หมวดหลัก > พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี

พระอนาคตวงศ์ 10 พระองค์

<< < (2/4) > >>

Webmaster:
พระธรรมสามี (พระยามาธิราช)
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแสดงพระธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรว่า ในกาลเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าสองพระองค์ คือพระรามเจ้าและพรเจ้ากรุงโกศลราช ได้ตรัสในมัณฑกัปป์เดียวกัน ล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานแล้วในมัณฑกัปอันนั้น ตั้งอยู่ถ้วนกำหนดกาลช้านานครบ ๖๔ อันตรากัปป์เข้าแล้ว แผ่นดินนั้นก็บังเกิดกัปวินาศฉิบหายไปด้วยไฟ ไฟไหม้อยู่สิ้นกาลช้านาน จนถึง ๓ อสงไขย ล่วงไปได้ ๖๔ อันตรากัปป์ ๓ หนแล้ว ในกาลนั้นมีแผ่นดินตั้งขึ้นใหม่เป็นกัปป์อันหนึ่ง ชื่อว่าสารกัปป์ ในสารกัปแผ่นดินนานได้ ๖๔ อันตรากัปนั้น บังเกิดมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาตรัสในสารกัปนั้นคือ พระยามาราธิราช จักได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทะเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระธรรมสามีสัพพัญญูผู้ประเสริฐ
- พระองค์มีพระชนมายุได้ ๑๐ หมื่นปีเป็นกำหนด
- พระวรกายสูงได้ประมาณ ๘๐ ศอก
- มีไม้รังเป็นพระมหาโพธิ
- ประกอบไปด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่างประดุจดวงพระจันทร์ พระอาทิตย์ และสายฟ้าแลบ
- ในเมื่อพระองค์ทรงพระดำเนินก็ดี ทรงนั่งก็ดี ไสยาสน์ก็ดี อยู่ในที่ใดๆ บังเกิดมีพระบวรเศวตฉัตร สูงและกว้างใหญ่ได้ประมาณ ๓๐ โยชน์ ผุดขึ้นมาในประเทศกลางเวหา
- ด้วยเดชานุภาพพระสัพพัญญูเจ้า บังเกิดมีขุมทองอันหนึ่งใหญ่สำเร็จในโลก มนุษย์ทั้งหลายในพระพุทธศาสนาพระยามาราธิราชนั้น ได้อาศัยขุมทองประพฤติเลี้ยงชีวิตเป็นสุข

ดูก่อนสำแดงสารีบุตร พระยามาราธิราชบรมโพธิสัตว์ ได้ก่อสร้างบารมี ๑๐ ประการ มีทานและศีลเป็นอาทิมามากแล้ว แต่กองบารมีอันหนึ่ง ปรากฏเป็นยอดยิ่งมิ่งมงกุฎบารมี เป็นปรมัตถคุณควรจะได้สำเร็จซึ่งพระพุทธสมบัติทั้งปวง พระองค์ตรัสดังนี้แล้ว จึงนำมาซึ่งอดีตนิทานแห่งพระยามาราธิราชบรมโพธิสัตว์ เป็นใจความว่า เมื่อครั้งพระพุทธศาสนาพระพุทธกัสสปทศพลญาณเจ้านั้น พระยามาราธิราชองค์นี้ได้บังเกิดเป็นมหาเสนาบดีใหญ่แห่งสมเด็จพระเจ้ากิงกิสสมหาราชา มีนามว่า โพธิอำมาตย์ อยู่มาวันหนึ่งองค์สมเด็จพระพุทธกัสสปสัพพัญญูเจ้าเข้าสู่ผลสมาบัติเชยชมพระนิพพานเป็นบรมสุข ถ้วนกำหนดกาลแล้วออกจากผลสมาบัติในที่ภายใต้ต้นไทรใหญ่ ส่วนสมเด็จบรมกษัตริย์พระเจ้ากิงกิสสราชทรงพระจินตนาในพระหฤทัยว่า แท้จริงอันว่า พระมหากรุณาธิคุณเจ้าเสด็จออกจากผลสมาบัติใหม่ๆนี้ ถ้าแม้นบุคคลผู้ใดได้ถวายทานแก่พระพุทธองค์เจ้าแล้ว จะบังเกิดผลอานิสงส์หาที่สุดมิได้ บัดนี้ควรเราจะทำทานรักษาศีลสดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระจินตนาดังนี้แล้วจึงมีพระราชโองการดำรัสสั่งราชบุรุษทั้งหลาย ให้ตีกลองร้องป่าวชาวเมือง ให้ทั่วกันว่า ถ้าบุคคลผู้ใดไปถวายทานแก่สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเรา จะให้ลงพระราชอาญาผู้นั้น แล้วตรัสสั่งสหชาติโยธาทั้งหลาย ไปแวดล้อมพิทักษ์รักษาพระเชตุพนมมหาวิหารไว้โดยรอบ

ในกาลครั้งนั้น โพธิอำมาตย์ ได้ทราบเหตุดังนั้นแล้ว ก็มีความปรารถนาจะถวายทานแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าบ้าง ถึงว่าราชบุรุษทั้งหลายจะจับตัวอาตมาไปถวายพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์จะประหารชีวิตเราเสียด้วยความเพียรในการกุศลครั้งนี้ เสยฺโย ประเสริฐโดยวิเศษอันยิ่งแล้วเราจะคิดเกรงกลัวพระราชอาญานั้นด้วยเหตุใด โพธิอำมาตย์คิดดังนี้แล้ว ก็ไปบอกกับบุตร ภรรยา ให้แจ้งดังพรรณนามานี้ว่า เจ้าจงจัดแจงแต่งอาหารเครื่องไทยทาน กระทำเป็นห่อใหญ่ให้แก่เราสักห่อหนึ่ง กับผ้าสักผืนหนึ่ง ฝ่ายภรรยาได้ฟังสามีบอกดังนั้น ก็เกิดมีศรัทธารับวาจาว่าสาธุแล้ว ครั้นเวลารุ่งเช้า นางก็ไปจัดแจงแต่งเครื่องไทยทานทั้ง ๒ สิ่งนั้น เสร็จแล้วนำมาให้แก่สามี แล้วกระทำเครื่องไทยทานอีกส่วนหนึ่งให้เป็นของแห่งตน ฝากสามีให้ไปถวายทานด้วย ครั้นโพธิอำมาตย์ได้เครื่องไทยทานดังปรารถนาแล้ว ก็ตรงไปยังพระวิหารโดยเร็ว ครั้งนั้นพวกเสนาทั้งหลายที่แวดล้อมอยู่นั้นเห็นโพธิอำมาตย์เดินตรงมา จึงถามว่า โภเสนาบดี ดูก่อนท่านเสนาบดี เหตุดังฤาท่านจึงองอาจมายังสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้า โพธิอำมาตย์ได้ฟังก็คิดว่า ถ้าเราจะบอกแก่คนทั้งหลายด้วยถ้อยคำมุสาวาทว่า พระมหากษัตริย์ใช้ให้เรามาอาราธนาองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเข้าไปยังพระราชนิเวศน์ก็จะได้ แต่ทว่าหาควรที่เราจะกล่าวมุสาไม่ เราก็ตั้งใจว่าจะถวายทานแก่สมเด็จพระพุทธเจ้า เมื่อเรากล่าวมุสาวาทแล้ว ทานของเราจะมีผลานิสงส์หามิได้ ควรแก่เราจะบอกแก่คนทั้งหลายโดยความจริงเถิด เสนาบดีคิดแล้วก็บอกแก่ราชบุรุษทั้งหลายว่า เราจะไปถวายทานแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ราชบุรุษได้ฟังถ้อยคำแห่งโพธิอำมาตย์ ก็มีความขึ้งโกรธ กรูกันเข้าจับเอาตัวโพธิอำมาตย์ มัดมือไพล่หลัง ไปถวายแก่พระมหากษัตริย์ กราบทูลเหตุนั้นให้ทรงทราบ พระเจ้ากิงกิสสราชก็ทรงพระพิโรธ สั่งให้นายเพชฌฆาตเอาตัวไปตัดศีรษะเสียให้สิ้นชีวิต ฝ่ายเพชฌฆาตและนักการทั้งหลายก็พาเอาตัวโพธิอำมาตย์ไปตามรับสั่ง ถึงที่ป่าช้าเข้าเพื่อว่าจะฆ่าเสียฯ

ขณะนั้นองค์สมเด็จพระกัสสปทศพลญาณเจ้า ทรงทราบประพฤติเหตุดังนั้นแล้ว ทรงคิดว่าโพธิอำมาตย์นี้ เป็นหน่อบรมโพธิสัตว์ เสมอวงศ์แห่งพระตถาคต มีอภินิหารเหตุได้กระทำมาแต่ก่อน จะกระทำกาลกิริยาตายเสียในเวลาวันนี้ สมเด็จพระกัสสปสัพพัญญูเจ้า ทรงพระมหากรุณาแก่โพธิอำมาตย์จึงนิรมิตเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ให้สถิตอยู่ในพระเชตวันวิหาร ส่วนพระองค์ยังพระพุทธรูปขององค์ให้อันตรธานหายเสด็จไปประดิษฐานอยู่ในที่สุสานประเทศ ครั้งนั้นบังจักษุแห่งนายเพชฌฆาตไว้ให้เป็นมหาละลวยละลายไป นายเพชฌฆาตเห็นรูปสมเด็จพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนกับเหล่าราชบุรุษทั้งหลายที่มานั่งอยู่นั้น กระทำแต่จักษุโพธิอำมาตย์ผู้เดียวให้เห็นเป็นรูปพระพุทธองค์ จึงมีพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อนโพธิอำมาตย์ผู้เจริญ ท่านจงละชีวิตของท่านเสียเถิด อย่ากระทำอาลัยในชีวิตอยู่เลย อันว่าปัจจัยทานของท่านมีประการใด ท่านจงให้ทานยังน้ำจิตให้เลื่อมใสในพระตถาคตเถิด อันว่าเครื่องปัจจัยทานของโพธิอำมาตย์นั้น ราชบุรุษทั้งหลายเอามาวางไว้ตรงหน้าแห่งโพธิอำมาตย์ด้วยเดชะพุทธานุภาพ โพธิอำมาตย์ได้สดับฟังพระพุทธฎีกาดังนั้น ก็บังเกิดมีจิตโสมนัสหาที่จะอุปมามิได้ ก็ถือเอาเครื่องปัจจัยทานของอาตมาส่วนหนึ่ง ของภรรยาส่วนหนึ่ง ถวายแก่สมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกราบทูลว่าข้าแต่พระองค์เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตวโลกทั้งหลาย อันว่าชีวิตข้าพระบาทเสียสละแล้ว ด้วยเดชะผลทานของข้าพระพุทธเจ้าในกาลบัดนี้ ขอให้ได้บังเกิดเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเห็นปานดังพระองค์ ในอนาคตกาลโน้นเถิด

