เกิดความสว่างไสวในดวงใจของพุทธเวไนยทั้งหลาย ทั้งให้ได้ดื่มอมตรสสันติบทคือพระนฤพานเป็นอันมากนัก

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นมนุษย์ในตระกูล กษัตริย์ ดำรงอยู่ในราชสมบัติปรากฎพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าสุชาตะมหาราช อยู่ในกรุงยศวดีมหานคร มีพระเกียรติปรากฎขจรไปทั่วทุกทิศ ทรงประกอบด้วยกำลังทรัพย์ กำลังพลและกำลังพระปัญญา ไม่มีใครจักเปรียบได้ ถึงกระนั้น พระองค์ก็ไม่พอพระทัยยินดีที่จะครองฆราวาสวิสัย ภายหลังจึงได้ทรงสละราชสมบัติอันมหาศาลดุจถ่มพระเขฬะทิ้งลงบนพื้นปฐพี มิได้มีจิตอาลัยใยดี เสด็จไปทรงบรรพชาเป็นดาบสอยู่ในป่าใหญ่ ไม่ช้าก็ได้สำเร็จอภิญญาฌานสมาบัติ มีมหิทธิศักดานุภาพจนหาผู้เสมอเหมือนมิได้

วันหนึ่ง ท่านสุชาตะดาบสโพธิสัตว์มีโอกาสเข้าไปสดับพระธรรมเทศนาในสำนักองค์สมเด็จพระ โลกเชษฐติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสสุดประมาณจึงเหาะทะบานขึ้นไปสู่สวนจิตรลดา บนดาวดึงษ์เทวโลก เลือกเก็บเอาดอกไม้ทิพยมณฑารพใส่ผอบกว้างใหญ่ด้วยอำนาจแห่งฌานวิสัย และนำมากระทำสักการะบูชาสมเด็จพระติสสะสัพพัญญูเจ้า ซึ่งกำลังทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาอยู่ในท่ามกลางพุทธบริษัท

เมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบลงแล้ว องค์สมเด็จพระสรรเพชญ์ติสสะพุทธเจ้าบรมศาสดาจารย์ จึงทรงมีพระพุทธบรรหารพยากรณ์ว่า
"พระ สุชาตะดาบสนี้ นานไปอนาคตกำหนดได้ ๙๒ มหากัปแต่กาลนี้ไป จักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปหนึ่งอันจักปรากฎมีในอนาคตกาลภายภาคหน้า"
ครั้น ได้สดับพระพุทธพยากรณ์ฉะนี้ หน่อพระชินสีห์สุชาตะดาบสผู้มีพุทธภูมิบารมี ก็มีพระหฤทัยเกิดปรีดาปราโมทย์เป็นล้นพ้น หวังจักได้บรรลุผลอันวิเศษ คือพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ จึงอุตสาหะบากบั่นอบรมบ่มพระบารมีให้แก่กล้าขึ้นไป ในกาลหมดอายุถึงแก่ชีพิตักษัยแล้ว ก็ไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมผู้วิเศษ เสวยพรหมสมบัติเป็นสุขอยู่ ณ พรหมโลก

๑๘. สมเด็จพระมหาปุสสะอุบัติ

เมื่อ ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมดสิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานาน สิ้นกาลนับได้พุทธันดรหนึ่งแล้วคราที่นั้น จึงมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกพระองค์หนึ่งในมัณฑกัปนั้น ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ มหาปุสสะ สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อทรงอุบัติขึ้นแล้ว ก็ทรงประกาศพระศาสนา ยังประชาสัตว์ทั้งปวงให้พ้นจากทุกข์ภัยอันใหญ่หลวงในวัฎฎสงสาร ทรงประทานอมตธรรมคุณวิเศษตามสมควรแก่อุปนิสัย ให้แก่พุทธเวไนยเป็นอันมากแล้ว

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นมนุษย์ในขัตติยวงศ์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าวิชิตบรมกษัตริย์ ครองราชสมบัติอยู่ในอรินทมะมหานครปกครองประชานิกรโดยทศพิธราชธรรม ทรงยังความสุขให้เกิดมีแก่ชาวประชาทุกถ้วนหน้า วันหนึ่งเมื่อได้ทรงสดับว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก แล้ว จึงเสด็จเข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ ได้ทรงสดับพระธรรมเทศนาแล้ว ทรงมีพระกมลผ่องแผ้วเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง จึงทรงสละราชสมบัติอันมหาศาล ออกบรรพชาเป็นพระพุทธสาวกในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ทรงบำเพ็ญคันถธุระ คือศึกษาในพระไตรปิฎกจนแตกฉาน ได้รับขนานนามว่า พระเตปิฎกธราจารย์ คืออาจารย์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎก เป็นพระธรรมกถึกผู้แสดงธรรมคล่องแคล่วยิ่งนัก เป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวประชาทั่วไป

ในกาลนั้น สมเด็จพระภควันต์มหาปุสสะผู้ทรงพระยศ จึงทรงเอื้อนโอษฐออกพระพุทธวาจาพยากรณ์ว่า
"พระ วิชิตขัตติยภิกขุหรือพระเตปิฎกธราจารย์นี้ นานไปในอนาคตกำหนดไว้ ๙๒ มหากัปแต่กาลนี้ไป จักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปหนึ่ง อันจักปรากฎมีในอนาคตภายภาคหน้า"
ครั้น ได้สดับพระพุทธพยากรณ์ฉะนี้ หน่อพระชินสีห์วิชิตขัตติยภิกษุผู้โพธิสัตว์ก็มีจิตเต็มไปด้วยความโสมนัส ยินดี เป็นที่สุดดุจว่าตนจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในวันพรุ่ง จึงมุ่งหน้าอุตสาหะพยายามอบรมบ่มพระบารมีให้แก่กล้ายิ่งขึ้นไป เพื่อหวังจะได้สำเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ กาลต่อมา เมื่อสิ้นอายุถึงแก่ชีพิตักษัย ก็มีสุคติเป็นที่ไปเบื้องหน้า

๑๙. สมเด็จพระวิปัสสีอุบัติ

ครั้นศาสนาสมเด็จพระมิ่งมงกุฎมหาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญไปนานแล้ว จึงจะสิ้นอายุแห่งมัณฑกัป เมื่อมัณฑกัปนั้นล่วงไปแล้วก็ขึ้นกัปใหม่ต่อมา กาลครั้งนี้ นับว่าดีนักหนา เพราะว่าไม่มีสุญกัปมาคั่นเหมือนอย่างที่แล้วๆ มา มหากัปขึ้นต้นใหม่ต่อมานี้ มีชื่อว่า สารกัป เพราะมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาตรัสในโลกนี้เพียงพระองค์เดียว เท่านั้น ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ วิปัสสี สัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงอุบัติแล้ว ก็ทรงบำเพ็ญพระพุทธจริยาทรงประกาศศาสนธรรมคำสอน ให้เวไนยนิกรทั้งทวยเทพยดาแลมนุษย์ได้ดื่มอมตรสบรรลุสันติบทคุณพิเศษ ตามควรแก่อุปนิสัยวาสนาบารมีแห่งตนๆ เป็นอันมากแล้ว

ครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็น ภุชงคนาคราช เสวยนาคสมบัติ ในนาคพิภพ มีมหิทธิอำนาจใหญ่ไม่มีใครเทียม ทรงมหเศรศักดานุภาพมากมาย ประกอบด้วยยศบริวารไพศาล กาลวันหนึ่ง ได้สดับกิตติคุณบันลือว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ก็มีหฤทัยเลื่อมใสจึงพาบรรดานาคนิกรน้อยใหญ่ออกจากนาคภิภพ มานอบนบนมัสการสมเด็จพระวิปัสสีศาสดาจารย์แล้ว จึงเนรมิตมณฑปใหญ่ ประดับไปด้วยแก้วเจ็ดประการโอฬารวิจิตรงดงามด้วยนาคฤทธิ์แล้ว จึงอาราธนาสมเด็จพระประทีปแก้วกับพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย ให้เข้าอาศัยแล้วถวายอาหาร และตั้งที่พระพุทธองค์ประทับนั่งเป็นพระพุทธอาสน์ด้วยปสาทเลื่อมใสนักหนา

คราที่นั้น จึงองค์สมเด็จพระสรรเพชญพระวิปัสสีมหามุนีนาถได้ทรงประกาศเป็นพระพุทธฏีกาพยากรณ์ว่า
"พญา ภุชงคนาคราชนี้ นานไปในอนาคตกำหนดได้ ๙๐ มหากัปแต่กาลนี้ไป จักได้ตรัสเป็นพระศรีศากยมุนโคดม ในภัทรกัปหนึ่ง อันจักปรากฎมีในอนาคตกาลภายภาคหน้า"
ครั้นได้สดับ พระพุทธพยากรณ์ฉะนี้ หน่อพระชินสีห์พญาภุชงคอุรคินทร์มีจิตยินดีโสมนัสสเป็นที่สุด แล้วกราบถวายบังคมลาสมเด็จพระพุทธองค์ พาบริวารกลับไปยังพิภพของตนเสวยนาคสมบัติเป็นสุขอยู่สิ้นกาลนาน


๒๐. สมเด็จพระสิขีอุบัติ

ครั้นศาสนาสมเด็จพระมิ่งมงกุฎวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญล่วงไปนาน แล้ว จึงจะสิ้นอายุแห่งสารกัปนั้น เมื่อกาลแป่งสารกัปล่วงไปแล้ว ก็เริ่มต้นขึ้นกัปใหม่ต่อไป แต่เป็นที่อนาถใจนักหนา เพราะว่ากัปใหม่ๆ ต่อไปนี้ กัปแล้วกัปเล่า ล้วนเป็นสุญกัป เสียทั้งสิ้น ไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้เลย ทำให้โลกต้องมืดบอดปลอดเปล่าจากพระสัทธรรมมรรคผลอมตมหานฤพาน สิ้นกาลช้านานถึง ๖๐ มหากัป คราที่นั้น จึงมี มัณฑกัป หนึ่งบังเกิดขึ้น ก็มัณฑกัปนั้น ท่านผู้มีปัญญาก็คงทราบแล้วว่า เป็นชื่อของกัปที่มีกำลังธารไว้ได้ซึ่งพระพุทธเจ้าสองพระองค์ หรือกล่าวให้ฟังกันง่ายๆ ก็ว่า ในมัณฑกัปนี้ ปรากำมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติตรัสในโลก ๒ พระองค์
๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสิขีพุทธเจ้า
๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระเวสสภูพุทธเจ้า
ก็ ในกาลเมื่อสมเด็จพระมิ่งมงกุฎ พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนั้น พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาบำเพ็ญพระพุทธจริยา ทรงประกาศพระบวรศาสนา ยังประชาสัตว์ทั้งทวยเทพและมนุษย์มากมายสุดประมาณให้ได้ดื่มซึ่งอมตรสให้ถึง ซึ่งสันติบท คือพระนิพพาน พระองค์ทรงเป็นพระบรมโลกกุตมาจารย์ ประทานโลกุตตรสมบัติอันสูงสุดให้แก่ปวงมนุษย์และเทพยดาทั้งหลาย ยังความสว่างไสวให้ปรากฎขึ้นในดวงหฤทัยอันมืดบอดของชาวโลกทั้งผอง พระองค์ทรงดำรงพระยศและท่านหาที่สุดมิได้ ทรงเป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างสุดซึ้งของบรรดาพุทธเวไนยนิกร ทรงประทานพระโอวาทคำสอนเป็นอันมากแล้ว

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นมนุษย์ในขัตติยตระกูล ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอรินทมะราชาธิราช ทรงมีมหิทธิอำนาจราชบริวาร และพระอิสสริยยศอันยิ่งใหญ่อุดมไปด้วยทรัพย์ศฤงคาร วันหนึ่งทรงมีโอกาสพบสมเด็จพระสรรเพชญ์สิขีสัมพุทธเจ้า แล้วมีพระทัยกอปรด้วยความเลื่อมใสเป็นอันมาก จึงได้ทรงบริจาคไตรจีวร ทานถวายแด่พระอริยสงฆ์ มีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประธาน แล้วจึงทรงบริจาคทรัพย์ รับสั่งให้นายช่างผู้มีฝีมือเลิศสร้างเป็นรูปพญาหัสดินกใหญ่แล้วไปด้วยมณี มัยแก้วอันมีค่าเจ็ดประการ ตัวใหญ่ประมาณเท่าพญาช้างฉัททันต์เสร็จแล้วจึงทรงอุทิศเป็นวรามิสเครื่อง บูชา แด่องค์สมเด็จพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมกับถวายสมณบริขารแก่พระอริยสงฆ์อีกมากมายนักหนา

คราที่นั้น องค์สมเด็จพระสรรเพชญ์สิขีบรมครูเจ้า เมื่อจะทรงอนุโมทนาแก่พระบรมกษัตริย์ จึงมีพุทธดำรัสพยากรณ์ว่า
"พระ เจ้าอรินทมะมหาราชนี้ นานไปในอนาคตกำนหดได้ ๓๑ มหากัปแต่กัปนี้ไป จักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมในภัทรกัปหนึ่ง อันจักมีปรากฎในที่สุดแห่ง ๓๑ มหากัป ในอนาคตภายภาคหน้า"
สมเด็จพระโลกเชษฐสิขีบรมศาสดา จารย์ ครั้นทรงโปรดประทานพระพุทธฎีกาพยากรณ์แก่พระเจ้าอรินทมะราชาธิราชดังนี้แล้ว องค์พระประทีปแก้วบรมครูเจ้าก็ทรงพระมหากรุณาบำเพ็ญพระพุทธกิจอยู่จนตลอดกาล อวสาน แล้วก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป

ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าอรินทมะราชาผู้โพธิสัตว์ ครั้นได้ลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าฉะนี้ ก็เกิดความยินดีปรีดาปราโมทย์เป็นหนักหนา จึงตั้งพระทัยอุตสาหะพยายามสร้างสมอบรมบ่มพระบารมีให้ยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยมีพระราชประสงค์จำนงมั่นแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณในอนาคตกาลภายภาคหน้า ตามพระพุทธฎีกาพยากรณ์ของพระสิขีบรมศาสดาจารย์ เมื่อถึงกาลสวรรคตแล้วก็มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า

๒๑. สมเด็จพระเวสสภูอุบัติ

เมื่อศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า เสื่อมสูญสิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลาช้านาน สิ้นกาลนับได้ พุทธันดร หนึ่งแล้ว คราที่นั้น จึงมีสมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกพระองค์หนึ่ง ภายในมัณฑกัปนั้นเอง สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ที่เรากำลังกล่าวถึงกันอยู่นี้ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระมิ่งมงกุฎ เวสสภู สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรดลกนาถ เมื่อทรงอุบัติขึ้นแล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาบำเพ็ญพระพุทธจริยา ทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนายังประชาสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ภัยอันใหญ่ หลวงในวัฏสงสาร ทรงประทานอมตธรรมคุณวิเศษตามสมควรแก่อุปนิสสัยให้แก่พุทธเวไนยนิกรทั้งปวง เป็นอันมาก

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดในขัตติยราชตระกูล ณ กรุงสรกวดีมหานคร เมื่อสมเด็จพระชนกาธิราชเสด็จสวรรคตแล้วก็ได้เสวยราชสมบัติ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าสุทัสสนะมหาราช พระองค์ทรงมีมหิทธิอำนาจยิ่งใหญ่ แผ่ไปทั่วพื้นปฐพีแว่นแคว้น ทรงปกครองอาณาประชานิกรให้ได้รบความผาสุกทุกถ้วนหน้า ด้วยทรงมีพระปรีชาแลาด มีน้ำพระทัยองอาจมั่นคงในการประกอบกุศลกรรมให้ส่ำสัตว์ได้รับสุขโดยทศพิธ ราชธรรม

วันหนึ่งได้ทรงสดับกิตติคุณบันลือว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ก็มีพระกมลผ่องแผ้วมากไปด้วยความโสมนัสยินดี รีบเสด็จไปยังที่ๆ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ครั้นได้ทรงสดับพระธรรมเทศนาที่พระบรมครูเจ้าทรงแสดงโปรดก็ยิ่งทรงปรีดา ปราโมทย์เป็นล้นพ้นนิมนต์พระอริยสงฆ์มีองค์สมเด็จพระเวสสภูเจ้าเป็นประธาน ให้เข้าไปรับภัตตาหารในพระราชวังในวันรุ่งขึ้น แล้วก็ทรงถวายไตรจีวรสมณบริขารอื่นอีกเป็นอันมาก เท่านั้นยังไม่สมกับพระราชศรัทธา จึงรับสั่งให้หานายช่างฝีมือเอกมาเสกสรรสร้างพระคันธกุฎีเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระพุทธองค์ โดยมีวิหารอันเป็นที่พักอยู่ของพระอริยสงฆ์ แวดล้อมพระคันธกุฎีนั้นเป็นอันมาก แล้วทรงอุปัฏฐากบำรุงด้วยจตุปัจจัยมิได้ขาด จำเนียรกาลนานมา พระราชศรัทธาก็แก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด พระองค์ได้สละราชสมบัติออกทรงผนวชเป็นภิกษุในสำนักแห่งสมเด็จพระเวสสภูบรม ครูเจ้าเพื่อทรงบำเพ็ญพระพุทธบารมี

คราที่นั้น องค์สมเด็จพระสรรเพชญ์เวสสภูบรมโลกนายกจึงตกพระโอษฐออกพระวาจาเป็นพระพุทธพยากรณ์ว่า
"สุ ทัสสนะบรมขัตติยภิกษุนี้ นานไปในอนาคต กำหนดได้ ๓๑ มหากัปแต่กัปนี้ไป จักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปหนึ่งอันจักปรากฎมีในอนาคตภายภาคหน้า"
ครั้น ได้สดับพระพุทธพยากรณ์ฉะนี้ หน่อพระชินสีห์สุทัสสนะภิกษุผู้โพธิสัตว์ก็มีจิตโสมนัสยินดี ครั้นถึงแก่ชีพิตักษัยก็มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ด้วยประการ ฉะนี้

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
ภัทรกัป

ลำดับนี้ ก็ถึงระยะเวลาที่เรียกว่า ภัทรกัป ซึ่งเป็นมหากัปสำคัญกันเสียที ก่อนอื่น ก็ใคร่ที่จะกล่าวว่า บรรดาเราท่านทั้งหลายที่ได้ติดตามการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิ ญาณ แห่งองค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมศาสดาจารย์ของเรา มาจนถึงเพียงนี้แล้ว เป็นอย่างไร เห็นแล้วหรือยังว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงเป็นพระบรมศาสดาของเรานั้น กว่าจะได้มีโอกาสมาอุบัติตรัสในโลกและทรงประทานพระโอวาทนนุสาสนี ให้เราท่านทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ พระองค์ต้องทรงสร้างพระบารมีมาเป็นเวลาช้านาน และยากลำบากนักหนาใช่หรือไม่เล่า

การที่กล่าวแทรกไว้ คล้ายกับจะแกล้งให้เรื่องหยุดชะงักเสียชั่วครู่ ในตอนนี้ความจริงไม่มีอะไร เพียงแต่มาคิดเอาเองว่า หากจะพรรณนาเรื่อยๆ ไปก็ย่อมทำได้ แต่ให้เป็นห่วงอยู่ว่าเรื่องการสร้างพระบารมีที่พรรรณนานี้ เท่าที่ผ่านมาแล้ว ก็เป็นเวลามากมายหลายมหากัปนักหนา ว่าเป็นมหากัปนั้นบ้าง มหากัปนี้บ้าง ซึ่งค่อนข้างจะจำได้ยากสักหน่อย ถ้าไม่ค่อยพิจารณาให้ดีก็เห็นทีจะสับสน คืออาจทำให้งงๆ ไปบ้างก็ได้ "ฮั้ย! นี่มันผ่านกัปอะไรต่อมิอะไรมาบ้างแล้วล่ะ และเมื่อไรจะสิ้นสุดถึงกัปที่ได้ทรงตรัสรู้กันเสียที" ด้วยเหตุนี้ จึงหยุดเล่าเสียชั่วครู่แล้ว ตั้งใจจะบอกให้รู้ว่า บัดนี้ถึงมหากัปที่สำคัญแล้ว ขอให้คอยสังเกตจดจำให้ดี เอาละ เมื่อได้หยุดพักออกนอกเรื่องมาพอสมควรแล้ว ทีนี้ ก็จะได้กล่าวถึงเรื่องการสร้างพระบารมีขององค์สมเด็จพระผุ้มีพระภาคเจ้าสืบ ต่อไป

ดำเนินความว่า เมื่อศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ พระเวสสภู สัมมาสัมพุทธเจ้า เสื่อมสูญล่วงไปนานแล้ว จึงจะสิ้นอายุแห่งมัณฑกัป ที่กล่าวมาแล้วนั้นล่วงไปแล้ว ก็เริ่มต้นขึ้นกัปใหม่ต่อมา แต่ก็ล้วนสูญเปล่าเป็นสุญกัป เสียทั้งสิ้น ไม่มีองค์พระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้แต่สัก พระองค์เดียวเลย เป็นเวลาล่วงเลยนานถึง ๓๑ มหากัป นับว่าโลกต้องเว้นว่างห่างไกลสูญเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่นานนัก เมื่อสุญมหากัปทั้ง ๓๑ นั้น ล่วงไปโดยลำดับ คราที่นั้น จึงมาถึงมหากัปที่สำคัญ มหากัปที่สำคัญที่ว่านั้น ก็คือ มหากัปที่กำลังปรากฎอยู่ในปัจจุบันทุกวันนี้นั่นเอง

มหากัปที่กำลังปรากฎอยู่ในปัจจุบันนี้ มีชื่อเรียกว่า ภัททกัป หรือภัทรกัป ทำไมจึงเรียกว่า ภัทรกัป? ข้อนี้เห็นจะไม่ต้องพูดมาก เพราะได้เคยกล่าวไว้แล้ว หากจะให้กล่าวซ้ำอีกทีก็ต้องกล่าวว่า คำว่า ภัทรกัป หมายถึงกัปที่เจริญที่สุด เจริญยิ่งกว่าบรรดากัปอื่นๆ ทั้งหมด ไม่ว่ากับอะไรก็เจริญสู้ภัทรกัปนี้ไม่ได้ ต่อกาลนานนักหนาจึงจะปรากฎกัปเช่นนี้ขึ้นในโลกสักครั้งหนึ่ง ลองนึกทบทวนเถิด ตั้งแต่พรรณนามานี่เป็นเวลานานมิใช่น้อย แต่ยังไม่เคยมีภัทรกัปเลย เพิ่งจะมามีปรากฎเอาในตอนนี้เอง เหตุไรจึงถูกเรียกว่าเป็นกัปที่เจริญที่สุด ก็เพราะว่า เมื่อภัทรกัปนี้ปรากฎแล้ว ย่อมมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในระหว่างกัปนี้มากถึง ๕ พระองค์ทีเดียว เช่นในภัทรกัปที่กำลังถึงอยู่นี้ ก็มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกตามลำดับ ๕ พระองค์ คือ
๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎกกุสันธะพุทธเจ้า
๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎโกนาคมนะพุทธเจ้า
๓. สมเด็จพระมิ่งมงกุฏกัสสปะพุทธเจ้า
๔. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า คือองค์พระบรมศาสดาของเราท่านทุกวันนี้ และ
๕. สมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า ซึ่งจะมาตรัสในอนาคตกาลภายภาคหน้า
บัด นี้จะได้พรรรณนาถึงการสร้างพระบารมีขององค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครู เจ้า ในตอนต้นแห่งภัทรกัปนี้ต่อไป ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย จงตั้งใจศึกษาพิจารณาด้วยดี ดังต่อไปนี้

๒๒. สมเด็จพระกกุสันธะอุบัติ

กาลเมื่อสมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสใน โลกในตอนต้นภัทรกัปนั้น พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ ด้วยทรงมีพระมหากรุณาในพระทัย ทรงบำเพ็ญพระพุทธจริยา ทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนา อันเสื่อมสูญไปจากโลกนานนักหนาแล้ว ให้ปรากฎมีขึ้นเพื่อประชาสัตว์ทั้งหลายจักได้ดื่มอมตรสถึงสันติบทคือพระ นิพพาน พระองค์ทรงเป็นพระบรมโลกุตตมาจารย์ประทานโลกุตตรสมบัติอันสูงสุดให้แก่ปวง สัตว์เป็นอันมากแล้ว

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นมนุษย์ในขัตติยราชวงศ์ เมื่อองค์สมเด็จพระบรมชนกาธิราชเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ได้เสวยราชสมบัติทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าเขมะนราธิราช พระองค์ทรงมีมหิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนด้วยพระมหากรุณาดุจบิดากับบุตร เป็นที่สุดเคารพของปวงประชากร เพราะพรองค์ทรงดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรรม วันหนึ่งทรงมีโอกาสพบสมเด็จพระโลกเชษฐกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงสดับพระธรรมเทศนาแล้ว มีพระทัยโสมนัสเลื่อมใสนักหนา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็ทรงพระอุตสาหะเสด็จไปสดับพระธรรมเทศนาในสำนักแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระ ภาคเป็นประจำทุกวันอุโบสถพร้อมกับได้ถวายทานในพระศาสนาเป็นอันมาก ต่อมาก็ทรงมีพระราชศรัทธายิ่งขึ้นเป็นลำดับ ในที่สุด ทรงสละราชสมบัติออกบรรพชาในสำนักแห่งพระบรมศาสดา ทรงพระอุตสาหะศึกษาพระปริยัติธรรมจนแตกฉานในพระไตรปิฎก ปรากฎพระคุณนามเป็นพิเศษว่า พระธรรมปิฎกธราธิราชภิกขุ เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนทั้งหลาย ในสมัยนั้นเป็นอันมาก

กาลวันหนึ่ง สมเด็จพระสรรเพชญ์กกุสันธะบรมไตรโลกาจารย์จึงโปรดประทานพระพุทธฎีกาพยากรณ์ว่า
พระ เขมราชภิกขุนี้ เป็นนิยตโพธิสัตว์เที่ยงแท้ที่จะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในอนาคตกำหนดนับเป็นลำดับที่ ๔ ในภัทรกัปนี้
ครั้นทรงกระทำพระพุทธพยากรณ์แก่ พระบรมโพธิสัตว์เจ้าซึ่งเป็นพระเขมราชภิกขุฉะนี้แล้ว สมเด็จองค์พระประทีปแก้วกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงบำเพ็ญพระพุทธกิจอยู่ จนตลอดอวสานกาลเมื่อประมาณพระชนมายุยืนถึงสี่หมื่นปี ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานล่วงไป ฝ่ายหน่อพระชินสีห์เขมราชภิกขุผู้มีพระพทธบารมีญาณใกล้จะสำเร็จ เมื่อได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระทศพลญาณก็มีกมล โสมนัสปรีดา อธิษฐานพุทธาภินิหารบารมีให้มั่นมากในขันธสันดาน สมาทานถือเที่ยงทศบารมีธรรมไม่เสื่อมคลาย ครั้นแตกกายทำลายขันธ์แล้ว ก็อุบัติเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริฐ ณ สวรรค์เทวโลก

๒๓. สมเด็จพระโกนาคมนะอุบัติ

เมื่อศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมด สิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่ชั่วระยะเวลานานสิ้นกาลได้ พุทธันดร หนึ่งแล้วจึงมีสมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกใน ภัทรกัปนี้อีกพระองค์หนึ่ง สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่นี้ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อทรงอุบัติขึ้นแล้วก็ทรงมีพระมหากรุณาบำเพ็ญพระพุทธจริยา ทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนา ยังประชาสัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทพยดาและมนุษบ์ให้ได้ดื่มอมตรสถึงซึ่งสันติบทคือนฤพานให้พ้นจากทุกอัน ใหญ่หลวง ในวัฎสงสารเป็นอันมากแล้ว

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นมนุษย์ในขัตติยราชวงศ์ ณ กรุงมถิลาราชธานี เมื่อสมเด็จพระชนกาธิบดีเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ได้เสวยราชสมบัติทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าบรรพตบรมขันติยาธิบดี ทรงมีมหิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชานิกรให้ได้รับความผาสุกสวัสดีเสมอเป็นนิตย์ เพราะทรงดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม วันหนึ่งได้ทรงมีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วสดับ มธุรธรรมิกถา ทรงมีจิตศรัทธาเลื่อมใส จึงได้ถวายไตรจีวรอันตระการด้วยกัปปาสิกพัสตร์และโกไสยพัสตร์ กับรองเท้าทำแล้วด้วยกนกรัตนน์ แล้วถวายภัตตาหารอันประณีตแก่พระอริยสงฆ์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานอยู่สิ้นกาลเจ็ดวัน ครานั้นถึงจุดเข้าพรรษา จึงทรงอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดา กับทั้งพระอริยสงฆ์สาวกให้เข้าจำพรรษา ณ อารามใกล้กรุงซึ่งทรงสร้างขึ้นแล้วทรงอุปัฏฐากบำรุงอยู่เป็นนิตย์ตลอดไตรมาส สามเดือน ครั้งกาลเวลาเคลื่อคล้อยออกพรรษาแล้ว ก็ทรงมีพระราชศรัทธาบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมณบริขารแด่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีองค์สมเด็จพระทศพลเป็นประธานอีกเป็นอันมาก

