หมวดครูบาอาจารย์ > ธรรมะบารมี หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า

ย้อนรอย คาถามหาจักรพรรดิ . . . และ อานิสงส์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ

(1/2) > >>

Webmaster:


“นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย 
อะหังวันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ”

“พระคาถามหาจักรพรรดิ” เป็นพระคาถาที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก“ชมพูปติสูตร” ในตอนที่พระพุทธเจ้าทรงเนรมิตพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อกำราบทิฐิพญา ชมพูบดีพระมหากษัตริย์ผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์ โดยผู้ที่รจนาพระคาถาบทนี้ขึ้นมาก็คือ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก จ.อยุธยา พระผู้เป็นดั่งร่มโพธิ์แก้วที่แผ่กิ่งก้านใบบุญบารมีมอบความร่มเย็นเป็นสุข ให้แก่ลูกศิษย์ทั่วทุกชนชั้นอย่างไม่มีประมาณตามแนวทางแห่งพระศรีอาริยเมตไตรย์โพธิสัตว์และหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ซึ่งพระคาถานี้เป็นพระคาถาหลักที่หลวงปู่ดู่ใช้ในการรวมบารมีแผ่เมตตาช่วย เหลือภพภูมิทั้งหลายทั่วสามแดนโลกธาตุ และใช้ในการอธิษฐานจิตปลุกเสกพระเครื่องทุกชนิดของท่าน โดยท่านได้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหลาย รวมทั้งพระคาถามหาจักรพรรดินี้ ไว้ให้แก่ลูกศิษย์ผู้เป็นหน่อโพธิ์แก้วต้นใหม่ที่จะทำหน้าที่สร้างความร่ม เย็นเป็นสุขให้แก่ลูกศิษย์ในรุ่นหลังต่อไปก็คือ พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร หรือ หลวงตาม้า แห่งวัดถ้ำเมืองนะ นั่นเอง

เคยมีลูกศิษย์ที่ทันสังขารหลวงปู่ดู่ท่านหนึงสนทนากับหลวงปู่ถึงเรื่อง 'คาถามหาจักรพรรดิ'

ลูกศิษย์ "หลวงพ่อเป็นผู้แต่งคาถาบูชาพระ คาถามหาจักรพรรดิ ใช่มั้ยครับ"

หลวงปู่ "สำเภาเขาสร้างพระพุทธรูป อยากได้คาถาบูชาพระ
ก็เลยมานึกเอาเอง มันจะผิดอยู่หน่อยหนึ่งตรงคำบูชาที่มี นะโมพุทธายะ
แล้วก็ ยะธาพุทโมนะ หรือแกว่าไง" หลวงปู่ท่านถามเป็นนัยๆ

ลูกศิษย์ "ปกติ การตั้งองค์พระ การอธิษฐานให้เป็นพระ โบราณเขาใช้กันว่า
นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ ดังการที่หลวงพ่อกล่าวเช่นนี้
ต้องการให้บูชาคาถาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าปางมหาจักรพรรดิใช่ไหมครับ"

หลวงปู่ดู่ท่านพยักหน้ารับ ทั้งหลวงปู่ดู่ยังกล่าวต่อไป
เกี่ยวกับบทบูชาพระที่นิยมนำมาเรียกกันว่าคาถาจักรพรรดิในปัจจุบันนี้อีกว่า

"คาถา บทนี้เป็นของดี หมั่นท่องไว้ทุกวัน ปกติเขาไม่ให้กันหรอกเพราะเขากลัวลูกศิษย์จะดีกว่าอาจารย์ แต่ข้าไม่เคยกลัวและไม่ปิดบัง ท่องให้ดีนะอีกหน่อยจะรวย เพราะมีการกล่าวถึงพระสิวลีผู้เป็นเลิศทางลาภไว้ด้วย อาบไปเสกไปก็ได้ กินข้าวก็ได้ ดีทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามาบอกพวกแก ข้าทดลองมาแล้วทั้งนั้น เมื่อดีแล้วจึงมาบอก ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ศรัทธาและหมั่นฝึกฝนปฏิบัติ คนเราอยู่ดีๆจะให้รวยได้อย่างไร ต้องปฏิบัติเสียก่อน ดูอย่างข้าเมื่อก่อนต้องไปยืมเงินเขามาซื้อธูปเทียนใบชามาเลี้ยงแขก เดี๋ยวนี้ของกินของใช้มีใช้เกลื่อนกลาดไป เรามาพบไม้งามเมื่อขวานบิ่น แกว่าจริงไหมของดีของอร่อยกินก็ไม่ได้ ฟันไม่มี" หลวงพ่อหัวเราะ และยังเสริมอีกว่า