โพธิอำมาตย์กระทำปณิธานความปรารถนาดังนั้น สมเด็จพระภควันตบพิตรผู้ประเสริฐ ทรงพระอนุเคราะห์ยื่นพระหัตถ์ไปปรามาสเหนือศีรษะแห่งโพธิอำมาตย์ แล้วมีพระพุทธฎีกาว่า ตัวท่านยังความสุขเป็นอันมากให้บังเกิดแก่ตน จะได้พ้นจากวัฏฏทุกข์ในสงสาร ท่านปรารถนาประการใด ความปรารถนานั้นจงพลันสำเร็จแก่ท่านเถิด ดูก่อนโพธิอำมาตย์ผู้เจริญเอ๋ย ในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ท่านจะได้บังเกิดเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง สมดังความปรารถนาของท่าน ทรงพยากรณ์ทำนายโพธิอำมาตย์แล้วก็เสด็จกลับยังเชตวันมหาวิหาร กระทำภัตตกิจซึ่งปัจจัยทานบิณฑบาต ที่โพธิอำมาตย์ถวายสำเร็จแล้ว ขณะนั้นนายเพชฌฆาตก็ตัดศีรษะโพธิอำมาตย์ผู้เป็นเจ้าของทาน ขาดตกลงกระเด็นไปจากกาย โพธิอำมาตย์กระทำกาลกิริยาตาย มหาปฐพีอันใหญ่ก็ไหวหวาดเป็นมหัศจรรย์โกลาหล ครั้งนั้นเศวตฉัตรแห่งสมเด็จพระเจ้ากิงกิสสราชก็หักทบลง พระองค์เห็นเศวตฉัตรหักก็ประหลาดพระทัยนักให้สะดุ้งพระทัยไหวหวั่น สั่งให้ปิดประตูพระทวารให้มั่นฯ

ลำดับนั้น อันว่าทิพย์วิมานทอง อันประกอบไปด้วยนางเทพอัปสรสาวสวรรค์ประมาณพันนาง ก็บังเกิดผุดขึ้นมาในสุสานประเทศที่กระทำกาลกิริยาตายแห่งโพธิอำมาตย์นั้น กับขุมทองทั้งหลาย ๑๖ ขุม และไม้กัลปพฤกษ์ด้วยต้นหนึ่ง ประกอบไปด้วยสรรพสิ่งสาระพันต่างๆ บังเกิดขึ้นในที่นั้น อันว่าบุตร ภรรยา โพธิอำมาตย์นั้น ก็ได้อาศัยอยู่ในวิมานทอง ได้บริโภคซึ่งขุมทอง และไม้กัลปพฤกษ์ประพฤติเลี้ยงชีวิตสืบมา ถ้วนถึง ๕๐๐ ปีเป็นกำหนด ฝ่ายโพธิอำมาตย์ก็ได้ขึ้นไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์เสวยทิพยสมบัติด้วยเดชะผลทานนั้นฯ

ดูก่อนสำแดงสารีบุตร เมื่อครั้งศาสนาของพระยามาราธิราชนี้
- มหาชนทั้งหลายได้บริโภคซึ่งข้าวสาลีเป็นนิจจกาล ด้วยเดชะผลทานข้าวสุกห่อหนึ่งถวายแก่พระพุทธกัสสป ในกาลเมื่อเป็นโพธิอำมาตย์
- เมื่อพระยามาราธิราชได้ตรัสแล้ว บังเกิดมีเศวตฉัตรแก้วสูงได้ ๓ โยชน์ ด้วยเดชะผลทานถวายผ้าผืนหนึ่ง
- และพระองค์มีพระชนมายุประมาณถึงแสนปีนั้น ด้วยเดชะผลทานที่สละซึ่งชีวิตฯ

ดูก่อนสำแดงสารีบุตร พระยามาราธิราชองค์นี้ ต่อไปในอนาคตกาลจักได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระธรรมสามี
สำแดงมาด้วยเรื่องราวพระยามาราธิราชบรมโพธิสัตว์คำรบ ๔ ก็ยุติแต่เพียงนี้ฯ

Webmaster:
กัณฑ์ที่ ๓

( สฺตถา สารีปุตฺต ธมฺมสามีสมฺมาสมฺพุทธสฺ สสาสนกาเล อติกฺกนฺเต มหาปฐวิยา โยชนมตฺตํ
อภิรุฬฺหาย มณฺฑกปฺเป นารโท จ รงฺสิมุนิ จ เทฺว พุทฺธา อุปปชฺชิส สฺนตีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ กเถสีติฯ )

( อนุสนธิพระสัทธรรมเทศนา มีปุพพาปรสืบเนื่องมาโดยลำดับ บัดนี้จะได้วิสัชนาในประวัติกาลแห่งสมเด็จพระบรมศรีสุคตทศพลญาณ สี่พระองค์ทรงพระนามว่า พระนารท, พระรังสีมุนีนาถ, พระเทวเทพ, พระนรสีหะ เป็นลำดับต่อไป ดำเนินเนื้อความว่า )




พระนารทะ (พระยาอสุรินทราหู)

สตฺถา สมเด็จพระบรมครูสัพพัญญูเจ้าของเราตรัสพระธรรมเทศนาว่า ในกาลเมื่อสิ้นศาสนาพระยามาราธิราช ผู้เป็นธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว โลกทั้งหลายจะสูญจากสมเด็จพระพุทธเจ้าสิ้นกาลช้านานถึง ๘ กัปป์ แผ่นดินตั้งขึ้นมาใหม่ได้แสนแผ่นดิน แผ่นดินนั้นสูญเปล่าเป็นสุญญกัปป์ หาบังเกิดสมเด็จพระพุทธเจ้าไม่ ในเมื่อสุญญกัปนับได้แสนแผ่นดินล่วงไปแล้ว จึงบังเกิดแผ่นดินมาใหม่ มีชื่อว่ามัณฑกัปนั้น เป็นแผ่นดินทรงพระพุทธเจ้าได้ตรัส ๒ พระองค์ คือ
- พระยาอสุรินทราหู ๑
- โสณพราหมณ์ ๑
อันว่าพระยาอสุรินทราหูจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ลำดับนั้นโสณพราหมณ์จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสืบไปฯ
เมื่อพระยาอสุรินทราหูได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงพระนามว่าพระนารทะ
- มีพระองค์สูงได้ ๒๐ ศอก
- มีพระชนมายุยืนได้หมื่นปีเป็นกำหนด
- มีไม้จันทร์เป็นพระมหาโพธิ
- ประกอบไปด้วยรัศมีสว่างรุ่งเรืองทั้งกลางวันและกลางคืน เปรียบประดุจดังว่าสายฟ้าในกลีบเมฆ พระพุทธรัศมีที่เป็นแผ่นแผ่ทึบเป็นแท่งเดียวนั้น ปรากฏสัณฐานดุจดอกปทุมชาติอันตั้งขึ้นมา
- ครั้นศาสนาพระยาอสุรินทราหูนั้น ในแผ่นดินประเทศทั้งปวงเกิดรสภักษาหาร ๗ ประการ มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภคภักษาหาร ๗ ประการ อันเกิดแก่แผ่นดิน ก็ประพฤติเลี้ยงชีวิตของอาตมาเป็นสุขสำราญมิได้ขาด

ดูก่อนสำแดงสารีบุตร อันว่าพระนารทผู้ทรงพระภาคนั้น มีพระรัศมีเห็นปานดังนี้ คือพระยาอสุรินทราหูแต่ก่อนได้สร้างบำเพ็ญพระบารมีทั้งหลาย ๑๐ ประการมาเป็นอันมากแล้ว จึงได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลฯ แต่กองบารมีอันหนึ่ง พระยาอสุรินทราหูได้กระทำเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่ง ปรากฏเป็นอัศจรรย์ พระองค์มีพระพุทธฎีกาดังนั้นแล้ว จึงนำมาซึ่งอดีตนิทานมาตรัสพระธรรมเทศนาว่า อตีเต กาเล ในอดีตกาลล่วงแล้วช้านาน ในเมื่อพระสาสนาพระพุทธกัสสปทศพลญาณ พระยาอสุรินทราหูนี้ได้เสวยพระชาติเป็นบรมกษัตริย์ เสวยศิริราชสมบัติอยู่ในมัลลนคร เป็นเอกราชอันประเสริฐ ทรงพระนามว่า พระยาสิริคุตตมหาราช มีพระราชอัครมเหสีพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ลัมภุราชเทวี มีพระราชบุตร พระราชธิดา ๒ พระองค์ พระราชบุตรมีนามว่า เจ้านิโครธกุมาร พระราชธิดามีนามว่า นางโคตมี อยู่มาวันหนึ่งยังมีพราหมณ์ ๘ คน พากันมาสู่สำนักแห่งพระยาสิริคุตต์ กราบทูลขอพระนคร พระองค์ก็ทรงโสมนัสบังเกิดพระราชศรัทธาโปรดพระราชทานพระนครให้แก่พราหมณ์ทั้ง ๘ ยังแต่พระราชอัครมเหสีและพระราชโอรสกับพระราชธิดาทั้ง ๒ ก็พากันออกจากพระนครเข้าไปในอรัญประเทศ กระทำอาศรมอาศัยอยู่บนยอดเขาใหญ่ พร้อมกันทั้งสี่กษัตริย์ทรงเพศเป็นบรรพชิตอยู่ในอาศรมบทฯ

ในกาลครั้งนั้นยังมียักษ์ตนหนึ่ง มีนามว่ายันตะ ยักษ์ใหญ่สูงได้ ๑๒๐ ศอก ออกจากประเทศราวป่ามาเฉพาะต่ออาศรมแห่งกษัตริย์ทั้ง ๔ องค์ ยืนอยู่ในที่นั้นแล้วจึงกล่าววาจาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ข้าพเจ้านี้เกิดมาเป็นยักษ์รักษาพนาลี มีแต่เลือดและเนื้อเป็นภักษาหารเลี้ยงชีวิต ข้าพเจ้ามาทั้งนี้ ปรารถนาจะขอพระราชโอรสและพระราชธิดา ทั้ง๒องค์ เป็นภักษาหาร ถ้าพระองค์ทรงพระราชศรัทธาโปรดพระราชทานให้แล้ว ไปในอนาคตเบื้องหน้า พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งเป็นแม่นมั่น เมื่อหน่อพระชินวงศ์ได้ทรงฟังยันตะยักษ์ทูลขอพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้ง ๒ นั้น พระยาสิริคุตตราชฤาษีผู้แสวงหาพระโพธิญาณก็ชื่นบานในกมลหฤทัยแสนทวี ท้าวเธอจึงมีสุนทรสารทีตรัสแก่ยันตะยักษ์ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญเอ๋ย พระราชกุมารและพระราชกุมารีทั้ง ๒ องค์นี้ ใช่ว่าเราจะไม่มีความเสน่หาอาลัยหามิได้ ด้วยเรารักใคร่ในพระโพธิญาณยิ่งกว่ากุมารทั้ง ๒ ได้ แสนเท่าพันทวี เราจะสละพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้ง ๒ ศรี ให้เป็นทานแก่ท่านในกาลบัดนี้ ตรัสแล้วเท่านั้นก็เสด็จลุกจากอาสน์ จูงเอาข้อพระหัตถ์พระราชโอรสและพระราชธิดาทั้ง๒ ผู้ร่วมพระราชหฤทัย มาพระราชทานให้แก่ยันตะยักษ์ แล้วหล่อหลั่งอุทกธาราให้ตกลงเหนือมือแห่งยักษ์ พระองค์จึงประกาศแก่ฝูงเทพเจ้าและนางพระธรณีให้เป็นสักขีพยานว่า เดชะแห่งผลทานนี้จงสำเร็จแก่พระสร้อยเพชุดาญาณในอนาคตกาลด้วยเถิด พอสิ้นความปรารถนาก็บังเกิดมหัศจรรย์ทั่วโลกทุกห้องจักรวาล ปานแผ่นพสุธาจะทรุดจะทำลายฯ
เบื้องหน้ายันตะยักษ์ครั้นได้รับพระราชทานพระราชกุมารและพระราชกุมารีแล้ว ก็บังเกิดมีความชื่นชมยินดี พาตรุณสองศรีไปยังหลังพระบรรณศาลา ก็ก้มศีรษะลงกัดเอาคอกุมารและกุมารีทั้งสองให้ขาดด้วยอำนาจของอาตมา แล้วก็ดื่มโลหิตกินเป็นภักษาหาร แล้วก็เคี้ยวซึ่งเนื้อและกระดูกกลืนเข้าไป เสียงเคี้ยวนั้นดังกร้วมๆ พระฤๅษีผู้เป็นบิดาและมารดาเห็นเห็นหยาดเลือดย้อยลงจากปากยันตะยักษ์ในขณะเมื่อเคี้ยวนั้น มิได้มีพระทัยไหวหวาดด้วยโลกธรรม จึงร้องประกาศแก่ฝูงเทพเจ้าทุกหย่อมหญ้าลดาวัลย์ทั้งปวงจงมาชื่นชม ด้วยทานของเราบัดนี้เป็นอันประเสริฐแล้วฯ

