หมวดหลัก > พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี

มุนีนาถทีปนี การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โดย พระพรหมโมลี วิลาศ ญาณวโร

(1/8) > >>

Wisdom:
ปนามพจน์
นมตฺถุ  รตนตฺตยสฺส
            ข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการแด่องค์
สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์  พระองค์
ผู้ทรงมีพระมหากรุณาแผ่ไปในไตรภพ
          และพระนพโลกุตรธรรมอันล้ำเลิศ  กับ
ทั้งพระอริยสงฆ์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
ด้วยเศียรเกล้าแล้ว  จักขออภิวาทนบไหว้
ซึ่งท่านบุรพาจารย์ทั้งหลาย  ผู้ทรงไว้ซึ่ง
ญาณและพระคุณอันบริสุทธิ์ด้วยคารวะ
เป็นอย่างยิ่งแล้ว  จักรจนาเรียบเรียงกถา
ซึ่งตั้งชื่อว่า “ มุนีนารถทีปนี ” เพื่อแสดงถึง
เรื่องของพระองค์ผู้ทรงเป็นนาถะที่พึ่ง
อย่างประเสริฐสุดแห่งประชาสัตว์ในไตรโลก
กล่าวคือ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จอมมุนี  โดยประสงค์จะสดุดีสรรเสริญซึ่ง
พระพุทธคุณเป็นสำคัญ  ฉะนั้นขอมวลชน
คนดีมีปัญญาทั้งหลาย  จงตั้งใจสดับกถา
ของข้าพเจ้า  ซึ่งจักกล่าวในโอกาสต่อไป
นี้ด้วยดีเทอญ.

บัดนี้  จักขอถือชี้แจงแก่ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งปวงว่า   บรรดาเราท่านทั้งหลายที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา  พร้อมกับมีศรัทธาเสื่อมใสและมีใจประกอบด้วยสัมมาทิฐิ  น้อมนำเอาพระบวรพุทธศาสนามาเป็นศาสนาประจำชีวิตตน  เช่นที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น  ถ้าจะถือกันว่าเป็นโชค  เวลานี้เรากำลังได้ประสบโชคอย่างมหาศาล  ซึ่งไม่มีโชคอื่นใดจะเปรียบปาน   ถ้าจะถือกันว่าเป็นลาภ    เวลานี้เราก็กำลังได้รับลาภอย่างประเสริฐสุดขนาดเป็นบรมลาภทีเดียว  ซึ่งจักหาลาภอื่นใดในโลกนี้มาเปรียบเทียบอีกไม่ได้เลย
ที่กล่าวมานี้  ไม่ใช่กล่าวไปด้วยอำนาจความคล่องปาก  หรือมีใจอยากยกย่องพระพุทธศาสนาจนเกินไป  ไม่ใช่อย่างนั้น  อันที่จริงการที่สัตว์โลกทั้งหลายซึ่งยังต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร  จักได้มีโอกาสเกิดมาพบพระบวรพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระศาสดาบรมไตรโลกนาถ  แต่ละชาติแต่ละหนนั้น  อย่าได้สำคัญผิดคิดอย่างผิวเผินเป็นอันขาดว่า  เป็นสภาพที่เป็นไปได้อย่างง่ายๆ  ความจริงไม่ใช่  เพราะว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากเย็นแสนเข็ญนักหนา  ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย  จงมาพิจารณาใคร่ครวญถึงมหาวิบัติ  คือความฉิบหายของสัตว์โลกอย่างใหญ่หลวง  ตามที่จะพรรณนาต่อไปนี้เถิด  แล้วก็จะแลเห็นเองว่าการที่เราเกิดมาในชาตินี้ได้เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา  จัดว่าได้รับโชคลาภอย่างประเสริฐเพริศพริ้งเพียงไร


มหาวิบัติ

ขึ้นชื่อว่าความวิบัติทั้งหลายที่มนุษย์เราต้องประสบกันอยู่เสมอในโลกนี้  ความวิบัติอื่นใดก็จงยกไว้ก่อนเถิด  เพราะมิสู้จะสำคัญ  แต่ความวิบัติหนึ่งนั้น  เป็นความวิบัติอย่างใหญ่หลวงของสามัญสัตว์  ซึ่งจัดว่าเป็นยอดแห่งความวิบัติจริงๆ  มีอยู่  ๖  ประการ  คือ

๑. วิบัติกาล

   วิบัติกาลนี้  ได้แก่วิบัติเพราะกาลว่างจากพระพุทธศาสนา ! หมายความว่าในโลกมนุษย์ที่เราเกิดอยู่นี้  ใช่ว่าจะปรากฏมีพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นประจำจนชั่วฟ้าดินสลายนั้นหามิได้  โดยที่แท้  บางกาลก็มีพระพุทธศาสนา  แต่บางเวลาก็ไม่มี  เพราะไม่ใช่คราวที่สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก  ก็ในระหว่างกาลที่พระพุทธศาสนากับไม่มีนี้  ปรากฏกาลที่ไม่มีพระพุทธศาสนานั่นแหละ  มีปริมาณมากกว่ากาลที่มีพระพุทธศาสนามากมายนัก  ซึ่งก็หมายความว่า  ในโลกนี้  นานๆจึงจะมีพุทธกาลเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง  ทีนี้  สมมติว่าตัวเราเกิดมาในเวลาที่มิใช่พุทธกาล  เป็นกาลว่างเปล่า  ไม่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก  เราก็หมดโอกาสที่จะรู้จักพระพุทธศาสนา  มิได้รับรสพระสัทธรรมเทศนา   การเกิดของเราในกาลที่ว่างเปล่าจากพระพุทธศานาก็เท่ากับว่าเกิดมาเปล่าประโยชน์   หาสาระแก่นสารแห่งชีวิตอันแท้จริงมิได้    เกิดมาเปล่าแล้วก็ตายไปเปล่าตามธรรมดาของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารเท่านั้นเอง   สภาพการณ์เช่นว่ามานี้  เรียกว่าวิบัติกาล  ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต  เพราะเกิดผิดกาลเวลา  นับว่าเป็นมหาวิบัติประการหนึ่ง.

๒. วิบัติคติ
   วิบัติคตินี้  ได้แก่วิบัติเพราะไม่ได้คติที่ดี  หมายความว่าแม้ว่ากาลเวลาจะถึงพร้อมแล้ว  คือมีสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ทรงประกาศพระสัทธรรมเทศนายังประชาสัตว์ให้ได้ดื่มอมตรส ทรงโปรดสัตว์รื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสาร ให้ลุล่วงถึงพระนิพพาน ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้ปรากฎอยู่ในโลก เช่นในปัจจุบันทุกวันนี้ แต่ทีนี้สมมติว่า ตัวเราเป็นคนอาภัพอับโชคมีบุญน้อยด้อยวาสนา ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างเวลานี้ เพราะค่าที่เป็นผู้มีคติวิบัติ พลัดไปในเกิดในภูมิอื่นโลกอื่นเสียอย่างเพลิดเพลิน เช่นกำลังไปเกิดอยู่ในนิรยภูมิถือกำเนิดเป็นสัตว์นรกเสียก็ตาม กำลังไปเกิดอยู่ในเปตวิสัยภูมิ ถือกำเนิดเป็นเปรตอดอยากอยู่ก็ตาม กำลังไปเกิดอยู่ในอสุรกายภูมิ ถือกำเนิดเป็นอสุรกายมีความหิวกระหายอย่างแสนสาหัสอยู่ก็ตาม หรือกำลังไปเกิดอยู่ในติรัจฉานภูมิ ถือกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่เสีย ก็เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะมีโอกาสได้มาพบพระบวรพุทธศาสนากระไรได้ เพราะสัตว์ในอบายภูมิทั้งหลายเหล่านั้น ทุกวันเวลามีแต่จะมะงุมมะงาหราเสวยทุกข์โทษจนหน้าดำหน้าแดง มีชีวิตอยู่อย่างหดหู่เหี่ยวแห้งน่าสมเพชเวทนา ก้มหน้าก้มตารับผลกรรมชั่วของตน จนหน้ามืดตามัว ไม่มีเวลาหยุดว่างเว้น สภาพการณ์เช่นว่ามานี้ เรีกชื่อว่า วิบัติคติ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต เพราะไปเกิดผิดภูมิผิดโลก จึงโชคร้ายนักหนา นับว่าเป็นมหาวิบัติประการที่สอง

๓. วิบัติประเทศ

วิบัติประเทศนี้ ได้แก่วิบัติเพราะเป็นประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา!

หมายความว่า ถึงแม้จะพ้นจากวิบัติที่กล่าวมาแล้ว คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารย์เจ้า ก็ทรงมาอุบัติตรัสในโลกแล้ว และตัวเราก็พ้นจากคติวิบัติ มาอุบัติเกิดเป็นมนุษย์ในมนุษย์โลกนี้แล้ว ก็แต่ว่าโลกนี้เป็นพื้นแผ่นปฐพีอันกว้างขวางใหญ่โตนักหนา เป็นที่สถิตแห่งนานาประเทศ มีจำนวนมากมายหลายประเทศนัก พระพุทธศาสนาไม่สามารถจักแผ่ไปถึงทั่วประเทศทั้งสิ้นทั้งปวงได้ ประเทศใด พระพุทธศาสนาแผ่ไปไม่ถึง ประเทศนั้น ก็ไม่รู้จักคุณค่าของพระบวรพุทธศาสนา ไม่ทราบเลยว่า ศาสนาคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นนิยานิกธรรม สามารถนำสัตว์โลกออกจากกองทุกข์ได้อย่างแท้จริงโดยไม่ต้องสงสัย ทีนี้สมมติว่า ตัวเราไปเกิดในประเทศนั้น ก็ไม่มีวันที่จะได้รู้จักพระพุทธศาสนาเลย เมื่อไม่รู้จักก็ย่อมไม่เห็นคุณค่าของพระศาสนาอันมีอยู่โดยวิเศษเป็นธรรมดา เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ก็จักมีโอกาสเป็นพุทธศาสนิกชนคนนับถือพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ย่อมจะมีชีวิตอยู่ในชาติหนึ่งอย่างไร้แก่นสาร น่าเศร้า เข้าทำนองเกิดมาเปล่าแล้วก็ตายไปเปล่าเท่านั้นเอง สภาพการณ์เช่นว่ามานี้ เรียกชื่อว่าวิบัติประเทศ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชาติ เพราะไปเกิดผิดประเทศ จึงต้องโชคร้ายนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติสำคัญประการที่สาม

๔. วิบัติตระกูล


วิบัติตระกูลนี้ ได้แก่วิบัติเพราะตระกูลที่ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ!