คราที่นั้น องค์สมเด็จพระโกนาคมนะบรมศาสด เมื่อทรงมีพระมหากรุณแก่บรมกษัตริย์ จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนาภัตตานุโมทนาเป็นพิเศษ ครั้นทรงสดับธรรรมิกถาของสมเด็จพระโลกเชษฐแล้ว พระเจ้าบรรพตบรมกษัตริย์ก็มีพระทัยเลื่อมใสยิ่งนัก ทรงสละราชสมบัติออก ทรงผนวชบวชเป็นพระภิกษุในสำนักแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็ทรงพระอุตสาหะศึกษาเล่าเรียนจนทรงมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก เป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวประชาในสมัยนั้นเป็นอันมาก

ครั้งนั้น จึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้บรมไตรโลกาจารย์ ได้โปรดประทานพระพุทธฎีกาพยากรณ์ว่า
พระ บรรพตราชภิกขุนี้ เป็นนิยตโพธิสัตว์เที่ยงแท้ที่จะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญู สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ณ กาลใกล้ในอนาคต กำหนดเป็นลำดับที่ ๔ ในภัทรกัปนี้
สมเด็จ พระชินสีห์โกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นทรงกระทำพระพุทธพยากรณ์ฉะนี้แล้ว ก็ทรงบำเพ็ญพระพุทธกิจโปรดพุทธเวไนยอยู่จนพระชนมายุได้สามหมื่นปี ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์บรรพตราชภิกขุผู้มีพระบารมีใกล้จะสำเร็จ เมื่อได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธองค์ดังนั้น ก็มีพระกมลเกษมโสมนัสปรีดาทงพระอุตสาหะสร้างพระพุทธาภินิหาร ให้มากมั่นในสันดานสมาทานถือเที่ยงทศบารมีธรรมไม่เสื่อมคลาย ครั้นแตกกายวายชีวิตแล้วก็มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า คือ สังสารณาการท่องเที่ยวในมนุษย์แลสวรรค์เป็นอันมาก ด้วยวิบากกุศลกรรมความดีที่พระองค์ทรงสร้างไว้แต่อดีตชาติ แลบัดนี้ ก็ใกล้จักได้สำเร็จแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว ฉะนั้น พระองค์จึงไม่คลาดแคล้วจากสุคติภูมิ

๒๔.สมเด็จพระกัสสปะอุบัติ

เมื่อศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมดสิ้น ไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาชั่วระยะเวลานานได้พุทธันดรหนึ่งแล้ว คราที่นั้น จึงปรากฎมีองค์สมเด็จพระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก เรานี้อีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อทรงอุบัติขึ้นแล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาบำเพ็ญพระพุทธจริยา ทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนายังประชาสัตว์ทั้งทวยเทพแลมนุษย์ให้ได้รับสมบัติ อันประเสริฐสุด คือมรรค ผล นิพพานเป็นอันมากแล้ว

กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าอขงเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นมนุษย์มาณพหนุ่มนามว่า โชติปาลมาณพ ได้ศึกษาแจ้งจบในไครเพทางศาสตร์ ปรากฎว่าเป็นผู้ฉลาดรอบรู้ในการพิจารณาดูภูมิสถานและอากาศวิถีทางแห่ง นักษัตรฤกษ์นิมิตมีสหายร่วมชีวิตนามว่า ฆฏิการมาณพ เป็นนายช่างหม้อ วันหนึ่งได้สดับข่าวกิตติคุณบันลือว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้ว จึงชวนกันเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นได้สดับมธุรธรรมนิกายแล้ว ก็มีจิตผ่องแผ้วเต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทะา จึงสละเพศฆราวาสบวชเป็นภิกษุภาวะในพระบวรพุทธศาสนา มีความอุตสาหะในคันถธุระ พยายามศึกษาเล่าเรียนจนได้รับยกย่องนับถือจากมหาชนเป็นอันมาก

ดังนั้น จึงองค์สมเด็จพระสรรเพชญ์กัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมโลกนายก ทรงไว้ซึ่งพระสัพพัญญุตาญาณ ได้ทรงมีพระพุทธบรรหารพยากรณ์ว่า
พระ โชติปาลภิกขุนี้ เป็นนิยตโพธิสัตว์เที่ยงแท้จะที่จะตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในอนาคตกาลภายภาคหน้า เมื่อศาสนาแห่งเราตถาคตเสื่อมสูญสิ้นหมดไปแล้ว พระโชติปาลภิกขุจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อจากเราตถาคต กำหนดนับเป็นลำดับที่ ๔ ในภัทรกัปนี้
สมเด็จ พระชินสีห์กัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นทรงกระทำพระพุทธพยากรณ์แก่บรมโพธิสัตว์เจ้าของเราฉะนี้แล้ว ต่อแต่นั้น ได้ทรงบำเพ็ญพุทธกิจโปรดพุทธเวไนยอยู่จนพระชนมายุได้สองหมื่นปี ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานล่วงไป ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์โชติปาลภิกขุผู้มีพระบารมีใกล้จะสำเร็จ เมื่อได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธองค์ดังนั้น ก็มีกมลเกษมโสมนัสปรีดา มีอุตสาหะสร้างพระพุทธาภินิหารบารมีให้มากมั่นในสันดาน สมาทานถือเที่ยงทศบารมีธรรมไม่เสื่อมคลาย เมื่อแตกกายวายชีวิตแล้ว ก็มีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่อุบัติ

ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งปวงนั้น เมื่อพระองค์ท่านทรงสร้างพระบารมีในระยะกาลเวลาหนึ่งแสนมหากัป ทรงมีโอกาสพบและได้รับลัทธยาเทศน์คำพยากรณ์จากสำนักแห่งองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ๑๕ พระองค์ ซึ่งมีรายละเอียดปรากฎตาที่พรรณนามานี้

ฉะนั้น จึงเป็นอันสรุปได้ว่า ในการสร้างพระพุทธบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณของพระองค์ในตอนปลาย ซึ่งนับเป็นเวลานานมากหลายถึง ๔ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัปนั้น พระองค์ได้ทรงพบพระพุทธเจ้ารวมทั้ง ๒๗ พระองค์คือ
๑. ในตอนระยะเวลา ๔ อสงไขยนั้น ได้ทรงพบพระพุทธเจ้า ๑๒ พระองค์
๒. ในตอนระยะเวลาหนึ่งแสนมหากัปนั้น ได้ทรงพบพระพุทธเจ้า ๑๕ พระองค์
รวม สองระยะเวลานี้เข้าด้วยกัน จึงเป็นอันว่พระองค์ทรงมีโอกาสพบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๗ พระองค์ แต่พระองค์ทรงได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักแห่งพระพุทธเจ้าเพียง ๒๔ พระองค์เท่านั้น เพราะว่าในนพุทธสมัยแห่งพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์แรก คือสมเด็จพระตัณหังกรพุทธเจ้า ๑ สมเด็จพระเมธังกรพุทธเจ้า ๑ สมเด็จพระสรณังกรพุทธเจ้า ๑ นั้น ถึงแม้พระองค์ท่านจะมีโอกาสพบทุกๆ พระองค์ก็ดี ก็ยังไม่ได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์ เพราะธรรมสโมธานยังไม่บริบูรณ์ มาได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์เอา ตั้งแต่สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงสมเด็จพระบรมศาสดากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงเมื่อตะกี้ นี้เป็นพระองค์สุดท้าย จึงเป็นอันรวมความได้ว่า สมเด็จพระบรมครูเจ้าของเราทั้งหลาย เมื่อครั้งเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ได้รับลัทธยาเทศจากสำนักแห่งองค์พระโลกเชษฐสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมด้วยกันทั้งสิ้น ๒๔ พระองค์ ด้วยประการฉะนี้

เมื่อหน่อพระชินสีห์บรมโพธิสัตว์ได้รับลัทธยาเทศเป็นครั้งสุดท้ายจากสำนัก แห่งองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎกัสสะปะสัมมาสัมพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้แล้ว พระองค์ก็ยังต้องสร้างพระบารมีต่อไปอีกอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะเหตุที่พระองค์มีน้ำพระทัยรักในพระโพธิญาณ รักในพระศาสนาเป็นกำลัง ก็ความที่พระองค์มีน้ำพระทัยรักและเป็นห่วงใยในพระบวรพุทธศาสนานี้ มีตัวอย่างที่จะเห็นได้ง่ายๆ ตามเรื่องที่ปรากฎในตอนใกล้ที่จะได้ตรัสรู้นี่เอง ดังต่อไปนี้

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
พระอมรินทรเทวราชโพธิสัตว์

เมื่อสมเด็จพระมิ่งมงกุฎกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว แต่ศาสนาของพระองค์ที่ทรงพระมหากรุณาประกาศไว้ยังดำรงอยู่ ยังมีผู้ประพฤติตาม พุทธบริษัททั้ง ๔ คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ก็ยังมีครบอยู่ แต่กาลค่อยล่วงเลยมา พระศาสนาของพระองค์ก็ค่อยเสื่อมถอยลง เพราะพุทธบริษัทต่างพากันประพฤติกรรมลามกเลวทรามประการต่างๆ ไม่ตั้งอยู่ในพระธรรมวินัยเห็นไปว่าศาสนาคำสอนของพระบรมศาสดาเป็นของไม่ สำคัญ จึงพากันถือเอาศาสนาเป็นเครื่องมือสำหรับเลี้ยงชีวิต เห็นศาสนาเป็นเครื่องเล่น เอาความคิดความเห็นอันไม่ถูกต้องของตนเข้ามาระคนปนกับคำสอนของพระบรมครูเจ้า มีน้ำใจดูเบาในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า บอกเล่าพระพุทธพจน์ผิดๆ ถูกๆ เพราะขาดการปฏิบัติ จึงขจัดวิจิกิจฉาความสงสัยในพระรัตนตรัยให้ออกจากดวงใจของตนมิได้ เมื่อมีความสงสัยอยู่ ความเชื่อในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่มีอันตั้งมั่นแน่นอนลงไปได้ จึงพากันประพฤติกรรมอันเป็นการบ่อนทำลายศาสนาที่ ตนเคารพนับถือโดยไม่รู้ตัว เมื่อแตกกายวายชีวิตแล้ว พุทธบริษัทเหล่านั้นต่างก็พากันไปเกิดในนิรยภูมิ คือต้องตกนรกหมกไหม้ได้เสวยทุกข์อย่างนี้มากมายนักหนา

ครา ที่นั้น จึงสมเด็จพระอมรินทรเทวาธิราช เจ้าจอมสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็น พระโชติปาลภิกขุ ผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น จำได้ไหมเล่าท่านทั้งหลาย ว่าโชติปาลภิกขุองค์นี้ คือท่านผู้ใด? ถูกแล้ว... ก็คือพระโชติปาลภิกขุองค์ที่องค์สมเด็จพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมี พระมหากรุณาธิคุณพยากรณ์ว่าจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดม ตามที่เล่ามานั่นเอง บัดนี้ได้มาสืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นจอมเทพยเจ้า ณ สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ดำรงพระยศยิ่งใหญ่ในตำแหน่งสมเด็จพระอมรินทราธิราช คือพระอินทร์ เสวยทิพยสมบัติปกครองเทพบริษัทอยู่โดยผาสุก เมื่อได้ทรงทราบว่าพวกพุทธบริษัทพากันเป็นอลัชชี ไม่มีความละอายต่อบาป กระทำการหยาบช้าเป็นการย่ำยีพระพุทธศาสนา ประพฤตินอกพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดา ทำให้พระพุทธศาสนา อันแสนประเสริฐต้องเสื่อมลงเช่นนั้น ก็พลันบังเกิดความสังเวชในดวงจิต และมีพระทัยคิดจะยกย่องพระบวรพุทธศาสนา จึงมีเทวโองการรับสั่งให้หา พระมาตลีเทพบุตร เข้ามาเฝ้า แล้วจึงมีเทวประกาศิตรับสั่งให้พระมาตุลีเทพบุตรนั้น จำแลงแปลงเพศเป็นสุนัขดำตัวใหญ่นักหนาขนาดม้าอาชาไนย มีเขึ้ยว ๔ ซึ่ใหญ่เท่ากับผลกล้วย ทั้งมีรัสมีพวกพุ่งออกจากปากน่ากลัวยิ่งนัก ปรากฎว่ามีความน่ากลัวขนาดที่หญิงมีครรภ์ เห็นเข้าแล้วตกใจจนครรภ์ตกไปได้ทีเดียว พระมาตลีเทพบุตรสุนัขแปลงมีพวงดอกไม้แดงผูกที่ศีรษะ ฝ่ายสมเด็จพระอมรินทร์เทวาธิราชผู้โพธิสัตว์เอง ก็ทรงจำแลงแปลงเพศเป็ฯนายพรานนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดคร่ำ เกล้าผมข้างหลัง สวมพวงดอกไม้แดงที่คอ หัตถ์ข้างซ้ายถือธนูมีสายประกอบด้วยสีเหมือนแก้วประพาฬ หัตถ์ข้างขวาถือเชือกผูกสุนัขนั้น แล้วก็พลันเสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ดั้นด้นมาถึงมนุษยโลก ณ กรุงพาราณสี ซึ่งมีพระเจ้าอุสสินนรมหาราช เป็นพระราชาในสมัยนั้น ครั้นจวนจะถึงพาราณสีซึ่งมีระยะทางกึ่งโยชน์ ก็ทรงอุโฆษณาการร้องประกาศกึกก้องขึ้น ๓ ครั้ง
ภิกษุทั้งหลาย! โลกจักฉิบหาย
ภิกษุทั้งหลาย! โลกจักฉิบหาย
ภิกษุทั้งหลาย! โลกจักฉิบหาย

แล้วก็ทรงดำเนินจูงสุนัขบ่ายหน้าไปยังพระบรมราชวัง ด้วยอาการขรึกอยู่ดูน่ากลัวนักหนา

ฝ่ายชาวประชาทั้งหลาย เมื่อได้ประสบการณ์เช่นนั้น ต่างก็พากันตกใจกลัวเป็นที่ยิ่ง วิ่งหนีเข้าไปกราบทูลพระเจ้าอุสสินนรมหาราชให้ทรงทราบ พระองค์ก็รีบรับสั่งให้ปิดประตูพระนครเสียโดยเร็ว เมื่อนายพรานมาถึงเห็นประตูวังปิดอยู่เช่นนั้นก็พาสุนัขดำใหญ่ของตนกระโดด ข้ามประตูวังซึ่งมีความสูงถึง ๑๘ ศอก เข้าไปในพระนครได้แล้ว ก็ปล่อยให้สุนัขเที่ยวไล่กัดคนทั้งหลายเป็นโกลาหล คนเหล่านั้นก็พากันวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต บางคนก็วิ่งหนีเข้าไปในเรือน บางคนวิ่งเข้าไปในพระลานหลวง พระราชทรงเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ตกพระทัย สุนัขใหญ่ตัวนั้นก็ยกเท้าหน้าทั้งสองขึ้นเหยียบช่องพระแกล แล้วก็เห่าขึ้นด้วยเสียงดุดันลงไปถึงอเวจีมหานรก และทางเบื้องสูงก็ดังขึ้นไปถึงพรหมโลก ชาวเมืองต่างก็พากันตกใจกลัวอกสั่นขวัญหาย ไม่มีใครกล้าออกมารอหน้านายพรานประหลาดนั้นได้เลย

เมื่อพระเจ้าอุสสินนรมหาราช รวบรวมพระสติได้มั่นแล้ว จึงมีพระดำรัสถามนายพรานป่าไปว่า
"สุนัขของท่าน มันเห่าเพราะอะไร?"
"มันหิว พระเจ้าข้า" นายพรานป่ากราบทูล
"ถ้าเช่นนั้น ก็มิเป็นไร เราจะหาอาหารให้มันเอง"

พระราชาตรัสแล้ว ก็ดำรัสสั่งให้คนจัดหาอาหารมาให้สุนัขตัวนั้น เมื่ออาหารถูกนำมาวางให้ตรงหน้า สุนัขใหญ่นั้นเคี้ยวขย้ำเพียงคำเดียวก็หมดแล้ว จึงเริ่มเห่าดุดันด้วยเสียงเขย่าขวัญคนทั้งหลายต่อไปอีก พระราชาก็ทรงให้จัดอาหารมาให้สุนัขใหม่ แม้จะหามาให้มากมายหลายครั้งหลายหน จนเอาอาหารหมอวังสุนัขนั้นก็เคี้ยวจนหมดสิ้น และหาอิ่มไม่ แล้วทำกิริยาตาขวางดุร้ายเห่าด้วยเสียงดังขึ้นอีก พระราชาเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นการณ์อันแปลกประหลาดเช่นนั้น ก็ทรงเกรงกลัวยิ่งนัก เพราะทรงตระหนักสงสัยว่าคงเป็นยักษ์ปลอมแปลงมาหรืออย่างไร จึงดำรัสถามพรานป่าต่อไปว่า

"สุนัขดำของท่านนี้ ดูท่าทีดุร้ายเหลือประมาณ มีเขี้ยวมีฟันขาว คมใหญ๋ จะให้กินเท่าใดก็ไม่อิ่ม มันกัดกินแต่อาหารหรือว่ากินอย่างอื่นด้วย?"

"ขอเดชะ ข้าแต่พระเจ้าอุสสินนรมหาราช ! สุนัขของข้าพระบาทตัวนี้ มันกัดกินมนุษย์ด้วย พระเจ้าข้า" พรานป่าสมเด็จพระอมรินทราธิราชทูลตอบ
"สุนัขของท่าน กินมนุษย์ทุกคนหรือๆ ว่าเลือกกินเฉพาะเป็นบางคน" พระราชทรงถามด้วยความหวั่นเกรง

"มันเลือก พระเจ้าข้า! เลือกยกเว้นเฉพาะผู้ที่มีธรรมเป็นมิตรของข้าพระบาทเท่านั้น มันจึงจะไม่กัดกิน แต่ถ้าผู้ใดไม่ใช่มิตรในธรรมของข้าพระบาทนี้ หากมีอยู่ในโลกแล้ว สุนัขดำตัวนี้ เมื่อหลุดจากเชือกล่ามคอที่ข้าพระบาทถือไว้ มันจะวิ่งไปกัดกินคนเหล่านั้นเป็นอาหารทั้งหมด ขอพระองค์จงทรงจำไว้เถิดพระเจ้าข้า"

พรานป่ากราบทูลดั่งนี้แล้ว ยังมิทันที่พระราชาจะดำรัสถามสิ่งใดต่อไป ก็เหาะลอยขึ้นไปกลางอากาศเวหา กายากลับเพศเป็นองค์สมเด็จพระอมรินเทวาธิราช รุ่งเรืองด้วยเทพรัศมีแล้ว มีเทวโองการขู่กษัตริย์อุสสินนรราชาผู้ครองนครนั้นว่า

"ดูกรพระราชา ตัวเรานี่เป็นท้าวสักกเทวราช เรานี่เห็นว่าโลกจักฉิบหาย เพราะว่าคนทั้งหลายพากันประพฤติผิดทำนองคลองธรรม ย่ำยีพระบวรพุทธศาสนาอันประเสริฐ ตายไปเกิดต็มแน่นอยู่ในอบายนรกแล้ว มีใจสังเวช จึงได้มาที่นี่ ต่อจากนี้ไป หากผู้ใดประพฤติไม่ชอบธรรม เราจะลงโทษผู้นั้น ขอพระองค์จงอย่าประมาท จงเอาใจใส่ราษฎรทั้งบรรพชิตแลคฤหัสถ์ ตักเตือนให้ประพฤติธรรมจงทั่วกันเถิด"

ครั้นมีเทวโองการขู่คนทั้งหลาย มีพระราชเป็นประธานให้เกิดความกลัวตาย เพราะจะถูกลงโทษจากเทพฤทธ์ ให้มีจิตเป็นกุศลตั้งอยู่ในธรรมดังนี้แล้ว องค์สมเด็จพระอมรินทร์เทวาธิราชผู้เป็นหน่อพระชินสีห์บรมโพธิสัตว์พร้อมด้วย สุนัขดำใหญ่ คือพระมาตลีเทพบตร ก็พากันเสด็จกลับไปยังดาวดึงส์เทวโลก

เรื่องที่พรรณนามานี้ ย่อมจะชี้ให้เห็นแล้วว่า พระบรมโพธิสัตว์ของเราท่านทั้งหลายนั้น พระองค์มีพระหฤทัยมั่นคงในธรรม และมีน้ำใจรักและห่วงใยพระบวรพุทธศาสนา เพียงไร แม้ว่ากำลังสถิตเสวยเทวสมบัติอยู่ ณ สรวงสวรรค์ แต่พระทัยนั้นมีความเป็นห่วงพระพุทธศาสนา เมื่อเห็นชาวประชาพากันประพฤตินอกรีตผิดทำนองคลองธรรม ก็มีอุตสาหะมาตักเตือนให้ประพฤติชอบ นี่แลเป็นคุณลักษณะของท่านผู้สร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ หวังจะช่วยรื้อขนสัตว์ไปให้พ้นจากทุกข์ภัยอันใหญ่หลวงในวัฏสงสาร

จำเนียรกาลแต่ชาติเป็นองค์สมเด็จพระอมรินทรเทวาธิราชตามที่เล่ามานี้แล้ว พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราก็เฝ้าสร้างสมอบรมบ่มพระบารมี จนกระทั่งถึงพระชาติที่ทรงสืบปฏิสนธิถือกำเนิดในมนุษยโลกเรานี้ คือ คราที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรมหาบุรุษเจ้า ก็ในกาลที่พระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรโพธิสัตว์เจ้านั้น ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมากมายทำให้พื้นแผ่นปฐพีไหวถึง ๗ ครั้ง ครั้นถึงแก่ชีพิตักษัยจากพระชาตินั้นแล้ว ก็ได้ไปอุบัติเกิดเป็นเทพยเจ้าผู้มเหศักดิ์นามว่า พระเสตุเกตุเทพบุตร เสวยทิพยสมบัติเป็นบรมสุขอยู่ ณ ดุสิตเทวโลก เจริญพระชนมายุได้ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ อันนี้เป็นธรรมประเพณีแห่งพระมหาบุรุษรัตนโพธิสัตว์เจ้าทุกๆ พระองค์มา

แท้จริง ธรรมดาว่าพระมหาบุรุษรัตนโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายนั้น หากว่าพระบารมียังมิได้บริบูรณ์แล้ว แม้ว่าในบางพระชาติจะได้ไปอุบัติเกิด  ณ สรวงสวรรค์ เทวโลกชั้นใดชั้นหนึ่งจะเป็นดุสิตเทวโลกก็ดี นิมานรดีเทวโลกก็ดี หรือปรนิมมิตวสวัตตีเทวโลกก็ดี ซึ่งมีอายุทิพย์ยั่งยืนนักหนา พระองค์ก็หาสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้นๆ จนตราบเท่าสิ้นพระชนมายุไม่ เพราะเหตุว่าในเทวภิภพนั้น ยากที่จะบำเพ็ญพระบารมีเพื่อพระโพธิญาณให้บริบูรณ์ได้ ฉะนั้นสมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายผู้มีหฤทัยจำนงรักใคร่อยู่แต่เฉพาะพระ โพธิญาณ เมื่อเสวยทิพยสมบัติพอควรแก่กาลแล้ว ย่อมทรงทำอธิมุตตกาลกิริยาจุติลงมาบังเกิดในมนุษยโลกเรานี้โดยควรแก่ อัธยาศัย หาสู้มีความอาลัยในสวรรคสมบัติมากนัไม่ เพราะมีความประสงค์ใคร่จะทรงสร้างพระบารมีให้บริบูรณ์เป็นประมาณ ครั้นเมื่อพระบรมโพธิสมภารเต็มเปี่ยมอาจสามารถจักได้ตรัสเป็นเอกองค์อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าในพระชาติต่อไปแล้ว จึงจะเสด็จสถิตอยู่ ณ ดุสิตเทวโลกจนครบกำหนดพระชนมายุ

ก็บัดนี้ หน่อพระชินสีห์โพธิสัตว์เจ้าที่เรากำลังติดตามดูพระประวัติของพระองค์ ท่านอยู่นี้ พระองค์ทรงมีพระบรมโพธิสมภารเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ตั้งแต่ครั้งเป็นพระเวสสันดรบรมกษัตริย์ ฉะนั้น จึงทรงมาอุบัติเกิดเป็นเทพบุตร เสวยทิพย์สมบัติเป็นสุขอยู่ ณ ดุสิตเทวโลกไป จวบจนสิ้นทิพายุกาลในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ซึ่งมีเวลานานถึง ๔,๐๐๐ ปี หรือถ้าจะนับด้วยปีมนุษยโลกนี้ ก็นับได้ ๕๗ โกฏิ ๖ ล้านปี รอเวลาที่จะได้ลงมาตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณต่อไป

พรรณนาในเรื่องการสร้างพระบารมีตอนปลาย ซึ่งนับเป็นเวลายาวนานได้ ๔ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัปแห่งองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดมบรมครู เจ้าของเราท่านทั้งหลาย เห็นสมควรทึ่จะยุติลงได้แล้ว จึงขอยุติลงด้วยประการฉะนี้

บทที่ ๕
พระบรมไตรโลกนาถ

บัดนี้ จักพรรณนาถึงความที่องค์สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระบรม ไตรโลกนาถ คือเป็นที่พึ่งอย่างยอดเยี่ยมแห่งสัตว์โลกทั้งสาม ซึ่งรวมทั้งตัวเราท่านทั้งหลายในปัจจุบันขณะนี้สืบต่อไป

นับตั้งแต่พระองค์ได้ทรงสร้าง พระพุทธบารมีเริ่มแรกเป็นมโนปณิธาน ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในพระทัย ณ สมัยที่ทรงสืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นมาณพหนุ่ม ผู้แบกมารดาข้ามมหาสมุทรเป็นต้นมา จนกระทั่งถึงครั้งสุดท้ายได้ทรงถือกำเนิดเกิดเป็นพระเวสสันดรมหาบุรุษพุทธ พงศ์โพธิสัตว์เจ้านับนับเป็นเวลาช้านาน รวมทั้งสิ้นได้ ๒๐ อสงไชย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป

ตลอดระยะเวลาเหล่านี้ พระองค์ผู้ทรงมีพระหฤทัยผูกพันมุ่งมั่นปรารถนาซึ่งพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ต้องทรงสร้างสมอบรมพระบารมีอย่างยิ่งยวด มิได้ทรงเอื้อเฟื้ออาลัยใยดีต่อร่างกายและชีวิตพระองค์เลยแม้แต่น้อย ต้องทรงพลีชีวิตเลือดเนื้อออกแลกกับพระโพธิญาณนับครั้งไม่ถ้วน

พระองค์ทรงบริจาคโลหิตในพระวรกายให้เป็นทน ก็มีประมาณมากกว่ากระแสชลวารีทั้ง ๔ สมุทร

พระองค์ทรงบริจาคมังสะ คือเนื้อในพระวรกายให้เป็นทานก็มีประมาณมากกว่าพื้นแผ่นมหาปฐพี

พระองค์ตัดพระเศียรซึ่งประดับสรรพอลังการให้เป็นทาน ถ้าจะประมาณสะสมเอาไว้ ก็มีประมาณมากกว่าผลมะพร้าวอันมีอยู่ในปฐพีมณฑล

พระองค์ทรงคว้านควัพระเนตรทั้งสองซ้ายขวาให้เป็นทานก็มีประมาณมากว่าดวงดารากรในอากาศ

พระองค์ทรงผ่านพระทรวง เพิกหฤทัยออกให้เป็นทานก็มีประมาณมากกว่าผลไม้ทั้งหลายบรรดามีในพื้นมณฑลสกลปฐพี

ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ความเสียสละอันยิ่งใหญ่ในการสร้างพระบารมี แห่งองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราย่อมปรากฎมีมากมายเป็นมหัศจรรย์ตาม ที่พรรณนามานี้ เมื่อพระองค์ทรงมีวาสนาบารมีครบถ้วนบริบูรณ์ทุกประการ และถึงกาลอันสมควรแล้ว พระองค์ก็เสด็จจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตเทวโลกมาอุบัติตรัสพระปรมาภิเษก เป็นเอกองค์สมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าในมนุษยโลกนี้ เมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว ซึ่งพระพุทธประวัติในตอนนี้ก็เป็นที่ทราบกันทั่วไปโดยมากแล้ว จึงจักขอยกไว้ ในที่สุด ใคร่ที่จะกล่าวถึงความที่พระองค์ทรงเป็นนาถะที่พึ่งอย่างยอดเยี่ยมของชาวโลก ว่าการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นนาถะที่พึ่งอย่างยอดเยี่ยม ของชาวโลกนั้น ทรงเป็นที่พึงได้อย่างไร?