"คนเราต้องทำให้ดีเมื่อดีแล้วจึงรวย แล้วจะได้ไม่ซวย พระจะดีต้องหมดอยาก
ถ้ายังอยากอยู่ก็ไม่ใช่พระดี"

คาถาบูชาพระที่หลวงปู่ดู่ท่านย้ำเอาไว้ให้หมั่นท่องไว้ทุกวันนั้น ต่อมาภายหลังมีลูกศิษย์นำไปสวด
แล้วเห็นว่ากายทิพย์ทรงเครื่องเป็นมหาจักรพรรดิ และมีพลังงานขับเคลื่อนเป็นพิเศษทำนองนั้น
จึงได้นำมากราบเรียนถามหลวงตาม้าในโอกาสที่หลวงตาลงมา กทม. วันหนึ่ง
หลวงตาจึงไขความลับให้ฟังทั่วกันว่า ขณะที่สวดคาถามหาจักรพรรดินั้น
ถ้าเทวดาผ่านมาก็จะเห็น แม้แต่ หนู หมา แมว บางครั้งก็สามารถเห็นมิตินี้ได้เช่นกัน

ทุกอย่างที่หลวงปู่ตั้งใจรวบรวมเอาไว้ในพระคาถา ดังที่หลวงตาได้อธิบายเอาไว้
จะมาปรากฏที่กายพลังงานของผู้สวดตลอดเวลาที่กำลังสวด ที่หลวงตาเรียกว่าจิตทำการบันทึกบุญเอาไว้ตลอดเวลา
หรือหลังจากสวดแล้ว เจ้าตัวสามารถทรงอารมณ์นั้นเอาไว้ได้ กายพลังงานก็จะมีพลังงานต่างๆในพระคาถาปรากฏอยู่
พลังงานในพระคาถาเป็นอย่างนี้เอง หลวงปู่ดู่จึงได้เน้นย้ำเอาไว้ ให้ลูกหลานหมั่นสวดเป็นประจำ
จะกินจะดื่ม จะอาบน้ำก็ดี หรือนึกขึ้นได้เมื่อใดสวดเมื่อนั้น ด้วยเกิดพลังงานบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่มหาศาล

ที่หลวงปู่ไม่ได้แจงรายละเอียด รอเวลาเมื่อสิ่งเหล่านี้ได้มาปรากฏในผู้สวดแล้ว
จึงนำมาถามถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนว่าเป็นสิ่งไรกันแน่....เป็นการพิสูจน์คุณวิเศษของพระคาถา
ที่มีคุณประโยชน์ใหญ่หลวงแก่ผู้ที่สวดช่วยทำให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ในที่สุด
หลวงปู่ท่านพูดน้อยแต่แฝงเอาไว้ด้วยนัยแห่งคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ . . .



หลวงปู่ดู่ท่านยังกล่าวถึงการใช้บทบูชาพระหรือคาถาพระมหาจักรพรรดิของท่านว่า
"ข้าเป็นคนโลภมากทำอะไรก็อยากทำให้มากที่สุด ดีที่สุด เดี๋ยวนี้ใช้แค่บทนี้ทั้งนั้น
ใครมานั่งคุมเล่าข้าเสกเขาก็รู้เองแหละว่าทำจริงหรือไม่จริง"

หลวงปู่ดู่ท่านเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นพระ ต่อมาท่านไม่มาหาหลวงพ่ออีกเนื่องจากหลวงพ่อพูดว่า
"ยังไม่ไปนิพพานเพราะต้องโปรดคน" แต่พระองค์นี้ไปตีความไปว่าหลวงพ่อยังติดอยู่กับ
ลาภยศ ชื่อเสียง ซึ่งความจริงแล้วหลวงพ่อมีเมตตาและบอกความปราถนาของท่านให้ทราบว่าท่านเป็น พระโพธิสัตว์

สาเหตุอันเนื่องจากการที่บทความนี้กล่าวท้าวความเกี่ยวกับบท ชมพูบดีสูตร หรือบทมหาจักรพรรดิ์ไว้เนื่องจากปัจจุบันขาดผู้สนใจ
เห็นเป็นเรื่องเหลวไหล แม้แต่พระบางองค์ท่านยังกล่าวว่าเกินความจริง โดยท่านลืมนึกถึงคำว่า "อจินไตย"
คือสิ่งไม่ควรคิดเพราะไม่สามารถนำเหตุผลทางโลกหรือทางทฤษฎีมาทำให้เกิดความ กระจ่างได้
เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้เอง ถ้าคิดมากอาจเป็นบ้า สิ่งเหล่านี้ได้แก่

1. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า เช่น ทำไมท่านถึงตรัสรู้ได้ ท่านมีอิทธิปาฏิหาริย์จริงหรือ
2.วิสัยของกรรม เช่น ทำไมคนนั้นคนนี้รวย จน สมบูรณ์ กำพร้า
3.วิสัยของพระอรหันต์ เช่น ท่านหมดโลภ โกรธ หลงหรือ
4.วิสัยของโลก เช่น โลกเกิดมาได้อย่างไร
5.วิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม เช่น ลักษณะที่สงบเป็นอย่างไร สงบจริงหรือไม่

หลวงปู่สร้างพระตลอดมาตั้งแต่สมัยบวชใหม่ ท่านบอกว่า ใจเราจะได้อยู่กับพระ เป็นบุญเป็นกุศลดีกว่าไปทำอย่างอื่น จนมาถึงครั้งสำคัญ ที่ท่านได้วิชามหาจักรพรรดิ คือ ท่านเจ้าคุณใหญ่ มีหนังสือขอมโบราณ หลวงปู่เอามาอ่านตอนที่พระพุทธองค์ปราบท้าวมหาชมพู ซึ่งถือตัวว่าเป็นพระมหาจักรพรรดิมีอำนาจมาก ท่านเล่าให้ฟังว่า "อ่านไปก็ยิ่งมีความปิติ อ่านจนถึงเกือบเที่ยงคืน จนเจ้าคุณใหญ่กลับมาจากงานสวด ตั้งแต่นั้นก็ทำเรื่อยมา ของอะไรก็ตามไม่ใช่ทำวันเดียว ต้องทำหลายครั้งจึงจะได้ ข้าเคยไปสักกับหลวงพ่อแสงที่บางบาล สักแล้วก็เข้าไปขอคาถาท่านว่า "ถ้าไม่กินก็ไม่ต้องทำ" พูดแล้วปิดกุฏิเข้าไปเลยไม่ออกมา เราก็มานั่งตรองดูก็จริงตามที่ท่านว่า คือ คนที่ไม่กินก็ต้องตาย อยู่ในโลกก็ต้องทำงาน พวกแกตอนนี้ต้องอยู่ในโลก เหยียบเรือ ๒ แคมไปก่อน โลกบ้างธรรมบ้าง โลกอย่างเดียวก็ไม่ดี ธรรมอย่างเดียวก็ต้องบวช ค่อยๆ ทำไปเถิด นักศึกษาที่เรียนหนังสือ ถ้าลองทำให้ดี เราเรียนเพื่อตัวเอง เพื่อพ่อแม่ เพื่อประเทศชาติ เราคิดอย่างนี้ก็ได้บุญแล้ว" ท่านพูดถึงที่มาของคาถามหาจักรพรรดิ และยังแถมท้ายเรื่องที่ชวนคิดเป็นธรรมะอีกด้วย

บทความข้างต้นบางส่วนเรียบเรียงมาจากบันทึกของลูกศิษย์
ที่ทันสังขารหลวงปู่ดู่ท่านหนึง ขออนุโมทนาบุญมา ณ ที่นี้ . . .
ย้อนรอย ครั้งหลวงตาม้าพบหลวงปู่ดู่ . . .

ครั้งแรกที่หลวงตาได้พบหลวงปู่ดู่นั้น ท่านทำงานอยู่ที่ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ (บริเวณซอยอารีย์) และเพื่อนคนหนึ่งได้ไปบวชที่วัดสะแก ท่านจึงได้ตามไปงานบวชของเพื่อนและได้พบกับหลวงปู่ดู่เป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒o โดยหลวงปู่ดู่ได้มอบพระให้ท่าน ๑ องค์ เพื่อนำไปใช้กำไว้ขณะทำสมาธิ และสอนให้ภาวนาไตรสรณคมน์ “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ซึ่งในครั้งแรกที่หลวงตานำพระมากำทำสมาธิตามที่หลวงปู่สอนนั้น ท่านก็รู้สึกว่าสามารถทำสมาธิได้นิ่งสงบเบาสบายดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และหลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน หลวงตาไม่เคยไปศึกษากับครูบาอาจารย์ท่านใดอีกเลย มุ่งศึกษากระแสพลังเหนือพลังจากหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวมาโดยตลอด โดยหลวงตากล่าวว่า “หลวงปู่จะสอนศิษย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ท่านจะดูจากจริตนิสัยบุญบารมีของแต่ละคน เวลาหลวงปู่อยู่กับหลวงตาเพียงลำพังก็จะสอนอีกแบบหนึ่งไม่เหมือนคนอื่น หลวงปู่ท่านมีความรู้มาก มีบุญบารมีเต็มล้นแล้ว หลวงตาเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของท่านเท่านั้น”