ดูก่อนสำแดงสารีบุตร ในเมื่อพระศาสนาของของพระยาอสุรินทราหูได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
- ฝูงชนทั้งปวงประกอบไปด้วยรูปศิริวิลาสเป็นอันงาม ควรจะนำมาซึ่งความสิเนหา ด้วยเดชะผลานิสงส์ที่ให้ลูกทั้งสองเป็นทานฯ
- ซึ่งพระองค์ประกอบได้ด้วยพระพุทธรัศมีส่องสว่างสิ้นทั้งกลางวันและกลางคืนนั้นด้วยเดชะผลานิสงส์ที่เห็นโลหิตกุมารทั้ง ๒ หยดย้อยลงจากปากยักษ์ มิได้มีความหวาดหวั่นไหวในมหาทานเลย
แสดงมาด้วยเรื่องราบพระยาอสุรินทราหูบรมโพธิสัตว์คำรบ ๕ ก็ยุติแต่เพียงนี้ฯ

Webmaster:
พระรังสีมุนีนาท (โสณพราหณ์)
ลำดับนั้น โสณพราหมณ์จะได้บังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าสืบต่อไปในอนาคตกาล ทรงพระนามว่าพระรังสีมุนีนาถศาสดาจารย์เจ้านั้น
- พระองค์มีพระวรกายสูงได้ ๖๐ ศอก
- มีพระชนมายุยืนได้ ๕ พันปีเป็นกำหนด
- คัมภีร์หนึ่งว่าไม้เลียบ คัมภีร์หนึ่งว่าไม้ดีปลี เป็นพระมหาโพธิ
- ประกอบไปด้วยพระพุทธรัศมีดุจสีทองรุ่งเรืองสว่างทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นอันงาม
- ในศาสนาพระพุทธรังสีมุนีนั้น มนุษย์ทั้งปวงกระทำการงานเลี้ยงชีวิตของอาตมาเหมือนมนุษย์ทุกวันนี้
พระพุทธเจ้าผู้ทรงพระนามว่า รังสีมุนี นั้น ได้สร้างพระบารมีทั้ง ๑๐ ประการมาเป็นอาทิ คือทานและศีล แต่กองพระบารมีครั้งหนึ่ง เป็นปรมัตถบารมีปรากฏอัศจรรย์หวั่นไหวจึงได้พระพุทธสมบัติทั้งปวง พระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงนำมาซึ่งอดีตนิทาน ของพระรังสีมุนีนาถว่า อตีเต กาเล ในอดีตกาลล่วงลับไปแล้วช้านาน ในเมื่อพระศาสนาพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสในโลก

.ครั้งนั้นโสณพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ บังเกิดเป็นมาณพผู้หนึ่งมีนามว่า มาฆมานพ เป็นมหาวาณิชพ่อค้าสำเภา มีความปรารถนามักมาก ไปค้าสำเภาเป็นปฐมนั้น ราคาสินค้าอันหนึ่งขายได้กำไร ๑๐ เท่าแล้วประมวญทรัพย์กลับสำเภาแล่นมานาวาก็จมลงในน้ำแต่ตัวนั้นรอดมาได้ มาฆมานพก็จัดแจงสำเภาไปใหม่เป็นคำรบ ๒ สินค้าอันเดียวขายได้กำไร ๑๐ เท่า ได้ทรัพย์แล้วกลับมาสู่บ้านเรือนได้ ๗ วันก็เกิดเพลิงไหม้เรือนสิ้นข้าวของทั้งหลายเป็นอันมาก จึงจัดแจงสำเภาไปค้าขายอีกเป็นคำรบ ๓ ก็ขายของสิ่งเดียวได้กำไรอีก ๑๐ เท่า ได้ทรัพย์แล้วกลับมายังบ้านเรือนก็มีโจรทั้งหลายเข้าสะกดหลับเก็บเอาทรัพย์สิ่งของทองเงินทั้งปวงไปสิ้น ในขณะนั้นมฆมานพจัดแจงแต่งสินค้าไปขายเป็นคำรบ ๔ ก็ได้ราคาขายของสิ่งเดียวบังเกิดผลถึง ๑๐ เท่า ได้ทรัพย์แล้วกลับถึงบ้านเรือน ในวันนั้นพระมหากษัตริย์ให้ราชบุรุษทั้งหลายไปเก็บเอาทรัพย์สิ่งของแห่งมาฆมาณพนั้น มาเข้าท้องพระคลังจนหมดจนสิ้น ตกลงว่ามาฆมาณพผู้เป็นมหาวาณิชนั้น ได้ซึ่งความพินาศฉิบหายถึง ๔ ครั้ง มาฆมาณพกับภรรยาสองคนผัวเมีย ก็เกิดความทุกข์ยากวิวาทกับภรรยาเมื่อคราวจนแล้ว ส่วนตัวได้ผ้าแดงผืนหนึ่งกับทองแสนหนึ่ง หย่ากันกับภรรยาเสียแล้วก็ลงจากเรือนไปเที่ยวค้าขาย คิดว่าครั้งนี้เราจะไปกระทำวาณิชกรรมในที่ดังฤา ก็เที่ยวไปในประเทศจนถึงเมืองโกสัมพี ในกาลนั้นเป็นวันปัณณรสีอุโบสถ มาณพนั้นก็รักษาศีลสำรวมจิตปรกติ ฝ่ายว่าชาวเมืองโกสัมพีและชาวนิคมชนบททั้งหลายก็ชวนกันเดินไปมาในท่ามกลางพระนครตามความปรารถนา

ในกาลนั้น พระสาวกองค์หนึ่งแห่งพระกุกกุสันธสัพพัญญูพระผู้เป็นเจ้าพระองค์นั้นเข้าสู่ผลสมาบัติ ครั้นว่าออกจากษมาบัติแล้วพระผู้เป็นเจ้าจินตนาว่า ใครหนอมีความทุกข์เบียดเบียนเป็นอันมาก เล็งแลดูด้วยทิพยจักษุญาณก็เห็นแจ้งว่ามาฆมาณพผู้เป็นบรมโพธิสัตว์นั้นประกอบด้วยมหันตทุกข์มากนัก ควรอาตมาจะยังมาณพผู้นี้ให้บังเกิดผลเห็นเป็นทิฏฐธรรมเวทนีย์ ให้ได้เสวยผลในอัตภาพชาตินี้ พระผู้เป็นเจ้าคิดแล้วก็จับบาตรและจีวรประดับกายพร้อมแล้วเหาะมาโดยอากาศ ลงในท่ามกลางเมืองโกสัมพี ยืนอยู่ในที่ใกล้มรรคาหนทาง พอมาฆมาณพเดินมาตามมรรคาเห็นพระสาวกแล้วก็เข้าไปกราบไหว้ถามว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าจะปรารถนาสิ่งดังฤา ดูก่อนมาณพ อาตมาภาพมายืนอยู่เพื่อจะรับทานของท่าน มาณพได้ฟังดังนั้นก็มีจิตเลื่อมใสศรัทธา ประกอบไปด้วยความโสมนัส เปรียบเหมือนบุรุษยากไร้เข็ญใจ ได้ซึ่งถุงทรัพย์พันตำลึงอันท่านมาวางลงในมือแห่งตน จึงกล่าวว่าข้าแต่พระผู้เจริญศีลาธิคุณ ตัวของข้าพเจ้าเป็นปุถุชนวาณิช เที่ยวค้าขายได้กำไรถึง ๔ หน ก็บังเกิดมหันตทุกข์เป็นอันมาก บัดนี้ข้าพเจ้าขอกระทำพระนิพพานเป็นวาณิชกรรมแห่งข้าพเจ้าแล้ว จะยังจิตให้เที่ยวไปค้าขายในเมืองแก้ว ให้ได้สมบัติโลกุตระในเบื้องหน้า ครั้นว่าแล้วก็เอาทองแสนหนึ่งกับผ้าแดงผืนหนึ่งถวายแก่พระสาวก ด้วยจิตโสมนัสศรัทธาเลื่อมใสเป็นอันดี แล้วก็กระทำความปรารถนาว่า เดชะผลทานในกาลบัดนี้จงเป็นปัจจัยให้สำเร็จแก่พระสัพพัญญุตญาณเถิด พระสาวกเจ้าก็รับเอาไทยทานแล้วก็อนุโมทนาว่า ดูก่อนอุบาสกผู้รู้พระไตรสรณาคุณแก้วสามประการ อันว่าความปรารถนาของท่านมีประการใด ขิปฺปํ สมิจฺฉตุ จงสำเร็จเป็นอันเร็วแก่ท่านดังความปรารถนานั้นเถิด พระผู้เป็นเจ้ากล่าวอนุโมทนาแล้วก็เหาะไปในอากาศเวหา ในเมื่อพระสาวกนั้นหายไปลับจักษุมาณพแล้ว ในที่ถวายทานแห่งมาณพนั้นก็บังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ขึ้นมาต้นหนึ่ง ฝ่ายมาณพก็ขึ้นอาศัยไม้กัลปพฤกษ์นั้น เปรียบเหมือนเทพบุตรผู้มีฤทธิ์ไปนั่งอยู่บนยอดเขายุคนธรบรรพต