ในกรณีนี้ ก่อนอื่นต้องทราบว่า การที่พระองค์ทรงพระอุตสาหะสร้างพระบารมีมาอย่างแสนลำบากยากเย็นตามที่ พรรณนามาแล้วนั้น ก็ด้วยมีพระประสงค์จะนำพระองค์ออกจากทุกข์ภัยในวัฏสงสารและมีพระประสงค์จะ รื้อขนสัตว์โลกออกจากทุกข์ภัยในวัฏสงสาร เพื่อให้มีโอกาสเข้าไปสู่แดนเกษมสำราญ คืออมตมหานิพพาน นี่แหละคือจุดประสงค์อันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระพุทธองค์เจ้า ขอให้พวกเราชาวพุทธบริษัทจำไว้ให้ดีอย่างนี้ก่อน ทีนี้ พวกเราจะพากันย้อนไปพูดถึงเรื่องที่ว่า วัฏสงสารฟ นั้น คือ อะไร? มีอรรถาธิบายที่ควรแก่การศึกษาให้เข้าใจ ดังต่อไปนี้
วัฏสงสาร

การที่สัตว์ทั้งหลายทุกรูปทุกนาม ต้องท่องเที่ยววนเวียนอยู่ในภูมิต่างๆ คือต้องวนเวียนตายเกิดอยู่ในโลกต่างๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด เรียกชื่อว่า วัฎสงสาร คือ การท่องเที่ยวเวียนตายเวียนเกิดเพราะวัฏฏ หมายถึงวนเวียน เมื่อจะจำแนกวัฏสงสารเป็นประเภทใหญ่ๆ เพื่อให้จำได้ง่าย ก็มี ๓ ประเภท คือ

๑. เหฏฐิมสงสาร คือ การท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในภูมิชั้นต่ำอันเป็นชั้นเลว มีทุกข์มาก ซึ่งมีอยู่ ๔ โลก คือ
๑. นิรยภูมิ โลกนรก
๒. เปตติวิสัยภูมิ โลกเปรต
๓. อสุรกายภูมิ โลกอสุรกาย
๔. ติรัจฉานภูม โลกเดียจฉาน
๒. ปัชฌิมสงสาร คือการท่องเที่ยวเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในภูมิชั้นกลางอันเป็นโลกชั้นดี มีสุขเป็นโลกีย์พอประมาณ ซึ่งมีอยู่ ๗ โลก คือ
๑. มนุสสภูมิ โลกมนุษย์
๒. จาตุมหาราชิกาภูมิ เทวโลกชั้น ๑
๓. ตาวติงสาภูมิ เทวโลกชั้น ๒
๔. ยามาภูมิ เทวโลกชั้น ๓
๕. ตุสิตาภูมิ เทวโลกชั้น ๔
๖. นิมมานรตีภูมิ เทวโลกชั้น ๕
๗. ปรนิมมิตวสวัตติภูมิ เทวโลกชั้น ๖
๓. อุปริมสงสาร คือการท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในภูมิชั้นสูง อันเป็นโลกชั้นดีวิเศษ มีสุขมาก ซึ่งมีอยู่ ๒๐ โลก คือ
๑. พรหมปาริสัชชาภูมิ พรหมโลกชั้น ๑
๒. พรหมปุโรหิตาภูมิ พรหมโลกชั้น ๒
๓. มหาพรหมภูมิ พรหมโลกชั้น ๓
๔. ปริตตาภาภูมิ พรหมโลกชั้น ๔
๕. อัปปมาณาภาภูมิ พรหมโลกชั้น ๕
๖. อาภัสสราภูมิ พรหมโลกชั้น ๖
๗. ปริตตสุภาภูมิ พรหมโลกชั้น ๗
๘. อัปปมาณสุภาภูมิ พรหมโลกชั้น ๘
๙. สุภกิณหกาภูมิ พรหมโลกชั้น ๙
๑๐. เวหัปผลาภูมิ พรหมโลกชั้น ๑๐
๑๑. อสัญญาสัตตาภูมิ พรหมโลกชั้น ๑๑
๑๒. อวิหาภูมิ พรหมโลกชั้น ๑๒
๑๓. อตัปปาภูมิ พรหมโลกชั้น ๑๓
๑๔. สุทัสสาภูมิ พรหมโลกชั้น ๑๔
๑๕. สุทัสสีภูมิ พรหมโลกชั้น ๑๕
๑๖. อกนิฏฐกาภูมิ พรหมโลกชั้น ๑๖
พรหมโลกทั้ง ๑๖ ภูมินี้เป็นรูปภูมิ คือเป็นที่อยู่ของพระพรหม ผู้วิเศษทั้งหลายที่ปรากฎมีรูป แต่ว่าเป็นรูปทิพย์
๑๗. อากาสานัญจายตนภูมิ พรหมโลกชั้น ๑๗
๑๘. วิญญานัญจายตนภูมิ พรหมโลกชั้น ๑๘
๑๙. อากิญจัญญายตนภูมิ พรหมโลกชั้น ๑๙
๒๐. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พรหมโลกชั้น ๒๐
พรหม โลกทั้ง ๔ ภูมินี้ เป็นอรูปภูมิ คือเป็นที่อยู่ของพระพรหมผู้วิเศษทั้งหลาย ซึ่งมีฌานอันสูงเยี่ยม อยู่ไกลสูงสุดจากมนุษยโลกเรานี้มากนัก ท่านพระพรหมเหล่านี้ไม่มีรูปร่างปรากฏอยู่เลย แม้แต่รูปทิพย์ก็ไม่มี และมีอายุยืนนานนับเป็นหมื่นๆ มหากัปทีเดียว


ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ภูมิเหล่านี้ทั้งหมด ยกเว้นสุทธาวาสภูมิ ๕ เสียแล้ว ย่อมเป็นที่อุบัติเกิด เป็นที่อยู่และเป็นที่ตายแห่งสัตว์ทั้งหลายทุกรูปทุกนาม ไม่มีการยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นเราเป็นท่าน ย่อมต้องท่องเที่ยวเวียนตายเวียนเกิดอยู่ภายในภูมิเหล่านี้เรื่อยไปไม่มี วันสิ้นสุดลงได้ต้องอยู่ภายในวัฏสงสารมิภูมิใดก็ภูมิหนึ่งอย่างแน่นอน


บรรดาสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารขณะนี้นั้น ที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้เที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดกาล ย่อมเป็นไปมิได้เลยเป็นอันขาด จงเชื่อเถิด แม้จะอุบัติเกิดในภูมิที่ดี ภูมิสูง เสวยสมบัติวิเศษสุดดุจพระยามหาจักรพรรดิราชก็ดี มีทิพยสมบัติประเสริฐหนักหนา ดุจองค์สมเด็จอมรินทราธิราชเจ้าจอมสวรรค์ชั้นไตรตรึกษ์ก็ได้ หรือมีความสุขแสนวิเศษดุจองค์พรหมเมศร์ ณ เบื้องพรหมโลกทั้งปวงก็ดี แต่ที่จะเที่ยงแท้ยั่งยืนเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดกาล ย่อมเป็นไปมิได้อย่างเด็ดขาด ย่อมจะต้องรู้พลัดรู้พรากรู้ฉิบหาย ตายจากสมบัติ จากความสุขนั้นๆ ไปเป็นธรรมดา ในเมื่อถึงคราวสิ้นอายุหมดบุญแล้ว ก็ย่อมจะแคล้วคลาดเคลื่อนจากวัฏสงสารที่กล่าวมานี้ และการที่จะไปเกิดในภูมิอะไรนั้น ก็เป็นไปตามอำนาจกรรมแห่งตน คือ

หากว่ามีอกุศลกรรม ได้แก่มีบาปอันหยาบช้าลามกที่ตนทำไว้ด้วยใจสกปรกใจหมองเศร้า บางทีเล่า ก็พลัดไปเกิดในจตุรบายคืออบายภูมิทั้ง ๔ มีโลกนรกเป็นต้น ต้องกระวนกระวายเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสเหลือประมาณ เพราะเป็นเหฏฐิมสงสาร การพลัดไปเกิดในภูมิขั้นต่ำ ถ้าทำความดีประกอบกรรมที่เป็นกุศลไว้ กรรมที่เป็นกุศลก็จะดลบันดาลให้ขึ้นมาอุบัติในมัชฌิมสงสาร คือเกิดในมนุษยภูมิ มีสุขบ้าง ทุกข์บ้างปะปนกันอยู่ตามที่รู้ๆ กันอยู่นี้ ถ้าทำความดีไว้มากก็ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดา ณ สวรรค์ชั้นฟ้า มีหน้าตาชื่นบานได้รับความสุขสำราญดีกว่ามนุษย์เป็นไหนๆ เพราะเต็มไปด้วยกามคุณอารมณ์ ถ้าได้สร้างสมาสมาธิจิตบำเพ็ญภาวนา จนบรรลุถึงฌานต่างๆ แล้ว ก็ไม่แคล้วที่จักไปอุบัติเกิด ณ พรหมโลกเป็นองค์พรหมเมศร์ กรรมที่ทำไว้ ถึงอายุขัยก็ต้องจุติไปเกิดในภูมิอื่นอีกต่อไปตามยถากรรม แล้วเฝ้าพำนักอยู่ และก็เวียนไปเวียนมาอยู่ในมหาสมุทรทะเลหลวง กล่าวคือวัฏสงสารนี้เรื่อยไปไม่มีวันหยุดยั้งเที่ยงแท้แน่นอนอยู่ในที่แห่ง เดียวได้เลย เพื่อความกระจ่างแจ้งในข้อนี้ พึงทราบความวิจิตรพิสดารของวัฏสงสาร ซึ่งจะกล่าวอย่างย่อๆ ดังต่อไปนี้

อันว่าฝูงสัตว์นรกนั้น ครั้นเขาสิ้นอายุในนรกขุมที่ตนเสวยทุกข์โทษนั้นแล้ว บางทีก็กลับเกิดซ้ำอยู่ในนรำขุมเก่านั้นอีกก็มี บางทีก็ไปเกิดในนรกขุมอื่นๆ ก็มี บางทีก็ไปเกิดเป็นเปรต บางทีไปเกิดในกำเนิดอสุรกายก็มี บางทีไปเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานก็มี บางทีก็มาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ บางทีถ้าเคยได้ประกอบกรรมอันเป็นบุญกุศลมาก่อนบ้าง ก็ได้ไปเกิดเป็นเทพยดา ณ สวรรค์เมืองฟ้า

อันว่าฝูงเปรตทั้งหลายนั้น ครั้นเขาสิ้นอายุตายจากเปรตวิสัยแล้ว บางทีก็ไม่แคล้วกลับเกิดเป็นเปรตซ้ำอีกก็มี บางทีไปเกิดเป็นสัตว์เดียรแานก็มี บางทีพอหมดบาปกรรมแล้ว มาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ก็มี บางทีก็เคยได้ประกอบกรรมอันเป็นกุศลมาก่อนบ้างก็ได้ ไปเกิดเป็นเทพยดา ณ สวรรค์เมืองฟ้า

อันว่าฝูงอสุรกายทั้งปวงนั้น ครั้นเขาสิ้นอายุตายจากอสุรกายภูมิแล้ว บางทีก็ไม่แคล้วกลับเกิดเป็นอสุรกายซ้ำอีกก็มี บางทีก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรกก็มี บางทีไปเกิดเป็นเปรตก็มี บางทีไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี บางทีก็กลับมาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ก็มี บางทีถ้าเคยได้ประกอบกุศลกรรมความดีไว้บ้างแล้ว ก็ได้ไปเกิดเป็นเทพยดา ณ สวรรค์เมืองฟ้า

อันว่าฝูงสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายนั้น ครั้นเขาสิ้นอายุตายจากติรัจฉานภูมิแล้ว บางทีก็ไม่แคล้วต้องกลับเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานอีกเช่นนี้ก็มี บางทีก็ไปเกิดในกำเนิดเปรตก็มี บางทีก็ไปเกิดเป็นอสุรกายก็มี บางทีก็มาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ก็มี บางทีถ้าเคยได้ประกอบกุศลกรรมความดีไว้ ก็ได้มีโอกาสไปเกิดเป็นเทพยดา ณ สวรรค์เมืองฟ้า

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
อันว่ามนุษย์ชายหญิงท้งหลายในมนุษยโลกเรานี้ เมื่อแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ก็ได้ ๒ ประเภท คือ
๑. อันธพาลปุถุชน... ได้แก่คนพาลสันดานหยาบ บุญบาปไม่คำนึงถึง มีชีวิตอยู่ไปวันๆ หนึ่งประดุจคนตาบอด แต่เข้าใจว่าตนเป็นยอดคนในเชิงความคิด เที่ยงแผลงฤทธิ์ประพฤติทุจริตเกเร มีจิตใจหวนเหไปข้างบาป มีใจอาบไปด้วยความชั่วเช่นนี้ ครั้นเขาดับขันธ์สิ้นชีวี ตายจากมนุษย์แล้วก็ไม่แคล้วที่จะต้องไปเกิดในอบายภูมิ คือไปเกิดเป็นสัตว์นรก ๑ เป็นเปรต ๑ เป็นอสุรกาย ๑ เป็นเดียรฉาน ๑ เช่นนี้ก็มี บางทีอันธพาลปุถุชนนี้ ก็กลับมาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ซ้ำอีกแต่หลีกกรรมชั่วไปไม่พ้น เขาจึงเป็นคนทุรพลพิการเป็นพาลอัปลักษณ์บัดสีมีน้ำใจโหดหื่น ผู้อื่นเห็นเขาเป็นคนสันดานร้ายเพราะใจเขามิรู้จักบุญและบาปเลย

๒. กัลยาณปุถุชน ... ได้แก่คนดีมีสันดานงาม มีศีลธรรมประจำใจประกอบไปด้วยหิริความละอายต่อบาปและโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปกรรม พยายามจะทำแต่ความดี มีการให้ทานรักษาศีลเป็นต้น บำเพ็ญกุศลอยู่เนืองๆ เช่นนี้ ครั้นเขาดับขันธ์ถึงแก่ชีพิตักษัยตายไปจากมนุษย์แล้ว ก็ย่อมไม่แคล้วที่จะไปเกิดเป็นเทพยดา ณ สวรรค์เมืองฟ้าชั้นใดชั้นหนึ่ง เช่นจตุมหาราชิกาสวรรค์ และไตรตรึงษ์สวรรค์เป็นต้น เช่นนี้ก็มีบางทีก็กลับมาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ซ้ำอีก แต่หลีกกรรมดีงามที่ตนทำไว้ไม่พ้น เขาจึงเกิดเป็นคนที่อุดมไปด้วยมนุษย์สมบัติ เกิดในตระกูลสูง ฝูงชนพากันรักใคร่ได้รับความสุขสบายนักหนา และกัลยาณปุถุชนอีกจำพวกหนึ่งนั้น มีน้ำใจอาญหาญเหลือประมาณ ได้กระทำสมถกรรมฐานบำเพ็ญภาวนากรรม จนสำเร็จฌานต่างๆ ครั้นเขาวางวายสิ้นชีวิตจากโลกนี้แล้ว ก็ไม่แคล้วที่จักไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมผู้วิเศษ ณ พรหมโลก
อัน ว่าเหล่าเทพยดาผู้สถิตเสวยสุขอยู่ ณ เทวโลกทั้งหลายนั้น ครั้นเขาหมดอายุถึงกาลจุติแล้ว บางทีก็ไม่แคล้วอุบัติเกิดเป็นเทพยดาอยู่ที่สวรรค์ชั้นเดิมซ้ำอีก เช่นนี้ก็มี บางทีก็ไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหม ณ พระหมโลกก็มี บางทีก็ลดลงมาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ บางทีมีบาปอกุศลที่ตนเคยทำก็จะมีอันเป็นให้วาบหวำตกลงมาจากเทวโลก จุติไปอุบัติเกิดในจตุรบาย คือเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดียรฉาน เช่นนี้ก็มี ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามอำนาจแห่งอกุศลที่ทำไว้เป็นที่น่าสังเวชสลดใจนัก

อันว่าพระพรหมผู้มเหศักดิ์ทั้งหลาย ซึ่งสถิตย์อยู่ ณ เบื้องบรมพรหมโลกนั้นเล่า ครั้นเขาสิ้นอายุจุติจากพรหมโลกแล้วบางทีก็ไม่แคล้วต้องอุบัติเป็นพระ พรหมอยู่ ณ พรหมโลกนั้นก็มี บางทีก็กลับมาเกิดเป็นคน ณ มนุษยโลกเรานี้ แต่ที่จะไปอุบัติเกิดในจตุรบายภูมินนั้นมิได้มี ที่ว่ามานี้ มิใช่ว่าพระพรหมทั้งหลายท่านปิดอบายภูมิได้ เป็นแต่เพียงว่า ท่านที่จุติจากพรหมโลกแล้ว จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิใดในชาติที่ ๒ เท่านั้น ในชาติต่อไปนั้นไม่แน่ อาจจะไปเกิดในอบายภูมิทั้งหลาย ภูมิใดภูมิหนึ่งก็ได้ ยกตัวอย่าง เช่น มีพระพรหมผู้วิเศษองค์หนึ่ง ซึ่งหมดอายุจุติจากพรหมโลกแล้ว มาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ หากว่าคนที่เคยเป็นพระพรหมแล้ว มาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ หากว่าคนที่เคยเป็นพระพรหมมาก่อนนั้น มีความประมาทประกอบกรรมอันเป็นบาปหยาบช้าเช่น ปาณาติบาต เป็นต้น และก่อนที่จะตาย จิตยึดเหนี่ยวเอาอกุศลปาณาติบาตนั้นเป็นนิมิตตารมณ์ อย่างนี้ ทั้งๆ ที่คนผู้นั้นเคยเป็นพระพรหมมาก็ตาม ก็ต้องไปเกิดในอบายภูมิ คือต้องเป็นสัตว์นรก เพราะอกุศลชาตินี้ชักนำไป ฉะนั้น จึงได้ว่าพระพรหมทั้งหลายท่านไม่ไปเกิดในอบายภูมิในชาติที่ ๒ เท่านั้น แต่ชาติต่อไปนั้นไม่แน่

สภาพการณ์แห่งวัฏฏสงสาร ย่อมเป็นเช่นที่กล่าวมานี้แล ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนั้น ที่จะมีอันเป็นเที่ยงแท้แน่นอนตลอดกาล ย่อมจะเป็นไปมิได้เลย ย่อมจะต้องมีอันเป็นให้ท่องเที่ยวไปเกิดในโลกที่ดีบ้าง ชั่วบ้าง และสุขบ้าง ทุกข้บ้าง สลับสับสนปะปนกันไป หากคราวใดได้มีโอกาสไปเกิดในโลกที่ดีมีความสุข กล่าวคือเทวโลกหรือพรหมโลกแล้ว คราวนั้นนับว่าเป็นการดี แต่ทีนี้ ถ้าพลาดพลั้งลงไปอุบัติเกิดใน
โลกชั่ว เช่นโลกนรกและโลกเปรต เป็นต้นแล้ว ย่อมไม่แคล้วที่จะได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส และเป็นการยากนักหนาที่จักยกตนขึ้นมาจากโลกชั้นต่ำนั้นได้ เพราะจะต้องมีอันเป็นให้เวียนตายเวียนเกิดอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานแสนนาน

อีกประการหนึ่ง การท่องเที่ยวเวียนวนอยู่อย่างมะงุมมะงาหลาในวัฏสงสารนี้นัน นับว่าเป็นการเวียนวนไปมาไม่มีเวลาสิ้นสุด กรณีนี้สิน่าสะพึงกลัวนักหนา ลองหลับตานึกวาดภาพดูบัดนี้เถิดว่า ประชาสัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งตัวเราที่กำลังเป็นมนุษย์อยู่ขณะนี้ด้วย ต้องเวียนเกิดเวียนตายอยู่อย่างนั้นตลอดไป ไม่ว่าจะเกิดขึ้นครั้งใดเป็นต้องตายลงไป ครั้งนั้น เกิดทีไรเป็นต้องตายทุกที ซ้ำซากอยู่อย่างนี้ไม่มีวันหยุดยั้ง ตัวเรานี้เอง เกิดตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ที่ไม่รู้ตัว มาทำเป็นหลงลืมเสียเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำวางทีท่าเป็นมนุษย์อย่างสง่าผ่าเผยในขณะนี้ ก็เพราะอวิชชา คือความไม่รู้ในเรื่องชาติภพมันปิดบังเสียเท่านั้นเอง และต่อไปนี้อีกไม่นาน ตัวเราก็ต้องตายแล้วใช่ไหมเล่า? ตายแล้วก็เกิดอีก แต่เฝ้าตายเกิดอยู่อย่างนี้ตลอดไปและตลอดไปไม่มีวันสิ้นใดลงได้ ดังนั้นท่านจึงว่า วัฏสงสาร เป็นภัยที่น่ากลัวกว่าสิ่งที่น่ากลัวทั้งหลายในทุกโลก

พระสัพพัญญูเจ้า

ลำดับนี้ จึงมีปัญหาต่อไปว่า จะทำอย่างไร จึงสามารถนำประชาสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งต้องตายและต้องเกิดเวียนวนไปมาอย่างไม่หยุดนี้ ให้รอดพ้นจากวัฏสงสารอันมีภัยใหญ่น่าสะพึงกลัวนั้นเสียได้

คำวิสัชชนาก็มีอยู่ว่า อย่าไปคิด...อย่าไปทำด้วยตนเองให้ยากลำบากไปเปล่าๆ เลย ไม่สำเร็จดอก ถึงจะทำอย่างไรๆ ก็ไม่สำเร็จ ต่อให้มีฤทธาศักดาเดช เป็นองค์พรหมเมศร์องค์อินทร์และพญายมราช หรือแม้แต่มนุษย์ผุ้มีความเพียรเป็นอุกฤษฐ์ ประพฤติตบะบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์เป็นโยคีฤาษีชีไพรก็ดี หรือผู้มีความคิดยอดเยี่ยม ทำตนเทียมเทวดา มีปฏิภาณโวหารกล้า มหาชนยกย่องนับถือกันทั่วทั้งโลกก็ดี หากว่ายังมีสันดานเป็นพาลปุถุชน ไม่รู้พระจตุราริยสัจธรรมแล้ว ก็มิอาจที่จะนำประชาสัตว์ออกจากวัฏสงสารได้สำเร็จ อย่าว่าแต่ผู้มีกิเลสทั้งหลายตามที่กล่าวมาแล้วนี่เลย แม้แต่องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งพระองค์ท่านเป็นพระอรหันต์ ตัดกิเลสขาดออกจากจิตสันดานได้จนหมดสิ้นแล้วด้วยพระองค์เอง ถึงกระนั้น พระองค์ท่านก็สามารถนำพระองค์ออกจากวัฏสงสารได้ แต่ลำพังพระองค์ท่านผู้เดียวเท่านั้น แต่ไม่ทรงสามารถที่จะนำประชาสัตว์ทั้งหลายออกจากวัฏสงสารไปได้

แต่วิสิฐบุคคลผู้หนึ่งนั้นไซร้ ได้มุ่งมั่นด้วยหฤทัยหมายใคร่จะรื้อขนสัตว์โลกออกไปจากวัฏสงสาร จึงปรารถนาพระโพธิญาณ อุตส่าห์สร้างสมอบรมบ่มพระบารมีมานานนักหนา และพอพระบารมีแก่กล้าก็ได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นเอกอุงค์อัครบรมศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้จตุราริยสัจธรรมเป็นพระอรหันต์ หมดกิเลสเป็นสมุทเฉทประหานด้วยพระองค์เมื่อหมดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหานด้วย พระองค์แล้ว มีน้ำพระทัยประกอบไปด้วยพระกรุณาใหญ่ พระพุทธองค์เจ้านี่เอง พระพุทธองค์เจ้านี้แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น จึงจะทรงสามารถนำประชาสัตว์ออกจากวัฏสงสารได้ ขอให้พวกเราชาวพุทธบริษัท พึงตระหนักในข้อนี้ให้จงดี จักได้มีน้ำใจเลื่อมใสในพระมหากรุณาธิคุณแห่งสมเด็จพระจอมมุนีโดยยิ่ง


ก็การที่องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎจอมมุนีนาถบรมศาสดาจารย์เจ้าทรงสามารถนำ ประชาสัตว์ออกจากวัฏสงสารได้นี้ พระองค์ทรงสามารถนำออกไปได้จริงๆ ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญู คือทรงมีพระปัญญาแหลมคม ทรงรู้ทุกสิ่งทุกประการ เกินกว่าที่ปัญญาแห่งสามัญสัตว์จะรู้ได้ สิ่งไรที่ว่าพระองค์ไม่ทรงรู้เป็นอันไม่มี ในกรณีที่พระองค์เป็นพระสัพพัญญูทรงรู้ทุกสิ่งอย่างละเอียดลออ เกินวิสัยของปัญญาสามัญสัตว์ตลอดไตรโลกนี้ ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงเห็นตัวอย่างที่ท่านยกไว้อย่างอุกฤษณ์ ดังต่อไปนี้

สมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูเจ้า พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระสัพพัญญุตญาณนั้น ย่อมทรงรู้บุญรู้บาปแห่งสัตว์ทั้งปวง พระองค์ทรงรู้ได้โดยละเอียด รู้โดยอุปเทสสิ้นท่วงสิ้นที หาผู้ที่จะเสมอเหมือนมิได้ ดุจใตกรณีตัวอย่าง คือ

ชาวบ้านร้อยคนพันคนพากันกระทำอกุศลกรรม ฆ่าเนื้อตัวเดียวกัน หรือฆ่าสุกรตัวเดียวกันก็ดี เจตนาในการฆ่าแห่งชาวบ้านทั้งปวงนั้น จะได้เหมือนกันก็หามิได้ คือ บางคนมีเจตนากล้าหาญ คิดทำการฆ่าด้วยลำพังใจตนเอง บางคนมีเจตนาฆ่าอ่อน ห่าเพราะมีผู้ชักชวนหรือมีผู้ใช้ บางคนเสียมิได้จำใจต้องฆ่า บางคนกลัวคนอื่นเขาว่าจึงต้องฆ่า แต่บางคนเมื่อร่วมกันฆ่าเนื้อ หรือสุกรนั้นมีจิตชื่นชมโสมนัสในการฆ่า บางคนก็ได้แต่มัธยัสถ์เป็นอุเบกขา มิได้ยินดียินร้ายในการฆ่านั้น บางคนมิได้ลงมือฆ่าเป็นแต่ช่วยโห่ช่วยร้อง บางคนไม่โห่ไม่ร้อง ได้แต่เพิกเฉยอยู่จะห้ามเสียก็ไม่ห้าม เพราะตกลงปลงใยด้วยเจตนาในการฆ่าย่อมมีเป็นต่างๆ กันเช่นนี้ จะได้มีเหมือนกันนั้นหามิได้เลย

เมื่อชาวบ้านเป็นร้อยเป็นพัน พากันกระทำอกุศลกรรมในคราวเดียวร่วมกัน เช่นวามานี้ สมเด็จพระจอมมุนีสัพพัญญูเจ้า ย่อมทรงรู้แจ้งประจักษ์ละเอียดละออ แต่แรกกระทำ โดยทรงรู้ว่า "บรรดาชาวบ้านที่ทำอกุศลกรรมด้วยกันในครั้งนี้ หากแตกายทำลายขันธ์ไปแล้ว...
ผู้นี้จักได้ไปเกิดในสัญชีวนรก
ผู้นั้นจักได้ไปเกิดในกาฬสุตตนรก
ผู้โน้นจักได้ไปเกิดในสังฆาฏนรก
ผู้นี้จักได้ไปเกิดในรุวนรก
ผู้นั้นจักได้ไปเกิดในมหาโรรุวนรก
ผู้โน้นจักได้เกิดในตาปนรก
ผู้นี้จักได้ไปเกิดในมหาตาปนรก
ผู้นั้นจักได้ไปเกิดในอเวจีนรก
ผู้โน้นจักได้ไปเกิดในอุสสทนรก
ผู้นี้จักได้ไปเกิดในยมโลกิยนรก
ผู้นั้นจักได้ไปเกิดในนิชฌามตัณหิกเปรต
ผู้โน้นจักได้ไปเกิดเป็นขุบปิปาสิกเปรต
ผู้นี้จักได้ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานมีเท้ามาก
ผู้นั้นจักได้ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานประเภทสัตว์ไม่มีเท้าและผู้โน้นมีบาป น้อยกว่าคนทั้งปวง บาปในครั้งนี้มิอาจจะให้ปฏิสนธิได้ ต่อเมื่อใดกรรมอื่นให้ผลปฏิสนธิแล้ว บาปที่ตนกระทำในครั้งนี้จึงจะพลอยให้ผล
ชน ชาวบ้านร้อยคนพันคนร่วมมือกันกระทำอกุศลกรรมอย่างเดียวกัน กระทำในคราวเดียวกัน คนเหล่านั้นจะได้รับทุกข์โทษ ต้องเสวยผลแห่งบาปต่างกันเป็นประการใดๆ ก็ดี สมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมทรงรู้แจ้งประจักษ์ทุกสิ่งทุก ประการ ตั้งแต่เขาเหล่านั้นแรกลงมือกระทำทีเดียวดังนัยดังพรรณนามานี้