หลวงตาได้เล่าให้ฟังเรื่องบุญบารมีอันมากล้นของหลวงปู่ดู่ว่า “ในสมัยนั้น แม้หลวงปู่จะอายุกว่า๗o ปีแล้ว แต่ท่านยังมีผิวสีชมพูสวยมาก ใครไปแตะโดนตัวท่านไม่ได้ ท่านมีบุญบารมีบริสุทธิ์มาก แต่พวกเรายังมีกิเลสมาก แตะโดนแล้วตัวท่านจะบวมเลย มีครั้งหนึ่งลูกศิษย์ขอปิดทองบูชาที่ขาท่าน ท่านก็เมตตาให้ปิด แต่พอเช้าวันต่อมาขาท่านบวมทั้งสองข้างเลย ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่อนุญาตให้ใครปิดทองตัวท่านอีกเลย” หลวงตาเล่าพลางหัวเราะเบาๆก่อนทิ้งท้ายว่า “ตอนนั้นหลวงตาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไปปิดทองหลวงปู่ด้วย ตอนนั้นเราไม่รู้”

ในสมัยที่หลวงปู่ดู่ยังอยู่นั้น หลวงปู่และลูกศิษย์จะช่วยกันสร้างพระทุกวันเพื่อฝึกให้ใจอยู่กับพระเสมอและ นำพระไปใช้กำทำสมาธิภาวนา ซึ่งหลวงปู่ได้กล่าวถึงเรื่องพระเครื่องที่คนมักมองว่าเป็นเรื่องงมงายไว้ อย่างน่าคิดว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล” อย่างน้อยดึงให้ใจเขาติดอยู่กับพระเครื่อง ให้เห็นพระทุกวันก็เป็นพุทธานุสติ ใจเขาก็เป็นบุญ ดีกว่าปล่อยให้ใจเขาไปติดอยู่กับเหล้ายากิเลสสิ่งไม่ดีอื่นๆ โดยลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ศึกษาวิธีการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ไว้อย่างครบ ถ้วน และช่วยท่านสร้างพระมาตลอดในสมัยนั้นก็คือ “หลวงตาม้า” นั่นเอง

อ่านบทความประวัติหลวงตาม้าฉบับเต็มได้ที่ http://www.watthummuangna.com/home/community/index.php/topic,2368.0.html

Webmaster:
การสร้างพระ - หลวงปู่ดู่

หลวงปู่เคยเล่าให้ศิษย์ฟังอยู่เสมอว่า การสร้างพระพุทธรูปนั้น จะมีอานิสงส์มาก แม้จะองค์เล็กเท่าต้นหญ้าคา ก็จะมีอานิสงส์ถึง 5 กัป หลวงปู่ยกตัวอย่างเช่น คนที่สร้างหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อไร่ขิง ตอนนี้เขาเหล่านั้นยังเป็นเทพบุตรเทพธิดา และพรหมในชั้นต่าง ๆ เสวยความสุขอย่างไม่มีจบสิ้น เพราะผลบุญที่ได้นี้มันต่อเนื่อง เมื่อมีคนไปกราบไปไหว้หลวงพ่อที่หนึ่ง สายบุญเหล่านั้นก็จะไหลไปยังเทพบุตรเทพธิดาอย่างต่อเนื่องเหมือนสายน้ำตก แกก็ลองนึกดูเถิดว่าวัน ๆ หนึ่งมีคนไปกราบหลวงพ่อเหล่านั้นมากเพียงไร ลูกศิษย์หลวงปู่เป็นส่วนมากจึงชอบสร้างพระเพราะหลวงปู่ไม่ได้กำหนดให้ผู้ใดผู้หนึ่ง ผูกขาดในการสร้างของท่าน คณะใดกลุ่มใดมีศรัทธาจะสร้างเพื่อเป็นกุศลต่อตนเองและส่วนรวม หลวงปู่ก็จะอนุญาตอยู่เสมอและหลวงปู่จะอนุโมทนาต่อเขาเหล่านั้นเป็นอย่างดี


