เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



ผู้เขียน หัวข้อ: หลวงตาม้าท่านกล่าวถึง..ผู้ที่เป็นวิตกจริตและเหนื่อยหน่ายอยากออกจากกองทุกข์ จะทำอย่างไร?  (อ่าน 5037 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Webmaster

  • Administrator
  • สมาชิก
  • *****
  • กระทู้: 404
    • ดูรายละเอียด


หลวงตาม้าท่านกล่าวถึง..ผู้ที่เป็นวิตกจริตและเหนื่อยหน่ายอยากออกจากกองทุกข์ จะทำอย่างไร?

หลวงตา: ค่อนข้างยากที่ปรับเปลี่ยนเพราะมีกมีอัตตาสูงเกินคนปกติสามัญโดยทั่วไป เพราะคิดว่าตัวเองเก่ง มีความคิดพิสดารกว่าคนอื่น จึงรู้สึกว่าไม่ต้องการจะเปลี่ยนหรือปรับปรุงอะไร และไม่ได้เสียใจกับสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ทำไปในอดีตนัก มักไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวเพราะตัวเองอยู่ในความคิดเกือบตลอดเวลาแตกต่างจากพวกโทสะจริตที่จะมีช่วงเวลาเสียใจในสิ่งที่ได้ทำไปแล้วและเห็นปัญหาของตัวเอง พยายามขบคิดแก้ไขปัญหาเมื่อมีโอกาส อย่างไรก็ตามผู้เป็นวิตกจริตสามารถพัฒนาและปรับปรุงจิตใจตัวเองโดยผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะตั้งใจทำ วิธีดังต่อไปนี้

1.ต้องเลือกความคิด อย่าให้ความคิดลากพาเราไป ต้องเลือกคิดว่า ควรคิดอะไร สิ่งที่ผุดขึ้นมาในจิตควรคิดไหม ควรทำไหม ถามตัวเราเองว่าคิดฟุ้งซ่านไปแล้วมีประโยชน์อะไร เป็นความคิดสร้างสรรค์หรือในทางทำลาย ต้องรีบวางแผนชีวิตว่า ในชีวิตเราต้องการบรรลุอะไร

2.ต้องฝึกนั่งสมาธิให้มากๆ เพราะจิตคิดมากเหนื่อยมากไม่มีพลัง จิตยิ่งสงบ สติปัญญาก็จะยิ่งแหลมคมมากยิ่งขึ้น คนจะรู้ว่าตัวเองไม่มีสมาธิต่อเมื่อเริ่มปิดตาสวดมนต์หรือทำสามาธิ จึงจะเห็นความคิดผุดๆ โผล่ๆ จนเราตามไม่ทันและไม่สามารถควบคุมความคิดได้ พวกเอ็งทำได้หรือเปล่าหล่ะ (หลวงตาหัวเราะ ฮ่า ๆๆๆ )

3.สร้างวินัย ต้องสร้างกรอบเวลา เพราะจิตใจไม่มีกรอบเวลา จึงต้องสร้างกำหนดการให้แน่ชัด มิฉะนั้นแล้วจะไม่สามารถทำงานให้สำเร็จตามกำหนด ด้วยคำว่า ระเบียบวินัย เพียงคำเดียวก้สามารถทำให้วิตกจริตรวมความคิดเป็นหนึ่ง เกิดพลัง สามาธิขึ้นมาโดยฉับพลัน

4.ต้องฝึกมองภาพรวม คิดทุกอย่างครบวงจร ไม่คิดเป็นจุดๆ เนื่องจากจิตจะลงลึกและลงรายละเอียดมาก จนมองไม่เห็นภาพรวมภาพใหญ่ๆ ทำให้ไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาต่างๆ ที่กำลังประสบได้เพราะไม่เห็นภาพรวม

5.ทำงานทีละอย่างให้เสร็จเรียบร้อยโดยไม่ต้องพวงกับงานอื่นที่ยังไม่ทำ

6.หากทำอะไรผิดพลาดลงไป อย่าคิดทำร้ายตนเอง ให้คิดเสียว่า โลกนี้มันยากต่อการควบคุมให้เป็นไปตามใจปรารถนาเพราะแม้แต่ความคิดของเราเอง เรายังไม่มีปัญญาควบคุมให้จดจ่อต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลาติดต่อกันนานโดยไม่คิดเรื่องอื่น สวดมนตืพระมหาจักรพรรดิ อย่างเดียวไปเรื่อยๆ เดียวก็ดีเอง (หลวงตาหัวเราะ)

7.จงพูดแต่สิ่งที่จำเป็น สิ่งที่ก่อประโยชน์ สิ่งที่น่าชวนฟังของคนทั้งปวง และจงหลีกเลี่ยงการนินทาว่าร้าย หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น เพราะการพูดดังกล่าวนอกจากจะเป็นการผิดศิลข้อสี่ยังเป็นการเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกครั้งที่เอ่ยปาก ควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้สึกตามที่คนฟังรู้จัก เมื่อนั้นจะรู้เองว่าควรพูดอะไร พูดขนาดไหน พูดอย่างไร และพูดไปทำไม

เรียบเรียงจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร
(หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ
(วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่