ครั้งนั้นพระเจ้าโกสัมพีเสด็จแวดล้อมมาด้วยมหาชนเป็นบริวาร ออกมาถึงสถนที่นั้น ทอดพระเนตรเห็นมาณพนั่งอยู่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์นั้น ประดุจดังทิพยพิมาน จึงเสด็จเข้าไปใกล้ต้นกัลปพฤกษ์ ฝ่ายว่าเทพารักษ์ที่รักษาต้นกัลปพฤกษ์นั้น ก็จับเอาพระศอพระยาโกสัมพีเสือกไสออกมา จึงทรงพิโรธ สั่งให้ราชบุรุษทั้งหลายเอาไฟมาเผาทิพยพิมานนั้นเสีย ในที่นั้นก็บังเกิดเป็นดอกประทุมชาติผุดขึ้นมารองรับเอามาณพนั้นไว้ให้นั่งอยู่บนดอกบัวเป็นอันงาม ฝ่ายพระยาโกสัมพีทรงเห็นเป็นอัศจรรย์ จึงสั่งให้จับตัวมาณพบรมโพธิสัตว์ให้เอาไปถ่วงน้ำเสีย เมื่อมหาชนเอามาณพไปถ่วงน้ำครั้งนั้นดอกบัวใหญ่ก็ผุดขึ้นมารับเอามาณพไว้มิได้เป็นอันตราย ครั้นพระยาโกสัมพีเห็นอัศจรรย์ดังนั้น จึงถามมาณพว่า ไม้กัลปพฤกษ์ต้นนี้บุคคลดังฤาให้แก่ท่าน มาณพจึงทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐไม้วิมานทิพย์นี้พระสาวกให้แก่ข้าพระบาท จึงตรัสว่าท่านจงไปหาพระสาวกให้มายังสำนักแห่งเรา เราจึงจะเชื่อถ้อยฟังคำของท่าน ครั้งนั้นมาฆมาณพจึงตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อจะให้พระผู้เป็นเจ้ามา ด้วยวาจาว่าข้าแต่พระผู้เจริญคุณเป็นอันมาก บัดนี้จงอนุเคราะห์แก่ข้าพเจ้ากลับมายังสำนักข้าพเจ้าก่อนเถิด พอขาดคำอธิษฐานลง องค์พระสาวกผู้ประเสริฐก็เล็งแลด้วยทิพยจักษุญาณ รู้แจ้งแล้วก็เหาะลอยลงมายืนประดิษฐานอยู่ณที่ใกล้แห่งมาณพนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงบอกแก่กษัตริย์กรุงโกสัมพีว่า ดูก่อนพระองค์ผู้ทรงเป็นสมมติเทวราช ถ้าแลพระองค์ขืนกระทำประทุษร้ายแก่มาณพหน่อพุทธางกูรผู้นี้ ในพระนครของพระองค์ก็จะทรุดจมลงไปในแผ่นปฐพีหมดสิ้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้นแล้ว ก็กลับเหาะไปในอากาศเวหา ลงยังสำนักของพระผู้เป็นเจ้า พระยาโกสัมพีได้ฟังพระมหาเถระกล่าวดังนั้น ก็ตกใจสะดุ้งกลัวแต่ภัยยิ่งนัก จึงตรัสว่าดูก่อนมาณพผู้เจริญ เราขออภัยโทษแก่ท่านเสียเถิด ตั้งแต่วันนี้ไปท่านจงเป็นที่อนุชาธิราชของเรา พระยาโกสัมพีกตั้งมาฆมาณพบรมโพธิสัตว์ไว้ในที่เป็นอนุชาธิราชของพระองค์ฯ

ดูก่อนธรรมเสนาบดีสารีบุตร อันว่ามาณพนั้นได้ซึ่งมหาสมบัติทั้งปวงเป็นอันมาก เมื่อได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูเจ้า ทรงพระนามว่าพระรังสีมุนี จึงมีพระพุทธรัศมี และได้ซึ่งสมบัติบริบูรณ์อันประเสริฐยิ่งนัก แสดงมาด้วยเรื่องราวโสณพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ คำรบ ๖ ก็ยุติแต่เพียงนี้




พระเทวเทพ (สุภพราหมณ์)
ในกาลเมื่อสิ้นพระศาสนาของพระรังสีมุนีแล้ว มัณฑกัปป์ที่ทรงพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์นั้นก็ล่วงลับดับสูญไป เกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่ ก็ชื่อว่ามัณฑกัปทรงพระพุทธเจ้าสองพระองค์เหมือนกัน คือสุภพราหมณ์บุตรแห่งโตไทยพราหมณ์นั้นคนหนึ่ง เป็นบรมโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระเทวเทพสัพพัญญูฯ กับโตไทยพราหมณ์นั้นคนหนึ่งเป็นบรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระนรสีหสัพพัญญู ในมัณฑกัปป์อันเดียวกันฯ

สุภพราหมณ์บรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนนั้นทรงพระนามว่า พระเทวเทพ
- มีสรีรกายสูงได้ ๘๐ ศอก
- มีพระชนมายุยืนได้ ๘ หมื่นปี
- ไม้จำปาเป็นพระมหาโพธิ
- ประกอบด้วยพระพุทธรัศมียังโลกธาตุทั้งปวงให้สว่างรุ่งเรืองอยู่เป็นนิจจกาล ปราศจากฤดูเย็นและร้อน อันว่าฉัพพรรณรังสีทั้ง ๖ ประการ มีสัณฐานเปรียบเหมือนช่อฝักบัวเมื่อยังอ่อนๆอยู่นั้น
- ด้วยเดชะพุทธานุภาพ พื้นแผ่นปฐพีบังเกิดข้าวสาลี มีกลิ่นโอชารสหอมวิเศษ
- และต้นไม้กัลปพฤกษ์ ประกอบไปด้วยสรรพสิ่งต่างๆ มนุษย์ทั้งหลายได้อาศัยบริโภคข้าวสาลีและประดับประดาสรีรกาย มิได้กระทำการถากไร่ไถนาค้าขาย ผิวพรรณแห่งมนุษย์ทั้งหลายนั้นก็งามผุดผ่องเป็นสีทองโดยปรกติ ถึงไม่แต่งตัวก็งามอยู่เองเป็นอัตรา ด้วยสรีรกายนั้นเหลืองเป็นสีทองเนื้อละเอียดเป็นอันดีงามฯ

ดูก่อนสำแดงสารีบุตร พระเทวเทพสัพพัญญูเจ้า ครั้งเมื่อเป็นบรมโพธิสัตว์ ได้สร้างพระบารมี ๑๐ ประการ บริบูรณ์ด้วยทานและศีล แต่กองพระบารมีครั้งหนึ่งเป็นยอดพระบารมี ปรากฏเป็นปรมัตถบารมีมกุฏทาน เหตุดังนั้นพระองค์จึงได้ซึ่งพระพุทธสมบัติเป็นอันมาก ตรัสดังนั้นแล้วจึงนำซึ่งอดีตนิทานมาตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า อตีเต กาเล ในอดีตกาลล่วงลับไปแล้วช้านาน สุภพราหมณ์นี้เมื่อครั้งศาสนาสมเด็จพระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บังเกิดเป็นพระยาฉัททันต์ตัวประเสริฐ อาศัยอยู่แทบฝั่งฉัททันต์สระที่ป่าหิมพานต์ ครั้งหนึ่งพระอัญญาโกณฑัญญเถระเจ้า ผู้เป็นพระสาวกแห่งสมเด็จพระโกนาคมน์เจ้า มีพระชนมายุสังขารจวนจะสิ้นแล้ว เข้าสู่นิพพานแทบฝั่งฉัตรทันต์สระ ในกาลครั้งนั้น อันว่าพระยาช้างศรีเศวตมงคลขาวขาวสะอาดดังไกลาสเงินยวงเป็นอันงาม ก็มีความปรารถนาซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ พระบรมฉัตรทันตชาติคชสารตัวประเสริฐ บังเกิดเป็นโพธิสัตว์เสพอาศัยอยู่ในขอบฝั่งสระนั้น ครั้นเที่ยวไปได้ทัศนานุตตริยาคุณเห็นกองบุญก็บังเกิดความยินดีโสมนัสที่ได้พบเห็นพระสรีรกายแห่งองค์พระขีณาสพ พระอัญญาโกณฑัญญเถระ พระยาช้างเผือกผู้โพธิสัตว์จึงตั้งจิตอธิษฐานลงว่า เราจะกระทำการปลงพระสรีรกายพระมหาสาวกนั้นในประเทศนี้ แล้วก็ร้องประกาศแก่ฝูงเทพยดาทั้งหลายว่า เชิญท่านมาช่วยด้วย อันว่ากองกุศลใดเราได้กระทำไว้แต่ชาติปางก่อนแม้นมีอยู่แล้วขอจงมาอุปถัมภกยกเอาเลื่อยทิพย์อันหนึ่งมาให้ในสำนักแห่งเรา ด้วยเดชะกองกุศลของพระยาช้างตั้งจิตอธิษฐานดังนั้น อันว่าเลื่อยทิพย์ก็บันดาลลอยมาตกลงตรงหน้าแห่งพระยาช้าง พระยาช้างก็ตัดงาทั้งสองให้ขาดแล้วก็เอางาของตัวข้างหนึ่งกระทำเป็นโกศ อีกข้างหนึ่งกระทำเป็นรูปนกยูงทองประดับเป็นอันงาม จะกระทำฌาปนกิจเผาสรีรกายพระขีณาสพนั้นฯ
จึงมีคำพระอาจารย์กล่าวโจทย์ว่า พระยาช้างฉัตรทันต์เป็นชาติเดียรฉาน เหตุดังฤาจึงเอางาของอาตมากระทำเป็นโกศ มีรูปนกยูงทองประดับเป็นอันงามได้ พึงให้นักปราชญ์ผู้มีปัญญากล่าววิสัชนาแก้ด้วยประการดังนี้ว่า พระยาช้างฉัตรทันต์นั้นเป็นสัตว์เดียรัจฉานก็จริงแล แต่ว่าเป็นบรมโพธิสัตว์ก่อสร้างพระบารมีมามากแล้ว เดชะพระบารมีทั้งหลายของพระยาช้างก็ร้อนขึ้นไปถึงอาสน์แห่งสมเด็จอมรินทราธิราช จึงมีเทวบัญชาสั่งพระวิษณุกรรมเทพบุตร ให้ลงมานิรมิตสรรพการเครื่องฌาปนกิจทั้งปวงสำเร็จแล้ว

ครั้งนั้นพระยาช้างแก้วก็ถอนเอาผมในศีรษะของอาตมากระทำเป็นไส้ประทีปตามถวายเป็นเครื่องสักการบูชา ฝ่ายว่าช้างบริวารทั้งหลายก็มาประชุมแวดล้อมพร้อมกันทั้ง ๘ หมื่น ๔ พัน กระทำสมโภชรื่นเริงบันเทิงใจเล่นเป็นโกลาหลด้วยพวกพลช้างนั้นถ้วนถึง ๗ วัน แล้วก็เชิญอสุภกัมมัฏฐาน คือพระกเฬวระสรีรกายพระขีณาสพเจ้าออกจากโกศยกขึ้นวางในรูปนกยูงทอง จึงเอาแก่นจันทร์แดงมีกลิ่นอันหอมลงรองเรียบไว้เป็นอันดี แล้วก็ตั้งลงซึ่งพระอสุภกัมมัฏฐานแห่งองคืพระขีณาสพเจ้า แล้วจึงเชิญขึ้นวางไว้บนเศียรเกล้าของอาตมา แล้วก็เอาเพลิงจุดเผาพระศพสรีร ณ เบื้องบนแห่งศีรษะตนนั้น ครั้นเตโชธาตุเผาผลาญสังหารพระสรีรศพย่อยยับลงแล้ว รูปนกยูงทองที่เป็นเชิงตะกอนซึ่งตั้งอยู่บนศีรษะพระยาช้างนั้น ก็ประดุจดังว่ามีจิตวิญญาณแล้วก็บินไปบนอากาศเวหา อันว่าอสุภกัมมัฏฐานแห่งองค์พระขีณาสพเจ้านั้นก็อันตรธานสาบสูญหายไปสิ้น มิได้มีเศษแต่พระสรีรธาตุทั้งหลายนั้นตกลงเรี่ยรายอยู่บนแผ่นดิน ในที่นั้นฝูงเทพยดาทั้งหลายก็ตกแต่งเจดีย์บรรจุพระสรีรธาตุไว้