ในกรณีที่ทำกุศลกรรมก็เช่นเดียวกัน เมื่อชาวบ้านเป็นร้อยเป็นพันร่วมมือกันทำบุญอย่างเดียวกัน และกระทำในคราวเดียวกัน สมเด้จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงรู้แจ้งประจักษ์อย่างละเอียดลออทุก ประการ ตั้งแต่เขาเหล่านั้นลงมือกระทำ พระองค์ก็ทรงรู้ว่า "บรรดาคนทั้งปวง ซึ่งพากันประกอบกองการกุศลด้วยในครั้งนี้ ย่อมมีกุศลเจตนาต่างกันเป็นอย่างๆ เมื่อจะได้เสวยผล ก็เสวยผลต่างกันอย่างนี้ๆ คือ
ผู้นี้จักได้ไปเกิด ณ ปรินิมมิตวสวัตตีสวรรค์
ผู้นั้นจะได้ไปเกิด ณ นิมมานรตีสวรรค์
ผู้โน้นจะได้ไปเกิด ณ ดุสิตสวรรค์
ผู้นี้จักได้ไปเกิด ณ ยามาสวรรค์
ผู้นั้นจักได้ไปเกิด ณ ดาวดึงส์สวรรค์
ผู้โน้นจักได้ไปเกิด ณ จาตุมหาราชิกาสวรรค์
ผู้นี้จะได้ไปเกิดเป็นภุมมเทวดา
ผู้นั้นจะได้ไปเกิดเป็นมเหสักขาเทวราชผู้ใหญ่
ผู้โน้นจะได้ไปเกิดเป็นฐานันดรที่สองรองเทวดาผู้ใหญ่
ผู้นี้จะได้ไปเกิดเป็นฐานันดรที่สามรองเทวดาผู้ใหญ่
ผู้นั้นจะได้ไปเกิดเป็นทวดารับใช้
ผู้โน้นจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลกษัตริย์
ผู้นี้จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลพราหมณ์
ผู้นั้นจะได้ไปเกิดเป็มนุษย์ในตระกูลพระยามหาอำมาตย์
ผู้โน้นจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลรองจากพระยามหาอำมาตย์
ผู้นี้จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลพ่อค้าพานิช
ผู้นั้นจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลชาวนา
ผู้โน้นจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลพ่อครัว
ผู้นี้จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์คนใช้ของผู้อื่น
และ ผู้คนอื่น มีบุญน้อยกว่าคนทั้งปวง บุญในครั้งนี้มีผลน้อยมิอาจจะให้ปฏิสนธิได้ ต่อเมื่อใดบุญกรรมอื่นให้ผลปฏิสนธิแล้ว บุญที่ตนกระทำในครั้งนี้จึงจะพลอยให้ผลได้'

จึงเป็นอันว่า ชนร้อยคนพันคนร่วมมือกันกระทำกุศลกรรมอย่างเดียวกัน แลเขาเหล่านั้นจะได้รับผลแห่งกุศลที่ตนประกอบขึ้นต่างๆ กัน เป็นประการใดๆ ก็ดี สมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมทรงรู้แจ้งประจักษ์อย่าง ละเอียดลออทุกสิ่งทุกประการ ตั้งแต่เขาเหล่านั้นแรกลงมือประกอบการทีเดียว ด้วยประการฉะนี้

กรณีตัวอย่างที่กล่าวมานี้ ย่อมจักชี้ให้เห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงอบรมบ่มพระบารมีมา ช้านาน จนกระทั่งได้ตรัสแก่พระปรมาภิเศาสัมโพธิญาณนั้น พระพุทธองค์ท่านย่อมทรงไว้ซึ่งความเป็นพระสัพพัญญู กล่าวคือทรงรู้แจ้งประจักษ์ชัดในสภาวธรรมทุกสิ่งทุกประการ โดยที่พระองค์ทรงประกอบด้วยพระสัพพัญญูตญาณอันหาญกล้า ทรงไว้ซึ่งพระปัญญาเกินกว่าสามัญสัตว์โดยประการทั้งปวง สมควรที่ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจะไม่ต้องเคลือบแคลงสงสัยในความเป็นพระ สัพพัญญูของพระองค์อีกต่อไป (การฝึกให้รู้ทุกสิ่งนี้ ศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือ "วิธีสร้างสรรค์ภูมิปัญญา" จัดพิมพ์โดยคณะสังคมผาสุก)

ก็ในเมื่อสมเด็จพระพุทธองค์ทรงไว้ซึ่งความเป็นพระสัพพัญูเช่นนี้ และได้มีโอกาสเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกแล้ว องค์พระประทีปแก้วจึงทรงชี้ให้เห็นเหล่าประชาชนสัตว์ได้ทราบโดยนัยว่า

บรรดาสัตว์ในไตรโลก คือสัตว์ที่กำลังมีชีวิตอยู่ในเหฏฐิมสงสารหรือภูมิเบื้องต่ำ ซึ่งได้แก่สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดียรฉานก็ดี สัตว์ที่กำลังมีชีวิตอยู่ในมัชฌิมสงสาร หรือภูมิเบื้องกลาง ซึ่งได้แก่มนุษย์และสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ในอุปริมสงสารหรือภูมิเบื้องสูง ซึ่งได้แก่พระพรหมผู้วิเศษทั้งหลายก็ดี สัตว์เหล่านี้ทั้งหมด ล้วนตกอยู่ในอำนาจของวัฏสงสาร คือต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิเหล่านี้ ต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างไม่มีวันสิ้นสุด และไม่มีวันพักผ่อน ไม่ว่าจะเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในภูมิไหน


ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
อะไรเป็นเหตุให้ต้องเวียนวนอยู่ในวัฏสงสารเช่นนี้เล่า? ก็เพราะเหตุที่ยังมีกิเลสติดอยู่ในจิตสันดาน ตราบใดที่ยังมีกิเลสติดอยู่ในจิตสันดานแล้ว ก็จะถูกกิเลสนี่แหละมันพาให้หลงติดอยู่มิรู้หยุดหย่อน เมื่อพูดถึงกิเลสตัณหาที่นอนนิ่งอยู่ในสันดานของประชาสัตว์นี่แล้ว แต่ละสัตว์แต่ละบุคคลก็มีอยู่มากมายเหลือพรรณนา ท่าย่อมว่า กิเลส ๑๕๐๐ ตัณฆา ๑๐๘ ย่อมมีเป็นประจำอยู่ในสันดานของแต่ละบุคคล การที่จะจับเอากิเลสตัณหามาจาระไนทีละตัวนั้น ย่อมเป็นการยากนักหนา ฉะนั้นจึงขอรวบรัดกล่าวว่า กิเลสตัณหาอันมากมายเหล่านั้น รวมเรียกว่าเป็นสิ่งจัญไรสิ่งหนึ่ง ซึ่งคอยผูกมัดสัตว์ทั้งหลายให้เวียนตายเกิดอยู่ในโลกต่างๆ สิ่งจัญไรที่ว่านี้ มีชื่อว่าสัญโญชน์

สัญโญชน์

ธรรมชาติใด ทำการผูกประชาสัตว์ไว้ให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร ธรรมชาตินั้น เรียกชื่อว่า สัญโญชน์ ซึ่งมีอยู่ ทั้งหมด ๑๐ ประการคือ
๑. ทิฐิสัญโญชน์
๒. วิจิกิจฉาสัญโญชน์
๓. สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์
๔. กามราคะสัญโญชน์
๕. ปฏิฆะสัญโญชน์
๖. รูปราคะสัญโญชน์
๗. อรูปราคะสัญโญชน์
๘.มานะสัญโญชน์
๙. อุทธัจจะสัญโญชน์
๑๐.อวิชชาสัญโญชน์
สัญโญชน์ เหล่านี้ มีสภาพเปรียบเสมือนโซ่เหล็กจัญไรผูกมัดไว้ที่คอของประชาสัตว์ทั้งหลายในโลก ต่างๆ ซึ่งรวมทั้งเราท่านทั้งหลาย ที่กำลังอยู่ในมนุษยโลกขณะนี้ด้วย แล้วฉุดกระชากลากไปให้ไปเกิดในภูมิที่ดีบ้าง ชั่วบ้าง ให้ต้องเสวยผลกรรมของตนเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง อย่างไม่มีเวลาที่จะสิ้นสุดหยุดหย่อนลงเลย แม้แต่ชั่วขณะเล็กน้อยเพียงเสี้ยวแห่งวินาทีเดียว เมื่อพิจารณาดูด้วยปัญญาจึงจะเห็นเป็นภาวะที่น่าเบื่อหน่ายน่าระอานักหนา ตราบใด หากว่ายังตัดโซ่เหล็กที่ผูกคอคือสัญโญชน์เหล่านี้ไม่ได้แล้ว ก็อย่าหวังเลยว่าจักได้หยุดการท่องเที่ยวไปอย่างเหน็ดเหนื่อยในวัฏสงสาร

แต่การที่จะตัดสัญโญชน์เหล่านี้ให้หลุดไปจากตนนั้นเป็นการกระทำที่ยากนักหนา เพราะว่าประชาสัตว์ในไตรโลก ตามปกติเป็นผู้มีปัญญามืดบอดเพราะถูกอวิชาเข้าครอบงำ อย่าว่าแต่คิดจะตัดสัญโญชน์ให้หลุดออกไปจากจิตสันดานของตนเองเลย แม้แต่เจ้าตัวสัญโญชน์ที่มันมีสภาวะเหมือนกับโซ่เหล็กที่ฉุดกระชากลากให้ตน ไปเกิดในภูมินั้นภูมินี้อยู่อย่างไม่หยุดหย่อน ประชาสัตว์ทั้งหลายก็หามีปัญญาที่จะรู้จักไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะป่วยการกล่าวไปใย ถึงการที่จะคิดตัดสัญโญชน์เหล่านี้ได้

ต่อเมื่อใด สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก เมื่อนั้นพระองค์ผู้ทรงเป็นพระสัพพัญญูเจ้าย่อมทรงชี้แจงแสดงให้ประชาสัตว์ ได้รู้จักสัญโญชน์เหล่านี้ และที่เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งขึ้นไปกว่านี้ ก็คือว่า พระองค์ทรงพระกรุณาบอกหลักการและวิธีการสำหรับตัดสัญโญชน์ ไว้อย่างเรียบร้อยในศาสนธรรมคำสอนของพระองค์ ซึ่งศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้ เรียกให้รู้กันอยู่ทั่วไปอย่างคุ้นหูว่า พระบวรพุทธศาสนา ฉะนั้น จึงอาจที่จะกล่าวได้ว่าวิธีการตัดสัญโญชน์นี้ มีอยู่แต่เฉพาะในพระบวรพุทธศาสนาเท่านั้น ในคำสอนของชนเหล่าอื่นไม่มีอย่างแน่นอน จึงควรที่พวกเราจักอนุสรณ์ระลึกถึงคุณแห่งพระบวรพุทธศาสนา อันเป็นที่สุด เคารพสุดบูชานี่ ให้จงมากเถิด
โลกุตรภูมิ

วิธีการตัดสัญโญชน์ ซึ่งเปรียบเสมือนโซ่เหล็กจัญไร ที่คอยฉุดกระชากลากประชาสัตว์ให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอันมีภัยน่า สะพึงกลัวนั้น ต้องทำการตัดเป็นข้อๆ ไป ตามลำดับแห่ง โลกุตตระ คือภูมิที่พ้นโลก ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด ๔ ภูมิ คือ
๑. โลตาปันนโลกุตรภูมิ
๒. สกิทาคามิโลกุตรภูมิ
๓. อนาคามีโลกุตรภูมิ
๔. อรหัตโลกุตรภูมิ
ในบรรดาโลกุตรภูมิทั้ง ๔ นี้มีอรรถาธิบายตามลำดับ ดังต่อไปนี้
โสตาปันนโลกุตรภูมิ

โลกุตรภูมิ ขั้นที่ ๑ นี้ มีนามว่า โสตาปันนโลกุตรภูมิ =ภูมิที่พ้นโลก คือผู้ถึงกระแสพระนิพพาน หมายความว่า ท่านผู้ใดบรรลุถึงภูมินี้แล้ว ท่านผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่า พระโสดาบันอริยบุคคล เป็นพระอริยบุคคลชั้นแรกในพระบวรพุทธศาสนา เป็นผู้ได้ดื่มอมตรสคือพระนิพพานแล้ว

ท่านที่ได้บรรลุถึงโลกุตตรภูมิขั้นนี้ ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ แล้วจะได้จะถึงขึ้นมาเอง ไม่ใช่อย่างนั้น โดยที่แท้ ต้องเป็นผู้มีโชคอย่างประเสริฐสุดได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระบวรพุทธศาสนาแล้ว มีศรัทธากล้าหาญมั่นคงปลงปัญญาลงเห็นภัยในวัฎสงสารใคร่จะตามรอยบาทพระ พุทธองค์มุ่งตรงต่อพระนิพพาน จึงอุตสาหะปฏิบัติธรรมบำเพ็ญกรรมฐานและจะบำเพ็ญกรรมฐานอย่างอื่นก็ไม่ได้ ต้องบำเพ็ญ วิปัสสนากรรมฐาน เท่านั้น จึงจะได้ และในการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานนั้น ถ้าบำเพ็ญวิปัสสนาเป็นมิจฉาปฏิบัติ คือปฏิบัติไม่ถูกต้อง กลายเป็นวิปัสสนาเทียมไปเสียก็ไม่ได้ ต้องบำเพ็ญวิปัสสนาเป็นสัมมาปฏิบัติ คือปฏิบัติถูกต้องตามกระแสพุทธฎีกา เป็นวิปัสสนาอย่างแท้จริงจึงจะได้ (วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ศึกษาได้จากหนังสือ "พระพุทธเจ้าสอนกรรมฐาน" จัดพิมพ์โดยคณะสังคมผาสุก)

เมื่อบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานเป็นสัมมาปฏิบัติแล้วและเมื่ออินทรีย์ทั้ง ๕ คือ สัทธินทรีย์ ๑ วิริยินทรีย์ ๑ สตินทรีย์ ๑ สมาธินทรีย์ ๑ ปัญญินทรีย์ ๑ ถึงความพร้อมเพรียงสม่ำเสมอกันเป็นอันดีไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใดอย่าง หนึ่งแล้ว พระวิปัสสนาญาณ ก็จะเกิดขึ้นและก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับ ดังต่อไปนี้
๑. นามรูปปริเฉทญาณ... มีปรีชากำหนดนาม กำหนดรูปได้ พูดง่ายๆ ว่า รู้จักตนเองว่าคืออะไรกันแน่
๒. ปัจจยปริคตหาญาณ... มีปรีชากำหนดเหตุผลของนาม รู้ว่ารูปและนามทั้งสองนี้ ต่างเป็นเหตุผลแห่งกันและกัน
๓. สัมมสนญาณ... มีปรีชาเห็นพระไตรลักษณ์ เห็นรูปนามเป็นไปตามอำนาจแห่งพระไตรลักษณ์ คืออนิจจลักษณ์ ทุกขลักษณ์ และอนันตลักษณ์ เพราะเมื่อถึงญาณนี้แล้ว พระไตรลักษณ์จะปรากฎให้เห็นมาก
๔. อุทยัพพยญาณ... มีปรีชาเห็นความเกิดดับแห่งรูปนามเพราะเมื่อบรรลุถึงญาณนี้แล้ว รูปนามจะแสดงอาการเกิดดับให้ปรากฎเห็นมากมาย
๕. ภังคญาณ... มีปรีชาเห็นรูปนามแตกดับ เสื่อมสลายหายไปเพราะเมื่อบรรลุถึงญาณแล้ว รูปนามจะแสดงอาการแตกดับให้ปรากฎเห็นมากมาย และละสมมติบัญญัติเข้าขั้นปรมัตถสภาวะล้วน
๖. ภยญาณ... มีปรีชาเห็นรูปนามเป็นภัย คือเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะเมื่อบรรลุถึงญาณนี้แล้ว รูปนามจักแสดงสภาวะที่น่ากลัวให้ปรากฎเห็นอย่างแจ่มชัด
๗. อาทีนวญาณ... มีปรีชาเห็นรูปนามโดยอาทีนวโทษ เพราะเมื่อบรรลุถึงญาณนี้แล้ว รูปนามจักแสดงทุกข์โทษให้ปรากฎเห็นอย่างแจ่มชัด
๘. นิพพิทาญาณ... มีปรีชาให้เกิดความเบื่อหน่ายในรูปนาม เพราะเมื่อบรรลุถึงญาณนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานซึ่งเรียกว่า โยคีบุคคล จะเกิดความรู้สึกให้เบื่อหน่ายในรูปนามเป็นที่สุด การที่จะเกิดเบื่อโลกต่างๆ ไม่ปรารถนาที่จะไปเกิดอยู่ ณ ภูมิไหนๆ ก็มาเบื่อเอาจริงๆ ในตอนนี้ คือ ในตอนที่บรรลุนิพิทาญาณนี้
๙. มุญจิตุกัมยตาญาณ... มีปรีชาเกิดปรารถนาใคร่จะไปเสียให้พ้นจากรูปนาม เพราะเมื่อถึงญาณนี้แล้ว โยคีบุคคลผู้ปฏิบัติจะเกิดความรู้สึกใคร่จะหลุดพ้นใคร่จะออกจากวัฏสงสารเสีย เป็นที่สุด โลกอะไรแม้จะดีวิเศษสักเพียงไหน ก็ไม่อยากอยู่ทั้งนั้น อยากถึงพระนิพพาน การที่จะมีความปรารถนาพระนิพพานนั้น จะมีความปรารถนาเอาจริงๆ ก็ในตอนนี้
๑๐. ปฏิสังขาญาณ... มีปรีชาพิจารณากำหนดพระไตรลักษณะอีกทีหนึ่ง เพราะเมื่อโยคีบุคคลบรรลุถึงญาณนี้แล้วพระไตรลักษณ์จะปรากฎให้เห็นอย่าง ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งและการที่จักเข้าไปถึงพระนิพพานได้นั้น ต้องเข้าไปโทษทางอันประเสริฐ กล่าวคือพระไตรลักษณ์นี้เท่านั้น
๑๑. สังขารุเปกขาญาณ... มีปรีชากำหนดวางเฉยในรูปนามทั้งปวง ไม่มีความยินดียินร้ายในสังขารอารมณ์ทั้งหมด จิตแห่งโยคีบุคคลถึงสภาวะที่เรียกว่าสงบเป็นอย่างยิ่ง เพราะสังขารุเปกขาญาณนี้เป็นยอดแห่งโลกียญาณ ถ้าวาสนาบารมีไม่พอ โยคีบุคคลผู้นั้นปฏิบัติก็จะติดขัดอยู่เพียงแค่นี้ สภาวะญาณไม่ขึ้นต่อไป หากวาสนาบารมีเคยสร้างไว้ คือได้อบรมบารมีไว้พอและอินทรีย์ทั้ง ๕ ก็ถึงภาวะที่ได้ส่วนสมดุลกันดี โยคีบุคคลก็จะก้าวขึ้นสู่วิปัสสนาญาณเบื้องสูงต่อไป
๑๒. อนุโลมญาณ... จะก้าวขึ้นสู่โลกุตรภูมิขั้นแรกแล้วเป็นญาณที่มีสภาวะตระเตรียม เพื่อความอุบัติขึ้นแห่งพระอริยมรรคอันประเสริฐ
๑๓. โคตรภูญาณ... กำลังก้าวเข้าสู่โลกุตรภูมิ ทำการประหาร โคตรปุถุชน ให้ขาดได้อย่างเด็ดขาดในตอนนี้เอง
๑๔. มรรคญาณ... ถึงโลกุตรภูมิแล้ว พระอริยมรรคบังเกิดขึ้นแล้ว แต่เป็นพระอริยมรรคขั้นที่ หนึ่ง ซึ่งเรียกชื่อว่าปฐมมรรค หรือพระโสตาปัตติมรรค ทำการตัดโซ่เหล็ก กล่าวคือสัญโญชน์ ได้เป็นบางข้อบางเปลาะแล้ว แต่จะตัดสัญโญชน์อะไรบ้างนั้น เดี๋ยวเอาไว้พูดกันทีเหลัง
๑๕. ผลญาณ...เสวยผลอันประเสริฐสุดแห่งโลกุตตรภูมิได้รู้รสชาติพระอมตมหานิพพานที่ต้องการและปรารถนามานานนักหนา
๑๖. ปัจจเวกขณญาณ...พิจารณาดูว่าตนละกิเลสอะไรได้บ้าง พูดอีกทีก็ว่า ทำการตรวจตราดูว่าตัดสัญโญชน์อะไรได้บ้างแล้ว
ท่าน ผู้มีปัญญาทั้งหลาย เมื่อท่านผู้ใดอุตสาหะบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งได้ผ่าน โสฬสญาณ คือวิปัสสนาญาณทั้ง ๑๖ ตามที่พรรณนามานี้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าบรรลุถึงโสดาบันโลกุตรภูมิ และได้นามว่าเป็น พระโสดาบันอริยบุคคล
คุณวิเศษ

ท่านพระโสดาบันอริยบุคคลนี้ ท่านตัดโซ่เหล็กอันเป็นบ่วงร้อยรัดให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร กล่าวคือสัญโญชน์ได้ ๓ ประการ คือ
๑. สักกายทิฐิสัญโญชน์ ... ความเข้าใจผิดในรูปนาม
๒. วิจิกิจฉาสัญโญชน์ ... ความสงสัยในพระไตรรัตน์ คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ การที่จะมาปลงใจเชื่อในพระบรมพุทธศาสนา เชื่อในพระปัญญาสามารถแห่งสมเด็จพระจอมมุนีนาถ สัมพุทธเจ้าก็มาเชื่อเอาอย่างแน่นอนเด็ดขาด ในตอนที่ตัดวิจิกิจฉาสัญโญชน์ได้นี่เอง
๓. สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ ...ความยึดถือในข้อปฏิบัติที่ผิดไม่ถูกทาง การที่จะให้ยึดถือข้อปฏิบัติอื่นใดในภายนอกพระบวรพุทธศาสนา เช่น ถือว่าการบำเพ็ญศีลและพรตอย่างฤษี ชีป่า ดาบส ว่าเป็นหนทางให้บรรลุถึงพระนิพพานนั้น ย่อมไม่มีในสันดานแห่งพระโสดาบันอริยบุคคลอย่างเด็ดขาด เพราะว่าท่านตัดสีลัพพตปราสมาสัญโญชน์นี้ได้แล้ว
จงเป็น อันว่า สัญโญชน์เบื้องต่ำทั้ง ๓ ประการนี้ พระอริยบุคคลโสดาบัน ท่านตัดได้อย่างเด็ดขาด ไม่ให้มีเหลือติดอยู่ในจิตสันดานแห่งตนเลย นอกจากนี้ ท่านยังสามารถจะเข้าโสดาบันผลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามจิตปรารถนาอีกด้วย และถึงแม้ว่าจะตัดสัญโญชน์ได้เพียง ๓ ประการ ยังไม่หมดเลยทีเดียว ถึงกระนั้น ท่านก็ตัดการเวียนว่ายตายเกิด ในวัฎสงสาร อันมีภัยน่าสะพรึงกลัวได้มากทีเดียว เพราะมีกฎธรรมดาอยู่ว่า พระโสดาบันบุคคลจะเกิดอีกอย่างมาก ไม่เกิน ๗ ชาติ ตามประเภทแห่งพระโสดาบัน ๓ จำพวก คือ
๑.เอกพีชีโสดาบัน.. ท่านพระโสดาบันจำพวกนี้ จะเกิดอีกเพียง ๑ ชาติ แล้วก็จะมีโอกาสได้บรรลุพระอรหัตผลเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในพระบวรพุทธ ศาสนา และแล้วก็จัดกับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพาน

๒. โกลังโกละโสดาบัน... ท่านพระโสดาบันจำพวกนี้ จะเกิดอีกเพียง ๒-๓ ชาติเป็นต้น แล้วก็จะมีโอกาสได้บรรลุพระอรหันตผล สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา และแล้วก็จัดกับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพาน

๓. สัตตักขัตตุบรมโสดาบัน... ท่านพระโสดาบันจำพวกนี้เป็นจำพวกสุดท้าย เพราะมีวาสนาบารมีหย่อนกว่าพระโสดาบันทั้ง ๒ จำพวกที่กล่าวมาแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้มีวาสนาบารมีด้อยกว่าก็จริง ถึงกระนั้นท่านก็จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ แล้วก็จะมีโอกาสได้บรรลุพระอรหัตผล สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในพระบวรพุทธศาสนาและแล้วก็จักดับขันธ์ เข้าสู่พระปรินิพพาน
การที่พระโสดาบันอริยบุคคลมี ประเภทแตกต่างกันออกไปเป็น ๓ จำพวกดังกล่าวมานี้ ก็เพราะเหตุว่าบารมีอินทรีย์ที่ท่านอบรมสั่งสมมานนั้นแตกต่างกัน คือ


ถ้า สร้างบารมีมาอย่างแก่กล้า เป็นบุคคลประเภทโทสจริต จิตสันดานมากไปด้วยปัญญา แต่มีสมาธิน้อย เคยเจริญวิปัสสนามามาก เมื่ออินทรีย์ทั้ง ๕ แก่กล้าในชาตินี้แล้ว ก็สามารถได้บรรลุมรรคผลอย่างรวดเร็ว เช่นนี้ก็เป็นพระเอกพีชีโสดาบัน

ถ้า สร้างบารมีมาอย่างปานกลาง เป็นบุคคลประเภทราคจริต จิตสันดานมีปัญญาและสมาธิเท่ากัน เคยเจริญวิปัสสนากรรมฐานและสมถกรรมฐานมาเท่าๆ กัน เมื่ออินทรีย์ทั้ง ๕ แก่กล้าในชาตินี้แล้ว ก็สามารถได้บรรลุมรรคผลอย่างปานกลาง คือไม่เร็วไม่ช้า เช่นนี้ก็เป็นพระโกลังโกละโสดาบัน

ถ้า สร้างบารมีมาอย่างอ่อน เป็นบุคคลประเภท โมหะจริต จิตสันดานมีสมาธิมาก แต่ปัญญาน้อย เจริญวิปัสสนากรรมฐานมาน้อย แต่เคยเจริญสมถกรรมฐานมามาก เมื่อินทรีย์ทั้ง ๕ แก่กล้าในชาตินี้แล้ว ก็สามารถได้บรรลุมรรคผลเหมือนกันแต่บรรลุได้อย่างเชื่องช้ากว่าพระโสดาบัน ประเภทอื่น เช่นนี้ก็เป็นพระสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน

เมื่อกล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว การที่ท่านพระโสดาบันเหล่านี้จะเกิดทุกๆ ชาติอีกต่อไปนั้น ต้องเข้าใจว่าท่านจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ คือ ภูมินรก เปรต อสุรกาย เดียรฉาน เหล่านี้เลยเป็นอันขาด เพราะโลกุตรธรรมที่ท่านได้บรรลุนี้เป็นวิเศษสูงยิ่ง สามารถปิดอบายภูมได้อย่างเด็ดขาดและแน่นอน ทุกๆ ชาติที่ท่านเกิดนั้น ท่านจะต้องไปเกิดในภูมิที่ดี มีความสุขเป็นพิเศษ เช่น เมื่อไปอุบัติเกิด ณ เทวโลก ก็เป็นเทพยดาเจ้าผู้เพียบพร้อมอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเทวสมบัติ หรือเมื่อมาเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ก็เกิดในตระกูลสูง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยมนุษยสมบัติเป็นต้น แต่ข้อสำคัญที่นับเป็นพิเศษก็คือว่า ท่านได้สมบัติแก้วอันประเสริฐล้ำเลิศยิ่งกว่าสมบัติแห่งพระเจ้าจักรพรรดิราช เจ้า หรือสมบัติวิเศษอื่นใดพระบวรพุทธศาสนา และจักได้ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานในอนาคตกาลอย่างแน่นอน นับได้ว่าท่านเป็นผู้มีโชคดี ได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาแล้ว ยังยึดเอาองค์พระประทีปแก้ว คือสมเด็จพระพุทธเจ้ามาเป็นนาถะที่พึ่งแห่งตนได้อย่างแท้จริง อีกโสดหนึ่งด้วย ดังธรรมภาษิตที่ว่า
สมเด็จ พระเจ้าจักรพรรดิราชผู้บริบูรณ์ด้วยทรัพย์มหาศาลทั้งเป็นอิสระใหญ่ในหมู่ มนุษย์ สมเด็จพระอมรินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์หรือท่านท้าวมหาพรหมผู้เจริญ ด้วยอิสระ มีมหิทธานุภาพยิ่งใหญ่ในหมู่พระพรหมทั้งหลายก็ตาม ถึงกระนั้นก็สู้ความเป็นพระโสดาบันอริยบุคคลไม่ได้ ดังนี้

สกิทาคามีโลกุตรภูมิ

โลกุตรภูมิ ขั้นที่ ๒ มีนามว่า สกิทาคามีโลกุตรภูมิ = ภูมิที่พ้นจากโลก คือท่านที่จะมาเกิดอีกครั้งเดียว หมายความว่า ท่านผู้ใดบรรลุถึงภูมินี้แล้ว ท่านผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่า พระสกิทาคามี อริยบุคคล เป็นพระอริยบุคลชั้นที่ ๒ ในพระบวรพุทธศาสนาจะกลับมาเกิดอีกครั้งเดียวเท่านั้น ก็จักดับขันธ์ปรินิพพาน

ท่านที่จะบรรลุถึงโลกุตรภูมิขั้นนี้ ต้องเป็นผู้ที่บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานผ่านโสดาปันนโลกุตรภูมิมาแล้ว ปรารถนาจักบรรลุมรรคผลขั้นนี้ จึงเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไปให้ยิ่งขึ้น เมื่ออินทรีย์ทั้ง ๕ เสมอกันแล้ว เพราะมีวาสนาบารมีที่ตนได้สั่งสอนอบรมมาเพียงพอ สภาวะแห่งวิปัสสนาญาณก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ อุทยัพพยญาณ เป็นต้นไป จึงถึงสังขารุเปกขาญาณ แต่สภาวญาณเหล่านี้ จะปรากฎชัดเจนและละเอียดแจ่มแจ้งกว่าสภาวญาณที่ตนเคยผ่านมาแล้ว ต่อจากนั้น อนุโลมญาณ ก็จะเกิดขึ้น ติดตามมาด้วย โวทนะ (โว ทานะแทนโคตรภูญาณ เพราะท่านผู้นี้เป็นพระอริยบุคคลแล้ว มิใช่ปุถุชน เพราะฉะนั้น ญาณที่ตัดโคตรปุถุชน คือ โคตรภูญาณ จึงไม่จำต้องเกิดขึ้นอีก) ครั้นแล้วทุติยมรรค หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระสกิทาคามิมรรค ก็จักอุบัติขึ้น ติดตามมาด้วยพระสกิทาคามิผล เป็นการถึงพระนิพพานอีกครั้งหนึ่ง พระสกิทาคามิมรรคนี้ไม่มีอำนาจตัดสัญโญชน์อันใดอันหนึ่งได้เด็ดขาด แต่ถึงกระนั้น ก็มีอำนาจทำกิเลสทั้งหลายให้เป็น ตนุกร คือทำให้เบาบางกว่าพระโสภาปัตติมรรค ซึ่งเป็นพระอริยมรรคครั้งแรกเป็นธรรมดา

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
คุณวิเศษ

ท่านพระสกิทาคามิอริยบุคคลนี้ นอกจากจะมีกิเลสเบาบางกว่าพระโสดาบันอริยบุคคลแล้ว ยังมีคุณวิเศษ คือสามารถเข้าถึงสกทาคามีผลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามจิตปรารถนาอีกด้วย แต่ที่วิเศษสุดยอดก็คือว่า ท่านพระสกิทาคามีอริยบุคคลนี้ ท่านจะเกิดอีกชาติเดียวเท่านั้น ก็จักได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และแล้วก็จัดดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพาน ส่วนการที่ท่านจะเกิดอีกชาติเดียวนั้น ท่านจะไปเกิด ณ ที่ไหน ก็เป็นไปตามประเทภแห่งพระสกิทาคามี ๕ จำพวกคือ
๑. บางท่านเป็นมนุษย์ สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคลในมนุษยโลกนี้ แล้วจุติไปอุบัติเกิดเป็นเทพเจ้า ณ สวรรค์เทวโลก ครั้นแล้วจึงจุติจากสวรรค์เทวโลก กลับมาเกิดในมนุษยโลกเรานี้อีกครั้งหนึ่งแล้วได้บรรลุพระอรหัตผลและดับขันธ์ ปรินิพพานในมนุษยโลกนี้เอง

๒. บางท่านเป็นมนุษย์ สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคลแล้ว กระทำความเพียรเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งได้บรรลุพระอรหัตผลและดับขันธ์ปรินิพพานในชาติเดียวในมนุษยโลกเรา นี่เอง

๓. บางท่านเป็นมนุษย์ สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคลในมนุษยโลกนี้แล้วจุติไปอุบัติเกิดเป็นเทพเจ้า ณ สวรรคเทวโลก ครั้นแล้วก็ได้บรรลุพระอรหัตผล และดับขันธ์ปรินิพพานบนสวรรคเทวโลกนั่นเอง

๔. บางท่านเป็นเทพดาเจ้า สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคล ณ สวรรคเทวโลก แล้วได้บรรลุพระอรหัตผล และดับขันธ์ปรินิพพานบนสวรรคเทวโลกนั่นเอง

๕. บางท่านเป็นเทพยดาเจ้า สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคล ณ สวรรคเทวโลกแล้วจุติมาอุบัติเกิดในมนุษยโลกเรานี้ได้บรรลุพระอรหันตผล และดับขันธ์ปรินิพพานในมนุษย์โลกนี้เอง
ท่านผู้มี ปัญญาทั้งหลาย ความอัศจรรย์แห่งพระโอวาทานุสาสนีขององค์สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกรณีที่สามารถชักนำสัตว์ให้ออกไปจากวัฏสงสารได้อย่างแน่นอน ย่อมปรากฎมีตามที่พรรณนามานี้ ผู้มีปัญญาเห็นภัยในวัฏสงสารคนใด เมื่อมีใจเลื่อมใสยึดถือเอาพระพุทธองค์มาเป็นนาถะที่พึ่งแล้วและพยายาม ปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี ผู้นั้นย่อมจะตัดภพตัดชาติที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารได้อย่าง เด็ดขาดเป็นขั้นๆ ไป โดยไม่ต้องสงสัย


อนาคามีโลกุตตรภูมิ

โลกุตรภูมิขั้นที่ ๓ มีนามว่า อนาคามีโลกุตรภูมิ = ภูมิพ้นจากโลก คือท่านผู้จะไม่กลับมาอีก หมายความว่า ท่านผู้ใดบรรลุถึงภูมินี้แล้ว ท่านผู้นี้ย่อมได้ชื่อว่า พระอนาคามี อริยบุคคล เป็นพระอริยบุคคลชั้นที่ ๓ ในพระบวรพุทธศาสนา ท่านจะไม่กลับมาถือปฏิสนธิในกามาวจรภูมิ คือมนุษยโลกและเทวโลกอีกเลย

ท่านที่จะได้บรรลุถึงโลกุตรภูมิขั้นนี้ ต้องเป็นผู้บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ผ่านโลกุตรภูมิขั้นที่ ๒ มาแล้ว ปรารถนาที่จะบรรลุมรรคผลขั้นนี้ จึงตั้งหน้าอุตสาหะเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้ยิ่งขึ้นไป เมื่ออินทรีย์ทั้ง ๕ ได้ส่วนสมดุลเสมอกันเป็นอันดีแล้ว เพราะวาสนาบารมีที่ตนได้สั่งสมอบรมมาเพียงพอสภาวญาณก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อุทยัพพยญาณ เป็นต้นไปจนกระทั่งถึง สังขารุเปกขาญาณ แต่สภาวญาณเหล่านี้จะปรากฎชัดเจนจนละเอียดแจ่มแจ้งกว่าญาณที่ตนเคยได้ผ่านมา ต่อจากนั้น อนุโลมญาณ ก็จะเกิดขึ้นตามติดมาด้วย โวทานะ ครั้นแล้ว ตติยมรรค หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระอนาคามิมรรค ก็จักเกิดขึ้น พอพระอนาคามิมรรคเกิดขึ้น ก็จักทำการประหารสัญโญชน์ได้อย่างเด็ดขาดอีกบางประการ แต่จะประหารสัญโญชน์อะไรบ้างนั้น ประเดี๋ยวจะกล่าวทีหลัง ครั้นพระอนาคามีมรรคเกิดขึ้นแล้ว พระอนาคามีผลก็จักปรากฎตามติดกันมา จึงเป็นอันว่า บัดนี้ ท่านผู้นั้นเป็นพระอนาคามีบุคคลแล้ว

ตามที่กล่าวมานี้ ดูเหมือนเป็นสิ่งที่กระทำได้สำเร็จง่ายๆ แต่ความจริงเปล่าเลย เพราะเป็นการกระทำที่ยากนักหนาสำหรับโยคีบุคคลผู้ปฏิบัติ เพราะว่าผู้ปฏิบัติเพื่อให้พระอนาคามิมรรคเกิดขึ้นในสันดานของตนนี้ ต้องเป็นผู้ที่มีสมาธิอย่างดีเยี่ยม ต้องเป็นผู้มีสมาธิเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ที่สุด โดยมีกฎตายตัวอยู่ว่า

ท่านผู้สามารถที่จะปฏิบัติให้พระโสดาปัตติมรรคและพระสกิทาคามิมรรคบังเกิดขึ้นในสันดานของตนนั้น ต้องเป็นผู้บริบูรณ์ด้วย ศีล คือ มีศีลบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง

ท่านผู้สามารถที่จะปฏิบัติให้พระอนาคามีมรรคบังเกิดขึ้นในสันดานของตนนั้นต้องเป็นผู้บริบูรณ์ด้วย สมาธิ คือมีสมาธิดีเป็นยอดเยี่ยม

ฉะนั้น การปฏิบัติบำเพ็ญเพื่อความเป็นพระอนาคามีบุคคลนี้ จึงต้องมีสมาธิดีเป็นอย่างยิ่ง ต้องมีสมาธิเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ที่สุด พระอนาคามีมรรคจึงจักอุบัติเกิดขึ้นได้ แม้จะเป็นการปฏิบัติที่ค่อนข้างจะยาก แต่ก็มิใช่สิ่งเหลือวิสัยสำหรับผู้ใคร่จะออกจากทุกข์ในวัฏสงสาร

คุณวิเศษ

ท่านพระอนาคามีอริยบุคคลนี้ ท่านตัดสัญโญชน์ได้เด็ดขาดไปอีก ๒ ประการ คือ
๑. กามราคะสัญโญชน์... ประหารกามราคะความติดอยู่ในกามคุณอารมณ์ทุกชนิดได้อย่างเด็ดขาด พูดอีกทีก็ว่า ไม่มีความรักความใคร่ติดอยู่ในจิตเลย ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามีมรรคนี้

๒. ปฏิฆะสัญโญชน์...ประหารปฏิฆะ คือความไม่พอใจในอารมณ์ต่างๆ ได้อย่างเด็ดขาด พูดอีกทีก็ว่าไม่มีโทโสโกรธาติดอยู่ในจิตเลย ตัดความโกรธได้ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามิมรรคนี้
เห็น ไหมเล่า ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ว่าการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา สามารถตัดโซ่เหล็กอันผูกมัดคอสัตว์ให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร กล่าวคือสัญโญชน์ได้เป็นลำดับมา บัดนี้ ตัดสัญโญชน์ได้ ๕ ประการ แล้ว คือ
๑. สักกายทิฐิสัญโญชน์
๒. วิจิกิจฉาสัญโญชน์
๓. สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์
สัญโญชน์ทั้ง ๓ ประการนี้ ตัดได้ด้วยอำนาจแห่งพระโสดาปัตติมรรคที่กล่าวมาในตอนต้นนั้นแล้ว
๔. กามราคะสัญโญชน์
๕. ปฏิฆะสัญโญชน์
สัญโญชน์ทั้ง ๒ ประการนี้ ตัดได้ด้วยอำนาจแห่งพระนาคามิมรรค ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้

ส่วนสัญโญชน์ที่เหลืออีก ๕ ประการ จะสามารถตัดได้หรือไม่? และถ้าตัดได้ จะตัดด้วยอะไร? ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงอุตส่าห์ติดตามศึกษาต่อไป ประเดี๋ยวก็คงจะทราบตอนนี้จะขอกล่าวถึงคุณพิเศษของพระอนาคามีบุคคลก่อน คือพระอนาคามีอริยบุคคลนี้ นอกจากท่านจะตัดสัญโญชน์ได้อีก ๒ ประการตามที่กล่าวมาแล้ว ท่านยังสามารถที่จะเข้าอนาคามีผลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามจิตปรารถนาอีกด้วย แต่ที่วิเศษสุดก็คือว่า เมื่อท่านจุติไปแล้ว จะไม่กลับมาปฏิสนธิในกามภูมิ เช่นมนุษยโลกและเทวโลกอีกเลย ท่านย่อมไปอุบัติเกิดในสุทธาวาสพรหมโลก แล้วก็จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์ปรินิพพานบนโน้นเลยทีเดียว

ในวันนี้ หากจะมีปัญหาว่า การที่จะไปอุบัติเกิด ณ พรหมโลกได้นั้น จะต้องปฏิสนธิด้วยฌานวิบากอันเป็นผลแห่งฌานกุศล สำหรับพระอนาคามิบุคคลที่เป็นฌานลาภี เคยบำเพ็ญสมถกรรมฐานได้ฌานมาก่อน ก็ไม่มีปัญหาอันใด คือต้องไปเกิดในพรหมโลกได้แน่ๆ แต่ทีนี้พระอนาคามีบุคคลที่เป็น สุกขวิปัสสกะ คือบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานมาอย่างเดียวล้วนๆ ไม่เคยบำเพ็ญสมถกรรมฐาน ไม่เคยได้ฌานมาก่อนเลย แล้วอย่างนี้จะไปบังเกิดในพรหมโลกได้อย่างไรกัน?

ปัญหานี้ไม่ต้องสงสัย เพราะว่าพระอนาคมีบุคคลประเภทสุกขวิปัสสกะนี้ เมื่อท่านใกล้จะจุติ มัคคสิทธิฌาณ ย่อมบังเกิดขึ้น แล้วก็เป็นปัจจัยนำให้ท่านไปเกิดในพรหมโลก ถึแม้ว่าท่านจะถึงแก่มรณภาพลงโดยไม่ทันรู้ตัว เช่น ขณะที่กำลังหลับอยู่ก็ดี หรือขณะที่กำลังกระทำกิจการใดๆ เผลออยู่ก็ดี มีผู้มากระทำร้ายให้ถึงแก่มรณภาพลงในทันทีทันใด โดยมิได้รู้ตัวเลย เช่นนี้มัคคสิทธิฌาณก็ย่อมจะบังเกิดขึ้นแก่ท่านก่อนแล้วจึงจะจุติ ตราบใดที่มัคคสิทธิฌาณยังไม่เกิดขึ้นแล้ว พระอนาคามีบุคคลประเภทนี้จักไม่มีการจุติเลยเป็นอันขาด ต่อเมื่อมัคคสิทธิฌานบังเกิดขึ้นแล้ว ท่านจะจุติไปปฏิสนธิ ณ พรหมโลกดังกล่าวนั้น

และเมื่อท่านไปอุบัติเกิดในพรหมโลกแล้ว ย่อมจักมีโอกาสได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์ปรินิพพาน ตามประเภทแห่งพระอนาคามี ๕ จำพวกคือ
๑. อันตราปรินิพพายี... ได้แก่พระอนาคามีบุคคลที่ไปอุบัติเกิด ณ สุทธาวาสพรหมโลกภูมิใดภูมิหนึ่งแล้ว ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานภายในอายุครึ่งแรกของสุทธาวาสพรหมโลก ที่ท่านไปเกิดนั้น

๒. อุปหัจจปรินิพพายี... ได้แก่พระอนาคามีบุคคลที่ไปอุบัติเกิด ณ สุทธาวาสพรหมโลกภูมิใดภูมิหนึ่งแล้ว ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานภายในอายุครึ่งหลังของสุทธาวาสพรหมโล ที่ท่านไปเกิดอยู่นั้น

๓. อสังขารปรินิพพายี... ได้แก่พระอนาคามีบุคคลที่ไปอุบัติเกิด ณ สุทธาวาสพรหมโลกภูมิใดภูมิหนึ่งแล้ว ก็ได้สำเร็จพระอรหันต์ในภูมินั้นโดยสะดวกดายไม่ต้องใช้ความพยายามมากแล้ว ดับขันธ์ปรินิพพาน

๔. สสังขารปรินิพพายี... ได้แก่พระอนาคามีบุคคลที่ได้ไปอุบัติเกิด ณ สุทธาวาสพรหมโลก ภูมิใดภูมิหนึ่งแล้ว ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในภูมินั้นโดยต้องใช้ความพยายามอย่างแรงกล้าแล้ว ดับขันธ์ปรินิพพาน

๕. อุทธังสโตอกนิฏฐคามี...ได้แก่พระอนาคามีบุคคลที่ไปอุบัติเกิด ณ สุทธาวาสพรหมโลกชั้นต่ำ คือพรหมโลกชั้น อวิหาภูมิ แล้ว จึงจุติไปอุบัติเกิดในสุทธาวาสพรหมโลกชั้นสูงขึ้นไปตามลำดับ คือ
อตัปปาภูมิ
สุทัสสาภูมิ
สุทัสสีภูมิ
อกนิฏฐกาภูมิ
แล้วจึงได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์ปรินิพพานที่ชั้นอกนิฏฐกาภูมิ สุทธาวาสพรหมโลกเอง
คุณวิเศษ ที่พรรณนามานี้ เป็นคุณวิเศษแห่งพระอนาคามีอริยบุคคลผู้ทรงพระคุณ อันประเสริฐในพระบวรพุทธศาสนาผู้ซึ่งจะไม่กลับมาสู่กามภูมิคือเทวโลกและ มนุษยโลกนี่อีกเลยในอนาคตกาล สำหรับในปวัตติกาล หากสมัยใดมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกแล้ว พระอนาคามีอริยบุคคลซึ่งเป็นองค์พระพรหมผู้วิเศษสถิตย์อยู่ ณ ปัจสุทธาวาสพรหมโลกทั้งหลาย ก็ย่อมจะจรมาสู่มนุษยโลกเรานี้ เพื่อที่จักได้ทอดทัศนาและได้สดับพระสัทธรรม แห่งองค์สมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างเป็นครั้งคราว เช่นนี้ก็มีอยู่บ้างเป็นธรรมดา

ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นในโลกแล้ว พระองค์ก็ทรงดำรงฐานะอยู่ในภาวะเป็นนาถะที่พึ่งของประชาสัตว์ผู้ติดอยู่ใน วัฏสงสารโดยทรงโปรดประทานพระธรรมเทศนาอันประเสริฐสุด เหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อปฏิบัติตามกระแสพระพุทธฎีกา ย่อมสามารถที่จะพาตนออกจากวัฏสงสารได้ โดยตัดสัญโญชน์โซ่เหล็กจัญไรที่พันผูกคอตนไว้เป็นลำดับไป เข้าสู่จุดหมายอันเพริศพริ้ง กล่าวคือแดนพระอมตะมหานิพพานใกล้เข้าไปทุกทีประดุจ เช่นพระอนาคามีอริยบุคคลที่กล่าวมานี้ ฉะนั้นจึงควรที่เราท่านทั้งหลายที่มีโชคดี เกิดมาพบพระบวรพุทธศาสนาในชาตินี้ จะน้อมใจให้เลื่อมใสในพระพุทธคณให้จงมากเถิด อย่าได้เคลือบแคลงสงสัยอะไรเลย แล้วรีบปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี เพื่อที่จักน้อมนำเอาสมเด็จพระจอมมุนีพุทธเจ้ามาเป็นนาถะที่พึ่งของตัวเรา ให้จงได้

อรหัตโลกุตรภูมิ

โลกุตรภูมิขั้นที่ ๔ อันเป็นขั้นสูงสุด มีนามว่า อรหัต โลกุตรภูมิ คือภูมิที่พ้นจากโลก กล่าวคือท่านผู้สมควรแก่การบูชา หมายความว่า ท่านผู้ใดบรรลุถึงภูมินี้แล้ว ท่านผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าพระอรหันต อริยบุคคล เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นผู้สมควรแก่การบูชาของเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ท่านที่จักได้บรรลุถึงโลกุตรภูมิขึ้นสูงสุดนี้ ต้องเป็นผู้ที่บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานผ่านโลกุตรภูมิขึ้นที่ ๓ มาแล้ว และปรารถนาที่จักได้บรรลุคุณวิเศษอันประเสริฐสุด จึงรีบรุดตั้งหน้าอุตสาหะเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้ยิ่งขึ้นไป เมื่ออินทรีย์ทั้ง ๕ ได้ส่วนสมดุลลเสมอกันเป็นอันดี เพราค่าที่มีวาสนาบารมีอันตนได้สั่งสมอบรมมาถึงภาวะที่เรียกว่า เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ที่สุดแล้ว สภาวญาณก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อุทยัพพยญาณ เป็นต้นไป จนกระทั่งถึง สังขารุเปกขาญาณ แต่สภาวญาณเหล่านี้จะปรากฎชัดเจนละเอียดแจ่มแจ้งเป็นที่สุด ต่อจากนั้น อนุโลมญาณก็จะเกิดขึ้น ตามติดด้วย โวทานะ ครั้นแล้ว จตุตถมรรค หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระอรหัตมรรค ก็จะพลันอุบัติขึ้นและเมื่อพระอรหัตมรรคอุบัติขึ้นแล้ว ก็จะเป็นเสมือนดาบที่คมกล้าสามารถฟาดฟันประหัตประหารบรรดาสรรพกิเลสทั้งหลาย ที่หมักดองอยู่ในขันธสันดานมานานนักหนา ให้ถึงภาวะหมดไปโดยสิ้นเชิง และโซ่เหล็กกล่าวคือ สัญโญชน์ที่ยังเหลืออยู่อีก ๕ ประการ ก็ให้มีอันขาดสะบั้นหมดลง ตั้งอำนาจแห่งพระอรหัตมรรคที่อุบัติขึ้นในขณะนี้ ต่อจากนั้นพระอรหัตตผลก็จะเกิดตามติดมา ให้ท่านได้เสวยอารมณ์พระนิพพาน เป็นขันธวิมุติหลุดพ้นจากเบญจขันธ์ กล่าวคือรูปนามเป็นพระมหาขีณาสพ ถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง กิเลสธุลีแม้แต่เท่ายองใยก็ไม่มีเหลือติดอยู่ในขันธสันดาน

อนี่ง พึงทราบไว้ในที่นี้ด้วยว่า ท่านที่สามารถจะปฏิบัติเพื่อให้พระอรหัตมรรคบังเกิดขึ้นในขันธสันดานได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วย ปัญญา กล่าวคือมีปัญญาบารมีที่เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ที่สุดแล้ว พระอรหัตมรรคนี้ จึงจักอุบัติเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ ในพระบวรพุทธศาสนาที่สุดบูชาแห่งพวกเราชาวพุทธบริษัทนี้ จึงเป็นพระศาสนาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยหลัก ๓ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างยอดเยี่ยมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง เพราะการบรรลุมรรคผลอันประเสริฐสุดเป็นโลกุตระนี้ จะต้องบรรลุด้วยหลัก ๓ ประการ ดังกล่าวแล้ว คือ
๑.จะบรรลุพระโสตาปัตติมรรค และพระสกิทาคามีมรรคได้ด้วย อธิศีล คือศีลขั้นยอดเยี่ยมสมบูรณ์ที่สุด

๒. จะบรรลุพระอนาคามิมรรคได้ด้วย อธิจิต คือมีจิตเป็นสมาธิชั้นยอดเยี่ยมสมบูรณ์ที่สุด

๓. จะบรรลุพระอรหัตมรรคได้ด้วย อธิปัญญา คือปัญญาชั้นยอดเยี่ยมสมบูรณ์ที่สุด
ประเภทพระอรหันต์

พระอรหันต์อริยบุคคลในพระบวรพุทธศาสนานี้ เมื่อกล่าวโดยประเภทแล้วก็ย่อมมีอยู่ ๒ ประเภทคือ
๑.เจโตวิมุติ อรหันต์... ได้แก่โยคีบุคคลผุ้ปฏิบัติสมถกรรมฐานได้ฌานมาก่อนแล้ว ภายหลังมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ดี หรือโยคีบุคคลผู้ที่ปฏิบัติเฉพาะแต่วิปัสสนากรรมฐาน แต่เมื่อพระอรหัตมรรคจะอุบัติขึ้นนั้น ฌาน ก็อุบัติขึ้นในขณะนั้น นั่นเองด้วยอำนาจแห่งบุรพาธิการเช่นนี้ก็ดี ท่านเหล่านี้มีชื่อว่า ฌาณลาภี บุคคล คือสำเร็จฌานสมาบัติได้วิชา ๓ อภิญญา ๖ มีคุณพิเศษในทางสำแดงฤทธิ์เดชทั้งหลาย เช่นสามารถเหาะเหิรไปในอากาศเวหาหาวได้เป็นต้น

๒. ปัญญาวิมุติอรหันต์... ได้แก่โยคีบุคคลผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานล้วนๆ ไม่ได้ปฏิบัติสมถกรรมฐานมาก่อนเลยและเมื่อพระอรหัตมรรคจักอุบัติขึ้นนั้น ฌานก็ไม่มีเกิดขึ้นด้วยเลย ท่านเหล่านี้มีชื่อว่า สุกขวิปัสสกะ คือ ท่านเป็นผู้ปฏิบัติทำให้ฌานแห้ง ไม่สามารถที่จะสำแดงฤทธิ์ต่างๆ ได้
นอกจากนี้ พระอรหันต์อริยบุคคลทั้งหลาย ยังแบ่งโดยประเภทแห่งคุณพิเศษได้ ๒ ประเภท คือ
๑. ปฏิสัมภิทาปัตตอรหันต์...ได้แก่พระอรหันต์ผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา เพราะเมื่อท่านจะได้บรรลุพระอรหัตมรรคพระอรหัตผลนั้น ปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ คือ
ก. อรรถปฏิสัมภิทา แตกฉานในอรรถ
ข. ธรรมปฏิสัมภิทา แตกฉานในธรรม
ค. นิรุตติปฏิสัมภิทา แตกฉานในภาษา
ง.ปฏิภาณปฏิสัมภิทา แตกฉานในปฏิภาณ
ปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ นี้เกิดขึ้นพร้อมกับขณะที่ท่านได้บรรลุมรรคผล ด้วยอำนาจแห่งบุรพาธิการ

๒. อัปปฏิสัมภิทาปัตตอรหันต์... ได้แก่พระอรหันต์ผู้ซึ่งไม่แตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ที่กล่าวมาแล้วนั้น ท่านพระอรหันต์ประเภทนี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มูคพระอรหันต์ คือพระอรหันต์ผู้ไม่มีความรู้ในพระปริยัติธรรม
ก็การ ที่ท่านจักได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงคุณพิเศษประเภทฌานลาภีบุคคล คือมีฌาณกล้าสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ได้ก็ดีทรงคุณพิเศษประเภทแตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณต่างๆ ก็ดี ทั้งนี้ด้วยอำนาจแห่งบุรพาการ ที่ท่านได้สร้างสมอบรมมาแต่อดีตชาติ กล่าวคือเมื่อชาติปางก่อนนั้น ท่านประกอบการอันเป็นบุญกุศลใดๆ ย่อมได้เคยตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาไว้โดยนัยว่า
"ต่อ ไปภายหน้า เมื่อข้าฯ ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันตสาวกแห่งองค์สมเด็จพระทศพลแล้วไซร้ ขอให้มัคคสิทธิฌานหรือพระปฏิสัมภิทาญาณจงบังเกิดขึ้นพร้อมกับการให้บรรลุ มรรคผลนั้นเถิด"
ด้วยอำนาจแห่งบุรพาธิการดังนี้ ท่านจึงได้เป็นฌานลาภีอรหันต์ หรือเป็นปฏิสัมภิทาปัตตอรหันต์ดังกล่าวมา ฝ่ายว่าท่านพระอรหันต์ผู้ไม่มีญาณหรือไม่ได้ปฏิสัมภิทาญาณ ก็เพราะไม่มีบุรพาธิการ กล่าวคือในอดีตชาติ เมื่อท่านประกอบกองการกุศลใดๆ แล้วไม่เคยได้ตั้งความปรารถนาเช่นกล่าวเอาไว้ดังนั้น คุณพิเศษคือฌานและปฏิสัมภิทาญาณจึงไม่เกิดขึ้น

คุณวิเศษ

ท่านพระอรหันต์อริยบุคคล ผู้เป็นพระมหาขีณาสพเจ้าทรงคุณวิเศษขั้นสูงสุดในพระบวรพุทธศาสนานี้ ท่านตัดสัญโญชน์ที่เหลือได้หมดเด็ดขาด รวมทั้งสิ้น ๕ ประการ คือ
๑. รูปราคะสัญโญชน์... ความยินดีในรูปภพ คืออยากไปเกิดเป็นพระพรหมผู้วิเศษ อยู่ ณ รูปพรหมภูมิ ๑๖

๒. อรูปราคะสัญโญชน์...ความยินดีในอรูปภพ คือความอยากไปเกิดเป็นพระพรหมผู้วิเศษสุดอยู่ ณ อรูปพรหมภูมิ ๔
ยัง จำได้ไหมเล่า? ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายว่า รูปพรหมภูมิและอรูปพรหมภูมนี้ คือภูมิในวัฏสงสารชั้นไหน ถ้าชักจะงงๆ ก็จงเปิดกลับไปดูตอนต้นโน่น คือ ตอนที่ว่าด้วย อุปริมสงสาร นั้นแล้ว ก็คงจะเข้าใจได้และคงหายงง
๓. มานะสัญโญชน์...ความถือตัวซึ่งได้แก่ อหังการ์และมนังการ์

๔. อุทธัจจะสัญโญชน์... ความที่จิตฟุ้งไป โดยที่จิตไม่สามารถจะตั้งอยู่ในอารมณ์เดียวได้นานๆ

๕. อวิชชาสัญโญชน์... สภาพที่ไม่รู้พระจตุราริยสัจจธรรม... คือโง่ พูดอีกทีว่า "โมหะ" ความมืดหลงแห่งจิต
ใน กรณีนี้ หากจะมีผู้สงสัยว่า ความไม่รู้ในสภาพธรรมกล่าคืออวิชชานี้ เหตุไฉนจึงยังเหลือติดค้าง คอยให้พระอรหัตมรรคประหารอยู่อีก เพราะเมื่อมรรคเบื้องต่ำทั้ง ๓ เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ก้ได้เห็นพระจตุราริยสัจกำจัดอวิชชาได้ทุกครั้งไป เหตุไฉนจึงยังมีอวิชชาเหลืออยู่อีกเหล่า น่าสงสัยนักหนา?