หมายความว่า ถึงแม้จะได้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แล้ว และเราก็ได้มีโอกาสมาเป็นมนุษย์ เป็นคน ในประเทศที่นับถือพระบวรพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว ก็แต่ว่าในประเทศนี้ย่อมมีวงศ์ตระกูลของหมูมนุษย์อยู่มากมายหลายตระกูลนัก ตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิ เคารพนับถือพระพุทธศาสนาก็มี ตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่มีความเลื่อมใส ไม่เคารพนับถือในพระพุทธศาสนาก็มี ทีนี้ สมมติว่าตัวเราบังเอิญไปเกิดในตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฐิเสีย บิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งเป็นบรรพชนต้นโคตร ต้นวงศ์ของเรา ท่านไม่รู้จักพระบวรพุทธศาสนา ไม่เห็นคุณค่า ไม่มีศรัทธาเคารพเลื่อมใสในพระธรรมคำสั่งสอน แห่งองค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาเสียเลย เราก็จะต้องมีความเห็นหรือมีทิฐิไปตามโคตร ตามวงศ์ คือจักไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เห็นคุณค่า อาจมองพระบวรพุทธศาสนาไปในแง่ว่าไม่ถูกต้องก็ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ชีวิตของเราถึงแม้จะได้รับความสมบูรณ์ พูนสุขอย่างไร ก็นับเข้าในจำพวกที่อับโชค เกิดมาในโลกกับเขาครั้งหนึ่ง แต่หาที่พึ่งอันแท้จริงเป็นแก่นสารมิได้ เกิดมาเปล่าแล้วก็ตายเปล่าอีกเหมือนกัน สภาพการณ์เช่นว่ามานี้ เรียกว่าวิบัติตระกูล ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชาติ เพราะไปเกิดผิดตระกูลจึงต้องโชคร้ายหนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติสำคัญประการที่สี่

๕. วิบัติอุปธิ

วิบัติอุปธิ นี้ ได้แก่วิบัติอุปธิ คือร่างกาย!

หมายความว่า ถึงแม้จะได้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ และทรงประกาศพระพุทธศาสนาให้ตั้งมั่นในโลกอย่างปัจจุบันทุกวันนี้แล้ว และเาก็ได้มีโอกาสเกิดมาในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิเคารพเลื่อมใสในพระบวรพุทธ ศาสนาอยู่แล้วก็ตามที แต่ที่นี้ สมมติว่า ตัวเราเป็นคนอาภัพอับวาสนา องคาพยพไม่สมบูรณ์เป็นคนมีอุปธิวิบัติ คือร่างกายไม่สมประกอบ เหมือนคนธรรมดาสามัญทั้งหลาย กลายเป็นบ้า เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เสียจริต จิตวิปลาสไปเสีย เช่นนี้ก็ไม่สามารถมีปัญญามองเห็นคุณค่าพระบวรพุทธศาสนา ไม่มีโอกาสจะรู้ว่าศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าทรงไว้ซึ่งความประเสริฐล้ำเลิศเพียงไรอย่างนี้แม้จะได้เกิดมากับเขาชาติ หนึ่ง ก็ถึงการนับได้ว่าเกิดมาเปล่าๆ เป็นชีวิตที่ไร้ค่า เท่ากับว่าไม่ได้เกิดมานี้เอง สภาพการณ์เช่นว่ามานี้เรียกชื่อว่าอุปธิวิบัติ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต เพราะความวิปริตของกายตน จึงต้องเป็นคนโชคร้ายนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติสำคัญประการที่ห้า

Wisdom:
๖. วิบัติทิฐิ

วิบัติทิฐินี้ ได้แก่วิบัติ เพราะทิฐิแห่งตน!

หมายความว่าถึงแม้จะได้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ และทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนาให้ตั้งมั่นในโลกเช่นปัจจุบันทุกวันนี้แล้ว และตัวเราก็หลบพ้นจากมหาวิบัติต่างๆ ได้มีโอกาสมาเกิดในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิ มีอุปธิร่างกายเป็นปกติ มิใช่เป็นคนหูหนวก ตาบอด คนบ้า คนใบ้ แต่ประการใดเลย คราวนี้สมมติว่า ตัวเราเองนี่กลายเป็นคนมีทิฐิวบัติ คือมีความเห็นผิดมักบูชาความคิดความเห็นของตนอันไม่ถูกต้อง จะเป็นเพราะว่าไปซ่องเสพสมาคมกับชนมิจฉาทิฐิเข้า หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุอื่นใดก็ตาม แล้วก็ให้มีอันเป็นเกิดความคิดเห็นวิปริตไปโดยนัย เป็นต้นว่า

"สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี! พระธรรมที่พร่ำสอนกัน ก็ไม่เป็นนิยานิกธรรม นำสัตว์ให้พ้นทุกข์ไม่ได้ แม้พระอริยสงฆ์นั้นไซร็ ก็หาได้มีคุณวิเศษยิ่งไปกว่าตัวเรานี่ไม่ มรรค ผล นิพพาน บุญบาป เป็นสภาพที่เพ้อฝันกันไปอย่างนั้นเอง ความจริงหามีไม่ คำสอนในศาสนาไม่มีคุณ่าควรแก่การปฏิบัติตาม"

เกิดความเห็นไม่เข้าท่าไปทำนองนี้ ก็เลยไม่มีศรัทธาจิตคิดเลื่อมใส ไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติตามกระแสพระพุทธฎีกาอันหาได้ยากในโลก เมื่อไม่ปฏิบัติตาม ก็ย่อมไม่ได้พบความวิเศษสุดของพระบวรพุทธศาสนา เมื่อเป็นอย่างนี้ เกิดมาก็นับว่าเสียชาติเกิดไปเปล่าๆ ได้มาพบศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าอันแสนประเสริฐแล้ว แต่จักษุกลับไม่มีแวว เป็นคนตาบอด ตาใส มองเห็นเป็นของต่ำทรามไม่มีค่า ไม่ช้าก็ถึงกาลกิริยาตายไปโดยไม่มีที่พึ่ง เพราะมีทิฐิดึงดันดื้อรั้นยิ่งนัก ไม่รู้จักเชื่อฟังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าทำนองที่ว่า เกิดมาเปล่าแล้วก็ตายไปเปล่าอีกตามเดิม สภาพการณ์เช่นว่ามานี้เรียกชื่อว่าวิบัติทิฐิ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต เพราะความเห็นผิดของคน จึงต้องเป็นคนโชคร้ายนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติประการสุดท้าย

บัดนี้ ลองหันมาตรวจดูที่ตัวเราท่านทั้งหลายนี้ดูเถิด เราเกิดมาในชาตินี้จะได้รู้เกิดมาก่อนก็หาไม่ แต่ก็ให้บังเอิญเกิดมาพบพระบวรพุทธศาสนา แม้ว่าสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม แต่ศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ยังปรากฎอยู่ ก็เท่ากับว่าเราเกิดมาทันพุทธกาลเหมือนกัน นอกจากนั้นยังได้มีจิตใจเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ปฏิญาณตนเป็นพุทธศาสนิกชน น้อมรับเอาพระพุทธศาสนาอันทรงคุณค่าประเสริฐสุดมาเป็นสรณะที่พึ่งของตน ก็เป็นอันว่าพ้นแล้วจากมหาวิบัติความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงทั้ง ๖ ประการ ตามที่พรรณามาแล้วนั้นใช่ไหมเล่า? อย่างนี้แล้ว จะไม่ให้กล่าวว่า เราเกิดมาในชาตินี้ กำลังได้รับโชคลาภอย่างมหาศาลอยู่แล้วได้อย่างไร?

ในบรรดามหาวิบัติทั้งหลายนั้น หากจะพิจารณากันให้ดีก็จะเห็นได้ว่า มหาวิบัติข้อแรก คือ วิบัติกาล นับว่าสำคัญกว่าข้ออื่น เพราะเกี่ยวกับการอุบัติบังเกิดขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดย ตรง ถ้าลงว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นในโลกแล้ว ถึงแม้ว่าเราท่านทั้งหลายจะเพียบพร้อมอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสมบัติอื่นใดก็ตาม ก็ถือว่าไม่พ้นจากความวิบัติเหล่านี้ไปได้ฉะนั้น การเสด็จอุบัติขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นอุบัติกาลที่สัตว์โลกพากันถือว่าสำคัญที่สุด อย่าว่าแต่มนุษย์เรานี่เลย แม้แต่ปวงเทพเจ้าเหล่าอมร อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ผู้ทรงไว้ซึ่งมเหศักดิ์มีปัญญาต่างก็ปรารถนากาลเป็นที่เสด็จอุบัติขึ้นแห่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันทุกถ้วนหน้า

ในกรณีนี้ พึงทราบว่า การเสด็จอุบัติขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จักมีปรากฎขึ้นได้ในโลกแต่ละครั้งแต่ละหน ย่อมเป็นสภาพที่เป็นไปโดยยากยิ่งนัก ต่อกาลนานนักหนา จึงจะมีสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้าเสด็จมาตรัสสักพระองค์หนึ่ง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าท่านที่จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้านั้น
จะต้องเป็นบุคคลสำคัญที่เรียกว่าวิสิฏฐบุคคล คือเป็นบุคคลพิเศษจริงๆ ได้สร้างสมอบรมพระบารมีมาเพื่อปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ กล่าวคือเพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ และพระบารมีที่ว่านั้น ได้ถูกบ่มมาเป็นเวลานานนับด้วยจำนวนมากมายหลายมหากัปทีเดียว จนถึงความแก่รอบสมบูรณ์แล้วทุกประการ ท่านผู้มีโพธิสมภารเป็นวิสิฏฐบุคคลนั้นจึงจะพลันมาอุบัติ ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมโลกุตตมจารย์ แล้วจึงทรงประทานประโยชน์มหาศาลให้แก่ชาวโลก ด้วยการแนะนำให้รู้จักทางหลีกพ้นจากโอฆสงสาร อันมีภัยใหญ่น่ากลัวนักหนา แต่ว่าประชาสัตว์ถูกอวิชาเข้าครอบงำ จึงทำให้ไม่รู้สึกว่า ตนกำลังเวียนว่ายอยู่ในโอฆสงสารอันมีภัยใหญ่แลน่าเกรงกลัวเป็นที่สุดนั้นได้ ครั้นพอมาถูกแนะนำเข้าแล้ว ก็รู้สึกตนหวั่นเกรงภัย พยายามปฏิบัติไปตามกระแสพระพุทธฎีกา ก็พาตนพ้นภัยใหญ่ เข้าไปสู่พระนิพพานอันเป็นแดนเกษมสานติ์มากต่อมากเหลือคณนา ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า บรรดาผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่ชาวโลกทั่วไปในไตรภพแล้ว ผู้ที่จะสามารถทำได้เท่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไม่มี ก็ท่านผู้ที่ทำประโยชน์อย่างมหาศาลและแท้จริงอย่างนี้ จะหาได้ง่ายๆ ที่ไหนเล่า

ก็เพราะความที่สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า จะปรากฏอุบัติขึ้นในโลกแต่ละพระองค์เป็นการยากนักหนา ตามที่พรรณนามานี้ สมเด็จพระชินสีห์บรมโลกเชษฐเจ้าแห่งเราชาวพุทธทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงมีพระกมลหฤทัยประกอบไปด้วยพระมหากรุณาและแสนจะบริสุทธิ์ซื่อ ตรง จึงทรงมีพระบรมพุทโธวาทตักเตือนอยู่เสมอว่า

" การอุบัติบังเกิดขึ้น แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก"

พระพุทธฎีกานี้ ถ้ามีความสนใจน้อย ฟังดูแต่เพียงคร่าวๆ พอผ่านไป ก็จะไม่เกิดความรู้สึกอะไรนัก มักให้เห็นแต่เพียงว่าเป็นพระพุทธพจน์บทหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ความจริงแล้ว ทรงไว้ซึ่งความสำคัญและความจริงเป็นที่สุด เพราะปรากฎว่าพระพุทธฎีกาบทนี้มิใช่จะตรัสแต่เพียงหนหนึ่งครั้งเดียวโดยที่ แท้ สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสอยู่เนื่องๆ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติเหล่าชาวพุทธบริษัท ด้วยความกรุณาและห่วงใยอันปรากฎเต็มเปี่ยมอยู่ในดวงหฤทัยแห่งองค์สมเด็จพระ ชินสีห์ โดยมีหลักฐานที่ท่านพรรณาไว้ ดังต่อไปนี้