วีดีโอหลวงตาม้า(พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร) วัดถ้ำเมืองนะ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
(ประมาณ50นาที) "พิมพ์พระ" วันที่ 24 ก.ย54 ด้วยตัวท่านเอง

Webmaster:


เรื่องราวที่เกี่ยวกับหลวงปู่ดู่ ที่หลวงตาม้าเคยเล่าไว้ ขอยกมาบางเรื่อง

"หลวงพ่อดู่ท่านเป็นพระที่ยิ้ม หน้าตาผ่องใส ท่านไม่เคยว่าใครเลยนะ เราเห็นก็ยังเข้าใจว่าท่านเป็น พระอรหันต์ หลายๆคนก็เข้าใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านบอกหลวงตาว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่ท่านเป็นอย่างนี้เพราะบารมีท่านเยอะ"

หลวงตาย้อนเล่าถึงสมัยฝึกอยู่กับหลวงปู่ดู่ว่า "ตอนฝึกกับ หลวงพ่อ(ดู่) ท่านก็ให้พระมา เราก็เอามานั่งกำแล้ว สวดไตรสรณคมณ์ ในใจ ใจก็อยู่ที่พระในมือและคำสวด อยู่อย่างนั้นแหละ หลวงพ่อ(ดู่) ท่านบอกว่า วิธีนี้เร็ว เรา 50% พระ 50%ไง"

หลวงพ่อดู่ ท่านเคยกล่าวถึงครูบาอาจารย์ที่เด่นด้าน คาถาอาคมท่านต่างๆให้ หลวงตาม้า ฟัง แต่ละท่านล้วนเก่งกาจชนิดที่เรียกว่าหาตัวจับยาก หลวงตาม้าท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนเคยไปศึกษาตำราของคาถาอาคมอยู่เหมือนกัน คาถาบางคาถายาวเป็นหน้าเลย

หลวงพ่อดู่ ท่านเคยพูดกับ หลวงตาม้า ได้ใจความว่า สวดสั้นๆก็พอ ไม่ต้องไปสวดยาวหรอก (เช่น ไตรสรณคมณ์, จักรพรรดิ) รุ่นเอ็งมันไม่ได้เรื่องได้ราว ไม่ต้องไปเรียนหรอกคาถาอาคมน่ะ มาเอาพระรัตนตรัยดีกว่า

หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวไว้ได้ใจความว่า "พระพระรัตนตรัยมีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม มีครบหมด!"

หลวงตาม้า ท่านเล่าต่อให้ฟังได้ใจความว่า สมัยนั้นมีเด็กคนนึงเป็นนักศึกษา มักจะมีเรื่องประจำ ถูกเขาตีเขาต่อยประจำ หลวงพ่อดู่ให้มานั่งสมาธิ ภาวนาไตรสรณคมณ์ พอเห็นแสงปุ๊ป ท่านให้อธิษฐานขอ เหนียวๆๆๆๆ (หมายถึงฟันแทงไม่เข้า) "ทีนี้พอเด็กคนนั้นไปมีเรื่อง มันก็ไม่เป็นอะไรเลยนะ ได้ผลจริง(หัวเราะ)" หลวงตาม้ากล่าว

สมัยนั้นตอนหลวงปู่ดู่ท่านยังไม่ละสังขาร หลังออกพรรษา หลวงตาม้าก็มากราบลาหลวงปู่ที่กุฎิเพื่อออกธุดงค์ หลวงปู่ดู่ท่านได้เทศสอนหลวงตาในการเตรียมตัวจากนั้นหลวงปู่จึงมอบเงินให้หลวงตาไว้ ๕oo บาท รวมทั้งของใช้จำเป็นต่างๆ และได้หันไปหยิบ “รูปหล่อหลวงปู่ดู่เนื้อปูน” มาให้ ๑ องค์ แล้วบอกหลวงตาว่า “เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย... หากสงสัยอะไรในการปฏิบัติให้แกถามเอาจากพระองค์นี้” เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความเมตตาและความเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันของหลวงปู่ที่มีต่อหลวงตาได้เป็นอย่างดี และยังแสดงให้เห็นถึงความเมตตาอันไม่มีประมาณของหลวงปู่ดู่ด้วย