ในกาลนั้นพระยาช้างฉัตรทันต์จึงกระทำปณิธานความปรารถนาว่า เดชะที่ข้าพเจ้าได้เลื่อยงาทั้ง ๒ ของข้าพเจ้ากระทำเป็นเครื่องสักการบูชาพระอสุภกัมมัฏฐานของพระสาวกเจ้านี้ ขอให้เป็นปัจจัยได้สำเร็จแก่พระสร้อยเพชชุดาญาณ ในอนาคตกาลเถิดฯ ครั้นพระยาช้างสิ้นชีวิตก็ได้ขึ้นไปบังเกิดในดุสิตเทวโลก เป็นเทพบุตรเสวยทิพยสมบัติในวิมานอันเกษมนิราศภัยฯ

ดูก่อนสำแดงสารีบุตรผู้เจริญ อันว่าสุภพราหมณ์นี้ แต่ครั้งพระโกนาคมน์เจ้าได้ก่อสร้างพระบารมีดังนี้ จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเทวเทพสัพพัญญูผู้ประเสริฐในอนาคตกาลโน้น
แสดงมด้วยเรื่องราวพระสุภพราหมณ์บรมโพธิสัตว์คำรบ ๗ ก็ยุติแต่เพียงนี้ฯ

Webmaster:
พระนรสีหะ (โตไทยพราหมณ์)
ในเมื่อพระศาสนาแห่งพระเทวเทพสัพพัญญูเจ้านั้นเสื่อมสูญสิ้นแล้ว ในมัณฑกัปนั้น โตไทยพราหมณ์ผู้เป็นบรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสืบต่อไปทรงพระนามว่า พระนรสีหสัพพัญญู สมเด็จพระพุทธเจ้านรสีหะนั้น มีพระกายสูงได้ ๖๐ ศอก ประกอบไปด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่างเป็นอันงาม ประดุจดังดวงแก้วมณีโชติแห่งสมเด็จบรมจักร พระองค์มีพระชนมายุ ๘๐ ปี เป็นกำหนดอายุขัย มีไม้แคฝอยเป็นพระมหาโพธิ ด้วยเดชานุภาพของพระองค์แผ่นดินบังเกิดมรข้าวสาลีอันหอม ประกอบไปด้วยโอชารสเป็นปรกติ มนุษย์ทั้งหลายได้อาศัยบริโภคข้าวสาลีเลี้ยงชีวิต แล้วเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง ประกอบไปด้วยสิ่งของมีประการต่างๆบังเกิดมีในไม้กัลปพฤกษ์นั้น มนุษย์ทั้งหลายก็มีรูปงามมีผิวพรรณเหลืองดังสีทอง ถึงมิได้ตกแต่งสรีรกายด้วยเครื่องประดับก็งามอยู่เองเป็นปรกติ มนุษย์ทั้งหลายมีความสุขเป็นอันมาก สมเด็จพระนรสีหะนั้นแม้เสด็จอยู่ในที่ใดแล้ส เศวตฉัตรแก้วก็บังเกิดขึ้นมากางกั้นพระองค์อยู่เป็นนิจจกาล จะได้เปล่าจากเศวตฉัตรแก้วนั้นหามิได้ ด้วยพระบารมีคุณของพระองค์ ทรงพระอุตสาหะก่อสร้างมาพร้อมทั้ง ๑๐ ประการ แต่กองพระบารมีครั้งหนึ่งปรากฏเป็นมหัศจรรย์ยกขึ้นเป็นยอดมิ่งมงกุฎพระบารมีเป็นปรมัตถคุณ ควรนักปราชญ์ทั้งหลายจะกล่าวสรรเสริญ เหตุดังนั้นพระนรสีหสัพพัญญูจึงได้พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้ฯ

ดูก่อนสารีบุตรผู้เป็นพระยาธรรมของพระตถาคต ในเมื่อว่างพระศาสนาแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระกัสสปสัพพัญญู และศาสนาพระตถาคตต่อกันนั้น เป็นกาลควรพระพุทธเจ้าจวนจะมาตรัสอยู่แล้ว ในท่ามกลางระหว่างศาสนานั้น โตไทยพราหมณ์ผู้นี้เกิดเป็นวาณิชผู้หนึ่ง มีชื่อว่านันทมาณพ ไปเที่ยวค้าขายในประเทศต่างๆ ครั้งหนึ่งยังมีพระปัจเจกโพธิเจ้าองค์หนึ่ง เสด็จไปเที่ยวโคจรบิณฑบาต นันทมาณพเห็นองค์พระปัจเจกโพธิเจ้าก็บังเกิดมีความเลื่อมใสศรัทธายกเอาผ้ากำพลสีแดงผืนหนึ่งกับทองแสนตำลึง กระทำเป็นเครื่องไทยธรรมถวายแก่พระปัจเจกโพธิเจ้าเป็นมหาบริจาค แล้วจึงตั้งปณิธานความปรารถนาว่า ข้าแต่พระปัจเจกโพธิผู้ตรัสรู้ธรรมวิเศษต่างๆ พระคุณเจริญมากหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าถวายทานบัดนี้ ขอจงเป็นปัจจัยแก่พระสัพพัญญุตญาณในเบื้องหน้า ด้วยเดชะผลทานนี้ พระปัจเจกโพธิเจ้ารับเอาผ้ากำพลผืนนั้นมาคลุมพระองค์ลง ผ้ากำพลนั้นปกปิดพระองค์โดยรอบคอบยังเหลือแต่พระหัตถ์และพระบาทในเบื้องบนนั้นมีประมาณศอกหนึ่ง นันทมาณพเห็นดังนั้นจึงตั้งความปรารถนาเป็นสองประการอีกเล่าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นานไปในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ามีเดชานุภาพแผ่ทั่วอาณาจักรไปในภายใต้แผ่นพื้นปฐพีนั้นโยชน์หนึ่ง ด้วยเดชะผลทานในครั้งนี้ ครั้นนันทมาณพตั้งความปรารถนาแล้ว พระปัจเจกโพธิเจ้าจึงอนุโมทนาทานของนันทมาณพแล้วคมนาการไปจากที่นั้น ไปถึงกลางมรรคา ยังมีนางกุมารีสาวน้อยผู้หนึ่งเห็นพระปัจเจกโพธิเจ้าห่มผ้าแดงเดินมา นางจึงถามว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญพระเจ้าข้า ผ้าผืนนี้ที่พระผู้เป็นเจ้าห่มมีสีแดงงามบุคคลผู้ใดถวายแก่พระผู้เป็นเจ้า พระปัจเจกโพธิจึงบอกว่า ดูก่อนสีกา ผ็าแดงผืนนี้พาณิชนันทมาณพถวายแก่อาตมา พระเจ้าข้าพระผู้เป็นเจ้าเขาถวายผ้ากัมพลแล้วเขากระทำความปรารถนาดังฤา พระปัจเจกโพธิบอกว่าดูก่อนสีกา มาณพนั้นถวายผ้าแล้วกระทำความปรารถนาสองประการ คือ ปรารถนาพระสัพพัญญูประการหนึ่ง ปรารถนาศิริราชสมบัติประการหนึ่ง นางกุมารีได้สดับดังนั้นจึงยกเอาผ้าของอาตมาถวายแก่พระปัจเจกโพธิเจ้า แล้วก็ตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระคุณอันยิ่ง ถ้าแม้ว่ามาณพพาณิชนั้นได้เสวยศิริราชสมบัติเป็นบรมกษัตริย์แล้ว ข้าพเจ้าขอปรารถนาเป็นนางพระยาราชมเหสีแห่งพาณิชผู้นั้น ด้วยเดชะนาง
กุมารีพลอยกระทำบุญตามพาณิชนั้น คนทั้งสองนั้นก็ได้สมัครสังวาสอยู่กินเป็นภรรยาสามีในปัจจุบันชาตินั้นมาแล้ว ก็คิดอ่านการกุศลสร้างศาลาหลังหนึ่งไว้ในที่นั้น ยังให้นายช่างสลักเป็นรูปพระปัจเจกโพธิเจ้า ประดิษฐานตั้งไว้ในศาลา ฝ่ายว่านางกุมารีจึงโกนซึ่งเกศ เอาเกศามาชุบน้ำมันหอมกระทำสักการบูชาพระปัจเจกโพธิเจ้า กระทำผมของต่างไส้ประทีปตามถวาย

ครั้งนั้น คนทั้งสองได้กระทำกุศลด้วยประการดังนี้ ครั้นกระทำกาลกิริยาตายก็ได้ไปบังเกิดในดาวดึงสพิภพเทวโลกเสวยทิพยสมบัติอยู่ช้านาน จนประมาณนับด้วยปีในมนุษย์นี้ได้ ๓ โกฏิ ๖๐ แสนปีเป็นกำหนด ครั้นสิ้นอายุแล้วจุติลงมาเกิดเป็นบรมกษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรมทั้ง ๑๐ ประการ เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงทวารวดีมหานคร ส่วนว่านางฟ้ากุมารีนั้น ก็จุติลงมาเกิดในสกุลมหาเศรษฐี อันประกอบไปด้วยสมบัติมากในกรุงทราวดี ครั้นนางกุมารีธิดาจำเริญชันษาได้ ๑๖ ปี ก็ได้มาเป็นพระราชอัครมหาเศรษฐีแห่งบรมกษัตริย์นั้นทรงพระนามว่า พระมงคลราชเทวี มีแสนสาวสุรางค์แวดล้อมเป็นยศศักดิ์บริวารประมาณ ๑๐ แสน วันหนึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงทราวดีเสด็จแวดล้อมพร้อมด้วยพระสนมข้างในประมาณ ๑๖ แสน ประสงค์พระทัยจะทดลองบุญแห่งพระมงคลราชมเหสีนั้น ให้ปรากฏแก่หมู่สาวสนมทั้งหลาย จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่หมู่นางทั้งหลาย ให้จัดแจงแต่งสำรับเข้าคนละสำรับให้ถ้วนทุกตัวนาง แล้วพระองค์ให้นั่งบริโภคอยู่ตรงหน้าพระที่นั่ง เหล่านางทั้งหลายก็นั่งบริโภคโภชนาหารเป็นปรกติ จะได้เห็นประหลาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งหามิได้ แต่องค์พระมงคลราชมเหสีนั้น นางนั่งอยู่ในที่สุวรรณภาชน์ ล้างพระหัตถ์ลงในที่สุวรรณภาชน์นั้นแล้วก็รับเอาอาหารกระทำเป็นคำขึ้นเข้าไปในพระโอษฐ์ อันว่านิ้วพระหัตถ์ของนางที่จับเอาคำข้าวไว้นั้นก็กลายเป็นทองทุกนิ้วพระหัตถ์ ทุกคำเสวยในที่นั้น ด้วยเดชะผลทานที่พระนางได้ตกแต่งเป็นการกุศลอันประณีตบรรจงแต่บุพพชาติหนหลัง เหล่านางสนมทั้งหลายได้เห็นนิ้วพระหัตถ์พระลงคลราชมเหสี เป็นทองปรากฏแก่อาตมา ก็รู้แจ้งว่านางพระยาเจ้ามีบุญหาควรที่เราท่านทั้งหลายจะเกิดความริษยาหึงหวงไม่ ตั้งแต่วันนั้นมาก็ยำเกรงพระราชมเหสีเป็นอันมากฯ