Wisdom:
อนุสาสนีประจำวัน

กาลเมื่อ องค์สมด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น ทุกวันพอได้เวลาอรุณสมัยรุ่งเช้า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงพาพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จออกไปเพื่อบิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์ เหล่าชนผู้ใดได้ทอดทัศนาการเห็น ย่อมบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสนั้นในดวงใจนักหนาเพราะสมเด็จพระมหากรุณาเจ้าทรง มีพระวรกายอันรุ่งเรืองไปด้วยถ่องแถวแห่งพระฉัพพัณณรังสี มีพระสรีระครบบริบูรณ์ด้วยพระทวัตติงสะมหาปุริสลักษณะและพระอสีตยานุพยัญชนะ อันวิจิตร ตั้งแต่พระอุณหิสตลอดลงมาถึงพื้นฝ่าพระบาทไพโรจน์ด้วยพระพุทธสิริวิลาสหาที่ จะเปรียบได้ ด้วยว่า องค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้นไซร้ ทรงมีเส้นพระเกษาอันอ่อน และวงเวียนเป็นทักษิณาวัฏ มีสีดำสนิททุกเส้นเป็นอันดี และทรงมีพระนลาตงามเลิศบริสุทธิ์ ประดุจสุริยมณฑลอันปราศจากเมฆมลทิน และพระนาสิกของพระชินสีห์นั้น ก็มีสัณฐานยาวงามยิ่งนัก รุ่งเรืองไปด้วยพระรัศมีพรรโณภาส พระองค์ทรงเป็นนรสีห์ราชบุรุษมนุษย์สุดประเสริฐ งามเลิศตลอดทั้งพระวรกายแม้ภายใต้พื้นพระยุคลบาท ก็มีพรรณอันแดงประดับไปด้วยพระลายลักษณวงกงจักร์ และรอยรูปมหามงคลร้อยแปดประการเป็นอัศจรรย์

สมเด็จพระบรมโลกนาถเสด็จไปในกาลนั้น เพื่อทรงทำประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งผอง ด้วยพระพักตร์มีพรรณผ่องเพียงศศิธรมณฑลอันเต็มดวงในวันปุณณมีดิถีและพระพุทธ กิริยาที่ทรงดำเนินไป ก็งามเหมือนประดุจดังลีลาแห่งพญาไกรสรสีหราช มฤคินทร์ สมควรที่อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เทพยดาหมู่อมรและมนุษย์นิกร จักอ่อนน้อมอภิวาทพระบวรพุทธบาท เสด็จยุรยาตรไปในท่ามกลางพระอริยสงฆ์สาวกทั้งปวง แลดูประหนึ่งดวงจันทร์อันแวดล้อมด้วยหมู่ดารากำลังลีลาไปในอัมพรประเทศ สมเด็จพระโลกเชษฐ์ผู้ทรงพระคุณหาที่เปรียบมิได้ ย่อมเสด็จบทจรไปเพื่อบิณฑบาต ตามลำดับตรอกลำดับเรือนแห่งมหาชนชาวประชา ไม่ทรงเลือกหน้าว่าไพร่ผู้ดี พระพุทธจริยานี้แลเป็นพระอริยวงศ์ประเพณีแห่งองค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมา สัมพุทธเจ้าแต่ปางก่อนสืบมา

ครั้นว่าเสด็จกลับจากบิณฑบาต ทรงกระทำภัตกิจแล้วเมื่อตอนสายแห่งทิว่า บรรดาพระภิกษุสงฆ์องค์สาวกทั้งหลายต่างก็มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่ใกล้พระคันธกุฎีที่ประทับ ด้วยมีใจมุ่งหมายจักสดับพระบรมพุทโธวาทประจำวัน และพระสงฆ์สาวกบางองค์นั้น ก็มีความประสงค์จะทูลขอบทพระกรรมฐานในกาลหลังจากที่ทรงประทานพระบรมพุทโธวาท จบลงแล้วด้วยเหตุนี้ จึงปรากฎมีพระภิกษุสงฆ์สาวกพากันมารอคอยการเสด็จออกของพระบรมโลกุตมาจารย์ อยู่ในขณะนี้มากมาย

ครั้นได้เวลา สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย ก็เสด็จออกมาจากพระคันธกุฎีด้วยพระพุทธลีลางดงามหาที่เปรียบมิได้แล้ว ประทับนั่งห้อยพระบาทเหนือพระแท่นที่ตั้งไว้ในที่นั้น เพื่อจักทรงล้างพระยุคลบาทให้บริสุทธิ์ สะอาดปราศจากละอองธุลี เสร็จแล้วก็ทรงยืนขึ้นทอดพระเนตรดูหมู่พระสงฆ์สาวกที่พากันมาเฝ้า และกำลังน้อมเกล้าประนมกรอยู่ทุกถ้วนหน้า ด้วยพระพุทธนัยนาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาเป็นยิ่งนัก และแล้วในขณะนั้น และ ณ ที่นั่นเอง พระองค์ก็ทรงเปล่งพระกระแสพุทธฎีกาเป็นโอวาทนุสาสนีแก่พระองค์สาวกทั้งปวง ว่า

ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ขอเธอทั้งหลายจงตกแต่งรักษาซึ่งตนให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด ด้วยว่า เวลาที่จะได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้นในโลกเป็นสิ่งที่หาได้โดย ยากนักหนา การที่จะได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่หาได้โดยยาก การที่เป็นมนุษย์แล้วจะถึงพร้อมด้วยศรัทธาก็เป็นสิ่งหาได้โดยยาก การที่ผู้มีศรัทธาจะได้มีโอกาสบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาก็เป็นสิ่งที่ทำ ได้โดยยาก และการที่จะได้มีโอกาสสดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้านั้นเล่า ก็เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก

ครั้นทรงประทานโอวาทานุสาสนีดังนี้แล้ว สมเด็จองค์ประทีปแก้วพระมหากรุณาเจ้าจึงประทับนั่งลง ณ พระบวรพุทธอาสน์ แล้วจึงทรงเริ่มประทานพระบรมพุทโธวาทอย่างอื่นหรือทรงประทานบทพระกรรมฐาน เพิ่มเติมให้แก่พระสงฆ์สาวกที่ต้องการจะนำไปปฏิบัติต่อไป เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่เป็นปกติทุกวันโดยมาก ในสมัยที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่

เราท่านทั้งปวง ผู้เป็นสาวกของพระพุทองค์ท่านในกาลบัดนี้เป็นปัจฉิมชนคนมีวาสนาน้อย เกิดมาในกาลสุดท้ายภายหลัง ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสได้พบประสบการณ์เช่นที่ว่ามานี้ แต่จะอย่างไรก็ดี พระอนุสาสนีนี้ก็ยังปรากฎก้องอยู่ คล้ายกับจะเป็นองค์สมเด็จพระบรมครูเจ้าคอยเฝ้าเตือนจิต ด้วยเหตุนี้ขอจงเร่งคิดเร่งอนุสรณ์ถึงพระอนุสาสนีประจำวันนี้ให้จงมากเถิด จะได้เกิดความไม่ประทาทในวัยและชีวติของตน เพื่อผลกล่าวคือความได้สาระแก่นสารอย่างแท้จริง อันเนื่องมาจากการเกิดมาพบพระบวรพุทธศาสนาของตัวเราในชาตินี้ อย่าให้พลาดท่าเสียทีได้

ต่อจากนี้ไป จักได้อัญเชิญเอาพระอนุสาสนีประจำประการแรกคือข้อที่ว่า

ทุลฺลโก พุทฺธูปฺปาโท โลกสฺมึ

ซึ่งแปลว่า เวลาที่จะได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาบังเกิดขึ้นในโลก เป็นสิ่งที่ทำได้โดยยาก อัญเชิญเอาพระอนุสาสนีข้อนี้มาเป็นต้นเค้า แล้วจักเล่าเรื่องราวอันเกี่ยวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ต่อจากนั้น ก็ตั้งใจไว้ว่าจักพรรณาถึงการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณของ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ คือ พระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคตมบรมครูเจ้าแห่งเราท่านทั้งหลายในขณะนี้ กับทั้งจักพรรณนาถึงความพระองค์ทรงเป็นนาถะ คือเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงของพวกเราทั้งหลาย โดยให้ชื่อเรื่องว่า มุนีนาาถทีปนี หรือศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งหมายถึงการชี้แจงแสดงเรื่องพระองค์ผู้ทรงเป็นนาถะที่พึ่ง คือสมเด็จพระสัมมามาพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนี ทรงมีพระปัญญาลึกล้ำสามารถนำสัตว์ออกจากวัฏสงสารได้ ทั้งนี้ ก็ด้วยมีเจตจำนงใคร่จะสดุดีพระคุณแห่งพระองค์เป็นประการสำคัญ

ฉะนั้น ขอมวลท่านพุทธศาสนิกชนผู้สนใจในความเป็นไปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กล่าวมานี้ จงมีมนัสมั่นอุตสาห์พยายามติดตามศึกษาต่อไป ตามสมควรแห่งอัธยาศัยแห่งตนเถิด.

บทที่ ๑

พระพุทธาธิการ


บัดนี้  จักกล่าวถึงพระพุทธาธิการ คือการกระทำอันยิ่งใหญ่เพื่อให้ได้พระปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแห่งสมเด็จ พระบรมศาสดาจารย์ผู้ทรงเป็นจอมมุนีทั้งหลาย ก็องค์พระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เราท่านทั้งหลายก็คงจะทราบกันได้ดีแล้วว่า มิใช่จะมีปรากฏในโลกแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น โดยที่แท้ ในอดีตกาล ก็มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกหลายพระองค์ล่วงมาแล้ว และในอนาคตกาล พอสิ้นสูญศาสนาองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคดมบรมโลกนายก ที่เราเคารพบูชาอยู่ทุกวันนี้แล้ว ก็จักมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใหม่เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้อีก แต่ว่ามาตรัสเป็นครั้งเป็นคราว ไม่เป็นระยะเวลาติดต่อรับช่วงกัน โดยที่บางทีพอสิ้นศาสนาพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งแล้ว โลกก็ว่างจากพระพุทธศาสนาอยู่ไม่นานนักเพียงในกัปเดียวกันนั่นเอง ก็มีศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่อุบัติขึ้น แต่บางทีนั้น พอสิ้นศาสนาสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งแล้ว โลกเรานี้ต้องว่างจากพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานแสนนานนับเป็นสิบๆ มหากัปทีเดียว จึงจะมีศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ปรากฎขึ้นมา

และเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นในโลกคราวใด คราวนั้นพระองค์ท่านย่อมตรัสพระสัทธรรมเทศนาแสดงปฏิปทาข้อปฏิบัติให้ถึงความ พ้นทุกข์ในวัฏสงสารประทานอมตธรรม นำสัตว์โลกให้ได้บรรลุถึงพระนิพพานสมบัติ เหล่าสัตว์ผู้มีวาสนาบารมี แต่พอได้สดับพระโอวาทานุสสนีขององค์พระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ย่อมได้บรรลุมรรคผลนิพพานตามสมควรแก่อุปนิสัยวาสนาบารมี แห่งตนๆ เป็นอันพ้นจากทุกข์ภัยในสงสารได้เป็นอันมาก แล้วศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็จะพลันเสื่อมถอยลงๆ จนกระทั่งหายสาปสูญไปจากโลกนี้ในคราวหนึ่งๆ ในระยะกาลเวลาที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนานี้ โลกก็จะมีสภาวะเป็นโลกมืดมนมืดบอดจากมรรคผลนิพพาน เพราะไม่มีแสงประทีปกล่าวคือ พระสัทธรรมอันแสดงหนทางให้ถึงธรรมวิเศษนี้ได้ สัตว์ที่เกิดมาในระยะนี้ ก็ชื่อว่าเกิดมาเปล่าและก็ตายไปเปล่า หาสาระแก่นสารอันใดมิได้ ต่อเมื่อใด ปรากฎมีสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ เสด็จมาประกาศพระพุทธศาสนาขึ้นอีกนั่นแหละ โลกจึงจะลุกโพลงขึ้นด้วยแสงประทีปอันประเสริฐ คือพระสัทธรรมนำสัตว์ให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพานเสียอีกคราวหนึ่ง จึงเป็นว่าโลกเรานี้ บางทีก็ว่างจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่ในนานเท่าใด แต่บางสมัยนั้นโลกต้องว่างจากพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานนัก

มีปัญหาว่า เหตุไฉน สมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงไม่ผลัดกันมาตรัสในโลกเรานี้ให้เสมอติดต่อกัน ไปโดยไม่ขาดสาย จะปล่อยให้โลกว่างจากพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานๆ ทำไมกัน? จะมาตรัสให้ติดต่อกันไป เช่น พอสิ้นศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์เก่าแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ ก็มาประกาศพระศาสนาแทนต่อไปอีก โดยมิให้โลกต้องว่างจากพระพุทธศาสนาเลยทีเดียวมิได้หรือ? ในกรณีนี้เห็นทีจะขัดสน ทั้งนี้ ก็เพราะว่าการที่โลกเรานี้ จักได้มีโอกาสต้อนรับการอุบัติขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสัก พระองค์หนึ่งนั้น เป็นการลำบากยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุอะไร ก็เพราะว่า จะหาผู้ที่มาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแต่ละท่านนั้น หากันมิค่อยจะได้เลย

ก็การที่จะได้ตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ดำรงฐานะเป็นเอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆ เมื่ไหร่เล่า โดยที่แท้ เป็นได้โดยยากนักหนา ความยากอย่างยิ่งจะขอยกไว้ในตอนเบื้องต้นนี้ จักกล่าวถึงน้ำใจก่อนท่านที่จักตรัสเป็นพระพุทธเจ้าคือได้บรรลุถึงพระพุทธ ภูมินั้นต้องเป็นท่านที่มีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวขนาดเป็นมหาวีรบุรุษที เดียว ในข้อนี้พึงทราบอุปมากถาที่ท่านพรรณาไว้ ดังต่อไปนี้

น้ำใจพระโพธิสัตว์


กาลเมื่อโลกจักรวาล อันมีเนื้อที่กว้างใหญ่สุดประมาณนี้มีถ่านเพลิงซึ่งร้อนรุ่มสุมคุ ระอุ จนเต็มไปหมด ผู้ใดมีน้ำใจองอาจเพื่อจะเดินฝ่าบุกไปโดยเท้าเปล่าๆ ไปจนสุดหมื่นโลกจักวาลก็ดี



ในเมื่อโลกจักรวาล อันมีเนื้อที่กว้างใหญ่สุดประมาณนี้มีเปลวไฟลุกแดงเป็นพืดยาวเต็มไปหมด ผู้ใดมีน้ำใจองอาจเพื่อจะเดินฝ่าบุกไปโดยเท้าเปล่าๆ ไปจนสุดหมื่นโลกจักรวาลก็ดี



ท่านผู้มีน้ำใจองอาจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเห็นปานฉะนั้ จึงควรที่จะปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างพระบารมีเพื่อจะได้ตรัสรู้พระปรมาภิเษกสมโพธิญาณได้ เห็นไหมเล่า ว่าท่านผู้มีปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น จะต้องเป็นผู้มีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเพียงใด ถ้ามีน้ำใจอ่อนแอมีความกลัวตายมากกว่าพระโพธิญาณแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย ก็ผู้ที่มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเช่นว่ามานั้น หากันได้ง่ายๆ ในโลกที่ไหนเล่า



อนึ่ง ผู้ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น ย่อมบำเพ็ญธรรมหนักแน่นด้วยน้ำใจเด็ดเดี่ยวมั่นคง ไม่ว่าจักเสวยพระชาติคือถือกำเนิดเป็นอะไรก็ตาม ย่อมจะมีน้ำใจสมาทานมั่นคง จะได้ย่อหย่อนเบื่อหน่ายส่ายพักตร์เป็นไม่มีเลย สมณพราหมณ์ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งมีจิตคิดจะทดลองด้วยอุบาย มุ่งหมายจะให้พระโพธิสัตว์ละเสียซึ่งกุศลสมาทาน ก็มิอาจจะทำได้สำเร็จเลย กิริยาที่พระโพธิสัตว์ประกอบด้วยกุศาลสมาทานมั่นคงนี้ ในชาติที่พระองค์ถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์จะขอยกไว้ ในที่นี้ ใคร่จะขอเล่าแต่เพียงชาติที่พระองค์ทรงเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ก็ยังมีพระบวรสันอานประกอบไปด้วยกุศลสมาทานมั่นคง มีน้ำใจตรงแน่วไม่หวั่นไหว ตามเรื่องที่ปรากฎมีในพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้

กระแตผู้โพธิสัตว์

กาลเมื่อ สมเด็จพระจอมมุนี ยังสร้างสมบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งต้องทรงท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนั้น ปรากฎว่าครั้งหนึ่ง พระองค์อุบัติในดิรัจฉานภูมิเสวยพระชาติเป็นกระแตสัตว์เดียรฉานมีนิวาสสถาน อยู่ ณ ที่ใกล้มหาสมุทรทะเลใหญ่

อยู่มาวันหนึ่ง เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมมาเป็นอันมาก กระแสน้ำซึ่งมีกำลังเชี่ยวกรากดุดัน พัดผันพาเอารังพร้อมทั้งลูกของพระโพธิสัตว์ลงไปสู่มหาสมุทรทะเลหลวงหายไป ฝ่ายพระโพธิสัตว์ เมื่อได้รับอุปัทวเหตุเช่นนี้ ก็มีใจเศร้าเฝ้าคิดสงสารลูกของตนเป็นหนักหนา เสวยทุกขเวทนาดั่งว่าจะขาดใจตายไปตามบุตร สุดที่จะคิดถึงเหตุผลประการใด มีใจมุ่งหมายครุ่นคิดอยู่แต่ว่า


"เราจะกระทำความเพียร วิดน้ำในมหาสมุทรนี้ให้แห้งแล้วจะค้นหาลูกของเราจนพบให้จงได้"

ครั้นคิดมุมานะฉะนั้นแล้ว ก็เริ่มกระทำความเพียรเอาหางของตนจุ่มลงไปปในน้ำพอเปียกชุ่มแล้วก็วิ่งขึ้น ไปสลัดน้ำลงบนที่ดอน แล้วก็ย้อนกลับมาเอาหางจุ่มน้ำ และวิ่งไปสลัดน้ำลงบนที่ดอนอีก แต่พระโพธิสัตว์เจ้าเฝ้าวิดน้ำในมหาสมุทรด้วยหางแห่งตนอยู่อย่างนี้ จนสรีระร่างกายได้รับความบอบช้ำเหน็ดเหนื่อยนักหนา เป็นเวลาถึง ๕-๖ วัน น้ำนั้นจะได้พร่อมไปสักนิดหนึ่งก็หามิได้ ก็มันจะพร่องไปได้อย่างไรเล่า เพราะว่าไม่ใช้น้ำในตุ่มในไห แต่เป็นน้ำในมหาสมุทรใหญ่ทะเลหลวง ซึ่งมีมากมายเหลือคณนา แม้ว่าจะเป็นอย่างนี้ สัตว์ผู้มีใจเด็ดคือกระแตโพธิสัตว์นั้น ก็มีใจมั่นคง จะได้ย่อท้อหย่อนจากความเพียรเสียก็หามิได้ กลับตั้งใจมีมานะพยายามวิดน้ำในมหาสมุทรนั้นต่อไปอีกอย่างไม่ลดละ

ด้วยเดชะวิริยบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ ซึ่งตั้งใจกระทำอย่างผิดธรรมดาในครานั้น ก็บันดาลให้บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ขององค์สมเด็จพระอมรินทราธิราช ผู้ทรงเป็นจอมเทพยดาเจ้าเบื้องสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ถึงอาการแข็งกระด้างเป็น อัศจรรย์! ครั้นองค์มัฆวานทรงส่องทิพยเนตรทราบประพฤติเหตุนั้นแล้ว จึงเสด็จลงมาจากเทวโลกในวันที่ ๗ แปลงเพศเข้าไปหากระแตโพธิสัตว์เจ้า ซึ่งกำลังเอาหางวิดน้ำในมหาสมุทรอยู่อย่างอุตลุดแล้วทรงมีเทววาทีเอ่ยถาม ขึ้นว่า


"ดูกร ท่านผู้เป็นกลันทกชาติ คือกระแต! ท่านมาทำอะไรพิกลอยู่ที่นี่?"


"เรากำลังทำการวิดน้ำในมหาสมุทร" พระโพธิสัตว์ตอบ


"ท่านมีความประสงค์สิ่งใดๆ จึงถึงกับต้องวิดน้ำทั้งมหาสมุทรทีเดียว?"


"เรากระทำความเพียรในครั้งนี้เพื่อหวังจะให้น้ำในมหาสมุทรนี่แห้ง แล้วจะค้นหาบุตรของเราที่ถูกน้ำพัดพามาจมลงที่มหาสมุทรนี่ให้พบ"

สมเด็จพระอมรินทราธิราช จึงตรัสว่า

"การที่ท่านจะวิดน้ำในมหาสมุทรนี่ให้แห้งนั้น เห็นทีจะขัดสนนัก คือ ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านจักต้องตายเสียเปล่าเป็นแน่แท้! ท่านมิแลดูดอกหรือว่า น้ำในมหาสมุทรนี้มากมายนัก สุดวิสัยที่ผู้ใดผู้หนึ่งจักวิดให้แห้งได้ ไฉนท่านจึงมากระทำการอันสำแดงความโง่ออกมาให่ปรากฎเห็นปานฉะนี้ หยุดเสียเถิด อย่าได้พยายามต่อไปเลย จะตายเสียเปล่าๆ"

"ท่านนั่นแหละ โง่! " พระโพธิสัตว์ผู้เป็นกลันทกชาติกล่าวตอบ แล้วจึงพูดต่อไปตามประสาแห่งตนว่า "ตัวท่านเป็นคนโง่ เพราะเป็นผู้มีใจเกียจคร้านหาความเพียรมิได้ ขึ้นชื่อว่าคนเกียจคร้านเหมือนเช่นตัวท่านนี้ หาควรที่เราจะเจรจาด้วยไม่ ตั้งแต่ท่านมาชักชวนเจรจาอยู่นี่ ก็เป็นการเสียเวลาเราอยู่เป็นอันมาก เราเสียดายเวลานัก ท่านจงไปเสียให้พ้นเถิด อย่ายืนอยู่ที่นี้เลย อ้าว...ว่าอย่างไรเล่า บอกว่าไปให้พ้น..."