ครั้งหนึ่งเล่าถึง วิญญาณที่ติดภพภูมิ วิญญาณเร่ร่อน วิญญาณสัมพเวสี หลวงตาม้า ท่านได้เมตตากล่าวให้ฟังได้ใจความว่า หลวงพ่อดู่ ท่านเรียกพวกวิญญาณที่ติดภพติดภูมิ หรือวิญญาณเร่ร่อนพวกนี้ว่า ขยะวิญญาณ หมายถึงพวกที่ไม่มีประโยชน์ ท่านสอนให้ช่วยเหลือพวกนี้ โดยเอาบุญ หลวงพ่อ(ดู่) ไปช่วยเหลือ บางทีพวกนี้ก็ส่งผลกระทบต่อมนุษย์เหมือนกัน "อย่างตลาดสดนี่ เห็นไหมว่ามีคนทะเลาะกันเป็นประจำ วิญญาณอยู่เยอะไง ฆ่าทุกวัน ฆ่าสัตว์ทุกวัน พลังงานมันไม่ดี" หลวงตาม้ากล่าว

หลวงปู่ดู่ ท่านเคยบอกลูกศิษย์ไว้ว่า "เวลาไปไหน ให้ส่งวิญญาณ ปรับภพภูมิ ถ้าเอ็งแผ่เองไม่ได้ให้นึกถึงข้านี่ ข้าแผ่ให้เอ็งได้ !"

เรื่องการแผ่บุญปรับภพภูมินี้ เมื่อเขาได้ัรับบุญไป ถ้าหากเขาเปลี่ยนไปอยู่ในภพภูมิที่ดีหรือมีกำลัง เขาก็จะต้องมาช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวได้ใจความว่า คุยกับมนุษย์นี่มันลำบาก คุยกับวิญญาณง่ายกว่า เราสวดมนต์ รักษาศีลให้เขาก็พอแล้ว ไปไหนเรามีผีมีเทวดาเป็นเพื่อนไม่ต้องกลัวอะไร เผลอๆให้โชคให้ลาภเราเสียด้วย(หัวเราะ)

หลวงตาม้า ท่านเล่าให้ฟังถึงหลักสูตรการปฏิบัติธรรมตามแนวของหลวงพ่อดู่ว่า การปฏิบัติธรรมแบบ หลวงพ่อ(ดู่) นี่เป็นการปฏิบัติธรรมโดยไม่หวังผลตอบแทน อย่างถ้าเราไปแผ่บุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของใครบางคนที่เดินผ่านเราไปนี่ เราจะไปบอกมันได้ไหมว่า "เฮ้ย ข้าส่งวิญญาณให้เอ็งนะเว้ย (หัวเราะ)" มันพูดไม่ได้นะ ขืนพูดไป ดีไม่ดีมันจะมาไล่เตะเราด้วย !

หลวงตาม้า ท่านเล่าให้ฟังว่า มันต้องมีความพอใจ อย่างหลวงตาเนี่ย พอใจที่จะศรัทธา หลวงพ่อดู่ ใครจะว่าอะไรก็ช่าง หลวงตาก็ยังเชื่อ หลวงพ่อดู่ จากนั้นก็ต้องมี ความเพียร เพียรสวด เพียรภาวนา ไง จากนั้นก็ต้องมีใจจดจ่อ อย่างหลวงตาเนี่ย จดจ่ออยู่กับพลังงานของหลวงพ่อดู่ อย่างเดียว แค่นี้แหละ "ถ้าทำได้อย่างนี้เอาพลังงานหลวงพ่อดู่ไปใช้ได้เลย อย่างเราเนี่ย เอาไปแผ่บุญปรับภพภูมิส่งวิญญาณได้อย่างสบายๆเลย"

อีกครั้งหนึ่ง หลวงตาม้า ท่านเคยเล่าให้ฟังได้ใจความว่า "จะจับภาพองค์ไหนก็ได้ พระจักรพรรดิก็ได้ หลวงปู่ทวดก็ได้ หลวงปู่ดู่ก็ได้ จับองค์ใดองค์หนึ่งก็ให้จับองค์นั้นไปเลย อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จับองค์ไหนก็ย้ำอยู่ที่องค์นั้นอย่างเดียว มันถึงจะดี" หลวงตาม้าท่านยังกล่าวอีกว่า "นึกถึงองค์ไหน ก็นึกถึงองค์นั้นไปเลย มันถึงจะเจ๋ง(ยิ้ม)"

มีผู้หญิงท่านหนึ่งมากราบ หลวงตาม้า มาบ่นให้ท่านฟังว่าหาโอกาสมากราบยาก อยากมากราบบ่อยๆ หลวงตาม้าท่านก็ให้โอวาทว่า "ไม่ต้องมาที่ถ้ำหรอก ถ้าเคารพกัน นึกถึงกันจริงๆ อยู่ที่ไหนหลวงตาก็ไปได้" คำพูดนี้เป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่ยังไม่มีโอกาสไปกราบหลวงตาได้เป็นอย่างดี

