หลวงตาม้าสอนพุทธภูมิ"พุทธภูมิ"
พุทธภูมิ หรือ พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณ
ปรารถนาจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในอนาคตกาลเบื้องหน้า
ผมเคยกราบเรียนถามหลวงตาม้าถึงความหมายของคำว่าพระโพธิญาณ
หลวงตาม้าท่านเมตตาตอบมาได้ใจความว่า
"โพธิญาณแปลว่าความรู้ใหญ่ ปรารถนาโพธิญาณก็แปลว่าปรารถนาความรู้ใหญ่ไง"
ผมจึงกราบเรียนถามท่านต่อไปว่า แล้วพุทธภูมินั้นควรทำอย่างไร จึงจะได้เป็น
หลวงตาท่านตอบมาง่ายๆสั้นๆเพียงแค่ว่า
"หากเป็นพุทธภูมิ ทำบุญทุกอย่างจะต้องอธิษฐานเพื่อโพธิญาณ แม้กระทั่งให้ขนมแก่มด"
"เวียนว่ายใน3ภพ"
เป็นที่รู้กันดีว่าพุทธภูมิจะต้องสั่งสมบำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้มาซึ่งพระโพธิญาณ
หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวไว้ได้ใจความว่า
"ไม่ใช่ปรารถนาแล้วจะเป็นกันได้เลยนะ มันต้องทำนะ"
การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ไม่ได้จบเพียงชาติเดียว หากแต่จะต้องอาศัยช่วงระยะเวลา
ในการสร้างบารมีอันยาวนาน เวียนเกิด เวียนตายมากมายไม่สามารถนับได้
ทั้งลงนรก ทั้งขึ้นสวรรค์ ทั้งมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือทั้งไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเคยถามหลวงตาเกี่ยวกับการที่พุทธภูมิต้องลงนรก หลวงตาท่านเมตตาตอบมาว่า
"ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ (พระโพธิสัตว์) หากเข้าถึงไตรสรณคมณ์แล้ว จะสามารถปิดอบายภูมิได้"
ศิษย์: แล้วอย่างไรถึงจะเรียกว่าเข้าถึงไตรสรณคมณ์ครับ
หลวงตา: เรามองพระพุทธรูปหรือพระ แล้วรู้สึกยังไงล่ะ
ศิษย์: ขนลุกครับ ปิติ ชอบครับ
หลวงตา: นั่นแหละ เขาเรียกว่าเข้าถึงไตรสรณคมณ์
วันต่อมาผมนึกสงสัยในเรื่องนี้อีก จึงไปถามหลวงตาอีกครั้ง
ศิษย์: หากผู้ที่เพิ่งเริ่มปรารถนาพุทธภูมิ แต่สามารถเข้าถึงไตรสรณคมณ์ได้ จะปิดอบายภูมิเลยหรือ
หลวงตาม้าท่านก็เมตตาสั่งสอนว่า
"ถ้าเพิ่งปรารถนา มันต้องลงไปชิมดูก่อนนะ ถ้าเรียนจบทั้ง3ภพก็เป็นพระพุทธเจ้าได้เลย
การสร้างบารมี เราต้องทำให้ครบ10อย่าง แต่ต้องเลือกเด่นๆสักอย่างหนึ่งในชาตินี้"
"พุทธภูมิจะต้องพยายามเป็นที่ ๑ ในทุกๆเรื่อง แม้เรื่องเรียนหนังสือก็เช่นกัน"
ความเป็น ๑ ของพุทธภูมิไม่ได้มีไว้แข่งขันชิงดีชิงเด่นกับใคร หากแต่เป็นไปเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ ดังเช่นที่หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า
"กำลังของพุทธภูมิ มีหน้าที่จะทำให้มหาชนมีความสุข ถ้าคนเรียกร้องหรือบ้านเมืองเกิดยุคเข็ญ
ก็ต้องลงมาช่วย จะคิดเอาแต่สบายได้ยังไง นั่นไม่ใช่ความคิดของหน่อพุทธภูมิ"
การเรียนรู้ของพุทธภูมิ
หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวถึงการเรียนรู้แนวทางของพุทธภูมิไว้ ได้ใจความว่า
"ถ้าปรารถนาจะเป็นพุทธภูมิ เราก็ต้องไปเรียนกับพุทธภูมิที่บารมีสูงๆ ท่านถึงจะสอนให้ได้
ถ้าเราไปเรียนกับพระอรหันต์ ท่านก็สอนแนวทางการสร้างบารมีของโพธิสัตว์ไม่ได้
ท่านสอนเพียงทางไปพระนิพพานเท่านั้น แต่เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ
ว่าครูบาอาจารย์ที่เป็นพระโพธิสัตว์บารมีสูงๆนั้นอยู่ที่ไหน ปัญหามันอยู่ตรงนี้"
(หลวงตาม้าท่านพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี)
หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวเอาไว้ได้ใจความว่า
"ในยุคนี้เนี่ยนะ ยุคที่เกิดกลียุคเนี่ยแหละ สร้างบารมีได้เยอะนะ แต่ต้องดูที่ความจำเป็นด้วย
ฝึกกสิณนั้นก็ดีอยู่ แต่ในยุคสมัยเช่นนี้ฤทธิ์ไม่ค่อยจะเกิดประโยชน์เท่าใด ยุคนี้บุญฤทธิ์มีประโยชน์มากที่สุด"
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงตาม้าท่านพูดถึงครูบาอาจารย์หลายๆท่าน โดยที่ท่านยกมาเป็นตัวอย่างให้ฟัง
เพื่อให้เห็นถึงความยากลำบาก ในการสร้างบารมีของผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ
และในบางครั้งที่พุทธภูมิจะต้องลงมาเกิดเป็นนักรบหรือต้องฆ่าเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา
และแผ่นดิน จากผู้รุกรานดังเช่นบูรพกษัตริย์ไทยหลายๆพระองค์ทรงกระทำมาแล้ว
ท่านกล่าวไว้ได้ใจความว่า
"หลวงพ่อดู่ท่านโดนกรรมหนักนะ ครูบาศรีวิชัยท่านก็โดนหนักเหมือนกัน
หลวงปู่ศุข(วัดปากคลองมะขามเฒ่า) สมเด็จโตก็โดนเหมือนกัน
คิดดูให้ดีๆ ไม่ใช่ของง่ายๆนะ(หัวเราะ)"
หลวงตาม้าท่านเคยถามลูกศิษย์คนหนึ่งได้ใจความว่า
"ปรารถนาพุทธภูมิเนี่ย วางแผนเอาไว้หรือยังว่าชาตินี้จะทำอะไร
วันนี้จะทำอะไร วันพรุ่งนี้จะทำอะไร ลองคิดดู"
"จะทำอะไรก็ต้องให้มันเกิดประโยชน์ ถ้าไม่เกิดประโยชน์ก็อย่าไปทำ"

หลวงตาม้าพูดถึงพุทธภูมิบารมีครึ่งหรือเกินครึ่ง
ณ คืนหนึ่งในวัดถ้ำเมืองนะ หลวงตาม้าท่านเคยพูดถึงพุทธภูมิ
ผู้ทำบารมีมาแล้วครึ่งหนึ่งหรือเกินครึ่ง ได้ใจความว่า
"บารมีเกินครึ่งนี่ยังไม่ถือว่าเยอะนะ ถือว่ายังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
จะรู้เรื่องรู้ราวจริงๆก็ตอนนู๊นล่ะ ตอนบารมีใกล้จะเต็ม"
มีน้องคนหนึ่งฝากผมกราบเรียนถามหลวงตาม้าว่า จะเป็นพุทธภูมิ ยากไหม?
หลวงตาท่านก็เมตตาตอบให้ว่า
"ไม่ยาก แต่ส่วนมากมักจะมาลา(พุทธภูมิ)กันตอนบารมีครึ่งหนึ่งเนี่ยแหละ"
หลวงตาม้าท่านเป็นพระสุปฏิปัณโณที่เอาใจใส่ในการฝึกฝนลูกศิษย์เป็นอย่างมาก
และท่านไม่เคยพูดให้ใครเสียกำลังใจแม้แต่น้อยนิด โดยปกติแล้ว
หลวงตาท่านจะไม่ค่อยพูดจนกว่าจะมีลูกศิษย์กราบเรียนถาม
แต่ถ้าขณะที่นั่งรวมๆกันหลายๆคน หากผู้ใดที่เจอปัญหาอันใหญ่หลวง
หรือกำลังหลงระเริงไปกับ โลกธรรมทั้ง8 ท่านก็จะเมตตาพูดเตือนสติขึ้นมา
แต่ท่านจะไม่เอ่ยชื่อคนผู้นั้น เพราะถ้าเอ่ยขึ้นมาแล้วล่ะก็...
ศิษย์ผู้นั้นจะต้องเกิดความรู้สึกอับอายอย่างแน่นอน เช่น
มีอยู่ครั้งหนึ่งนั่งรวมกันอยู่หลายคน อยู่ๆท่านก็พูดขึ้นมาลอยๆว่า
"...เอ้อ..คนเรานี่มันชิงดีชิงเด่นกันนะ พอมีกำลังเข้าหน่อยก็แย่งลูกแย่งเมียเขา..."
ศิษย์ผู้ที่ถูกหลวงตาพูดถึงนี้ ถึงกับสะดุ้งขึ้นมาในทันใด เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ก็เช่นเดียวกัน
ณ ตอนนั้นมีลูกศิษย์นั่งรวมกันอยู่มาก ท่านก็พูดขึ้นมาได้ใจความว่า
"...สภาพแวดล้อมก็มีส่วนนะ พระโพธิสัตว์บางองค์ติดสุข ทำให้เสียเวลาไปเลย
ที่ทำอยู่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก แต่จะเอาแค่นั้นจริงๆหรือ? ทั้งๆที่บารมีตัวเองก็มีอยู่แท้ๆ... "