พระโพธิสัตว์ตวาดไล่พระอินทร์ดังนี้แล้ว ก็ก้มหน้าก้มตาวิดน้ำในมหาสมุทรด้วยหางของตนต่อไปอย่างขะมักเขม้น โดยไม่ยอมพักผ่อนหยุดยั้ง ข้างฝ่ายสมเด็จพระอมรินทราธิราช เมื่อถูกตวาดเช่นนั้น จึงทรงพระดำริว่า แท้จริงธรรมดาว่า สัตว์ผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูรนี้ ย่อมมีความเพียรใหญ่ประจำอยู่ในสันดานอย่างเอกอุ ดูเอาเถิดในกาลบัดนี้ ถึงแม้จะกระทำสิ่งที่เหลือวิสัย เราลองน้ำใจบอกให้เลิกละเสียด้วยเหตุผลอันสมควรนักหนาก็หาได้ละทิ้งความ ตั้งใจเดิมเสียไม่ ช่างมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวอาจหาญน่าสรรเสริญนัก เมื่อมีเทวดำริเช่นนี้แล้ว จึงทรงไปนำเอาลูกกระแตซึ่งยังไม่ตายมากมอบให้แก่พระโพธิสัตว์ด้วยเทวานุภาพ แล้วก็สำแดงองค์ให้ทราบว่า พระองค์เป็นจอมเทพเบื้องสรวงสวรรค์ เปล่งรัศมีมีพรรณรุ่งเรืองโอภาส เสด็จกลับไปสู่ไพชยนตปราสาท อันเป็นเทวสถานพิมานที่ประทับอยู่แห่งพระองค์


เรื่องที่เล่ามานี้ ย่อมจะชี้ให้เห็นว่าพระโพธิสัตว์คือท่านผู้ปรารถนาเพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นสม เด้จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลนั้น ย่อมจะมีมนัสมั่นคงนักหนา ถึงแม้ว่าจะพลาดพลั้งไปถือกำเนิดเป็นสัตว์เดียรฉานก็ดี ก็ย่อมมีน้ำใจมั่นคงเด็ดเดี่ยวเต็มไปด้วยวิริยะอุตสาหะเป็นยอดเยี่ยม ถ้าลงได้ตั้งใจกระทำสิ่งใดแล้ว แม้จักยากแสนยากเพียงใดก็ตาม การที่จะมีความเพียรอันย่อหย่อนหรือเลิกล้มความตั้งใจเสียกลางคันนั้นเป็น อันไม่มีอย่างเด็ดขาด นี่แหละท่านทั้งหลาย คือความมั่นคงเด็ดเดี่ยวแห่งน้ำใจ ของพระมหาบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้เฝ้าปรารถนาเพื่อจักได้ตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ

Wisdom:
พระพุทธเจ้า ๓ ประเภท


เมื่อได้ชี้แจงให้ทราบถึงน้ำใจพระโพธิสัตว์ ผู้ปรารถนาพระพุทธภูมิเป็นเบื้องแรกดังกล่าวมาแล้ว บัดนี้ เพื่อความเข้าใจในเรื่องราวตามลำดับ จักขอกลับมากล่าวถึงประเภทแห่งสมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสีย ก่อน ก็สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เมื่อจะแบ่งเป็นประเภท ก็ได้ ๓ ประเภท ตามพระบารมีที่ได้ทรงสร้างสมอบรมมา คือ พระปัญญาธิกะพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง พระสัทธาธิกะพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง พระวิริยาธิกะพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง ซึ่งมีอรรถาธิบายตามที่ท่านพรรณนาไว้ ดังต่อไปนี้

พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า


สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะนี้ พระองค์ทรงสร้างพระบารมีชนิดปัญญาแก่กล้า คือทรงมีพระปัญญามาก แต่มีพระศรัทธาน้อย จึงทรงสร้างพระบารมีน้อยกว่าพระพุทธเจ้าในประเภทอื่น เมื่อจะนับเวลาที่ทรงสร้างพระบารมีตั้งแต่ต้น จนกระทั่งได้ตรสพระปรมาภิเษกสมโพธิญาณ เป็นเวลายาวนาน ดังนี้
ก. เริ่มแรกตั้งแต่ทรงดำริในพระทัยที่ว่า "เราจักเป็นพระพุทธเจ้าสักองค์หนึ่ง" ได้ทรงนึกอย่างนี้อย่างเดียว มิได้ออกโอษฐออกพระวาจาแต่ประการใด ก็นับเป็นเวลานานถึง ๗ อสงไขย
ข. ต่อจากนั้น จึงออกโอษฐปรารถนาว่า "เราจักตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้าให้จงได้" แล้วก็ทรงสร้างพระบารมีเพื่อพระโพธิญาณเรื่อยไป พร้อมกับออกโอษฐปรารถนาอยู่อย่างนั้น นับเป็นเวลานานได้ ๙ อสงไขย
ค. ต่อจากนั้น จึงจะได้รับลัทธาเทศ คือ คำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งว่า "จักได้ตรัสรู้เป็นองค์พระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน" ครั้นได้รับลัทธาเทศบาลดังนี้แล้ว ก็ต้องสร้างพระบารมีอยู่อีกนานหนักหนา นับเป็นเวลาได้ ๔ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป
จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะนี้ ต้องทรงสร้างพระบารมีมาตั้งแต่เริ่มแรก จนกว่าจะได้ตรัสรู้นั้นนับเป็นเวลานานถึง ๒๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัปพอดีและมีข้อควรทราบไว้ในที่นี้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ

สมเด็จพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะนี้ หลังจากพระองค์ได้ทรงสร้างพระบารมีมานานแล้ว และเมื่อจะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าว่า "จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน" เป็นครั้งแรกนั้น ในขณะนี้ หากพระองค์ท่านจะละความปรารถนาดั้งเดิมที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเสีย แล้วกลับมามีพระทัยน้อมไปในทางสาวกโพธิญาณ คือปรารถนาที่จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานในชาตินั้น พูดอีกทีก็ว่าพระองค์ทรงกลับใจไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้า เพราะทรงคิดเห็นว่า

"การที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ต้องสร้างพระบารมี อีกนานนัก เราสมัครเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่จะทรงพยากรณ์ในขณะนี้ดีกว่า"

เมื่อเป็นแต่เพียงกลับใจดังนี้ แล้วตั้งใจสดับพระธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์มณฑลแห่งสมเด็จพระทศพลพระองค์นั้น พอสดับพระธรรมเทศนาบาทพระคาถาที่ ๓ ยังมิทันจะจบลง พระองค์ท่านก็จักได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายทันที ทั้งนี้ก็เพราะมีพระบารมีญาณแก่กล้าอยู่ในขันธสันดานแล้ว

แต่การที่ไม่ทรงรีบคว้าเอามรรค ผลนิพพาน อันอยู่ใกล้แค่พระหัตถ์เอื้อมในครั้งกระนั้น ก็เพราะทรงมีพระมนัสมั่นมุ่งหมายเอาพระพุทธโพธญาณ ทั้งนี้น้ำพระทัยอาจหาญเด็ดเดี่ยวปรารถนาเพื่อจักได้บรรลุถึงพระสัมมา สัมพุทธเจ้าอย่างเดียว จึงสู้ทนทรมาณสร้างพระพุทธบารมีด้วยพระวิริยะอุตสาหะไปอีกนานนักหนา นับเป็นเวลาถึง ๔ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป

พระสัทธาธิกะพุทธเจ้า


สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะพุทธเจ้านี้ พระองค์ทรงสร้างพระบารมีประเภทศรัทธาแก่กล้า คือทรงมีพระศรัทธามากยิ่ง จึงทรงสร้างพระบารมีประเภทปานกลาง เมื่อจะนับเวลาที่ทรงสร้างพระบารมีมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งได้ตรัสพระ ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ก็เป็นเวลายาวนาน ดังนี้
ก. เริ่มแรกแต่ทรงดำริในพระทัยไปจนกว่าจะถึงเวลาออกพระโอษฐปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้น นับเป็นเวลานานถึง ๑๔ อสงไขย
ข. นับจำเดิมแต่ออกพระโอษฐ ปรารถนาเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นต้นไป กว่าจะได้ลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์ หนึ่งนั้น นับเป็นเวลาถึง ๑๘ อสงไขย
ค. นับจำเดิมแต่ได้รับลัทธาเทศคำพยากรณ์ครั้งแรกเป็นต้นไป กว่าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกเป็นเอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติ สุดท้ายนั้น นับเป็นเวลานานถึง ๘ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป
จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะนี้ ต้องทรงสร้างพระบารมีมาตั้งแต่แรกเริ่ม จนกว่าจะได้ตรัสรู้นั้น นับเป็นเวลารวมทั้งสิ้นได้นานถึง ๔๐ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป และมีข้อที่ควรทราบไว้ในที่นี้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือว่า

สมเด็จพระพุทธเจ้าสัทธาธิกะนี้ ในขณะที่ทรงได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าว่า "จักได้ตรัสเป็นองค์พระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน" เป็นครั้งแรกนั้น หากพระองค์ท่านจะกลับใจไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่เอาพระสัมมาสัมโพธิญาณอันประเสริฐสุด รีบรุดประสงค์สาวกโพธิญาณ กล่าวคือปรารถนาเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ที่พยากรณ์ตนแล้วตั้งใจ สดับพระสัทธรรมเทศนาในขณะนั้น แต่พอสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าทรงเทศนาบาทพระคาถาที่ ๔ ยังมิทันที่จะจบลง ก็จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายทันที ทั้งนี้ ก็เพราะมีพระบารมีญาณเต็มเปี่ยมอยู่ในขันธสันดานแล้ว

พระวิริยาธิกะพุทธเจ้า


สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะพุทธเจ้านี้ พระองค์ทรงสร้างพระบารมีประเภทมีความเพียรแก่กล้า คือทรงมีพระวิริยะมากยิ่ง จึงต้องการสร้างพระบารมีมากมาย นับเป็นเวลาช้านานกว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าประเภทอื่นทั้งหมด เมื่อจะนับเวลาที่จะสร้างพระบารมีมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งได้ตรัสพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณก้นับเป็นเวลายาวนาน ดังนี้
ก. เริ่มแรกแต่ทรงดำริในพระทัย ไปจนกว่าจะถึงเวลาออกโอษฐปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้น ก็นับเป็นเวลานานถึง ๒๘ อสงไขย
ข. นับจำเดิมแต่ออกโอษฐ ปรารถนาเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นต้นไป กว่าจะได้ลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ก็นับว่าเป็นเวลานานถึง ๓๖ อสงไขย
ค. นับจำเดิมแต่ได้รับลัทธยาเทศ คำพยากรณ์ครั้งแรกเป็นต้นไปกว่าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกเป็นเอกองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายนั้น ก็นับเป็นเวลานานถึง ๑๖ อสงไขยกับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป
จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะนี้ ต้องทรงสร้างพระบารมีตั้งแต่เริ่มแรกที่สุดจนกระทั่งได้ตรัสรู้นั้น นับเป็นเวลายาวนานรวมทั้งสิ้น ๘๐ อสงไขยกับเศษหนึ่งแสนมหากัปพอดี และมีข้อที่ควรทราบไว้ในที่นี้อีกอย่างหนี่งก็คือว่า

สมเด็จพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะนี้ ในขณะที่จะทรงได้รับลัทธยาเทศคือ คำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกนั้น หากพระองค์ท่านจะทรงกลับใจไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า คือ ไม่เอาพระสัมมาสัมโพธิญาณอันประเสริฐสุด รีบรุดเร่งประสงค์เพียงแค่สาวกโพธิญาณแล้วไซร้ ตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนาในขณะนั้น ครั้นสดับอรรถาธิบายพระคาถา ๔ บาท ที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ ทรงจำแนกแจกแจงอรรถออกโดยพิศดาร แต่เพียงจบลงเท่านั้น ก็จะพลันได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายทันที ทั้งนี้ก็เพราะมีพระบารมีญาณเต็มเปี่ยมอยู่ในขันธสันดานแล้ว จึงอาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์และบรรลุถึงพระนิพพานในชาตินั้นได้