สมเด็จพระเจ้ากรุงทราวดีนั้นก็มีความเสน่หาในพระมงคลราชมเหสี เสด็จบรรทมเหนือแท่นอันเดียวกัน ก็ได้ทรงตั้งพระนางนั้นไว้ในที่เป็นเอกอัครราชเทวี ผู้มีบุญหานางจะเปรียบเสมอสองมิได้ ด้วยเดชะผลทานของพระนางและของพระองค์ได้กระทำมาเสมอกันแต่บุพพชาติจึงได้เสวยศิริราชสมบัติดังนั้นฯ สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าของเรา ตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรว่า โตไทยพราหมณ์ได้กระทำบุญมาแต่ก่อน จึงได้เสวยสมบัติในสวรรค์และมนุษย์ บัดนี้จึงได้บังเกิดเป็นพราหมณ์ในศาสนาของตถาคต นานไปเบื้องหน้าโน้น โตไทยพราหมณ์จักได้เกิดเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่านรสีหะ ด้วยเดชะผลทานอันเป็นปรมัตถบารมีปรากฏดุจกล่าวมาฉะนี้
แสดงมาด้วยเรื่องราวโตไทยพราหมณ์ บรมโพธิสัตว์คำรบ ๘ ก็ยุติแต่เพียงนี้ฯ
เอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้

Webmaster:
กัณฑ์ที่ ๔

( สตฺถา สารปุตฺต นรสีหสฺส สาสนากาเล อติกฺกนฺเต มหาปฐวิยา โยชนมตฺตํ
อภิรุฬฺหาย มณฺฑกปฺเป ติสฺโส จ สุมงฺคโล จ เทฺว พุทฺธา อุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ กเถสีติฯ )

( อนุสนธิพระสัทธรรมเทศนา มีปุพพาปรสืบเนื่องมาโดยลำดับ บัดนี้จะได้วิสัชนา
ในประวัติกาลแห่งสมเด็จพระพิชิตมารญาณสัพพัญู ทรงพระนามว่า ติสสะ ต่อไป ดำเนินเนื้อความว่า สตฺถา )




พระติสสะ (ช้างนาฬาคีรี)

สมเด็จพระจอมโมลีศรีสรรเพ็ชร์พุทธเจ้าของเรา ตรัสแก่พระสารีบุตรเถระเจ้าว่า ในเมื่อสิ้นศาสนาพระนรสีหะแล้ว แผ่นอินมัณฑกัปก็เกิดไฟประลัยโลกพินาศสังหารล้างผลาญโลกให้ฉิบหาย จนเกิดกัปป์ตั้งแผ่นดินขึ้นมาใหม่ในกาลนั้นเป็นสุญญกัปแผ่นดินหนึ่ง ในเมื่อสุญญกัปฉิบหายล่วงแล้วและเกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่มรนามว่ามัณฑกัปอีกเล่า พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ จะบังเกิดในมัณฑกัปป์นั้น
- คือช้างนาฬาคีรีหัตถี ที่พระเทวทัตให้พระเจ้าอชาตศัตรูปล่อยออกมา ปรารถนาจะให้แทงองค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้น ก็เป็นบรมโพธิสัตว์สัพพัญญูพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระติสสะสัพพัญญู
- คือช้างปาลิไลยหัตถีนั้นตัวหนึ่ง ก็เป็นบรมโพธิสัตว์จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระสุมงคลพระพุทธเจ้า
สองพระองค์นั้นได้ตรัสในมัณฑกัปป์อันเดียวกัน แต่ช้างธนบาลหัตถีคือนาฬาคีรีนั้นจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าก่อน ทรงพระนามว่าพระติสสะสัพพัญญูพุทธเจ้า เมื่อพระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสนั้น
- พระองค์มีพระวรกายสูงได้ ๘๐ ศอก
- ไม้ไทรเป็นไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ
- มีพระชนมายุยืนได้ ๘ หมื่นปี เป็นกำหนด
- พระพุทธรัศมีสว่างเสมอดังเปลวเพลิง อันสุกรุ่งเรืองยังโลกธาตุทั้งปวงให้สว่างไปสิ้นทั้งกลางวันกลางคืน
- พระพุทธรัศมีที่พุ่งผุดออกจากพระสรีรกายเป็นเกลียวอันเดียวกัน แล้วก็แตกออกไปเป็นสีต่างๆ ก็มี
- พระพุทธรัศมีอย่างหนึ่งเวียนเป็นทักขิณาวัฏ เวียนขวาขาวดุจสีสังข์
- พระพุทธรัศมีอย่างหนึ่ง ปรากฏเป็นพุ่มกลุ่มออกไป เปรียบประดุจเศวตฉัตรก็มี
- พระพุทธรัศมีอย่างหนึ่งพุ่งพวยเรียวรีดเร็วออกไปนั้น เปรียบเหมือนชายธงก็มี
- พระพุทธรัศมีที่ออกจากพระสรีรกายแล้วล้อมพระองค์ไว้นั้น ห้อยย้อยแพรวพราวเป็นสายงามประดุจดังว่าระบายสายเศวตฉัตร ประมาณพันหนึ่งก็มี
- ตกว่าพระพุทธรัศมีทั้งหลาย ที่ออกจากพระสรีรกายนั้น ดูเป็นช่อพัวพันพระองค์อยู่โดยรอบคอบ ควรจะเกิดมหัศจรรย์ยิ่งนัก
- ครั้งนั้นด้วยเดชาพระพุทธานุภาพ เกิดไม้กัลปพฤกษ์ขึ้นมา ให้สำเร็จประโยชน์แก่หมู่มนุษย์ทุกสิ่งทุกประการ มิได้ขัดสนได้บริโภคเลี้ยงชีวิต ประดับประดาสรรพาภรณ์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นผาสุกภาพโดยสะดวกฯ

ดูก่อนสำแดงธรรมเสนาบดีสารีบุตร อันว่าช้างนาฬาคีรีหัตถีบรมโพธิสัตว์นั้น ได้กระทำกุศลสร้างพระบารมีมาเป็นอันมากอยู่แล้ว แต่กองพระบารมีครั้งหนึ่งปรากฏเป็นยอดยิ่งพระบารมี เป็นปรมัตถคุณอันล้ำเลิศประเสริฐในโลกนี้ มีพระพุทธฎีกาฉะนี้แล้วจึงนำมาซึ่งอดีตนิทานมาตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า อตีเต กาเล ในอดีตกาลล่วงลับไปแล้วช้านาน เมื่อครั้งศาสนาพระโกนาคมน์เจ้านั้น ช้างนาฬาคีรีหัตถีตัวนี้เป็นพระราชโอรสผู้ใหญ่แห่งสมเด็จบรมกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระยาธรรมราชผู้ประเสริฐ เสวยศิริราชสมบัติในจำปากนคร บรมกษัตริย์พระธรรมราชนั้น มีโอรสผู้ชาย ๕ พระองค์ ช้างธนบาลหัตถีนาฬาคีรีตัวนี้ เป็นบรมโพธิสัตว์ได้เป็นพระราชโอรสผู้ใหญ่มีนามว่า ธรรมเสนกุมาร ๑ น้องรองลงไปชื่อว่า ภัททกุมารองค์ ๑ ชื่อว่ารามกุมารองค์ ๑ ชื่อว่าปมาทกุมารองค์ ๑ ชื่อว่าธัชชกุมารองค์ ๑ เป็นพระราชกุมาร ๕ พระองค์ด้วยกัน

ครั้งนั้นสมเด็จพระราชบิดาสั่งให้พระราชโอรสทั้ง ๕ พระองค์นั้น ไปเรียนศิลปศาสน์ในสำนักแห่งทิศาปาโมกข์อาจารย์ ณ เมืองตักศิลา พระราชกุมารทั้งหลายก็ไปเรียนได้วิชชาศิลปะศาสตร์คนละอย่างละอย่าง
- เจ้าธรรมเสนกุมารผู้เป็นพระเชษฐาพี่ชายใหญ่นั้น รู้วิชชาการกล่าวแก้ในทานและศีลเป็นศิลปศาสตร์ฯ
- เจ้าภัททกุมารนั้น รู้วิชชาศรธนูอันมีพิษเป็นศิลปศาสตร์ฯ
- เจ้ารามกุมารนั้น รู้วิชชาดอกไม้ไฟเป็นศิลปะศาสตร์ฯ
- เจ้าปมาทกุมารนั้น รู้วิชชาช่างทองเป็นศิลปะศาสตร์ฯ
- เจ้าธัชชกุมารนั้น รู้วิชชามนต์บำราบอสรพิษเป็นศิลปะศาสตร์ฯ
อันว่าพระราชกุมารทั้ง ๕ พระองค์เรียนได้ชำนิชำนาญแล้ว ก็ลาอาจารย์ออกจากเมืองตักศิลามาถึงกรุงจำปากนครแล้ว ก็เข้าไปยังสำนักสมเด็จพระราชบิดา ถวายบังคมแล้งจึงกราบทูลสำแดงศิลปะศาสตร์แห่งตนที่เรียนมา ถวายแก่สมเด็จพระบิดาต่างๆกัน สมเด็จพระบิดาได้ทัศนาเห็นศิลปศาสตร์ของพระราชโอรสก็ดีพระทัยนัก ตรัสสรรเสริญพระราชกุมารทั้งหลาย แล้วก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลให้พระราชโอรสตามสมควร



อยู่จำเนียรกาลมา พระราชโอรสมีวัยเจริญขึ้น สมควรที่จะครอบครองศิริราชสมบัติได้แล้ว ส่วนสมเด็จพระราชบิดานั้นทรงคิดว่าเรามีความเสน่หาในลูกทั้งหลายเป็นอันมาก เมื่ออยู่พร้อมกันทั้ง ๕ คนนี้แม้เรายกสมบัติให้แก่ลูกผู้ใดแล้ว ลูกทั้งหลายที่ไม่ได้ราชสมบัติ ก็จะเกิดรบพุ่งฆ่าฟันกันชิงเอาราชสมบัติเป็นอันแท้ ด้วยว่าราชกุมารทั้งหลายนี้ ล้วนมีศิลปศาสตร์เรียนมาแต่สำนักอาจารย์ทั้งสิ้น ถ้าชาวเมืองทั้งหลายอื่นๆสรรเสริญซึ่งศิลปศาสตร์ของกุมารคนใดแล้ว เราก็จะยกศิริราชสมบัติให้แก่กุมารคนนั้น เมื่อพระองค์ทรงจินตนาดังนี้แล้ว ก็สั่งให้จัดแจงแต่งนาวาไว้พร้อม จึงได้หาพระราชกุมารทั้ง ๕ พระองค์มา แล้วตรัสว่าดูก่อนเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นลูกรักของบิดา บิดาได้ทรงทราบว่าเจ้าทั้งหลายเรียนศิลปะศาสตร์ได้คนละอย่างต่างๆกัน บิดาก็มีความยินดี บัดนี้เจ้าจงพากันไปในพระนครอื่น แล้วจงสำแดงศิลปศาสตร์ให้มนุษย์ชาวเมืองเห็น ถ้ามหาชนทั้งหลายในเมืองอื่นนั้น กล่าวชมสรรเสริญศิลปศาสตร์ ของเจ้าคนใด บิดาจะยกศิริราชสมบัติให้แก่เจ้าผู้นั้นมีพระราชโองการตรัสดังนั้นแล้ว ก็ให้พระราชกุมารทั้งหลายไปในสาคร