Webmaster:
อานิสงส์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ


โดยย่อกล่าวคือ

บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพานตลอดจนถึงพระธรรมเจ้าและพระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งมวลไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง5พระองค์รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

การสวดครั้งหนึงเป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาร่วมถึงกำลังของพระมหาโพธิสัตว์เจ้ามารวมอารธนาเข้าที่กายและใจและรวมกำลังของพระโพธิญานโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายตั้งแต่อดีต
ถึง ปัจจุบัน และอณาคต

การสวดครั้งหนึงมีอานิสงส์แผ่ไปทั่วจักวาลสามแดนโลกธาตุสามารถแผ่บญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดาประจำตัวเราญาติมิตรเพื่อนฝูงครอบครัวเจ้ากรรมนายเวรและหากนำบทสวดนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไปไฟนรกจะดับชั่วขณะ

บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัวร่วมถึงการอารธนาบารมีครูบาอาจารย์พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อัญเชิญเข้าตัวเพื่อป้องกันภัยและสร้างมหาโชคมหาลาภ อานิสงส์แก่ผู้สวดมีทั่งมหาบุญมหาลาภเนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลีร่วมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน หากนำไปสวดบริกรรมก่อนหรือระหว่างนั่งภาวนากรรมฐาน...จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุมและคุมการปฎิบัติของเรา คลุมกายและจิตเราเป็นวิมานทิพย์(ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคนอื่นก็ได้)

หากสวดบทนี้สามารถอฐิษฐานเรื่องราวใดๆมี่ติดข้องใจได้ให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้
จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ท่าน ก่อให้เกิด จักรพรรดิ กำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวด พระคาถาครอบจักรวาล

ปล.สำหรับนักปฎิบัติเบื้องต้นใช้คู่กับพระผงจักรพรรดิจะทำให้ก้าวหน้าเร็ว
บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพานตลอดจนถึงพระธรรมเจ้าและพระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งมวลไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง5พระองค์รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

การสวดครั้งหนึงเป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาร่วมถึงกำลังของ
พระมหาโพธิสัตว์เจ้ามารวมอารธนาเข้าที่กายและใจ
และรวมกำลังของพระโพธิญานโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายตั้งแต่อดีต ถึง ปัจจุบัน และอณาคต

การสวดครั้งหนึงมีอานิสงส์แผ่ไปทั่วจักวาลสามแดนโลกธาตุสามารถแผ่บญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดา
ประจำตัวเราญาติมิตรเพื่อนฝูงครอบครัวเจ้ากรรมนายเวรและหากนำบทสวดนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไปไฟนรกจะดับชั่วขณะ

บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัวร่วมถึงการอารธนาบารมีครูบาอาจารย์พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อัญเชิญเข้าตัวเพื่อ
ป้องกันภัยและสร้างมหาโชคมหาลาภ

อานิสงส์แก่ผู้สวดมีทั่งมหาบุญมหาลาภเนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลีร่วมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน
หากนำไปสวดบริกรรมก่อนหรือระหว่างนั่งภาวนากรรมฐาน...จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุมและคุมการปฎิบัติของเรา
คลุมกายและจิตเราเป็นวิมานทิพย์(ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคนอื่นก็ได้)

หากสวดบทนี้สามารถอฐิษฐานเรื่องราวใดๆมี่ติดข้องใจได้ให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้
จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ท่าน ก่อให้เกิด จักรพรรดิ กำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวด พระคาถาครอบจักรวาล