เรื่องอสงไขย


กาลเวลาที่นับเป็นจำนวนอสงไขยและเป็นจำนวนมหากัปที่ว่าเรื่อยมานั้น ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้ ฟังเรื่อยๆ ไปแต่เพียงผิวเผินก็ย่อมเป็นสักแต่ว่าอย่างนั้นเอง... คือ คล้ายๆ กะว่าพูดเพื่อให้เกิดความระรื่นหู ผู้ที่ไม่รู้อาจจะคิดด่วนสรุปความเอาเองง่ายๆ ตามประสาของผู้มีปัญญามักจะแล่นไปข้างหน้าว่า คงเป็นเวลาที่ไม่นานเท่าไหร่กระมัง? อย่าด่วนคิดเอาเองดังนั้น เพราะความจริงไม่ใช่ ด้วยว่า กาลเวลาที่นับเป็นอสงไขยและเป็นมหากัปนั้น มันเป็นเวลาที่ยาวนานนักหนา พึงทรงทราบอรรถาธิบายที่ท่านพรรณนาไว้ ดังต่อไปนี้

กาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย นั้น ท่านกำหนดเอากาลเวลาที่มากมายยาวนานเหลือที่จะนับจะประมาณได้ เพราะคำว่า อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ คืออย่านับดีกว่า โดยมีคำอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า
ฝนตกใหญ่มโหฬารทั้งกลางวันกลางคืนเป็นเวลานานถึง ๓ ปีติดต่อกันมิได้หยุด มิได้ขาดสายเม็ดฝน จนน้ำฝนเจิ่งนองท่วมท้นเต็มขอบเขาจักรวาล อันมีระดับความสูงได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ทีนี้ ถ้าสามารถนับเม็ดฝน และหยาดแห่งเม็ดฝนที่กระจายเป็นฟองฝอยใหญ่น้อย ในขณะที่ฝนตกใหญ่ ๓ ปีติดต่อกันนั้น นับได้จำนวนเท่าใด อสงไขยหนึ่งเป็นจำนวนปีเท่ากับเม็ดฝนและหยาดแห่งเม็ดฝนที่นับได้นั้น
อุปมานี้เป็นอุปมากาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย ท่านทั้งหลายที่รู้สึกว่าเข้าใจยากในข้อความที่ว่ามานี้ ต้องอ่านทบทวนดูอีกทีแล้ว คงจะเข้าใจดีขึ้น และแล้วก็คงจะเห็นเองว่าเวลาที่อสงไขยๆ นั้น เป็นเวลานานหนักหนาเพียงไร

สมเด็จพระจอมมุนี สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย แต่ละพระองค์แต่ละประเภทต้องทรงสร้างพระบารมีมาจำนวนหลายๆ อสงไขย จึงนับได้ว่า พระองค์ต้องการมีน้ำพระทัยประกอบไปด้วยวิริยะอุตสาหะน่าสรรเสริญเป็นนักหนา ยิ่งกว่านั้น ยังยืดเวลาที่เป็นเศษนับเป็นแสนมหากัปอีกด้วย ก็เวลาที่นับเป็นกัปหรือมหากัปนี่ ก็หาใช่เวลาเล็กน้อยไม่ พึงทราบอรรถาธิบายในเรื่องมหากัป ดังต่อไปนี้

เรื่องมหากัป


ยังมีจอมบรรพตภูเขาใหญ่หนึ่ง ซึ่งตั้งตระหง่านเงื้อมทะมึนอยู่ เมื่อทำการวัดภูเขานั้นโดยรอบ ย่อมได้ปริมาณความกว้างใหญ่และส่วนสูงได้ ๑ โยชน์พอดี ทีนี้ พอถึงกำหนด ๑๐๐ ปี มีเทพยดาผู้วิเศษองค์หนึ่งมีหัตถ์ถือเอาผ้าทิพย์ซึ่งมีเนื้อละเอียดอ่อน ประดุจควันไฟลงาจากเบื้องสวรรค์เทวโลก ครั้นพอมาถึง ก็ลงมือเช็ดถูบนยอดภูเขาใหญ่ด้วยผ้าทิพย์นั้นหนหนึ่งแล้วกลับไปเสวยทิพย สมบัติอยู่ ณ วิมานอันแสนสุขแห่งตนบนเทวโลกตามเดิม พอครบกำหนด ๑๐๐ ปีอีกแล้วจึงถือเอาผ้าทิพย์มาเช็ดถูยอดภูเขานั้นอีกหนหนึ่ง เทพยดาผู้วิเศษนั้นเฝ้าเช็ดถูยอดภูผาตามวาระอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ร้อยปีเช็ดถูทีหนึ่งๆ จนกระทั่งภูเขาใหญ่ที่สูงได้ ๑ โยชน์น้น สึกเกรียนเหี้ยนลงมาราบเป็นหน้ากลองเสมอพื้นดินแล้วเมื่อใด ตลอดเวลาเท่านั้นแหละจึงกำหนดได้ว่าเป็นหนึ่งมหากัป
อีกอุปมาหนึ่งว่า ยังมีกำแพงแห่งหนึ่ง ซึ่งใหญ่มหึมาเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส มีความกว้างและความลึกวัดได้ ๑ โยชน์พอดี ทีนี้ พอถึงกำหนด ๑๐๐ ปี ปรากฎมีเทพยดาองค์หนึ่งมีหัตถ์ถือเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาหยอดใส่กำแพงสี่ เหลี่ยมที่ว่านี้เมล็ดหนึ่ง แล้วกลับไปเสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ วิมานอันแสนสุขแห่งตนบนเทวโลก ครั้นครบกำหนด ๑๐๐ ปีอีกแล้ว จึงนำเอาเมล็ดพันธุ์ผผักกาดมาใส่เพิ่มเติม ลงมาในกำแพงสี่เหลี่ยมนั้นอีกเมล็ดหนึ่ง แต่เทพยดาผู้วิเศษนั้น เฝ้าเวียนมาหยอดใส่เมล็ดพันธุ์ผักกาดด้วยอาการอย่างนี้ ร้อยปีหยอดใส่ลงไปเมล็ดหนึ่งๆ จนกระทั่งเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้น เต็มเสมอขอบปากกำแพงอันกว้างใหญ่ได้โยชน์หนึ่งนั้นแล้วเมื่อใด ตลอดเวลาเท่าที่อุปมาเปรียบเทียบมานี้ จึงจะกำหนดนับได้ว่าเป็นหนึ่งมหากัป
ตามที่กล่าวมานี้ เป็นการชี้ให้เห็นความยาวนานแห่งเวลาที่เรียกว่า มหากัป ด้วยการกล่าวอุปมา หากจะนับเป็นเวลาให้ทราบกันเป็นระยะๆ ก็พอจะมีทางนับได้ ดังต่อไปนี้

อันตรกัป


สมัยเริ่มแรกแต่ดึกดำบรรพ์นั้น บรรดามนุษย์คือว่าคนเรานี้ ไม่ใช่ว่าจะมีอายุน้อยนิดเดียว เกิดมาในโลกแต่เพียง ๗๐-๘๐ ปีมาแล้ว ก็ให้มีอันเป็นถึงแก่กาลกิริยาได้แก่ต้องตายไปตามๆ กันเป็นส่วนมาก ตามที่รู้เห็นกันในปัจจุบันทุกวันนี้ก็หามิได้เลย โดยที่แท้มนุษย์ในสมัยเริ่มแรกนั้น มีอายุยืนนานมากคือ มีอายุถึงอสงไขยปี

ก็จำนวนที่เรียกอสงไขยนั้น ก็คือจำนวนปีที่มีเลขหนึ่งขึ้นหน้าแล้วมีเลขศูนย์ตามหลังอีก ๑๔๐ เลขศูนย์ หรือจะว่าเป็นจำนวนที่นับด้วยตัวเลข ๑๔๐ หลักก็ได้ ถ้าอยากจะทราบว่ามันเป็นจำนวนเท่าใด? ได้ตัวเลขรูปร่างเป็นอย่างไร? จะลองทำดูก็ได้ คือ ตั้งเลข ๑ เข้าแล้วต่อเติมเลขศูนย์เข้าข้างท้ายต่อเติมไปให้ได้ ๑๔๐ เลขศูนย์ จำนวนเท่าที่ได้นั้นนับเป็นอสงไขยปี

อสงไขยปีนี้เอง เป็นอายุของมนุษย์เราโดยอนุมานในสมัยเริ่มแรก แล้วอายุอันมีจำนวนมากมายมหาศาลนั้นก็ค่อยๆ ลดลงมา โดยร้อยปีลดลงปีหนึ่งๆ ลดลงมาๆ (อาการที่อายุลดลงมานี้ พึงเห็นตัวอย่างเช่น ในสมัยที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น อายุของมนุษย์มี ๑๐๐ ปีเป็นประมาณ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลนั้น ตราบเท่ามาถึงปัจจุบันนี้ล่วงแล้วได้ ๒๕๐๐ กว่าพรรษา เอาเป็นว่า ๒๕๐๐ พรรษาก็แล้วกัน ในจำนวน ๒๕๐๐ นี้ หนึ่งร้อยปีหักออกเสียหนึ่งปี ก็คงเป็นหักออก ๒๕ ปี เมื่อ ๑๐๐ ปี หักออกเสีย ๒๕ ปี ก็คงเหลือ ๗๕ ปี จึงเป็นอันยุติได้ว่า อายุของมนุษย์เรา ในสมัยปัจจุบันนี้ประมาณ ๗๕ ปี เป็นเกณฑ์โดยมาก) อายุของมนุษย์ก็ค่อยๆ ลดลงด้วยอาการอย่างนี้จนกระทั่งเหลือเพียง ๑๐ ปี เมื่อเหลือเพียง ๑๐ ปีแล้ว ทีนี้ไม่ลดต่อไปอีกละ แต่จะเพิ่มขึ้นคือค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ร้อยปีเพิ่มขึ้นปีหนึ่ง ๆ เช่นเดียวกับตอนที่ลดลงมานั่นเอง เพิ่มขึ้นๆ เรื่อยไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งมนุษย์มีอายุยืนนานถึงอสงไขยปีอีกตามเดิม เวลาหนึ่งรอบอสงไขยนี้ เรียกว่าเป็นหนึ่งอันตรกัป

Wisdom:
อสงไขยกัป


เมื่อนับจำนวนอันตรกัปที่กล่าวมาแล้วนั้น จนครบ ๖๔ อันตรกัปแล้ว จึงเรียกว่าเป็นหนึ่งอสงไขยกัป
ก็อสงไขยกัปนี้ มีอยู่ ๔ อสงไขยกัปด้วยกัน โดยแบ่งเป็นตอนๆ ดังนี้
๑. สังวัฏฏอสงไขยกัป... เป็นอสงไขยกัปปรากฎในตอนที่โลกถูกทำลาย ซึ่งได้แก่คำว่า สงวฏฏตีติ สงวฏโฏ = กัปที่กำลังพินาศอยู่ เรียกว่าสังวัฏฏอสงไขยกัป
๒. สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป...เป็นอสงไขยกัปปรากฎในตอนที่โลกถูกทำลายเสร็จเรียบ ร้อยแล้ว ซึ่งได้แก่คำว่า สงวฏโฏ หุตวา ติฏฐตีติ สงวฏฏฐยี = กัปที่มีแต่ความพินาศตั้งอยู่เรียกชื่อว่า สังวัฏฏฐายิอสงไขยกัป
๓. วิวัฏกอสงไขยกัป... เป็นอสงไขยกัป ปรากฎในตอนที่โลกกำลังจะเริ่มพัฒนาเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งได้แก่คำว่า วิวฏฏตีติ วิวฏโฏ = กัปที่กำลังเริ่มเจริญขึ้น เรียกชื่อว่า วิวัฏฏอสงไขยกัป
๔. วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป... เป็นอสงไขยกัปปรากฎในตอนที่โลกเจริญขึ้น พัฒนาเรียบร้อยเป็นปกติตามเดิมแล้ว ซึ่งได้แก่คำว่า วิวฏโฏ หุตฺวา ติฏฐตีติ วิวฏฏฐายี = กัปที่เจริญขึ้นพร้อมแล้วทุกอย่างตั้งอยู่ตามปกติ เรียกชื่อ่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป
มีข้อที่ควรทราบไว้ในที่นี้ ก็คือว่า สัตว์โลกทั้งหลายเช่น มนุษย์แลเดียรฉานเป็นต้น จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ก็เฉพาะตอนอสงไขยกัปสุดท้าย คือ วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัปเท่านั้น ส่วนในตอน ๓ อสงไขยกัปข้างต้น ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในโลกนี้เลย เป็นตอนที่โลกกำลังถูกทำลายพังพินาศและผลแห่งการทำลายก็ยังคุกรุ่นอยู่ มาเป็นปกติเอาก็เมื่อตอนอสงไขยกัปสุดท้ายนี่เอง