.เมื่อพระราชกุมารทั้งหลายไปถึงท่ามกลางมหาสมุทรเข้าแล้ว ฝ่ายพระราชกุมารมีเจ้าภัททกุมารเป็นอาทิ ซึ่งเป็นพระอนุชาแห่งเจ้าธรรมเสนบรมโพธิสัตว์ทั้ง ๔ พระองค์ ไม่มีสติปัญญาสำคัญผิดคิดมิชอบ หลงใหลไปในท้องสมุทร
- ครั้งนั้นเจ้าภัททกุมารเข้าใจว่าลูกศรอันเป็นพิษ ที่อาจารย์สั่งสอนมานั้นว่า มีอยู่ภายใต้ท้องพระมหาสมุทร โดยคิดว่าเราจะโจนลงไปในน้ำ สำแดงศิลปศาสตร์ภายใต้ท้องพระมหาสมุทร มีชัยชนะได้ลูกศรอันมีพิษขึ้นมา เมื่อพระบิดาได้ทรงฟังว่าเรามีชัยก็จะยกศิริราชสมบัติให้แก่เรา เจ้าภัททกุมารคิดดังนี้แล้ว ก็โจนลงไปในท้องมหาสมุทร ครั้งนั้นมหามัจฉาปลาใหญ่ก็กินกุมารนั้นเสียฯ
- ครั้นสำเภาแล่นไปในเบื้องหน้า จนถึงเวลาเที่ยงคืน น้ำในท้องมหาสมุทรเป็นสีพราย เปรียบเหมือนดอกไม้ไฟ เจ้ารามกุมารสำคัญในใจว่าเพลิงดอกไม้ไฟนั้น มีอยู่ในท้องมหาสมุทรถ้าเราลงไปเอาขึ้นมา ทราบถึงพระบิดาก็จะยกศิริราชสมบัติให้แก่เรา คิดแล้วก็โจนลงไปในท้องมหาสมุทร ปลาใหญ่ก็กินกุมารนั้นเสียฯ
- ครั้นเวลารุ่งสว่างขึ้นมา ถึงตะวันเที่ยงสำเภาแล่นไป เจ้าปมาทกุมารนั้น เห็นดวงพระอาทิตย์ปรากฏในท้องพระมหาสมุทร ก็สำคัญว่าทองคำเนื้อบริสุทธิ์ปราศจากราคีมีอยู่ในน้ำ ถ้าเราลงไปดำเอาขึ้นมาได้ เห็นว่าชัยชนะจะพึงมีแก่อาตมา พระบิดาทรงทราบแล้วก็จะยกศิริราชสมบัติให้แก่เรา คิดแล้วก็โจนน้ำดำลงไป ปลาใหญ่ก็กินกุมารนั้นเสียฯ
- สำเภาแล่นไปจนถึงเมืองหนึ่งเข้า เจ้าธัชชกุมารนั้นขึ้นไปในเมือง เพื่อจะสำแดงศิลปะศาสตร์ของตน จึงร่ายมนต์แล้วก็แปลงกายเป็นอสรพิษเลื้อยไปในท่ามกลางมหาชนทั้งหลาย ชาวเมืองเห็นงูร้ายเลื้อยมาดังนั้นก็ชวนกันกลุ้มรุมตีด้วยไม้ค้อนก้อนดิน กระทำให้พินาศฉิบหายตายอยู่ในที่นั้นฯ
ตกว่าพระราชกุมารทั้ง ๔ ตายสิ้น ด้วยศิลปะศาสตร์ของอาตมาอันหาปัญญาสำคัญมิได้ ด้วยคิดวิปลาสผิดไป ก็ได้ซึ่งความฉิบหายดังนั้น

ยังเหลืออยู่แต่เจ้าธรรมเสนกุมารผู้เป็นพี่ชาย อาศัยอยู่ในเมืองนั้น ยังมีพระฤๅษีทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่น มาแต่ป่าหิมพานต์ เหาะมาโดยอากาศเวหาลงในเมืองนั้น แล้วก็เข้าไปโคจรบิณฑบาตในท่ามกลางเมือง เจ้าธรรมเสนกุมารทัศนาเห็นพระดาบสทั้งหลายเดินตามกันมาเป็นอันมาก จึงคิดว่าเรารู้วิชาการศิลปศาสตร์มาแต่สำนักตักศิลา ก็เรียนมามากอยู่แล้วยังไม่เหาะไปในอากาศได้ พระดาบสทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนแต่เหาะได้ด้วยกันสิ้นทุกองค์ จะเป็นเหตุดังฤาหนอ จำจะเข้าไปไต่ถามพระดาบสดูสักหน่อย คิดแล้วเจ้าธรรมเสนก็เข้าไปหาพระดาบสทั้งหลายถามว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้านี้เหาะได้ด้วยเหตุดังฤา พระดาบสทั้งหลายจึงตอบว่า ดูก่อนมาณพพระฤาษีทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมไปอาศัยอยู่ในมหาวันต์ราวป่าใหญ่ แล้วได้ซึ่งวิชาการเหาะได้ในอากาศ เหตุดังนั้นเราจึงได้มาถึงเมืองนี้ฯ เจ้าธรรมเสนกุมารจึงว่า ข้าพเจ้าก็มีศิลปะศาสตร์เชี่ยวชาญชำนาญอยู่ ในเมืองจำปากนครหาผู้จะเสมอมิได้ เหตุไรข้าพเจ้าจึงมิอาจเหาะไปได้ฯ ถ้าข้าพเจ้ารู้วิชชาศิลปะศาสตร์เหาะได้ด้วยอุบายของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะขอเป็นทาสของพระผู้เป็นเจ้า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงได้กรุณาข้าพเจ้าด้วยเถิดฯ พระดาบสได้ฟังพระราชกุมารว่าดังนั้นก็มีความเอ็นดูกรุณา แล้วจึงแสดงอิทธิฤทธิ์พากุมารธรรมเสนนั้น เหาะไปยังป่าหิมพานต์ ให้ธรรมเสนราชกุมารบวชเป็นดาบส แล้วก็สอนให้กระทำสมถะบริกรรมภาวนาเจริญฌาน ยังอภิญญาสมาบัติให้บังเกิดบริบูรณ์ ได้ซึ่งตาทิพย์ รู้จิตผู้อื่น ระลึกชาติหนหลังได้ ทรงอิทธิฤทธิ์ เป็นศิลปศาสตร์อันประเสริฐ

พระดาบสธรรมเสนนั้น ได้ซึ่งของอันวิเศษแล้ว ก็คิดว่าเราจะไปแสดงศิลปศาสตร์ให้พระราชบิดาเห็นเป็นอัศจรรย์ คิดแล้วก็ลาพระดาบสทั้งหลายด้วยวาจาว่าจะไปแสดงศิลปศาสตร์แก่พระราชบิดา กราบนมัสการลาพระดาบสแล้วก็เข้าฌานกระทำอิทธิฤทธิ์เหาะมา ในอากาศเวหา มีเฉพาะหน้าเมืองจำปากะฯ ชาวเมืองเห็นพระดาบสธรรมเสนก็ชวนกันสรรเสริญยิ่งนักหนา ฝ่ายพระดาบสธรรมเสนก็เข้าไปสู่สำนักพระราชบิดา พระธรรมราชาธิราชทอดพระเนตรเห็นพระโอรสทรงเพศเป็นบรรพชิตดาบสเข้ามาหาดังนั้น ก็บังเกิดความเสน่หาเป็นอันมาก ยังพระธรรมเสนดาบสราชโอรสให้นั่งบนตัก แล้วก็ตรัสไต่ถามประพฤติเหตุทั้งปวงว่า ดูก่อนพ่อพระกนิษฐ กุมารทั้ง ๔ คนนั้น ไปอยู่ในที่ดังฤา จึงมาแต่พ่อผู้เดียวดังนี้ฯ พระดาบสธรรมเสนจึงเล่าความแต่หนหลัง ตั้งแต่ต้นจนอวสานให้พระบิดาฟังสิ้นทุกสิ่งทุกประการฯ สมเด็จพระเจ้าธรรมราชาธิราชได้ทรงฟัง จึงตรัสว่า ดูก่อนพ่อธรรมเสนผู้ลูกรัก บัดนี้บิดาแก่ชราอายุมากแล้ว บิดาจะยกศิริราชสมบัติมิ่งมไหศวรรย์เศวตฉัตรมอบให้ในกาลบัดนี้ฯ เมื่อพระธรรมเสนดาบสได้สดับฟังพระบิดาตรัสดังนั้นก็รับเอาศิริราชสมบัติไว้ตามพระบิดาให้ฯ


จึงมีโจทย์เข้ามาว่า พระธรรมเสนดาบสนั้น ทรงเพศบรรพชิต สำเร็จอิทธิฤทธิ์อภิญญาสมาบัติทุกประการอยู่แล้ว เหตุไรเล่าจึงรับเอาศิริราชสมบัติในครั้งนี้ฯ
พระอรรถกถาจารย์เจ้าผู้เป็นปราชญ์วิสัชนาแก้ว่า พระธรรมเสนนั้นเป็นหน่อพุทธางกูร จะใคร่ก่อสร้างพระบารมีแสวงหาพระโพธิญาณ ถ้ายับยั้งอยู่ด้วยเพศบรรพชิตดังนี้แล้ว ก็มิอาจจะกระทำทานมหาบริจาคอันใดได้ ด้วยไม่มี บุตร ภรรยายอดรัก ข้าทาสหญิงชาย และ โค มหิงส์ ช้าง ม้า ราชรถ สรรพสิ่งทั้งปวง ซึ่งจะสละเป็นมหาบริจาค แม้อยู่เป็นฆราวาสประกอบไปด้วยบุตร ภรรยาแล้ว จึงอาจสามารถยังมหาทานให้บังเกิดกองทานบารมี เป็นปรมัตถมงกุฏได้โดยสะดวก เหตุดังนั้นพระธรรมเสนดาบสบรรพชิตบรมโพธิสัตว์ จึงรับเอาศิริราชสมบัติที่สมเด็จพระราชบิดายกให้ฯ


ครั้งนั้นพระบรมโพธิสัตว์ธรรมเสนก็เปลื้องเครื่องบริขารบรรพชิตออกเสียจากสรีรกาย ทรงเพศเป็นคฤหัสถ์ แล้วก็กล่าวประกาศถ้อยคำเป็นอธิษฐาน ดูก่อนอัฐบริขารผู้เจริญเอ๋ย ท่านจงไปยังสำนักพระดาบสทั้งหลายเถิด ในขณะขาดคำอธิษฐานแห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้าครั้งนั้น เครื่องบริขารทั้ง ๘ ก็ปลิวลอยไปในอากาศเวหา ลงยังสำนักแห่งพระดาบสทั้งหลาย ส่วนสมเด็จพระธรรมราชาธิราชผู้เป็นพระบิดา ก็ให้ตีกลองร้องป่าวชาวพระนคร ให้มหาชนทั้งหลายสันนิบาตประชุมพร้อมกันแล้ว จึงกระทำอภิเษกสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ผู้เป็นพระราชโอรส กับด้วยนางลัมภุสสราชเทวี เป็นอัครมเหสีครอบครองกรุงจำปากมหานครเป็นสุขสำราญมา ตนพระราชเทวีอัครมเหสีทรงพระครรภ์ ถ้วนทศมาสแล้วก็คลอดพระราชบุตร เมื่อพระราชบุตรบทจรยกย่างได้ถนัดแล้ว นางก็ทรงครรภ์อีก ประสูติพระราชธิดา ลำดับนั้น พระเจ้าธรรมเสนผู้เป็นบรมกษัตริย์แสวงหาพระโพธิญาณ เสด็จด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา และพระราชมเหสี ไปประพาสนอกพระนคร เพื่อจะลงสรงสาครเล่นให้สุขสำราญ กับด้วยราชบริวารสาวสนมกรมในทั้งปวง และหมู่มุขมนตรีทั้งหลายก็ลงเล่นน้ำสำราญใจฯ