วิสัชนาว่า อย่าสงสัยเลย ทั้งนี้ก็เพราะมรรคเบื้องต่ำทั้ง ๓ คือพระโสตาปัตติมรรค ๑ พระสกิทาคามิมรรค ๑ พระอนาคามิมรรค ๑ เมื่ออุบัติขึ้น ย่อมเห็นพระจตุราริยสัจกำจัดอวิชชาได้ทุกมรรคก็จริง แต่ว่ามรรคเหล่านี้มีสภาพเป็น วิชฺชูปมา ธมฺมา คือมีสภาพเหมือนกับฟ้าแลบ ตาม ธรรมดาฟ้าแลบ ที่เราเห็นแปลบปลาบกันอยู่ในยามราตรีมืดตื้อนั้น ย่อมมีแสงสว่างเกิดขึ้นแวบหนึ่ง แล้วความมืดก็ปกคลุมต่อไป ในกรณีแห่งมรรคเบื้องต่ำทั้ง ๓ เห็นพระจตุราริยสัจกำจัดอวิชชาก็เช่นเดียวกับอุปมาที่ว่ามานั้น ส่วนพระอรหัตมรรคนี้มีสภาพเป็น วชิรูปมา ธมฺมา คือมีสภาพเหมือนกับฟ้าผ่า ตาม ธรรมดาสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมานั้น สิ่งที่กีดขวางอยู่จะไม่ถูกทำลายเป็นอันไม่มี ในกรณีนี้ก็เหมือนกัน กล่าวคือเมื่อพระอรหัตมรรคผ่าลงมาแล้ว กองอวิชชาหรือโมหะที่ประจำจิตติดอยู่ในขันธสันดานมานานไม่รู้ว่ากี่แสนโกฏิ กัปนั้นย่อมจะพลันถูกทำลายแตกกระจายสูญหายไปหมดสิ้น ไม่เหลือติดอยู่ในจิตสันดาน คือไม่อาจปกคลุมได้อีกต่อไปเลย

รวมความว่า บัดนี้ บรรดาสรรพกิเลสน้อยใหญ่ทั้งหลายซึ่งเอามารวมเรียกไว้ในที่นี้ว่า สัญโญชน์ ได้ถูกตัด ถูกประหัต ประหารด้วยอำนาจพระอริยมรรคญาณต่างๆ หมดสิ้นแล้วใช่ไหมเล่า? เพื่อให้เข้าใจดี จะขอกล่าวซ้ำทบทวนดูอีกทีดังนี้
๑. พระโสตาปัตติมรรค ประหารได้ ๓ สัญโญชน์ คือสักกายทิฏฐิสัญโญชน์ ๑ วิจิกิจฉาสัญโญชน์ ๑ สีลัพพตประมาสสัญโญชน์ ๑

๒. พระสกิทาคามิมรรค ประหารไม่ได้สักสัญโญชน์เดียว แต่มีอำนาจพิเศษ คือทำกิเลสทั้งหลาย อันได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง ซึ่งเรียกว่า ตนุกร
๓. พระอนาคามิมรรค ประหารได้ ๒ สัญโญชน์ คือ กามราคะสัญโญชน์๑ ปฏิฆะสัญโญชน์ ๑

๔. พระอรหัตมรรค ประหารได้ ๕ สัญโญชน์ คือรูปราคะสัญโญชน์๑ อรูปราคะสัญโญชน์ ๑ มานะสัญโญชน์ ๑ อุทธัจจะสัญโญชน์๑ อวิชชาสัญโญชน์ ๑
พระ อรหันตอริยบุคคล นอกจากจะสิ้นกิเลสเป็นสมุจเฉทประหารโดยการตัดสัญโญชน์ได้หมดสิ้นดังกล่าวมา แล้ว ท่านยังสามารถเข้าสู่อรหัตตผลสมาบัติเสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามจิตปรารถนา อีกด้วย แต่ที่วิเศษสุดก็คือ ท่านหมดกิจอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว เป็นพระมหาขีณาสสวเจ้าผู้ทรงคุณวิเศษประเสริฐสุดกว่าประชาสัตว์ทั้งปวง ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้ต้องทนทุกข์ทรมาณอยู่ในห้วงมหรรณพสงสารอีกต่อไป เมื่อถึงอายุขัยแล้ว ท่านก็ดับขันธ์เข้าสูพระปรินิพพาน ซึ่งเป็นแดนอมตะแสนสุขเกษมนักหนา เป็นอันว่าท่านสามารถยึดถือสมเด็จพระจอมมุนีบรมไตรโลกนาถผู้ทรงเป็นนาถะที่ พึ่งของประชาสัตว์ในไตรโลกเอามาเป็นนาถะที่พึ่งของตนได้อย่างแท้จริงแน่นอน เป็นที่สุด

ท่านพุทธบริษัทผู้มีปัญญาทั้งหลาย เมื่อองค์สมเด็จพระจอมมุนีผู้ทรงมีพระบารมี เพื่อพระโพธิญาณอันอบรมบ่มมานานหนักหนาได้เสด็จมาอุบัติตรัสในมนุษย์โลกเรา นี้แล้ว ย่อมทรงเปรียบเหมือนประทีปแก้ว ส่องให้ประชาสัตว์ในไตรโลกได้เห็นว่าตนกำลังถูกมัดให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร แล้วก็ทรงแนะนำพร่ำสอน ถึงวิธีการออกจากวัฏสงสารด้วยการตัดสัญโญชน์ ฝ่ายประชาสัตว์ผู้มีปัญญา ไม่ว่าจะเป็นเทพยดา อินทร์ พรหม และมนุษย์ เมื่อเชื่อตามกระแสพระพุทธฎีกาแล้ว ปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี ย่อมสามารถที่จะนำตนออกมาจากทุกข์ภัยในวัฏสงสาร เข้าไปเสวยสุขอยู่ในแดนพระนิพพานได้ชั่วนิรันดร์กาล ฉะนั้น สมเด็จพระจอมมุนีศาสดาจารย์ จึงควรอย่างยิ่งแก่การที่จะได้รับสดุดีว่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

บัดนี้ เราท่านทั้งหลาย เกิดมาปะเหมาะพบพระบวรพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนี้เข้าพอดี จึงนับว่าเป็นโชคดีเหลือเกิน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะมามัวประมาท ทำเป็นนิ่งเฉยมิรู้มิชี้เสียอย่างนั้น จะเป็นการสมควรแก่ตัวเราผู้โชคดีแลหรือ โดยที่แท้ เราต้องอุตสาหะพยายามปฏิบัติให้เกิดภาวนามยปัญญาเห็นความวิเศษสุดแห่งพระ พุทธศาสนา เพื่อหาทางออกจากทุกข์วัฎสงสารให้จงได้ เพื่อจักได้หายเหน็ดเหนื่อยเป็นการหยุดพักผ่อนตลอดกาล ด้วยการเสวยนิพพานสมบัติอันเป็นบรมสุขกันเสียที เมื่อปฏิบัติได้อย่างนี้ จึงจะสามารถนำพระองค์มาเป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุดได้เป็นบรมสุขกันเสียที และตัวเรานี้ก็จักได้ชื่อว่าเป็นสาวกอย่างแท้จริง ขององค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งอย่างยอดเยี่ยม แห่งประชาสัตว์ในไตรโลก

พรรณนาในเรื่องพระบรมไตรโลกนาถ สมควรที่จะยุติลงได้แล้ว จึงขอยุติลง ด้วยประการฉะนี้


ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
บทที่ ๖

พระอนันตพุทธคุณ

บัดนี้ จักพรรณนาถึงพระคุณแห่งสมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีอยู่มากมายเป็นอนันต์ ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย จงอุตสาหะติดตามต่อไปเถิด คงจักเกิดประโยชน์บ้างไม่มากน้อย ดำเนินความว่า

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ คือ ทรงเป็นนาถะที่พึ่งแห่งประชาสัตว์ทุกจำพวกนั้น ทรงมีพระหฤทัยมั่นคงเด็ดเดี่ยว และประกอบไปด้วยพระกรุณาใหญ่ ใคร่จะช่วยรื้อสัตว์โลก ขนสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสาร จึงทรงพระอุตสาหะอาจหาญบำเพ็ยพระโพธิญาณบารมีธรรมยั่งยืนไม่เสื่อมถอยนับ เป็นเวลาสิ้นกาลช้านานนัก เมื่อพระพุทธบารมีพรั่งพร้อมบริบูรณ์ครบถ้วนแล้ว ก็ได้สำเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ทรงมีพระสันดานแสนจะบริสุทธิ์โดยประการทั้งปวง เป็นที่อยู่แห่งพระกรุณาและพระญาณอันกว้างใหญ่ เปรียบประดุจชลาลัยมหาสมุทร ฉะนั้น

ครั้นได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญพระพุทธกิจประทานประโยชน์ให้แก่ชาวโลก โดยเทศนาวิธีประเภทเป็นเอนกประการ ทรงมีพระอนุสาสโยบายผ่อนผันยักย้ายไปตามจริตอัธยาศัยแห่งเวไนยสัตว์ ทรงแสดงธรรมบัญญัติพระวินัยทรงประดิษฐานไว้ซึ่งพระสัทธรรม ๓ ประการ คือ
๑. พระปริยัติธรรม
๒. พระปฏิบัติธรรม
๓. พระปฏิเวธธรรม
ครั้นแล้ว องค์พระประทีปแก้วผู้ยังโลกให้ช่วงโชติชัชวาลก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วง ไป เปรียบได้ดังดวงภานุมาสสุริยมณฑลอันอุทัยไขแสงขึ้น ยังโลกให้สว่างชัชวาล ต่อกาลไม่นานก็ล่วงลับอัสดงคตไปเสียฉะนั้น

กาลปัจจุบันนี้ ถึงแม้องค์สมเด็จพระจอมมุนีจักเสด็จดับขันธปรินิพพานมานานนับศาสนายุกาลได้ ๒๕๐๖ พรรษา เข้าปีนี้แล้วก็ดี ถึงกระนั้นพระคุณอันมีเอนกอนันต์แห่งพระพุทธองค์เจ้านั้น ก็หาล่วงลับดับไปเหมือนพระรูปกายไม่ ยังฝังแน่นอยู่ในดวงใจของพวกเราชาวพุทธบริษัทอยู่มิใช่หรือ เมื่อกล่าวถึงพระคุณของพระองค์แล้ว ก็มีอยู่มากมายไม่มีใครในโลกจะพร่ำพรรณนาให้สิ้นสุดลงได้

ในกรณีนี้ มีอุปมากล่าวว่า ยังมีบุรุษหนึ่งซึ่งมีศีรษะ ๑,๐๐๐ ศีรษะ ศีรษะหนึ่งมีปาก ๑๐๐ ปาก ปากหนึ่งมีลิ้น ๑๐๐ ลิ้น เขาเป็นบุรุษมีมหิทธิศักดา มีอายุยืน ๑ มหากัปตลอดเวลาไม่ทำอะไรทั้งหมด เฝ้าแต่พร่ำพรรณาพระพุทธคุณอย่างเดียว อายุของบุรุษนี้ย่อมจะสิ้นไปก่อน แต่พระพุทธคุณหาสิ้นสุดลงไม่ เพื่อความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในเรื่องนี้ จะขอยกเอาเรื่องของพระอรหันตเถรเจ้าซึ่งมีปัญญามากรูปหนึ่งมาเล่าให้ฟัง ดังต่อไปนี้

พระกาฬพุทธรักขิตเถระ

กาล เมื่อร้อยปี ก่อนตั้งพุทธศก สมัยนั้น ยังมีนิครนถ์ ๒ คน เป็นชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ได้เรียนวาทะคารมคนละ ๕๐๐ ข้อ เมื่อเรียนสำเร็จแล้ว ต่างก็ออกสัญจรไปในประเทศต่างๆ เพื่อจะหาผู้โต้ตอบชิงชัย เพราะสมัยนั้นประชาชนในชมพูทวีป ทั้งหญิงแลชายต่างก็สนใจลัทธิธรรมเป็นอันมาก คราวหนึ่ง คนทั้งสองไปพบกันที่พระนครเวสาลี ได้โต้ตอบวาทะไม่แพ้ไม่ชนะกัน พระเจ้าลิจฉวีผู้ครองนครเวสาลีเห็นความฉลาดของเขาทั้งสองแล้ว มีความประสงค์จะให้เกิดคนฉลาดขึ้นในเมืองของตน จึงจัดการให้นิครนถ์ทั้งสองนั้นแต่งงานกัน ต่อกาลไม่นานก็เกิดบุตรธิดาขึ้น ๕ คน เป็นชาย ๑ เป็นหญิง ๔ ล้วนแต่มีปัญญาเฉลียวฉลาด เรียนเอาวาทะของบิดามารดาไว้ได้จนหมดสิ้น ภายหลังธิดาทั้ง ๔ ซึ่งมีอุปนิสัยได้ออกบวชเป็นภิกษุณีในพระบวรพุทธศ่สนา เพราะจำนนต่อปัญญาของพระสารีบุตรเจ้า ผู้อัครสาวกธรรมเสนาบดี

ฝ่ายบุตรชายซึ่งมีชื่อว่า สัจจกนิครนถ์ ได้เรียนวาทะจากมารดา ๑,๐๐๐ ข้อจบลงแล้ว ยังได้เรียนรู้อื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกเป็นอันมาก เป็นคนเจ้าคารมโวหารมีปฏิภาณสามารถในการโต้ตอบ มหาชนยกย่องว่าเป็นคนฉลาดยากยิ่งจะหาผู้เทียมถึงเลยตั้งตนเป็น ทิศาปาโมกขอาจารย์ แสดงตนเป็นผู้วิเศษประเสริฐเลิศด้วยความรู้ มีวิทยาการเชี่ยวชาญชำนาญนัก เหล่าศิษย์ก็ล้วนแต่มีศักดิ์เป็นลูกกษัตริย์แลพวกพรามหณ์มหาศาลเป็นส่วนมาก หนักเข้าเลยเกิดความปริวิตกไปว่า
อาตมา นี่สิ มีความรู้วิทยาการมากมาย นานไปเบื้องหน้าน่าที่จะมีอันตรายเป็นแน่ คือว่า อุทรท้องของอาตมาอันบรรจุความรู้มากมายไว้นี่ เห็นทีจะทะลุทะลายออกไปสักวันหนึ่งเป็นแม่นมั่น อย่ากระนั้นเลย อาตมาจะอาพึดเหล็กมารึงรัดอย่าให้ท้องแตกออกไปได้
ครั้น มาจินตนาการเห็นเช่นนี้แล้ว จึงพึดเหล็กอันหนึ่งมารึงรัดท้องไว้ ฝ่ายมหาชนชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายก็บังเกิดระบือลือเลื่องฟุ้งขจรไปต่างๆ นานา รวมแล้วก็ได้ความว่ายกย่องสรรเสริญสัจจกนิครนถ์ว่ามีปัญญามากนั่นเอง บางครั้งเขาถึงกับประกาศในที่ประชุมชนชาวเมืองเวสาลีว่า
เรา ไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะซึ่งเป็นคณาจารย์ แม้ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ก็ตาม ที่เราโต้ตอบด้วยถ้อยคำแล้ว จะไม่ประหม่าตัวสั่นหวั่นไหว ไม่มีเหงื่อโทรมหน้า โทรมรักแก้เป็นไม่มีเลย เรานี่มีปัญญามากแม้จะพูดจากกับต้นเสาซึ่งไม่มีชีวิตจิตใจ เสานั้นก็ยังสั่นสะท้านหวั่นไหวแล้วจะนับประสาอะไรกับมนุษย์!
อรุณ รุ่งวันหนึ่ง ท่านพระอัสสชิเถรเจ้า เข้าไปบิณฑบาตรในเมืองเวสาลี สัจจกนิครนถ์เห็นเข้า จึงรีบเดินไปหาแล้วกล่าวถามขึ้นทันทีตามนิสัยเดิม
ดูกรสมณะ! พระโคดมทรงสั่งสอนสาวกทั้งหลายอย่างไร และคำสอนของพระโคดมที่เป็นไปโดยมากว่าอย่างไร?
"ดูกร ท่าน! สมเด็จพระบรมครูเจ้าของเราทรงสั่งสอนพระสาวกเป็นอันมาก แต่ส่วนแห่งคำสอนนั้นมีอยู่ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณทั้งห้านี้ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน" พระอัสสชิเถระย่อพระโอวาทานุสาสนีให้เขาฟัง

ยังไม่เป็นที่พอใจของข้าพเจ้า สัจจนิครนถ์พูดตามสันดานของตน ถ้า ข้าพเจ้าได้พบกับสมณโคดมได้เจรจากันสักหน่อย บางทีอาจจะเปลื้องความเห็นที่เลวทรามนั้นเสียได้ เอาละ...ประเดี๋ยวข้าพเจ้าจะไปพูดให้เข้าใจถูกต้องกันเสียที เขากล่าวดุจมีจิตกรุณานักหนา แล้วก็รีบมุ่งหน้าเข้าไปหาเจ้าลิจฉวีทั้งหลายกล่าวประกาศขึ้นว่า

ท่าน ทั้งหลาย! ขอพวกท่านจงตามข้าพเจ้าไปด้วยเถิด ถ้าพระโคดมตั้งอยู่ตามถ้อยคำที่พระอัสสชิพูดแก่ข้าพเจ้าเมื่อตะกี้นี้แล้ว ไซร้ ข้าพเจ้าจะชักลากถ้อยคำของพระโคดมมาตามถ้อยคำของข้าพเจ้า เหมือนกับบุรุษมีกำลังจับแกะที่มีขนขาวฉุดลากมา หรือมิฉะนั้นก็เหมือนกับคนทำงานในโรงสุรา วางลำแพนสำหรับรองแป้งสุราผืนใหญ่ไว้ในห้วน้ำลึก แล้วจับที่มุมชักลากไปมาก็ปานกัน คอยดูเถิด ข้าพเจ้าจักถอนถ้อยคำของพระโคดมเสียแล้วจักฟาดพระโคดมเล่น ให้เป็นเหมือนกับช้างลงสู่สระโบกขรณีแล้วพ่นน้ำเล่นสนุกฉะนั้น

บรรดา เจ้าลิจฉวีทั้งหลาย เมื่อได้ฟังสัจจกนิครนถ์ประกาศเป็นคำโตใหญ่เช่นนั้น บ้างก็เชื่อ บ้างก็ไม่ยอมเชื่อ แต่เพื่อจะรู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้ฝ่ายชนะ จึงพากันตามเขาไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งประทับนั่งอยู่ ณ ร่มไม้แห่งหนึ่ง เมื่อสัจจกนิครนถ์เข้าไปถึงที่เฝ้าแล้ว ก็ได้ทูลถามปัญหาเหมือนอย่างที่ถามกับพระอัสสชิเถระ และสมเด็จพระพุทธองค์ก็ทรงตอบปัญหาของเขาเหมือนกับที่พระอัสสชิเถระได้ตอบมา แล้วนั่นแล

ไม่จริง พระโคดม เขาค้านขึ้น หวังจะหักล้างวาทะของสมเด็จพระผู้มีพระภาค ไม่ เป็นความจริงหรอกที่พระโคดมว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ของเรา โดยที่แท้ขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ มันเป็นตัวเป็นตนเป็นของเราต่างหาก

ดู กรสัจจกะ! ถ้าท่านถือว่า ขันธ์ ๕ เป็นตัวเป็นตนเป็นของเราแล้ว ท่านมีอำนาจที่จะกล่าวรูปของท่านหรือไม่ว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนั้น จงอย่าเป็นอย่างนั้นเลย บังคับไม่ได้ใช่ไหมเล่า? เพราะเหตุนั้น ขันธ์ ๕ จึงไม่เป็นของเรา เพราะเราบังคับไม่ได้ สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรง อธิบายให้เขาเข้าใจ และในที่สุดเขาก็ยอมจำนน และยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไม่ใช่ตัวตน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา (สนใจการปะทะคารมระหว่างพระพุทธเจ้ากับเหล่าปราชญ์โดยละเอียด ศึกษาได้จาก หนังสือ จ้าววิชชา จัดพิมพ์โดยคณะสังคมผาสุก)

หลังจากสมเด็จพระบรมครูเจ้าได้ทรงแก้ไขปัญหาที่เขาผูกมาทูลถามจนแจ่มกระจ่าง หมดสิ้นแล้ว ในขณะที่สัจจกะนิครนถ์ผู้เข้าใจว่า ตนมีปัญญามาก กำลังนั่งนิ่งอึ้งจนปัญญาอยู่ สมเด็จพระบรมครูเจ้าจึงตรัสขึ้นว่า

ดู กรสัจจกะ! เราซักถามท่านให้กล่าวแก้ในถ้อยคำของท่านเอง และท่านก็แพ้ไปเองแล้วในบัดนี้ อนึ่งเราได้สดับว่าท่านได้เคยกล่าวในที่ประชุมหมู่ใหญ่ว่า ไม่เห็นใครเลยที่ท่านโต้ตอบถ้อยคำแล้ว จะไม่มีเหงื่อไหลออกจากรักแร้เป็นไม่มี แต่บัดนี้สิ หยาดเหงื่อของท่านหยดจากหน้าผากเปียกชุ่มผ้าห่มตกลงยังพื้นเป็นประจักษ์ตา อยู่ แต่ดูเอาเถิด เหงื่อในกายของเราไม่มีเลย

เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว สัจจกนิครนถ์ก็นั่งนิ่งอึ้งเก้อเขินก้มหน้าหงอยเหงาไม่มีปฏิภาณที่จะคิดโต้ เถียงอีก แล้วทูลสารภาพลุกะโทษว่า

ข้าแต่ พระโคดม! ข้าพเจ้าเป็นคนคะนองวาจา เพราะสำคัญตัวว่า อาจจะโต้เถียงกับพระองค์ได้ บุรุษมาปะทะช้างที่กำลังซับมันก็ดี หรือมาเจอกองไฟใหญ่ที่กำลังลุกโชนดักหน้าดักหลังอยู่ก็ดี ก็ยังพอเอาตัวรอดได้ แต่ถ้ามาเจอกับพระสมณโคดมเข้าแล้ว ไม่มีทางเอาตัวรอดได้เลย อนึ่งข้าพเจ้า มีอุปมาประการหนึ่งปูอยู่ในสระโบกขรณี ยังมีกุมาร กุมารีทั้งหลายชวนกันออกมาจากบ้าน คมนาการไปสู่สระเพื่อประสงค์จะอาบน้ำ ได้แลกเห็นปูจึงจับเอาขึ้นมาจากน้ำวางไว้ที่ริมฝั่ง หักก้ามและตีนปูเสียให้หมด ฝ่ายปูนั้นก็มิอาจเพื่อจะคลานต่อไปได้ กรณีนี้มีอุปมาฉันใดก็ดี สมเด็จพระผู้มีพระภาคคือ พระองค์นี่เอง ได้ทรงพระกรุณาแก้ไขแก่ข้าพเจ้า จนบัดนี้เกิดองค์ปัญญากำจัดทิฐานุทิฐิให้อันตรธานจากขันธสันดานเสียสิ้น ก็มีอุปมาประดุจกุมาร กุมารีหักตีนปูและก้ามปูและทิ้งให้นอนกลิ้งอยู่ที่พื้นดินฉะนั้น

ฝ่ายสมเด็จพระบรมศาสดาเจ้า พระองค์ผู้ทรงโปรดสัจจกนิครนถ์ให้ละพยศอันร้าย จนในบัดนี้เขาเป็นผู้มีลักษณะสันดานเสื่อมหาคลายจากมิจฉาทิฏฐิ ค่อยมีปัญญาดำริในพระไตรลักษณญาณ ปานประหนึ่งสกุลชาตินกหัวขวานซึ่งมีจะงอยปากอันคมกล้าบินไปเที่ยวเจ้าต้น พฤกษา อันหาแก่นมิได้ ครั้นอุตส่าห์เจาะไปๆ ต้นไม้นั้นก็อาจจะทะลุตลอดไปตามมโนมัยความปรารถนา ครั้นสืบไปเบื้องหน้า นกนั้นไปพบต้นไม้อีกต้นหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยแก่นแน่นหนายิ่งนัก ถึงจะพยายามสักเพียงไร ก็มิอาจสามารถเพื่อจะเจาะแก่นไม้ต้นนั้นให้ทะลุทะลายไปได้ เมื่อขืนดึงกันเจาะไปด้วยน้ำใจมานะ จะงอยปากแห่งนกนั้นก็ย่อมภินทนาการหักย่อยยับไป สัจจกนิครนถ์นี้ไซร้ก็เป็นเช่นนั้น ดีแต่จะสัญจรเที่ยวไปไต่ถามปริศนาแก่บุคคลอื่น ผู้อ่อนความรู้เป็นทาสปัญญา ก็ย่อมคว้าเอาซึ่งชัยทุกครั้งไป ครั้นได้มาถึงสำนักของสมเด็จพระบรมทศพลญาณ แล้วก็ขัดสนจนปัญญามิอาจเพื่อจะแก้ไขอรรถปริศนานั้นได้ ย่อมถึงความปราชัยได้สำนึกและทูลสารภาพลุกะโทษอยู่ สมเด็จพระบรมครูเจ้าผู้ทรงพระคุณากร จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสพระธรรมเทศนาสั่งสอนสัจจกนิครนถ์เป็นเอนกปริยายยิ่ง นักหนา เพื่อจะให้ได้สติปัญญาและบังเกิดอัครประโยชน์ใหญ่หลวงในอนาคตกาลภายหน้าแล้ว ในที่สุด พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาตรัสว่า

ดู กรสัจจกะ! บุคคลในโลกนี้ยากที่จะได้พบพระบวรพุทธศาสนาแห่งตถาคตเจ้า บางเหล่าบางคนเกิดมาเป็นมนุษย์ตั้งพันชาติ หมื่นชาติแสนชาติ จึงจะได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนาสักครั้งหนึ่งหนเดียว หรือบางทีก็มิได้พบเลย อันตัวท่านนี้สิ ได้มาพบพระบวรพุทธศาสนาของพระตถาคตในครั้งนี้ ก็เป็นบุญลาภอันยิ่งใหญ่ไพศาลนักหนา เหตุว่าได้เกิดสติปัญญาหยั่งเห็นประจักษ์แจ้งในกองบุญกองบาป เห็นคุณโทษประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ จึงจัดว่าเป็นการประเสริฐยิ่งนักเพราะฉะนั้น ท่านจงอย่าได้มีความประมาทเสียเลย

สัจจกนิครนถ์ผู้มีวาสนา เมื่อได้สดับรับรสพระธรรมเทศนาก็บังเกิดมโนน้อมศรัทธาสรรเสริญสาธุการสมเด็จพระทศพลญาณเจ้าขึ้นอีกว่า

ข้า แต่พระสมณโคดมผู้เจริญ! ข้าพเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อจะไต่ถามปฤษณาด้วยมีจิตเจตนาหวังว่าจะให้พระองค์อัป ภาคพ่ายแพ้แก่ถ้อยคำ แต่ถ้าพระองค์ทรงพระกรุณาบรรเทาโทษขจัดมิจฉาทิฐิในสันดาน ให้อันตรธานหายไปด้วยอำนาจพระธรรมเทศนาอุปมาเช่นบุรุษผุ้หนึ่งซึ่งถูกอสรพิษ ขบกัด ก็ให้กำเริบร้อนประหนึ่งว่าจะสิ้นชีวิตแล้ว ยังมีบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งมีวิษณุมนต์คุณวิชามาช่วยดับพิษงูนั้นให้อันตรธาน หาย บุรุษผู้นั้นได้รับความสบายหายจากเจ็ดปวดเจียนตาย นี่แลมีอุปมาฉันใด ข้าพเจ้านี้ถูกงูพิษร้ายคือมิจฉาทิฐิมาขบกัดให้บังเกิดมืดมนมัวเมาเห็นผิด เป็นชอบ พระเจ้าข้า บัดนี้ พระองค์ทรงพระกรุณาแนะนำให้เห็นสว่างในทางบาปบุญคุณโทษประโยชน์แลมิใช่ ประโยชน์ บังเกิดผลประโยชน์ทุกสิ่งทุกประการ ชำระสันดานให้บริสุทธิ์บังเกิดสุขหาที่สุดมิได้ ดังนั้น พระองค์จึงเปรียบเหมือนหมองูผู้ทรงวิษณุมนต์ มีใจกรุณาเอื้ออารีช่วยระงับพิษให้สร่างหายจางไปด้วยวิชาคุณแห่งตน พระเจ้าข้า เขากราบทูลไปพลางคิดไปพลางก็ยิ่งเกิดศรัทธาขึ้นท่วมทับในดวงใจ จึงกล่าวอย่างไม่หยุดยั้งว่า พระ เจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ! พระองค์มากระทำให้บังเกิดสวัสดิมงคลผลประโยชน์แก่ข้าพเจ้ายิ่งนักหนา พ้นที่จะคณนานับ ข้าพระองค์ขออารธานาสมเด็จพระมิ่งมงกุฏปิ่นเกล้าโลกาจารย์กับหมู่นิกรสงฆ์ ทั้งปวงที่เป็นบริวาร โปรดคมนาการไปรับอาหารบิณฑบาตเพื่อเป็นบุญโกฏฐาสส่วนบุญแห่งข้าพระบาท ทูลอาราธนาแล้ว ก็น้อมนมัสการด้วยความเลื่อมใสเป็นนักหนา...