อสงไขยกัปหนึ่งๆ นั้น นับเป็นเวลานานมาก ดังกล่าวแล้ว คือ
๑. สังวัฏฏอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
๒. สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
๓. วิวัฏฏอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
๔. วิวัฏฐายีอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
รวม ๕ อสงไขยกัป ก็เป็น ๒๕๖ อันตรกัป

มหากัป
เมื่อนับจำนวนทั้ง ๔ อสงไขยกัป หรือ ๒๕๖ อันตรกัป ตามที่กล่าวมาแล้วจนครบ จึงเป็นหนึ่งมหากัป

ฉะนั้น กาลเวลาที่เรียกชื่อว่า มหากัป นี้จึงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานนักหนา ตามที่กล่าวมานี้ รู้สึกว่าจะฟังยากอยู่สักหน่อย จึงขอสรุปความซ้ำ เพื่อให้จำได้ง่ายอีกทีหนึ่ง ดังนี้
๑ รอบอสงไขยปี เป็น ๑ อันตรกัป
๖๔ อันตรกัป เป็น ๑ อสงไขยกัป
๔ อสงไขยกัป เป็น ๑ มหากัป
กาลเวลาที่นับเป็นมหากัป เป็นอสงไขย หวังว่าคงจะเป็นที่เข้าใจกันบ้างแล้ว ทีนี้ เราจะหวนกลับพูดกันเรื่องเดิม คือการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกแห่งเอกองค์พระจอมมุนีชินสีห์เจ้าทั้ง ปวงกันต่อไป ได้กล่าวไว้แล้วว่า สมัยพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งปวงนั้น ต้องทรงสร้างพระบารมีตั้งแต่เริ่มแรกจนกระทั่งได้ตรัสรู้นับเป็นเวลานานตาม ประเภทของพระพุทธเจ้า คือ

๑. สมเด็จพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ต้องทรงสร้างพระบารมีรวมทั้งหมดเป็นเวลา ๒๐ อสงไขย กับเศษเวลาอีกหนึ่งแสนมหากัป
๒. สมเด็จพระพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะ ต้องทรงสร้างพระบารมีรวมทั้งหมดเป็นเวลา ๔๐ อสงไขย กับเศษเวลาอีกหนึ่งแสนมหากัป
๓. สมเด็จพระพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะ ต้องทรงสร้างพระบารมีรวมทั้งหมดเป็นเวลา ๘๐ อสงไขย กับเศษเวลาอีกหนึ่งแสนมหากัป

บัดนี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงใคร่ครวญพิจารณาดูเถิดว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์กว่าจะได้ทรงมีโอกาสเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก นี้ ต้องทรงสร้างสมอบรมพระบารมีมานานนักหนาเพียงใด ถ้าจะว่าสร้างพระบารมีเพื่อปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ เป็นการทำงานชนิดหนึ่งแล้ว ก็ต้องนับว่าเป็นการทำงานที่ต้องใช้ระยะยาวนานที่สุด ซึ่งไม่มีงานอื่นใดในโลกจะมาเทียบเทียมได้ และผู้ที่จะทำงานนี้ได้นั้นก็ต้องเป็นท่านผู้มีใจเพชรเด็ดขาดขนาดมหา วีรบุรุษ จึงจะสามารถมีความอดทนทำงานใหญ่ ซึ่งต้องใช้เวลานับชาติที่เกิดไม่ถ้วนนี้ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้

และมีกฎตายตัวอยู่ว่า สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาเป็นเอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านัน หากว่าพระองค์ท่านยังสร้างพระบารมีไม่ครบกำหนด คือยังไม่ถึง ๒๐ อสงไขยแสนมหากัปก็ดี ยังไม่ถึง ๔๐ อสงไขยแสนมหากัปก็ดี และยังไม่ถึง ๘๐ อสงไขยแสนมหากัปก็ดี ตามประเภทการสร้างพระบารมีแห่งพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมจะไม่มีโอกาสได้ตรัสรู้ก่อนกำหนดเวลาเหล่านี้เลยเป็นอันขาด ถึงแม้จะสามารถสร้างพระบารมี เช่น ให้ทานกันอย่างขนานใหญ่ดุจพระเวสสันดรทุกวันก็ดี หรือจะบำเพ็ญพระบารมีอันยิ่งใหญ่อื่นๆ เป็นนักหนาก็ดี การที่จะได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเร็ว ๆ ก่อนกาลกำหนดที่กล่าวมาแล้วนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะเหตุว่า วาสนาบารมีและปัญญาของพระองค์ ยังไม่ถึงซึ่งความบริบูรณ์และแก่กล้า

ถ้าจะเปรียบ ก็มีอุปมาดุจข้าวกล้าที่ชาวนาปลูกดำลงในนา ตามธรรมดากว่าจะออกเป็นเมล็ด สำเร็จเป็นรวงทองสุกเหลืองพอที่จะเก็บเกี่ยวได้ ก็ต้องใช้เวลา ๔-๕ เดือน ถ้ายังไม่ถึงกำหนดนี้ ต่อให้ชาวนาหมั่นพรวนดินวันละแสนหน หมั่นรดน้ำวันละแสนครั้ง ด้วยตั้งใจว่าจะให้ข้าวกล้านั้น มันออกเป็นเมล็ดเป็นรวงเร็วกว่ากำหนดเวลาตามธรรมชาติแห่งข้าวกล้านั้น ย่อมจะไม่มีวันสำเร็จได้ อุปมาข้อนี้ฉันใด สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ซึ่งทรงสร้างพระบารมีมุ่งหมายพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณนั้น การที่จะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าก่อนกำหนด คือยังไม่ถึงกาลแก่กล้าแห่งวาสนาบารมีย่อมจะเป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้น เราท่านทั้งหลายที่ได้มีโชคดี เกิดมาในระยะที่โลกยังมีพระศาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ยิ่งด้วยพระบารมี ควรจะมีจิตยินดีและเลื่อมใสในพระคุณของพระองค์ผู้ทรงประกอบด้วยพระวิริยะ อุตสาหะ ซึ่งไม่มีผู้ใดในโลกจะเทียมเหมือน

ธรรมสโมธาน

นอกจากจะทรงมีพระวิริยะอุตสาหะเป็นยอดเยี่ยมในการสร้างสมอบรมพระบารมีเป็น เวลานานนักหนา นับเวลาเป็นจำนวนอสงไขย เป็นจำนวนมหากัปดังกล่าวแล้ว สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงผู้ปรารถนาจะได้ตรัสเป็นเององค์สมเด็จพระ พุทธเจ้าในกาลอนาคตนั้น ย่อมต้องปรารถนาธรรมสำคัญหมวดหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า ธรรมสโมธาน เสียก่อน จึงจักได้สำเร็จความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าได้ ถ้าไม่มีธรรมสโมธานนี้แล้ว ก็ไม่แน่นักว่าจักได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า กล่าวอย่างนี้อาจจะทำให้งงงันไปก็ได้ จึงจะขอขยายความต่อไปดังนี้

ท่านที่จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้านั้น เพียงแต่ตั้งใจว่าต้องเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ ก็เป็นเวลาหลายอสงไขยแล้วจึงจะมีโอกาสได้ออกโอษฐเปล่งวาจาเป็นคำพูดว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ ตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาหลายอสงไขยอีกเหมือนกัน ถึงแม้จะมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวปรารถนามาเป็นเวลานานเช่นนี้ก็ยังเป็นอนิยต โพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นักว่าจักได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ต่อเมื่อใด ได้บรรลุถึงโอกาสสำคัญ คือได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว มีโอกาสได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธองค์เจ้านั่นแหละ จึงจะเป็นนิยตโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้แน่นอนว่า จักได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า

คราวนี้ สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ผู้จะทรงพยากรณ์ใครผู้ใดผู้หนึ่ง ว่า "จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล" นั่นก่อนที่จะทรงพยากรณ์มิใช่วาจะไม่ทรงเลือกโดยทรงนึกจะพยากรณ์ก็ทรง พยากรณ์ไปอย่างนั้นเอง ไม่ใช่อย่างนั้น โดยที่แท้ พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระสัพพัญญูตญาณย่อมต้องทรงเลือกดูก่อน ถ้าทรงเห็นว่า ผู้นั้นมีวาสนาบารมีไม่เพียงพอและไม่ประกอบด้วยธรรมสโมธาน พระองค์จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด และผู้นั้นก็ยังได้ชื่อว่าเป็นอนิยตโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นอนอยู่นั่นเอง หากทรงเห็นว่า ผู้นั้นได้สร้างสมบ่มบารมีมาในอดีตชาติ เพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณอย่างเพียงพอ และในขณะนั้น ก็เป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วยธรรมสโมธานแล้ว พระองค์จึงจักทรงพยากรณ์ และเมื่อได้รับพยากรณ์แล้ว ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็น นิยตโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ที่จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า

เท่าที่กล่าวมานี้ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงจะเห็นแล้วว่าธรรมสโมธานย่อมเป็นธรรมะสุดสำคัญ ที่เป็นเหตุให้ได้รับลัทธยาเทศน์คำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้า เพื่อให้ได้เป็นนิยตโพธิสัตว์นั่นเอง ฉะนั้น ธรรมสโมธานนี้ จึงเป็นธรรมะจำเป็นอย่างยิ่งที่พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายต้องตั้งใจปรารถนา ก่อนอะไรอื่นทั้งหมด เมื่อความปรารถนาในธรรมสโมธานนี้สำเร็จแล้ว พระพุทธภูมิ กล่าวคือ ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็จักสำเร็จได้ในภายหลังอย่างไม่ต้องสงส้ย ก็ธรรมสโมธานนี้ มีอยู่ ๘ ประการ ด้วยกันคือ ๑. มนุสฺสตฺตํ ๒.ลิงฺคสมฺปตฺติ ๓. เหตุ ๔. สตฺถุทสฺสนํ ๕. ปพฺพชฺชา ๖. คุณสมฺปัตฺติ ๗. อธิการโร ๘. ฉนฺทตา  ซึ่งมีอรรถาธิบายตามลำดับ ดังต่อไปนี้