ครั้งนั้น ยังมียักษ์ตนหนึ่งได้ทัศนาการเห็นพระกุมาร และกุมารีทั้งสองพระองค์ ก็มีความปรารถนาเพื่อจะกินเป็นภักษาหาร บ่มิอาจอดกลั้นความอยากอยู่ได้ จึงเดินมาสำแดงกานให้ปรากฏเฉพาะหน้าแห่งพระเจ้าธรรมเสนบรมกษัตริย์ แล้วก็ร้องขอด้วยคำว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ข้าพเจ้ามาบัดนี้มีความปรารถนาจะขอรับพระราชทาน พระกุมาร และพระกุมารี ทั้ง ๒ ของพระองค์ พระองค์จงทรงพระกรุณาข้าพเจ้า โปรดเกล้าพระราชทานกุมาร และกุมารี ให้แก่ข้าพเจ้ากินเป็นภักษาหารในกาลบัดนี้เถิดฯ เมื่อพระเจ้าธรรมเสนบรมโพธิสัตว์ ได้ทรงฟังยักษ์ทูลขอพระลูกรักทั้ง ๒ ดังนั้น ก็เกิดความกรุณาจิตขึ้นมา จึงตรัสว่า ดูก่อนยักษ์ผู้เจริญ ท่านกล่าวถ้อยคำดังนี้เพราะนักเป็นสุนทรวาจาอันยิ่ง ตรัสแล้วก็เสด็จอุฏฐาการ จูงเอาข้อพระหัตถ์กุมาร และกุมารีทั้ง ๒ องค์มาส่งให้แก่ยักษ์ แล้วตรัสว่าเชิญท่านมารับเอาปิยบุตรทานของเรา แล้วก็จับเอาพระเต้าทอง มาหล่อหลั่งอุทกวารีลงเหนือมือยักษ์ จึงตรัสว่า ราชกุมาร และราชกุมารีทั้ง ๒ องคืนี้ ใช่เราจะไม่มีความเสน่หาอาลัยหามิได้ แต่เรามีความรักพระสัพพัญญุตญาณนั้นยิ่งกว่ากุมารทั้ง ๒ ได้ร้อยเท่าพันทวี ด้วยเดชะผลทานของเราที่สละกุมารทั้ง ๒ องค์ให้เป็นทานแก่ท่านบัดนี้ บอให้บังเกิดมีผลเป็นที่สุดถึงพระสัพพัญญูสรรเพชุดาญาณ ในอนาคตกาลเบื้องหน้า พระองค์ประกาศแก่ฝูงเทพเจ้าทั้งหลายแล้ว มหัศจรรย์ก็บังเกิดมีต่างๆนาๆ เป็นต้นว่าแผ่นดินไหวทั่วโลกธาตุฯ ครั้นว่ายักษ์ได้รับพระราชทานแล้ว ก็กินกุมารทั้ง ๒ องค์เป็นอาหาร แล้วก็เข้าสู่อรัญญราวป่าฯ ฝ่ายพระเจ้าธรรมเสนบรมกษัตริย์กับพระราชมเหสีก็เสด็จกลับเข้าพระนครฯ

ในกาลเมื่อเสด็จถึงประตูเมือง พระองค์ทอดพระเนตรบุรุษแก่คนหนึ่งนั่งเป็นทุกข์อยู่ในที่นั้น จึงมรพระราชโองการตรัสถามว่า เหตุไฉนบุรุษแก่ท่านจึงมานั่งเป็นทุกข์อยู่ในที่นี้ บุรุษนั้นจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ จำเดิมแต่เกล้ากระหม่อมเกิดมา จนอายุถึงเพียงนี้แล้ว บุตร ภรรยา ก็หามีไม่ ข้าพระบาทจึงมานั่งเศร้าโศกอยู่ในที่นี้ฯ พระองค์ได้สดับฟังบุรุษแก่กราบทูลดังนั้นฯ จึงตรัสว่าเราจะยกพระราชมเหสีให้เป็นทานบารมีอันยิ่งแก่ท่าน ตรัสแล้วก็จับเอาข้อพระหัตถ์พระราชมเหสีลงจากยานุมาศ พาพระนางเข้าไปให้ใกล้บุรุษแก่นั้นแล้วตรัสว่า ท่านจงมารับเอาองค์พระราชมเหสีของเราไปโดยเร็วเถิด เรายกให้เป็นทานแก่ท่านบัดนี้ แล้วก็หลั่งอุทกวารีให้ตกลงเหนือมือบุรุษแก่ แล้วก็ประกาศด้วยวาจาปรารถนาว่า เดชะผลทานที่เราได้ยกนางลัมภุสสราชเทวีอัครมเหสีให้แก่ท่านครั้งนี้ ขอให้เป็นปัจจัยแก่พระสร้อยสรรเพชุดาญาณเถิดฯ ในกาลครั้งนั้น อัศจรรย์ก็บังเกิดมีแผ่นดินไหวเป็นอาทิ ดุจสำแดงมาแล้วแต่หนหลังฯ ครั้นบุรุษแก่ได้รับพระราชทานพระราชมเหสีแล้ว จึงมีวาจาปราศรัยกับพระนางว่า ดูก่อนเจ้าผู้เจริญ ตัวของเรานี้เป็นคนแก่เฒ่า อนึ่งเล่าทรัพย์สมบัติทั้งปวงก็ไม่มี ดังฤาเจ้าจะอยู่ด้วยพี่ได้ฯ

ครั้นพระเจ้าธรรมเสนได้ทรงฟังบุรุษแก่กล่าววาจากับด้วยพระนางดังนั้น จึงทรงคิดว่าเราจะยกราชสมบัติให้กับบุรุษแก่เสียแล้วจะออกทรงบรรพชาเป็นดาบสเห็นว่าจะประเสริฐ ดำริดังนี้แล้วจึงให้หาตัวบุรุษผู้นั้นมา แล้วก็พระราชทานราชสมบัติทั้งปวงให้แก่บุรุษนั้น แล้วก็ร้องประกาศตั้งความปรารถนาดุจในหนหลัง อัศจรรย์ก็บังเกิดเหมือนแต่ก่อนฯ แล้วก็ทรงพระอธิษฐานว่า ดูก่อนอัฐบริขารทั้ง ๘ ประการ เชิญมายังสำนักแห่งเราในกาลบัดนี้ ในขณะนั้นอันว่าเครื่องบริขารบรรพชิตทั้ง ๘ ประการ ก็เลื่อนลอยมาตกลงตรงพระพักตร์ดุจดังว่ามีจิตวิญญาณ พระบรมโพธิสัตว์ก็ทรงเพศบรรพชาเป็นดาบส เจริญบริกรรมภาวนา ยังอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้บังเกิดขึ้นเหมือนครั้งก่อน แล้วก็เหาะไปในอากาศลงยังป่าพระหิมพานต์ เข้าไปสู่สำนักแห่งหมู่พระฤาษีทั้งหลายฯ

ในกาลครั้งนั้น ยังมีพระอริยะสาวกองค์หนึ่ง แห่งพระโกนาคมนเจ้า เข้าไปสำราญอยู่ในป่าพระหิมพานต์ พระฤาษีทั้งหลายได้ทัศนาเห็นพระอรหันต์อันวิเศษมาก็มีความเลื่อมใสไหว้กราบสักการบูชาพระอริยสาวกเจ้า นิมนต์ให้ยับยั้งอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง ครั้นรุ่งขึ้นเป็นเวลาเช้าพระดาบสธรรมเสนบรมโพธิสัตว์นั้น ก็เหาะมายังสำนักสมเด็จพระโกนาคมนเจ้าพร้อมด้วยพระอริยสาวก แล้วก็เข้าไปกราบนมัสการแทบพระบาทมูลแห่งสมเด็จพระสัพพัญญู พิจารณาดูทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะ แล้วก็เกิดความโสมนัสยินดีขึ้นมา จึงกราบทูลอาราธนาพระโกนาคมนเจ้าให้ตรัสพระสัทธรรมเทศนาฯ ครั้งนั้นสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้าจึงทรงพระมหากรุณาตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่าฯ ดูก่อนธรรมเสนดาบสผู้เจริญ บัดนี้สมควรตัวท่านจะพินิจพิจารณาซึ่งกิริยาอันจะให้ไปสู่เมืองแก้ว คือพระอมตมหานครนิพพาน จึงจะชอบแก่ตัวท่านฯ จึงมีพระพุทธฎีกา ตรัสเป็นนัยคัมภีรภาพด้วยประการดังนั้น

พระธรรมเสนดาบสได้สดับก็บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา คิดว่าจะตัดซึ่งเศียรเกล้าออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรมเทศนา แห่งสมเด็จพระโกนาคมนเจ้าเถิด จึงกระทำอธิษฐานเล็บของพระองค์ให้คมดุจดาบ ตรัสซึ่งเศียรเกล้าให้ขาด แล้วก็วางไว้ในฝ่าพระหัตถ์ ชูขึ้นกระทำสักการบูชาสมเด็จพระพุทธเจ้า กล่าวเป็นพระคาถาตั้งความปรารถนาว่า พระองค์ทรงพระนามว่าพระโกนาคมนเจ้า ได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐแล้ว นานไปในอนาคตกาลเบื้องหน้า ข้าพระบาทขอปรารถนาให้ได้สำเร็จพระศรีสรรเพ็ชญ์พุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ด้วยศีลทานของข้าพระบาทนี้ อนึ่งเล่าพระองค์ผู้ทรงพระมหากรุณาเป็นที่พึ่งแก่ไตรโลกแล้ว จะล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่เมืองแก้วก่อนข้าพระบาทเล่า ข้าพระบาทขอปรารถนาให้สำเร็จพระนิพพานในกาลเบื้องหน้า ด้วยเดชะผลศีลทานของข้าพระบาทในครั้งนี้ฯ กล่าวพระคาถาเป็นใจความสองข้อด้วยประการดังนี้แล้ว ดาบสธรรมเสนก็จุติไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์ อัศจรรย์ก็บังเกิดมีดุจในหนหลังฯ

อันว่าช้างนาฬาคีรีเป็นบรมโพธิสัตว์แต่ครั้งสาสนาพระโกนาคมน์ ได้สร้างพระบารมีมาเป็นอันยิ่ง นานไปเบื้องหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระติสสะสัพพัญญูฯ
แสดงมาด้วยเรื่องราว ช้างนาฬาคีรีหัตถีบรมโพธิสัตว์คำรบ ๙ ก็สิ้นเนื้อความยุติลงแต่เท่านี้ฯ
เอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version