กาลล่วงมานานนับด้วยร้อยปีทีเดียว ขณะนี้ สมเด็จพระชินสีห์บรมครูเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว และสัจจกนิครนถ์ผู้กลับใจก็ได้ถึงแก่กาลกิริยาตายไปนานแล้ว แต่เจติยคิรีมหาวิหารซึ่งตั้งอยู่ ณ ลังกาทวีป ปรากฎว่ามีพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งทรงคุณวิเศษสุดในพระพุทธศาสนา สิ้นกิเลสตัณหาเป็นพระอรหันต์อริยบุคคล มีปัญญามาก หยั่งเห็นประจักษ์แจ้งในพระไตรปิฎกธรรม เที่ยงแท้ในทางพระกรรมฐาน มีหมู่นิกรสงฆ์เป็นบริวารเป็นจำนวนมาก ทั้งมีปรีชาแตกฉานในพระปฏิสัมภิทาญาณ ๔ เป็นที่สักการะบูชาแห่งท้าวพระยาทั้งปวง พระคุณเจ้าผู้วิเศษรูปนี้มีนามว่า พระกาฬพุทธรักขิตเถระ ใน ขณะนั้น คนธรรมดาสามัญน้อยคนนักที่รู้จัก่า พระคุณเจ้าองค์พระกาฬพุทธรักขิตอรหันต์วิเศษที่ตนเคารพเลื่อมใสอยู่นั้นที่ แท้ก็คือ สัจจกะนิครนถ์ ผู้มีปัญญามากในครั้งพุทธกาลนั่นเอง บัดนี้ ด้วยบุญวาสนาบารมีที่ตนได้สั่งสมอบรมมา จึงพาให้มาเกิดและได้สำเร็จผลสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นพระอรหันต์ผู้ปราดเปรื่องอยู่ในขณะนี้


วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ พระผู้เป็นเจ้าองค์อรหันต์ท่านพระกาฬพุทธรักขิตเถระ อดีตสัจจกนิครนถ์ครั้งพุทธกาล ท่านขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ซึ่งตั้งอยู่ ณ ใต้ต้นมะพลับในเจติยคีรีวิหารกำลังแสดงพระธรรมเทศนาว่าด้วยเรื่องพระมหา พุทธคุณกถาพรรณนาถึงพระคุณแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มแสดงตั้งแต่ตอนหัวค่ำปฐมยาม มาจนถึงเวลาสิ้นราตรีปัจฉิมยามใกล้สว่าง จึงกล่าวอวสานกถาว่า อิทมโวจภควา เป็นอาทิ นี่เป็นสังเขปกถาคือแสดงพระพุทธคุณจบลงแต่เพียงโดยย่อเท่านั้น


"สาธุ...สาธุ" เสี ยงหนึ่งซึ่งมีอำนาจประหลาด ให้สาธุการขึ้นที่สุดบริษัท ในขณะที่พระผู้เป็นเจ้าแสดงธรรมจบลงเหล่าพุทธบริษัทที่สดับตรับฟังพระธรรม เทศนา และพระผู้เป็นเจ้าผู้แสดงพระธรรมต่างมองไปยังเจ้าของเสียงที่ให้สาธุการนั้น ก็พลันได้เห็นบุรุษหนึ่งร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ในที่สุดบริษัทไม่ค่อยถนัด เพราะเป็นยามราตรี แต่พระผู้เป็นเจ้าก็จำได้ว่าบุรุษผู้นั้นคือ สมเด็จพระเจ้าสิทธาติสมหาราช กษัตริย์ปิ่นธรณีลงกาธานีจึงมีวาจาถวายพระพรถามว่า
"ขอถวายพระพร มหาบพิตรผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ! พระองค์เสด็จมาเมื่อใด?"
"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า" สมเด็จพระบรมกษัตริย์ทรงประณมกรตอบ "โยมนี้ สมาทานอุโบสถศีลวันนี้แล้ว เข้าไปนั่งอยู่ในกุฎีที่เร้นแทบภูเขาใกล้ๆ วิหารนี่เอง ได้ทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาจึงรีบมาถึงนี่ตั้งแต่ตอนหัวค่ำ ปฐมยาม ยืนฟังอยู่จนกระทั่งบัดนี้นะ พระคุณเจ้า"
"ขอถวายพระพร บพิตรพระราชสมภารเสด็จยืนอยู่สิ้นราตรีสามยามฉะนี้ ยากที่ผู้อื่นจะทำได้" พระเถรเจ้ากล่าวชมขึ้นตามความเป็นจริง
"ข้า แต่พระคุณเจ้า! อันการที่ยืนฟังพระธรรมเทศนาอยู่ตลอดราตรีสามยามฉะนี้หาสู้เป็นไรไม่ แต่ข้อซึ่งโยมนี้ตั้งใจฟังได้จบจน มิได้ล่งจิตไปในที่อื่นเลย อันนี้ยากที่บุคคลผู้อื่นจะกระทำได้อย่างโยม ก็โยมฟังพระธรรมเทศนาของพระคุณวันนี้ โยมปรีดาภิรมย์ชื่นชมยิ่งนัก มิได้ส่งจิตไปในที่อื่นเลยนะ พระคุณเจ้า... เออ ก็พระธรรมเทศนาแสดงสรรเสริญซึ่งพระคุณของพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่ง เรา ที่พระคุณเจ้าสำแดงนั้นสิ้นเพียงเท่านี้ หรือว่าพระพุทธคุณนั้นยังมีอยู่อีกประการใด?"
"ขอ ถวายพระพร พระคุณแห่งสมเด็จพระบรมครูเจ้า ที่อาตมาภาพสำแดงมาตั้งแต่หัวค่ำจนถึงบัดนี้นั้นน้อยนัก พระพุทธคุณที่อาตมาภาพยังมิได้สำแดงนั้น ยังมีอยู่อีกมากที่จะนับจะประมาณได้ ขอถวายพระพร"
"มากอีกแค่ไหนเหรอ พระคุณเจ้า" สมเด็จพระบรมกษัตริย์ตรัสถามด้วยความเต็มตื้นศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธคุณ "ขอพระคุณเจ้าจงแสดงให้โยมนี้เข้าใจก่อนเถิด"
พระเถรเจ้ากาฬพุทธรักขิตองค์อรหันต์ ครั้นได้สดับพระบรมราชโองการตรัสดังนั้น จึงมีเถราวาจาว่า
"ขอ ถวายพระพร บพิตรพระราชสมภารเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ! ยังมีบุรุษผู้หนึ่งไปสู่นาข้าวสาลีอันกว้างขวางไพศาลได้พันกรีส บุรุษผู้นั้นเด็ดเอาข้าวสาลีมารวงหนึ่ง ก็เมล็ดข้าวสาลีรวงเดียวที่บุรุษนั้นเด็ดมา ย่อมมีประมาณน้อยนัก เมล็ดข้าวสาลีที่ยังเหลืออยู่ในนาอันกว้างใหญ่นั้น ย่อมมีประมาณมากนักฉันใด พระพุทธคุณที่อาตมภาพสำแดงวันนี้น้อยนัก มีอุปมัยดังข้าวสาลีที่บุรุษเด็ดมาเท่านั้น ก็อันว่าพระพุทธคุณที่อาตมภาพยังมิได้สำแดงนั้น ยังมีมากมายจะนับจะประมาณมิได้ มีอุปมัยดุจเมล็ดข้าวสาลีที่มีอยู่ในนาทั้งหมด ฉะนั้น

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
อีกประการหนึ่ง ขอถวายพระพรบรมบพิตรพระราชสมภาร! เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง เอาเข็มจุ่มลงไปในมหานทีแม่น้ำใหญ่ น้ำที่ไหลเข้าไปในช่องเข็มนั้น ย่อมมีประมาณน้อยนักหนา แต่ว่าน้ำที่ไหลไปภายนอกช่องรูเข็มย่อมมากกว่ามากสุดจะนับจะประมาณได้ฉันใด พระคุรแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าที่อาตมภาพสำแดงในราตรีนี้น้อยนัก มีอุปมัยดุจน้ำที่ไหลไปในรูเข็มเท่านั้น ก็อันว่าพระพุทธคุณที่อาตมภาพยังมิได้สำแดงนั้นย่อมมีอยู่มากมายจะนับประมาณ มิได้ มีอุปมัยดุจกระแสน้ำที่ไหลไปภายนอกรูเข็ม ฉะนั้น

อีก ประการหนึ่ง ขอถวายพระพรบรมบพิตรพระราชสมภาร! เปรียบเหมือนสกุลชาตินกแอ่นลมตัวน้อย ที่ร่อนเริงสราญอยู่ในนภาลัยประเทศพื้นนภากาศที่นกน้อยนั้นเหยียดปีกเหยียด หาง ย่อมมีประมาณน้อยนักหนา แต่ว่าอากาศที่เปล่าอยู่นั้นย่อมใหญ่กว่าจะนับจะประมาณมิได้ฉันใด พระคุณแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าที่อาตมภาพยกเอามาสำแดงในราตรีนี้น้อยนัก มีอุปมัยดุจประเทศอากาศที่ปักษีชาตินกแอ่นลมตัวน้อยเหยียดซึ่งปีกแลหางออกไป เท่านั้น ก็อันว่าพระพุทธคุณที่อาตมภาพยังมิได้สำแดงนั้น ย่อมมีอยู่มากมายสุดจักนับประมาณ มีอุปมัยดุจประเทศอากาศอันกว้างใหญ่เปล่าอยู่ ฉะนั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระบรมไตรโลกนาถที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งมวล ย่อมทรงไว้ซึ่งพระคุณเป็นอนันต์มากมายเป็นมหัศจรรย์ ตามที่อาตมภาพถวายพระพรมาดังนี้แหละมหาบพิตร ขอถวายพระพร"

สมเด็จพระเจ้าสัทธาติสบรมกษัตริย์ ท้าวเธอได้ทรงเสวนาฟังดังนั้น ก็ทรงมีพระราชหฤทัยภิรมย์เกษมสันต์ปรีดา จึงมีพระวาจาตรัสว่า "ข้า แต่พระคุณเจ้า! ขอพระคุณเจ้าจงสอดส่งทิพยญาณหยั่งเห็นด้วยเถิด พระคุณเจ้าขา คือ่ว่า โยมนี้บังเกิดศรัทธายินดียิ่งนักหนาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้สมกับศรัทธาใน ขณะนี้ได้ ก็จะถวายสมบัติในเมืองลงกานี้แก่พระรัตนตรัยทั้งหมด จะเว้นว่างไว้แม้พื้นที่ประมาณเท่าปลายปฏักจรดลงก็หามิได้ โดยจะถวายไว้ในพระศาสนา ในกาลบัดนี้ พระคุณเจ้าขาขอพระคุณเจ้าจงรบรู้ด้วยเถิด"

ลำดับนั้น พระมหาเถรเจ้าจึงถวายสมบัติคืนแก่พระเจ้าสัทะาติสมหาราชผู้มีจิตศรัทธา แล้วปลอบประโลมว่า
"ขอถวายพระพร บพิตรพระราชสมภารเจ้าพระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ! ขออัญเชิญพระองค์ครองสมบัติสืบไปในนครนี้โดยทศพิธราชธรรมเถิด จะได้เป็นที่พึ่งแก่ฝูงประชาทุกถ้วนหน้า"

สมเด็จพระมหาษัตริย์ทรงตริตรองอยู่ชั่วครู่แล้ว ก็ทรงรับราชสมบัติคืนด้วยดี ฝ่ายพระกาฬพุทธรักขิตอรหันตเจ้า ตั้งแต่ครั้งนั้นมาก็บังเกิดปรากฎดุจว่าภานุมาสพระจันทร์อันแต่ดวงในเวหาส เป็นที่กราบไหว้บูชาของเหล่าเทพยดาแลมนุษย์ทั้งหลายในลังกาธานีนั้น ด้วยประการฉะนี้

ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายเห็นแล้วใช่ไหมเล่า ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ย่อมทรงไว้ซึ่งพระคุณเป็นอนันต์คือ มากมายไม่มีที่สิ้นสุด ดุจคำของพระอรหันต์กาฬพุทธรักขิตเถรเจ้า ท่านกล่าวอุปมาให้สมเด็จพระเจ้าสัทธาติสมหาราช ทรงสดับตรับฟังตามเรื่องที่เล่ามานี้ แต่การที่ใครจะมองเห็นพระคุณของพระพุทธองค์ได้มากน้อยแค่ไหน นั่นก็สุดแท้แต่ว่าปัญญาของใคร คือหมายความว่า ใครมีปัญญาจักษุดวงตาคือปัญญามาก มีสันดานบริสุทธิ์มาก ก็ย่อมจะเห็นพระคุณของพระองค์ได้มาก แต่ถ้าใครมีปัญญาจักษุน้อย มีสันดานบริสุทธิ์น้อยก็ย่อมจักเห็นพระคุณของพระองค์ได้น้อย ยิ่งผู้ที่อาภัพอับวาสนาไม่มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา หรือผู้ที่พบพระพุทธศาสนาแล้วแต่เป็นคนทิฐิวิบัติหาปัญญาจักษุมิได้ คนเหล่านี้จะคิดจะมองไปเท่าใดๆ ก็ยิ่งมืดมองไม่เห็นพระคุณของสมเด็จพระพุทธเจ้าเลย

เมื่อมองไม่เห็นพระคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นนี้แล้ว ก็ย่อมทำให้เกิดมีทิฐิความคิดความเห็นต่างๆ นานาตามประสาโง่แห่งตน บางคนบางพวกถึงกับมีความเห็นไปว่าสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า คงจะไม่มีปรากฎในโลกนี้เป็นมั่นคง องค์พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยกย่องสรรเสริญกันนั่น ก็คือ คนธรรมดาสามัญนี่เอง ไม่มีคุณวิเศษเป็นมหัศจรรย์อะไรที่ควรจะเชื่อถือ พระพุทธศาสนาก็คือนโยบายสอนคนโบราณนานมาแล้ แต่ครั้งคนเรายังโง่อยู่ ความเห็นทำนองนี้ ซึ่งเป็นไปเพราะความไม่เชื่อในกำลังพระสัพพัญญูติญาณของพระตถาคตเจ้า ย่อมปรากฎในห้วงนึกของปุถุชนคนที่ยังมีทิฐิกิเลสทั้งหลายเป็นอันมาก แ ละมิใช่จะเพิ่งมาปรากฎแก่คนเราในสมัยนี้เท่านั้น แม้แต่ในอดีตสมัยกาลที่ล่วงมาแล้ว ตั้งแต่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วปรินิพพานเป็นต้นมา ชาวประชาผู้เกิดมาภายหลังไม่เคยได้เห็นพระพุทธองค์ ทั้งมีปัญญาทรามไม่ได้ลิ้มรสอมตธรรมอันประเสริฐสุดไม่ได้เป็นพระพุทธบุตร ดื่มอมตรสที่พระตถาคตเจ้าทรงประทานไว้ให้ย่อมจะมีความกินแหนงแคลงใจอยู่ไม่ หายว่า พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ?

ความจริง นั้น สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมทรงปรากฎมีแล้วในโลกโดยแท้ อย่าสงสัยเลย จงเชื่อฟังเถิดแม้นักปราชญ์ผู้เกิดแต่ปางก่อน ซึ่งท่านมีสันดานบริสุทธิ์ซื่อตรง สำเร็จเป็นองค์พระอรหันต์ได้ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ก็ได้อุตสาหะพร่ำสอนในเรื่องนี้สืบๆ กันมา โดยมีข้อความที่จะพรรณนาให้ฟัง ดังต่อไปนี้

โลกสมุทร

ธรรมดาว่ามหาสมุทรทะเลใหญ่ อันลึกล้ำคัมภีรภาพพ้นพิสัยย่อมทรงไว้ซึ่งทรายและชลชาติมากมายสุดจะนับได้ อากูลมูลมากไปด้วยมัจฉาหมู่ปลาใหญ่น้อยเหลือคณนา และเป็นที่ไปมาอาศัยอยู่แห่งหมู่นาคครุฑและผีเสื้อน้ำ บรรดาสัตว์ทั้งหลายย่อมพากันเที่ยวแหวกว่ายแสวงหาอาหารท่องแถวชลธารอยู่ คลาคล่ำ บางคราก็กำเริบด้วยหมู่อสูรคึกคะนองแลเสียงเมฆกึก้องสะเทือนท้องน้ำ กัมปนาทฟังดังเหมือนพิณพาทย์ฆ้องกลองดุริยางค์ดนตรีเภรีสวรรค์ สมุทรวารีนั้นมีเกาะเกิดเป็นเขางามหลากหลายประมาณได้มากมายนับเป็นหมื่นแสน มีหมู่อมรแทนเฝ้าแหนสิงสถิตทุกยอดเขา เทพยเจ้าทั้งหลายย่อมเสวยทิพยสมบัติโสมนัสบรรเทิงใจ โดยอาศัยสมัครสโมสรแต่ก่อนมา อนึ่งมหาสมุทรวารีนั้น ย่อมมีนาวาสลุปกำปั่นสำเภาแห่งเหล่าพานิชแล่นไปมาทำการค้าขายไม่ขาดสาย อนึ่งย่อมประกอบไปด้วยสิ่งทั้งหลายเหล่านี้คือ มีฟองและระลอกคลื่นดาษดื่นอยู่ทุกเช้าค่ำ มีคุ้งน้ำและปากอ่าวมากหลาย เป็นที่อาศัยของหมู่สัตว์และนิกรชน ทั้งประกอบด้วยวังวนแลบาดาลน่าอัศจรรย์แปลกประหลาด วิจิตรโอภาสด้วยแก้วอเนกา มีหมู่ปลาและเต่าอาศัยอยู่อย่างสะดวกสบายเป็นอันมาก หลากหลายด้วยปลามัจฉาชาตินานาชาติ มีปลาโลมา ปลาฉลาม ช้างน้ำม้าน้ำ และเงือกเบื้องต้น ย่อมอยู่อาศัยในมหาสมุทรนั้นโดยปกติธรรมดา

คราที่นั้น ก็พลันมีมหามัจฉาปลาใหญ่หนึ่งมีกายใหญ่โตมหึมานักหนา จะใคร่ลองกำลังของตนจึงโดดขึ้นไปสุดแรงย่อมกระทำให้มหาสมุทรนั้นกำเริบเป็น ระลอกใหญ่ชัดไปที่ริมฝั่งปรากฎเสียงดังสนั่นกึกก้องเหลือประมาณ กาลนั้นมนุษย์นิกรซึ่งสัญจรไปที่ริมฝั่งมหาสมุทรนั้น ครั้นเห็นคลื่นใหญ่พิกล ทุกคนก็ย่อมจะต้องเข้าใจว่า "ปลาใหญ่มีอยู่ในมหาสมุทรนี้เป็นมั่นคง ไม่ต้องสงสัย" คำอุปมาที่ว่ามานี้ฉันใด

โลกที่เราอาศัยอยู่เวลานี้ ก็เปรียบเหมือนกับมหาสมุทรวารีที่ว่ามานั้น เพราะมีความลึกล้ำสุดพรรณนา ทรงไว้ซึ่งน้ำคือ ราคะ โทสะ โมหะ มากมายเหลือจะคณนา อากูลมากมูลด้วยหมู่มิจแาคือพาลปุถุชนมีแพคือสกลกิเลสทั้งหลายลอยอยู่ แวดวงด้วยข่ายคือมิจฉาทิฐิ ความคิดเห็นวิปริตผิดปกติมากมาย มีกระแสสายคือตัณหา พาให้ไหลไปไม่รู้จักหยุดยั้ง ได้มีธงชัยคือมานะ ความถือตัวสั่นระรัวอยู่เสมอในทุกดวงใจ ร้อนด้วยไฟ คือราคะ โทสะ โมหะ สุดประมาณ ประกอบด้วยอันธการความมืดมิด้วยฤทธิ์แห่งอวิชชา ความเขลาปราศจากปัญญา มีความสาหัสไปด้วยโลภเจตนาเป็นที่สุด ก็โลกสมุทรนี้ผู้มีสติปัญญาเห็นแจ้งประจักษ์ย่อมเห็นเป็นภัยน่ากลัวนักหนา สุดที่จักหาอะไรมาเปรียบได้ เพราะเป็นที่อยู่ของคนตามืดตาบอด คือผู้ที่ประกอบไปด้วยมิจฉาทิฐิในดวงจิตทั้งหลาย และเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์หญิงชายที่มีน้ำใจเป็นกุศล และมีน้ำใจเป็นอกุศล คนมียศและหายศมิได้ คนมีเดชแลหาเดชมิได้ คนมีบุญแลหาบุญมิได้ คนที่มีคุณวิเศษและหาคุณวิเศษมิได้ คนที่มีความเจริญแลหาความจำเริญมิได้ คนมีปัญญาและหาปัญญามิได้ คนที่มีความรู้แลหาความรู้มิได้ อนึ่ง โลกสมุทรนี้จะได้มีแต่คนทั้งหลายเช่นว่ามาแล้วนั่นก็หามิได้ ย่อมประกอบไปด้วยกษัตริย์และพราหมณ์ พ่อค้าแลชาวนา พ่อครัวและอาชีวก คนนุ่งขาวและปริพาชก พระพุทธสาวกแลคนขอทาน คนถือทิฐิประพฤติพรตนอนกับพื้นแผ่นดินปฐพีภาค แลคนถือการนอนข้างเดียวเป็นวัตร คนไม่อาบน้ำเต็มไปด้วยเหงื่อไคลแลชีเปลือยเปล่ากายรวมทั้งพระดาบส โยคีฤาษีทั้งหลายเป็นอันมาก ย่อมปรากฎมีอยู่ในโลกสมุทรนี้เกลื่อนกลาด นอกจากนั้น ยังมีสัตจตุนาทมีเอนกนานา เป็นต้นว่า อูฐ ฬา แพะ แกะ หมู หมา ช้าง ม้า แลสีหราช เป็นจำนวนมากมายเหลือที่จะกล่าว นอกจากนั้นเล่า ยังมีสัตว์สองเท้าเป็นต้นว่า นกจากพราก นกแก้ว นกสาลิกา นกดุเหว่า นกเขา นกพิราบและนกตะกรุม นกฮุก มีลูกหลานสืบพันธุ์กันไม่ขาดสาย ทั้งยังประกอบไปด้วยสัตว์ทั้งหลายที่มีเท้ามาก เช่น ตะขาบ กิ้งกือ แลสัตว์ประเภทที่หาเท้ามิได้ เช่นงูและไส้เดือน เป็นต้น ล้วนปะปนสถิตอาศัยอยู่ในโลกสมุทรนี้ทั้งสิ้น


ปางเมื่อ สมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูเจ้า ผู้ทรงพระภาคอันงามเลิศประเสริฐสุด พระองค์ทรงอุบัติผุดขึ้นโลกนี้แล้ว องค์พระประทีปแก้วย่อมมีอานุภาพยังพื้นพิภพปฐพี ทั่วหมื่นโลกธาตุให้หวาดไหว ได้ตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นเอกองค์อัครมหามุนีโลกนายกแล้ว ทรงสามารถยังมนุษยโลกกับทั้งเทวโลกให้กำเริบปั่นป่วนด้วยพระสัทธรรม แล้วก็ทรงปักแพ้วไว้ซึ่งธรรมธุชธงชัย คือธรรมอันเลิศ สมเด็จพระองค์ผู้สุดประเสริฐสัพพัญญูเจ้าทรงยังโลกให้กำเริบขึ้นด้วยระลอก คลื่น กล่าวคือตรัสพระสัทธรรมเทศนาสั่งสอนสัตว์ ตักเตือนสัตว์ เปลื้องสัตว์รื้อสัตว์ขนสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุคติภพ คืออบายภูมิทั้ง ๔ มีภูมินรก ภูมิเปรต ภูมิอสุรกาย และภูมิเดียรฉาน ทรงประทานพระอมฤตหนทางพ้นทุกข์ให้แก่สัตว์ทั้งหลายทั่วประเทศ มิได้เลือกเพศเลือกหน้า ทรงประทานยาดับพิษโลกคือกิเลสให้แก่สัตว์ในประเทศทั้งหลาย กระทำใจให้สิ้นมลทินขาวบริสุทธิ์ผอ่ง ยังสัตว์โลกทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในพระปฏิสัมภิทา ให้ตั้งอยู่ในพระวิโมกข์ ให้ตั้งอยู่ในพระอริยภูมิอันสำราญ ตรัสประทานพระสัทธรรมเทศนาซึ่งพระจตุราริยสัจธรรมอันประเสริฐนักหนา หมู่เทวดาและมนุษย์ได้สวนาการสดับตรับฟัง บางพวกตั้งอยู่ในพระอนาคามีผล บางพวกตั้งอยู่ในพระสกิทาคามิผล บางพวกตั้งอยู่ในพระอนาคามีผล บางพวกตั้งอยู่ในพระอรหัตผล บางพวกก็ตั้งจิตสมาทานศีล บางพวกตั้งจิตสมาทานพระไตรสรณคมน์ บางพวกตั้งอยู่ในภูมิเป็นอุบาสก อุบาสิกา มีศรัทธาเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย

กาลเมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จพระพุทธลีลาศขึ้นไปตรัสพระสัทธรรมเทศนา ณ เบื้องสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์นั้น พระองค์ประทับนั่งเหนือบัณฑุกัมพลสิลาอาสน์ แล้วตรัสพระสัทธรรมเทศนาพระทุกขสัจ เหล่าเทพยเจ้า ๘๐ โกฏิ ต่างล้วนโสมนัสปราโมทย์ชื่นชมยินดีในกระแสธรรม ก็ได้ธรรมจักษุบรรลุคุณวิเศษด้วยการพิจารณาเห็นซึ่งทุกขสัจ แล้วปลงปัญญาเห็นซึ่งนิโรธธรรมอันวิเศษ... อีกครั้งหนึ่ง กาลเมื่อสมเด็จพระโลกเชษฐเสด็จอยู่ ณ ปาสาณเจดีย์ ตรัสพระสัทธรรรมเทศนาสมุทยสัจ เหล่าเทพเจ้าและมนุษย์ทั้งหลายได้สดับแล้ว ก็มีหฤทัยปราโมทย์ยินดีในพระกระแสธรรม ได้บรรลุมรรคผลมากมายนับจำนวนได้ถึง ๑๔ โกฏิ... อนึ่งโสต กาลเมื่อเสด็จลงจากดาวดึงส์ภพ สมเด็จพระนราสภสัพพัญญูเจ้าก็ได้ตรัสพระสัทธรรมเทศนาพระนิโรธสัจ เหล่าเทพยเจ้าแลมนุษย์ทั้งหลายได้สดับรับรสพระธรรมเทศนาแล้วหมดความสอดแคล้ว สงสัยพระพุทธคุณ ได้บรรลุมรรคผลมากล้นเหลือปลายประมาณได้ถึง ๓๐ โกฏิ .. พระเทศนาที่พระมุนีโปรดประทานนั้น ปานประหนึ่งว่าคลื่นระลอกที่ซัดกระฉอกกำเริบหวั่นไหวอยู่ในโลกสมุทรอัน สุดกว้างนี้ และแล้วพระสมเด็จพระชินสีห์สัมพุทธเจ้าก็ทรงบ่ายพักตรเข้าสู่เขาภูมิอันเกษม สานต์ คือดับขันธ์ปรินิพพานเป็นเอกัตบรมสุขพิสัยไปตามธรรมดา


ฝ่ายว่า บัณฑิตชนมีปัญญาในสมัยหลังต่อมา ได้พบเห็นคลื่น คือพระสัทธรรมอันโอฬารของพระบรมโลกุตตรมาจารย์เข้าก็เฝ้าปฏิบัติตามพระโอวา ทานุสาสนี ผู้ที่มีวาสนาบารมีสูงก็ย่อมตัดเสียได้ ซึ่งเครื่องจองจำอันมากมูลอากูลเหลือล้นในขันธสันดาน ผลาญเสียซึ่ง ราคะ โทสะ โมหะ ให้หมดสิ้น มีจิตพ้นมลทินผ่องใสจากกิเลสบาปธรรม บรรลุถึงพระอรหัตผลเป็นพระอริยบุคคลโอฬาร กระทำพระนิพพานให้แจ้งชัดเป็นพระปรมัตถธรรม ฝ่ายผู้ที่มีวาสนาบารมีต่ำกว่านั้นเป็นผู้ปฏิบัติตามก็ย่อมได้รับผลสมควรแก่ การปฏิบัติเป็นอัศจรรย์ ชนเหล่านี้ก็ย่อมอนุมานกำหนดแน่ลงด้วยปัญญาได้ว่า "คลื่น พระสัทธรรมอันแสนมหัศจรรย์นี้ ไม่มีใครที่จักให้เป็นไปได้ นอกจากพระผู้ห่างไกลจากกิเลส คือพระโลกเชษฐอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น สมเด็จพระภควันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฎมีแล้วในโลกโดยแท้" แต่ชนมีบุญน้อยด้อยวาสนา ปัญญาเขลามัวเมาไปด้วยทิฐิมานะอหังการ ถือว่าตนมีความคิดดีเป็นยอดคน ไม่สนใจการปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนีก็ชวดเปล่าที่จักเห็นความมหัศจรรย์ แห่งพระพุทธพจน์ เมื่อไม่ดื่มรสอมตธรรมเป็นพระพุทธบุตร ก็ย่อมจะถูกวิจิกิจฉาฉุดให้คลางแคลงสงสัยอยู่มิวายว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริงฤา?