๑. มนุสฺสตฺตํ... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ หวังจักได้สำเร็จเป็นองค์พระพุทธเจ้าในอนาคตกาลนั้น ในเบื้องต้นจำต้องปรารถนาได้เกิดเป็น มนุษย์เสียก่อน เพราะการที่จะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้านั้น จะได้ก็แต่เฉพาะในชาติที่เป็นมนุษย์เท่านั้น หากว่าอุบัติเกิดเป็นองค์อินทร์ องค์พรหม หรือเป็นเทพยดา เป็นนาค เป็นครุฑ เป็นอสูร หรือเป็นผู้มีฤทธิ์วิเศษอื่นใด ถึงแม้จะทรงไว้ซึ่งศักดามหานุภาพมากมายสักเพียงใดก็ดี การที่ว่าพระพุทธองค์เจ้าจะทรงพยากรณ์นั้น เป็นอันไม่มี เพราะองค์สมเด็จพระชินสีห์จะทรงพยากรณ์ก็แต่ท่านที่เป็นมนุษยชาติเท่านั้น นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่หนึ่ง

๒. ลิงฺคสมฺปตฺติ... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้นในขั้นแรกจำต้องปรารถนาความถึงพร้อมด้วย เพศ คือปรารถนาเป็นบุรุษเพศเสียก่อน เพราะการที่จะมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์นั้น จะได้ก็แต่เฉพาะชาติที่เป็นบุรุษเพศเท่านั้น หากว่าเป็นสตรีเพศก็ดี เป็นบัณเฑาะว์ กะเทยก็ดี เป็นอุภโตพยัญชนะก็ดี ผู้ที่มีลิงควิบัติเหล่านี้ การที่ว่าจะได้รับพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าเป็นอันไม่มี เหตุฉะนี้ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีจิตมุ่งหมายในพระโพธิญาณ เมื่อบำเพ็ญกุศลมีการให้ทานรักษาศีลเป็นต้น ท่านย่อมปรารถนาความเป็นบุรุษก่อนแล้วจึงค่อยปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิต่อภาย หลัง นี่เป็นสโมธานประการที่สอง

๓. เหตุ... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ และจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุ คือมีอุปนิสสัยปัจจัยแห่งพระอรหันต์รุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดาน หากจะกลับใจไม่ปรารถนาพระสัมโพธิญาณ ต้องการเพียงแค่สาวกโพธิญาณแล้วไซร้ แต่พอตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนาที่พระบรมศาสดาจารย์เจ้าทรงแสดงในขณะนั้นก็ จักพลันได้สำเร็จมรรคผลเป็น พระอรหันตสาวก พร้อมทั้งปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ทันที ทั้งนี้ก็เพราะว่าเป็นผู้มีเหตุ กล่าวคืออุปนิสัยปัจจัยแห่งอรหันต์แก่กล้ารุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดานแล้ว ต้องเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยเหตุเช่นนี้แล จึงจักได้รับลัทธยาเทศ หากว่าเป็นคนธรรมดาสามัญยังไม่ไพบูลย์ด้วยเหตุกล่าว คือ อรหัตตูปนิสัยนี้แล้ว สมเด็จพระพุทธองค์เจ้าท่านก็หาทรงพยากรณ์ไม่ นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่สาม

๔. สตฺถุทสฺสนํ... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิและจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นมนุษย์ผู้มีโชคดีมหาศาลได้พานพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือมีโอกาสได้บำเพ็ญกองการกุศลเป็นต้นว่า ท่านรักษาศีลในสำนักของพระพุทธองค์ท่านแล้ว และได้กระทำปณิธานตั้งความปรารถนาเฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระสรรเพชญสัมพุทธ เจ้า จึงจะสำเร็จสมความมุ่งมาดปรารถนา เพราะว่าการได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จักมีขึ้นได้ ก็แต่เฉพาะอาศัยพระพุทธฎีกาที่หลั่งออกมาจากพระโอษฐของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ผู้อื่นใดเล่าจักมีปัญญาลึกล้ำให้คำพยากรณ์ได้ ด้วยเหตุนี้ หากได้พบแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี ได้พบแต่พระอรหันตขีณาสพเจ้าก็ดี ได้พบแต่พระมหาเจดีย์สถาน หรือโพธิพฤกษ์อื่นใดก็ดี ถึงแม้จะมีน้ำใจเลื่อมใสประกอบกองการกุศลเป็นหนักหนา แล้วจึงทำความปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ ความปรารถนานั้นจักได้อย่างเที่ยงแท้แน่นอนนั้นยังไม่สำเร็จก่อน เพราะยังไม่ได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าโดยตรง นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่สี่

๕. ปพฺพชฺชา... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิและจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นบรรพชิต คือเป็นนักบวช เป็นสมณะพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา หากว่ามิได้บรรพชิตอุปสมบทในพระบวรพุทธศาสนา ก็ต้องเป็นโยคี ฤาษี ดาบส หรือปริพาชก ซึ่งเป็นนักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา แต่ว่ามีลัทธิเป็นกรรมวาที กิริยาวาที คือถือว่า บุญมี บาปมี ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ดำรงเพศเป็นบรรพชิตเช่นนี้แล้ว จึงจะได้รับลัทธยาเทศจากสำนักแห่งพระพุทธองค์เจ้า หากว่าดำรงเพศอยู่ในฆราวาสวิสัย เป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนก็ดี แม้จะมีความปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ สมเด็จพระพุทธองค์เจ้าก็หาทรงพยากรณ์ไม่ นี่เป็นธรรมสโมธาน ประการที่ห้า

๖. คุณสมฺปตฺติ ... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ และจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติวิเศษบริบูรณ์ไปด้วยคุณ คือ อภิญญา และฌานสมาบัติ อันเชี่ยวชาญต้องเป็นผู้บรรลุถึงคุณวิเศษเกินคนธรรมดาสามัญอย่างนี้ จึงจักได้รับลัทธยาเทศพยากรณ์จากสำนักแห่งพระพุทธองค์เจ้า หากว่าไม่มีคุณวิเศษ คือ อภิญญาและฌานสมาบัติอยู่ในสันดานแม้จะดำรงเพศเป็นบรรพชิตนักบวชอยู่แล้วก็ดี สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หาทรงพยากรณ์ไม่ นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่หก

๗. อธิกาโร... ท่านทีปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิและจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นผู้ได้เคยทำอธิการมาแล้วหมายความว่า ได้เคยบำเพ็ญมหาบริจาค กล่าวคือการเสียสละ ครั้งยิ่งใหญ่ ให้ชีวิตของตนเองเป็นทานในอดีตชาติ ซึ่งเรียกว่า อธิการ มาแล้ว หากท่านปราศจากอธิการ คือไม่เคยเอาชีวิตเข้าออกแลกกับพระสัมโพธิญาณ ไม่เคยบำเพ็ญทานปรมัตถ์มหาบริจาคมาก่อน ถึงแม้จะทรงเพศประเสริฐล้ำเลิศเพียงใด ก็หาทรงพยากรณ์ไม่ ต่อเมื่อพระองค์ได้ทรงทราบด้วยพระสัพพัญญุตญาณว่า ผู้นั้นได้เคยกระทำอธิการแต่ปางก่อนจึงจักทรงพยากรณ์ เพราะพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณนั้นจะสำเร็จได้ต้องอาศัยอธิการการกระทำอันยิ่ง ใหญ่ ขนาดต้องพลีชีวิตเลือดเนื้อเข้าแลกเอา นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่เจ็ด

๘. ฉนฺทตา... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิและจักได้มีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นผู้มีน้ำใจประกอบด้วย ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพระพุทธภูมิเป็นกำลัง มิได้ย่อท้อถอยในอุปสรรค ไม่ว่าจะใหญ่เล็กชนิดใดทั้งสิ้น ซึ่งในกรณีนี้ หากจะมีผู้ถามพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพระพุทธภูมินั้นว่า

"ดูกรท่าน! การที่ท่านปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิอันประเสริฐสุดนี้ ท่านยังจะมีน้ำใจกล้าแข็งสามารถทนทุกข์ในนรกได้ตลอด ๔ อสงไขย ๑ แสนมหากัปได้ หรือว่าหามิได้"

เมื่อมีผู้มาสำทับถามเอาด้วยภัยในนรกเห็นปานฉะนี้ ท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาพระพุทธภูมินั้น ย่อมจะไม่มีความย่อท้อ อาจรับปากเอาด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่งว่า

"อาตมานี่แหละ จะสู้อุตส่าห์ทนทุกข์ในนรกอันน่ากลัวนักหนา ไปให้ได้ตลอดเวลาอันยาวนานตามที่ว่ามานั่นเพื่อแลกเอากับพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณด้วยใจสมัครให้จงได้"

ในกรณีนี้ หากจะมีผู้ใดใครผู้หนึ่ง ซึ่งใคร่จะสอบถามถึงน้ำใจที่รักปรารถนาอย่างแรงกล้าในพระโพธิญาณ กับพระโพธิสัตว์เจ้าอีกต่อไปด้วยอุปมาปัญหาว่า

"อันตัวท่าน ซึ่งปรารถนาพระพุทธภูมินั้น ท่านยังจะสามารถเดินบุกเข้าไปในป่าไม้ไผ่อันแน่นหนาไปด้วยเรียวหนามที่คม กล้า เป็นป่าไผ่ใหญ่เต็มไปหมดตลอดทั้งจักรวาลโลกธาตุนี้ ซึ่งมีความกว้างใหญ่ วัดได้ไกลถึงสิบสองแสนสามพันสี่ร้อยห้าสิบโยชน์ ตัวท่านจะสามารถเหยียบย่ำบุกฝ่าขวากหนามไปไกลให้ถึงที่สุดตามกำหนดนี้ เพื่อจะความเอาพระโพธิญาณมาไว้ในเงื้อมมือแห่งตนได้ฤา?"

และว่า

"อันตัวท่าน ซึ่งปรารถนาพระพุทธภูมินั้น ท่านยังจะสามารถเดินตลุยด้วยเท้าเปล่า ไปในกองถ่านเพลิงอันมีเปลวไฟรุ่งโรจน์โชตนาการ ซึ่งเต็มไปในห้วงจักรวาลโลกธาตุนี้ได้ฤา?"

พระโพธิสัตว์เจ้า ผุ้มีน้ำใจประกอบไปด้วยฉันทะ ความใคร่พอใจทั้งมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ในพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณ ย่อมจะมีใจองอาจกล้าหาญ ยอมรับเอาด้วยความยินดี เต็มใจเป็นนักหนาว่า

"อาตมาคือว่าตัวเรานี่แหละ จะสู้ก้มหน้าฟันฝ่าอุปสรรคอันตรายทั้งหลาย มิได้อาลัยแก่เลือดเนื้อร่างกายและชีวิตของตน จะสู้อดทนเดินบุกเหยียบย่ำไปให้ถึงที่สุด จะรุดหน้าก้าวไปคว้าเอาพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณด้วยใจรักให้จงได้"

ท่านผู้มีน้ำใจกอรปด้วยฉันทะอย่างแรงกล้า มีความรักความปรารถนาในพระโพธิญาณเป็นเบื้องหน้ามิได้หวาดผวากลัยภัยในนรก เป็นอาทิ เห็นปานฉะนี้แล้ว จึงจะปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิได้สำเร็จสมความปรารถนา หากว่าเป็นผู้มีปกติขลาดหวาดหวั่นไหว มีน้ำใจมิได้กล้าหาญ กลัวทุกข์ กลัวภัยและรักรูป รักกาย รักชีวิต มีจิตสันดานย่อท้ออยู่ การที่จะปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น ย่อมจะสำเร็จลงมิได้อย่างแน่นอน และสมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงหาพยากรณ์ไม่ นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่แปด

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version