ปล.สำหรับนักปฎิบัติเบื้องต้นใช้คู่กับพระผงจักรพรรดิจะทำให้ก้าวหน้าเร็ว

--------------------------------------------------

พระคาถามหาจักรพรรดิก่อให้เกิดพุทธนิมิตครอบสถิตผู้ทรงคาถา

พระคาถามหาจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่แต่งขึ้นมานั้น
นอกจากท่านจะได้ทำการอธิษฐานบารมีให้ผู้สวดได้รับพลังจากพระรัตนตรัย
อย่างมหาศาลแล้ว ยังก่อให้กิด "พุทธนิมิต" เป็นวิมานแก้วพระพุทธเจ้า
มาครอบสถิตผู้สวดด้วย โดยมีลักษณะเป็นมณฑปแก้วจัตุรมุข
ปรากฎฉัพพรรณรังสีหกประการสว่างสไหวพร้อมด้วยโพธิสัตตราวุธ
ทั้ง 4 ประการ ประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ ได้แก่ พระมหามงกุฎ
ตรีศูล จักรแก้ว และ พระขรรค์เพชร ทั้งหมดล้วนเป็นของคู่บุญบารมี
ของพระศรีอารย์โพธิสัตว์ โดยมี "พระมหามงกุฎ" เป็นศิราภรณ์ที่ปี่ยมไปด้วย
บุญญฤทธิ์ (หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันต์ระดับจตุปฎิสัมภิทาญานได้เคย
นำมาถวายหลวงปู่ดู่เป็นพุทธบูชาอีกองค์หนึงด้วย)

ส่วนอาวุธที่เหลือทั้ง 3 ล้วนเป็นเทพศาสตราวุธชั้นสูง
มีไว้เพื่อประดับบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ และเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่ง
หากสวดเป็นประจำสามารถอธิษฐานให้เกิดเป็นองค์พระพุทธนิมิต
ปางมหาจักรพรรดิได้ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์
มีความศักสิทธิ์อย่างมาก ประดับด้วยครื่องทรงแห่งพระมหาจักรพรรดิ
อย่างวิจิตรอลังการเปล่งรัศมีหลากสีด้วยแสงแห่งรัตนอัญมณี
เรียกว่า "พระมหาวิษิตาภรณ์" มาครอบสถิตผู้ภาวนา บารมีของ
หลวงปู่ดู่ที่ท่านน้อมนำอธิษฐานจิตจึงมีความศักสิทธิ์ป็นอย่างมาก
เพราะท่านใช้บารมีทั้งหมดของท่านอัญชิญกระแสบารมีแห่งพระรัตนตรัย
และตั้งองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิบรรจุลงไปในวัตถุมงคลที่บารมี
ท่านมาประจุอีกด้วย

Webmaster:

คำแปล

  นะโมพุทธายะ : ข้าพเจ้าขอนอบน้อมบูชา ต่อพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือ
    นะ - พระกกุสันธะ
    โม - พระโกนาคม
    พุท - พระกัสสป
    ธา - พระสมณโคดม
    ยะ - พระศรีอริยเมตไตรย
  พระพุทธไตรรัตนญาณ : พระพุทธเจ้าซึ่งมีพระญาณแก้วทั้งสาม อันหมายถึง ปุพเพนิวาสานุสติญาณ, จุตูปปาตญาณ, อาสวักขยญาณ
  มณีนพรัตน์ : มีสมบัติคือแก้ว ๙ ประการ มีเพชร, ทับทิม เป็นต้น ซึ่งหมายถึงพระนวโลกุตรธรรม
  สีสะหัสสะ สุธรรมา : มีมือถึงพันมือ หมายถึงการที่พระพุทธองค์ ทรงแจกแจงหลักธรรม คือ พระไตรปิฎก ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
  พุทโธ : ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
  ธัมโม : พระธรรมของพระพุทธเจ้า
  สังโฆ : พระสาวกผู้ปฏิบัติตาม
  ยะธาพุทโมนะ : ขอพระพุทธเจ้าปางมหาจักรพรรดิ ซึ่งมีชัยแก่พญาชมพูผู้มีฤทธิ์มาก พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ จงบังเกิดขึ้น ณ บัดนี้ด้วยเทอญ
  พุทธบูชา : ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า
  ธัมมะบูชา : ข้าพเจ้าขอบูชาพระธรรม
  สังฆะบูชา : ข้าพเจ้าขอบูชาพระสงฆ์
  อัคคีทานัง วะรังคันธัง : ด้วยสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ ธูป เทียน ไฟ หรือแสงสว่าง และของหอมทั้งมวล มีดอกไม้และน้ำอบ เป็นต้น
  สีวลี จะมหาเถรัง : ขอนมัสการพระสีวลีเถระเจ้า ผู้เป็นเลิศทางลาภสักการะ
  อะหังวันทามิ ทูระโต : ขอนมัสการสถานศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป มีสังเวชนียสถาน เป็นต้น
  อะหังวันทามิ ธาตุโย : ขอนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุทั้งหลาย ทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล
  อะหังวันทามิ สัพพะโส : ขอนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
  พุทธะ ธัมมะ สังฆะ : ซึ่งเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
  ปูเชมิ : ด้วยเทอญ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version