ธรรมบรรพต

ธรรมดาพญาเขาหิมพานต์นั้น ย่อมประกอบไปด้วยระเบียบแห่งเงื่อนเขา ยอดเขาแล้วไปด้วยศิลามากมายหนักหนา เป็นที่อยู่แห่งหมู่สัตว์นานา ประกอบไปด้วยไม้แลเครือลดาปกคลุมเป็นสุมทุมพุ่มพฤกษา มากไปด้วยซอกธารเหวท่า คณามนุษย์ คนธรรมพ์นิกร กินนร วิทยาธร ต่างสัญจรเที่ยวเล่นสำราญ อนึ่งภูเขาหิมพานต์นั้น เป็นที่อาศัยอยู่แห่งหมู่สุบรรณครุฑ นาค อสูร กุมภัณฑ์ และยักษ์ทั้งหลาย ทั้งเหล่าอสรพิษร้ายก็อาศัยอยู่มากมายหลายชนิดเหลือคณนา พร้อมทั้งโอสถต้นยาก็สารพัดจะมี แวดล้อมด้วยยอดคีรีทั้งหลาย คือตรีกูฎ ไกรลาศกูฎ สุมนกูฎ จิตตกูฏ และยุคนธรกูฏ และดูสูงชลูดขึ้นไปดุจก้อนเมฆเป็นช่อขึ้น ก็ยอดเขาหิมพานต์นั้นแลดูมีสีดุจเมฆเมื่อวันแรก หรือมิฉะนั้นเมื่อแลดูมีฤาดุจทาด้วยดอกอัญชัญอันมีสีเขียวปนสีคราม สีม่วง สีหม่นทั้งหลาย บ้างก็คล้ายสีในกายแห่งนาคราชอันเขียวคล้ำ ถ้ามิฉะนั้น แลดูแวววับเหมือนกับพยับแดดเดือน ๕ งามสง่าไม่มีใดเทียม ทีนี้ มนุษย์ทั้งหลายผู้เป็นปัญญาชน เมื่อตั้งต้นไปเห็นยอดเขานั้นแต่ไกล เขาก็เข้าใจด้วยอนุมานปัญญาว่า...นี่เป็นยอดเขาหิมพานต์! หิมพานต์บรรพตปรากฎมีอยู่โดยแท้หนอ ความอุปมาที่ว่ามานี้ฉันใด

ธรรมบรรพตภูเขาคือพระธรรมแห่งองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาจารย์เจ้า ก็มีลักษณาการเหมือนเช่นนั้น ถือว่าธรรมและผลเป็นเอนกประการ ประดับไปด้วยยอดและแง่เงื้อม กล่าวคือ สุญญตวิโมกข์ ทางเข้าสู่พระนิพพานโดยอนัตตลักษณะ อนิมิตตวิโมกข์ ทางเข้าสู่พระนิพพานโดยอนิจจลักษณะ อัปปณิหิตวิโมกข์ ทางเข้าสู่พระนิพพานโดยทุกขลักษณะและมีทางขึ้นสู่ธรรมบรรพตนั้น กล่าวคือท่านผู้มีปัญญาทรงพระสูตร พระวินัยและพระอภิธรรม เป็นที่สถิตอาศัยอยู่แห่งท่านพระอรหันต์ อริยบุคคลผู้บรรลุพระอรหัตผล เป็นที่เที่ยวไปแห่งท่านผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลชั้นต่ำมีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อ พระโสดาปัตติผลเป็นต้น และท่านผู้ทรงจีวรเศร้าหมองครองชีพด้วยสุจริตปรารถนาน้อยค่อยอยู่สุขสำราญ ซ่องเสพสถิตอยู่เป็นอันมาก อนึ่ง ธรรมบรรพตนี้ ย่อมเป็นที่สถิตอยู่แห่งท่านผู้ได้ไตรวิชชาและอภิญญาท่านผู้ได้ปฏิสัมภิทา และผู้ได้สำเร็จในบารมีญาณ นอกจากนั้นธรรมบรรพตนี้ ยังอาเกียรณ์มากมูลไปด้วยยาอันดับเสียซึ่งพิษร้ายที่กำซาบซ่านในใจสัตว์ ทั้งยังมีโอาสถอันจะบำบัดดับโรคทุกข์ทั้งปวงและรักษาอายุให้เจริญ เช่นประกอบไปด้วยจันทน์ กล่าวคือ ศีล

โอสถกล่าวคือสมถะ กฤษณากล่าวคือปัญญา กลิ่นกล่าวคือสันโดษอันบริสุทธิ์เป็นต้น อนึ่ง ธรรมบรรพตนี้มียอดคีรีภูเขาธรรมอันประเสริฐเป็นบริวารแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งได้แก่ภูเขาคือพระสติปัฏฐาน ภูเขาคือพระสัมมัปปะาน ภูเขาคือพระอิทธิบาท ภูเขาคืออินทรีย์ ภูเขาคือพละ ภูเขาคือโพชฌงค์ และภูเขาคือพระอัฏฐังคิกมรรค ภูเขาคีรีเหล่านี้เป็นบริวารแวดล้อมธรรมบรรพตนั้น และประการที่สำคัญก็คือว่า ธรรมบรรพตมียอดสูงเยี่ยมนัก สุดที่อันตรายอื่นใดจักล้างผลาญได้ ยอดบรรพตนี้คือพระนิพพานอย่างไรเล่า พระนิพพานอันดับเสียซึ่งความอยากและความกระวนกระวายถอนเสียซึ่งความอาลัยทำ ให้สิ้นไปเสียซึ่งความยินดี คือราคะ ทำให้สิ้นไปเสียซึ่งยินร้ายคือโทสะ และโมหะ มีสภาวะเยือกเย็นเป็นสุขคือไม่รู้เกิด ไม่รู้ตาย เป็นมหาสุญญตา เงียบสูญสงบสุดในโลก นี่แลเป็นยอดธรรมบรรพต สมเด็จพระสุตตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นทรงสร้างธรรมบรรพตอันประเสริฐนี้แล้ว ก็ทรงบ่ายพักตรเข้าสู่เขตภูมิอันเกษมสานต์ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป

ฝ่ายบัณฑิตชนคนมีปัญญาในสมัยหลังมา ครั้นได้ข่าวธรรมบรรพตมีอยู่ ก็สู้อุตสาหกรรมปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี เมื่อถึงที่เห็นธรรมบรรพตนั่นเข้าแล้ว ย่อมไม่แคล้วที่จะตะลึงงันด้วยความอัศจรรย์ใจตน ทุกคนถึงแม้จะเกิดในกาลสุดท้ายภายหลัง ไม่ทันได้เห็นพระรูปกายของพระพุทธเจ้าก็จริง แต่เมื่อได้เห็นสิ่งสำคัญคือธรรมบรรพตที่พระสุคตทรงสร้างไว้นี่แล้วย่อมจะ อนุมานด้วยปัญญา อุท่านออกมาว่า "โอ้..อัศจรรย์จริงหนอ ธรรมบรรพตอันแสนประเสริฐนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่จะมีปัญญาสามารถสร้างไว้ได้ นอกจากพระผู้ห่างไกลจากกองกิเลสคือ สมเด็จพระโลกเชษฐอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น สมเด็จพระภควันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว ทรงปรากฎขึ้นแล้วในโลกเรนี้โดยแท้เป็นแม่นมั่น"

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
ฝ่ายท่านที่มีบุญน้อยด้อยวาสนา หรือว่าผู้มีปัญญาเขลามัวเมาไปด้วยทิฐิมานะอหังการ์ ไม่เห็นคุณค่าแหงพระศาสนา แม้ว่าพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระชินวรพุทธเจ้ายังปรากฏอยู่ ก็มิสู้จะปลงใจให้เชื่อลงได้ ให้มีอันเป็นคิดวิจารณ์ไปต่างๆ ตามประสาคนที่ยังมีทิฐิกิเลสและวิจิกิจฉากิเลสอยู่ บูชาความคิดเห็นของตน อันค่อนข้างจะใช้ไม่ได้เป็นใหญ่ มิใคร่จะเชื่อฟังในพระโอวาทานุสาสนี หรือมิฉะนั้นก็ตีความดูประหนึ่งว่าพระพุทธพจน์อันลึกล้ำคัมภีร์ภาพของสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงอบรมบ่มพระสัมโพธิญาณมานานช้า อยู่ภายใต้ปัญญาความดีของตนเท่านั้นเอง เลยเป็นเหตุให้ไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง เมื่อไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจังแล้ว การบรรลุมรรคผลอันเป็นวิเศษเบื้องสูง ซึ่งสามารถขจัดความสงสัยในพระรัตนตรัย จักบังเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อ วิจิกิจฉา ความสงสัยยิ่งมากมูลอากูลอยู่ในจิตสันดาน ก็เลยมักให้พาลคิดไปว่า "ฮึ...พระธรรมคำสั่งสอนมีค่าควรแก่การปฏิบัติจริงหรือ... พระพุทธศาสนาเป็นนิยยานิกธรรมนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้จริงหรือ... ที่ว่าพระพุทธเจ้านี่ มีจริงหรือๆ ว่าเป็นเรื่องราวที่มนุษย์อะไร ใครคนหนึ่งเสกสรรเป็นทำนองเทพนิยายปรัมปราเรื่องหนึ่งดอกกระมัง?" ให้คิดสงสัยวนเวียนอยู่อย่างน่ากลุ้มใจแทนอยู่เช่นนี้ ก็เพราะขาดสิ่งสำคัญอยู่อย่างเดียว คือขาดการปฏิบัติ จึงอาจเห็นธรรมบรรพตปรากฎอยู่โดยแท้ แต่ก็ไม่อาจจะรู้จะเห็นได้ ตาบอดตาใส เลยถูกความสงสัยสะกิดใจอยู่เนืองๆ ว่า พระพุทธเจ้ามีปรากฎในโลกจริงฤา?

ธรรมเมฆ

ธรรมดา มหาเมฆหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า จตุทีปกะ เมื่อตั้งขึ้นจะให้ฝนตกใหญ่นั้น ท่านผู้ได้ฌานชำนาญฤทธิ์ทั้งหลายย่อมจะเห็นนิมิตบังเกิดขึ้นเป็นสำคัญก่อน คือเบื้องบนอากาศจะปรากฎเป็นกลุ่มก้อนห้อยย้อยดุจสร้อยสังวาลย์ และปรากฎมีดอกไม้สวรรค์บันดาลตกลงมามากมาย มีมหาวาตลมอ่อนละเอียดค่อยพัดมาเรื่อยๆ เย็นน้อยเฉื่อยชื่นสบาย มนุษย์นิกรทั้งหลายก็สโมสรชื่นชมยินดี อนึ่ง ย่อมมีเสียงอึงมี่แห่งหัตถีโปดก ลูกช้างและอัสสโปดกลูกม้าทั้งสองร้องโกญจนาท ทั้งสกุณชาติทั้งหลาย ก็มาบินว่อนร่อนร่าปราโมทย์ยินดี สายอสุนีฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่วทิศา มีกลิ่นมหาเมฆมากมายกว่าหมื่นพันสีสันต่างๆ บ้างก็เขียว บ้างก็เหลือง บ้างก็แดง บ้างก็ขาว บ้างก็เป็นสีหงสบาท มีสีอ่อนแซมซ้อนสลับกัน พลันก็มีคฤโฆษอื้ออึงกึกก้องไปด้วยเสียงฆ้องกลองสวรรค์ บังเกิดเป็นมหันตนิมิตเอนกจะนับจะประมาณมิได้! เมื่อจตุทีปกะมหาเมฆนี้บันดาลฝนตกลงมา ฝ่ายมนุษย์นิกรแลส่ำสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกา เห็นฝนตกลงมาที่โกรก ตรอกซอกธาร ละหานห้วยหนองคลองบึงบางบ่อและสระ ทุกสถานที่เต็มเปี่ยมด้วยน้ำ และทั่วพื้นปฐพีแผ่นดินชุ่มคล่ำไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าใหญ่น้อยเขียวชะอุ่มเป็น คราบอยู่ดูร่มเย็น หมู่มหาชนครั้นได้เห็นกาลนี้ ก็ย่อมจะมีความรู้อนุมานด้วยปัญญาได้ว่า "ฝนนี้เป็นฝนห่าใหญ่ ตกลงมาแล้วหนอ" ข้อนี้มีอุปมาฉันใด

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารย์เจ้าเมื่อเสด็จมาอุบัติและตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณในโลกเรานี้แล้ว องค์พระประทีปแก้วก็ทรงยังธรรมเมฆให้ตกลงมาเหมือนกัน ด้วยว่าสมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยังโลกสวรรค์และโลกมนุษย์ให้เอิบอิ่มเกษมสานต์หรรษาด้วยห่าฝนคืออมตธรรม ส่ำสัตว์ทุกแหล่งหล้า เมื่อถูกหยาดห่าฝนของพระองค์ราดลงในดวงจิต บางหมู่ก็สถิตตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ บางหมู่ก็บวชเป็นพระภิกษุภาวะในพระบวรพุทธศาสนาทรงพระปาติโมกข์สังวรศีล บางหมู่ผู้มีวาสนามิได้บรรลุถึงธรรมวิเศษ สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบันชั้นพระสกิตทาคามีและชั้นพระอนาคามี บางหมู่มีวาสนาสูงสุด จัดเป็นพุทธบุตรผุ้วิเศษ ได้บรรลุธรรมวิเศษเป็นพระอรหันต์อริยบุคคลพ้นจากราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฐิ กำจัดเสียซึ่งเครือลดากล่าวคือความยินดีในกามคุณ ๕ ประการ ให้พินาศขาดจากสันดาน บรรลุพระนิพพานอันเกษมสานต์สิ้นทุกข์ทั้งมวล เช่นนี้เป็นจำนวนมากกว่ามาก ครั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาพอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยังธรรมเมฆให้ตกลงมา ให้ประชาสัตว์ได้รับอมตธรรมชุ่มฉ่ำในดวงหฤทัยอย่างนี้แล้ว ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป

ฝ่ายบัณฑิตชนคนมีปัญญาในสมัยหลังต่อมา ได้เห็นวารีคือธรรมของพระชินสีห์ อันเกิดจากธรรมเมฆห่าฝน ยังเปี่ยมล้นปรากฎอยู่ในโลกา ก็สู้อุตส่าห์ปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนีจนสามารถที่จะนำเอาธรรมวารีนั้นมา ดื่มกิน แต่พอกระแสสินธุ์คืออมตธรรมนั้นตกลงถึงดวงฤทัยก็พลันให้เกิดมหัศจรรย์ใจ เป็นล้นพ้น ถึงแม้ว่าตนจะเกิดมา ณ โอกาสสุดท้ายภายหลังมิทันได้เห็นสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าก็ตาม แต่เมื่อได้ดื่มอมตธรรรม มีธรรมวารีซาบซ่านอยู่ใในหฤทัยบัดนี้ ย่อมจะอนุมานได้ด้วยปัญยาเป็นอันดีว่า "โอ้หนอ! ธรรมวารีอันเป็นอมตรสนี้ ใครผู้ใดฤา จักสามารถให้ปรากฎมีขึ้นได้ นอกจากพระผู้ห่างไกลจากกองกิเลสคือองค์สมเด็จพระโลกเชษฐสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์เดียวเท่านั้น สมเด็จพระภควันต์ทรงยังธรรมเมฆให้ปรากฎแล้ว ประทานอมตธรรมคือฝนห่าใหญ่ สำหรับดับไฟ คือกองทุกข์ของส่ำสัตว์ในโลกนี้ โอ... สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกนี้จริงแล้ว หนอ" ดังนี้

ฝ่ายผู้ที่มีบุญน้อยด้อยวาสนา หรือผู้ที่มีปัญญาโฉดเขลามัวเมาไปด้วยทิฐิมานะ ไม่เห็นคุณค่าพระพุทธศาสนา แม้ว่าธรรมวารีอันเกิดจากธรรมเมฆ ยังปรากฎอยู่เปี่ยมล้นเต็มโลกอยู่ขณะนี้ แทนที่จะเกิดปิติยินดีรีบวักรีบตักมาดื่มกินให้รู้รสกระแสสินธุ์ คืออมตะรรมว่าล้ำเลิศวิเศษสุดปานใด แต่ก็ให้มัวเมาตกอยู่ในความประมาท ขาดการปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี เมื่อไม่มีการปฎิบัติคือการกระทำแล้ว ปฏิเวธความดี การบรรลุธรรมวิเศษอันเปรียบเสมือนการนำเอาธรรมวารีมาอาบใจหรือดื่มกินให้รู้ รส จักมีได้แต่ที่ไหน เมื่อไม่รู้รสธรรมวารี ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนเหลือเกิน คน โซปัญญาทรามเหล่านี้ จักไม่มีโอกาสได้มองเห็นความสามารถแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้า พระองค์ผู้ทรงบันดาลธรรมเมฆยังธรรมวารีให้ตกลงมาในโลกนี้ได้เลยอย่างแน่นอน คราใด ที่อนุสรณ์ถึงพระพุทธศาสนา ก็มักให้มีวิจิกิจฉาความสงสัย ผุดขึ้นในใจอยู่เสมอว่าพระพุทธเจ้าปรากฎขึ้นแล้วจริงฤา?

ธรรมนที

ธรรมดาว่าคงคาทั้งหลาย ย่อมไหลมาแต่ป่าเขาใหญ่แล้ว และไหลหลั่งลงมาทางพื้นภูมิภาคฝ่ายใต้ลงสู่มหาสมุทรทะเลใหญ่ในคราวที่มหาเมฆ มโหฬาร บันดานฝนให้ตกลงมาเป็นห่าใหญ่ ท่วมบ่อสระสถานที่ทั้งหลายแล้ว ก็เป็นน้ำป่า พัดพาเอาขอนไม้ใหญ่น้อย และรากใบเป็นสวะลอยไป สัตว์จตุบท ทวิบาททั้งหลายเช่นแมลงปอ ตะขาบ มด หนู งู พังพอน สุนัข กระต่ายและเสือป่าเป็นอาทิ ก็พากันหนีอุทกภัยขึ้นไปอาศัยบนดอย สัตว์ที่มีกำลังน้อยน่าสงสารหนีไม่พ้น น้ำฝนก็ท่วมตายและไหลพัดพาไปสู่มหาสมุทร ใช่แต่เทานั้น อุทกขันธ์คือห้วงน้ำอันมีกระแสเชี่ยวแกร่งกล้าเป็นน้ำป่ายังพัดพาเอาสิ่ง โสโครกบรรดามีให้ไหลไปหมดสิ้น ชำระท้องถิ่นผืนปฐพีให้สะอาดหมดลามก และน้ำนั้นก็ไหลไปสู่มหาสมุทรจนแห้งหมดไม่เหลือเลยในไม่ช้านาน กาลต่อมา มนุษย์นิกรได้สัญจรมา ณ ประเทศที่นั้น ครั้นได้เห็นคราบน้ำปุ่มเปือกติดอยู่ตามกอหญ้าและตามยอดไม้ และเห็นรวงรังของสัตว์ที่เคยอยู่พื้นดิน มันขึ้นไปทำรังอาศัยอยู่ตามเชิงซุ้มพุ่มไม้อันเป็นที่สูง ก็ย่อมจะจูงใจให้เกิดความคิด อนุมานด้วยปัญญาแห่งตนโดยไม่ต้อมีใครบอกก็ได้ว่า "นั่นแน่ ที่นี้เคยมีห้วงน้ำไหลมาท่วมแล้ว ดูซิ...ที่กอหญ้าก็มีคราบน้ำ หรือที่ยอดไม้ก็มีคราบน้ำท่วมขึ้นไปถึง สกุณีปักษีชาติไม่อาจอยู่พื้นที่ต่ำได้ อุตส่าห์ขึ้นไปทำรังอยู่บนต้นไม้สูง ต้องมีคงคาสายน้ำป่าใหญ่ไหลผ่านประเทศที่นี่แล้วเป็นแม่นมั่น" ข้อความที่เสกสรรมานี่มีอุปมาฉันใด

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารย์เจ้า เมื่อได้ตรัสรู้สำเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว องค์พระประทีปแก้วก็ทรงยังธรรมนทีสายน้ำคือธรรมอันโอฬารยิ่งใหญ่ ให้หลั่งไหลออกมาจากพระโอษฐ์สำเร็จเป็นพระพุทธพจน์รวมกันทั้งหมดมีจำนวนมาก มายถึง ๘ หมื่น ๔ พันพระธรรมขันธ์ ก็ธรรมนทีของพระองค์นั้น เมื่อไหลมาโดยลำดับกัน ย่อมไหลลงสู่ สาครปากอ่าว กล่าวคือพระนิพพาน ซึ่งเป็นสถานที่ปัจจยาการประชุมตกแต่งมิได้ มิรู้แก่ มิรู้ตาย มีสภาวะเป็นสุขสบายยิ่งนักหนา ด้วยว่า เมื่อสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยังธรรมนทีให้หลั่งไหลอยู่นั้น ก็ทรงยังโพไธยยกสัตว์ที่ได้สร้างบารมีมาแก่กล้าสมบูรณ์ ให้ได้รู้ธรรมวิเศษสำเร็จกิจแห่งพรหมจรรย์ ทรงยังชาวโลกสวรรค์หมู่อมรแลมนุษย์นิกร ให้อิ่มเอิบด้วยธรรมปิติเป็นอันมาก ให้กำจัดเสียซึ่งราคะ โทสะ มานะ และมักขะคือความกระด้าง หลู่คุณท่านผู้อื่น ด้วยสันดาลพาลเขลาคิดว่าตนดีกว่า และให้กามคุณอารมณ์เป็นที่สุขสบายน่าพอใจชอบใจ พยาบาทความยินร้ายไม่พอใจในอารมณ์ที่ไม่ถูกกับใจตน สักกายทิฐิ ความเข้าใจผิดในรูปนามว่า เป็นตัวตน อันเปรียบเสมือนหอกปักอก ให้วงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยไม่เชื่อลงไปได้ในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตน์ พระธรรมรัตน์ พระสังฆรัตน์ และตัณหาอันรกชัฏ มิไใช่น้อยให้ลอยเสียซึ่งอกุศลธรรมปาปกรรมอันพิลึกต่างๆ ให้ล่วงเสียซึ่งเปือกตม กล่าวคือโมหะ มานะ และลาภสักการะ ให้เปลื้องเสียให้พ้นจากอกุศลทั้งปวง ให้ล่วงพ้นจนถึงเป็นพระอรหันต์ในที่สุด สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงยังธรรมนที ให้ไหลหลั่งพัดพาประชาสัตว์ไปสู่นิพพานสาครแล้วองค์สมเด็จพระชินวรก็เสด็จ ดับขันธ์ปรินิพพานไป

ฝ่ายบัณฑิตชนคนมีปัญญาซึ่งเกิดในสมัยหลังต่อมา ครั้นได้เห็นรอยธรรมนทีของสมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูเจ้านั้นแล้วก็ดีใจดัง ได้แก้วไม่ประมาทชักช้าให้เสียเวลา ด้วยเกรงว่า ตนนี้เกิดมาจะเสียชีวิตเกิดเสียเปล่า เฝ้าอุตสาหะปฏิบัติดำเนินตามรอยธรรมนมทีนั้นไปมิได้เห็นแก่การเหนื่อยยาก พยายามถอนตนจากเปือกตมโคลนเลน คือโมหะ มานะ และลาภสักการะค่อยดำเนินไปๆ แล้ว ในที่สุด เมื่อมาถึงปากอ่าวเห็นนิพพานสาครเข้า ก็ให้ตะลึงงันอัศจรรย์เป็นล้นพ้น อุทานออกมาว่า "โอ้หนอ นิพพานสาครนี่แสนมหัศจรรย์นัก ใครเล่าหนาจักเป็นผู้สามารถมาพบมาเจอก่อนเป็นคนแรกได้ นอกจากสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเป็นไม่มี สมเด็จพระชินสีห์ทรงพบแล้วทรงแสดงธรรมนทีพัดพาให้สัตว์ทั้งหลายมาถึงนิพพาน สาครนี่แล้วโดยมาก บัดนี้หากพระองค์ดับขันธ์นิพพานแล้วก็จริง แต่สิ่งสำคัญคือร่องรอยแห่งธรรมนทียังมีอยู่ ผู้ใดปฏิบัติตามธรรมนทีแล้ว ต้องมาถึงพระนิพพานสาครนี่แน่นอน โอ้...อัศจรรย์แท้ พระผู้ปล่อยกระแสธรรมนที คือองค์สมเด็จพระชินสีห์ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลกจริงเป็นแม่นมั่น"