เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



ผู้เขียน หัวข้อ: ปฎิบัติเพื่อให้เกิดทันยุค พระศรีอาริยเมตไตร โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ  (อ่าน 24046 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
ศรีอาริยเมตเตยยโพธิสัตตานุสรณ์



เมื่อได้เห็นหัวข้อเรื่องนี้ ท่านผู้อ่านที่ติดตามหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม" มานานแล้ว คงจะทราบได้ดีว่า "คณะผู้จัดทำ" มีความประสงค์อย่างไร เพราะคงเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ ท่าน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่ท่านได้วางแผนงานครั้งนี้ไว้ตั้งแต่ก่อนมรณภาพ นั่นก็คือ ... งานพิธีหล่อรูปพระศรีอาริย์ ซึ่งกำหนดมีขึ้นใน วันอาทิตย์ ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๓๗

สำหรับรายละเอียดที่ท่านกล่าวไว้ใน "บันทึกความจำ" มีใจความตามที่ สมเด็จองค์ปฐม ท่านตรัสไว้ ขอนำมาโดยย่อดังนี้

"...ที่ตรงนั้น ฉันดลใจเธอไม่ให้ปลูกต้นไม้ ฉันต้องการให้สร้าง วิหารพระศรีอาริยเมตไตร เพราะคนจำนวนมากที่มีบารมียังไม่เข้มข้น และคนจำนวนแสน ที่ติดตามพระศรีอาริย์ฯ ทั้งพระศรีอาริย์ฯ ก็ฝากเธอไว้ว่า ให้ช่วยแนะนำให้เข้าใจตามเกณฑ์ ที่เขาเหล่านั้นจะเกิดทันท่าน..." หลวงพ่อเล่าต่อไปว่า

"...ในขณะนั้น ท่านเรียก พระศรีอาริย์ฯ มา พระศรีอาริย์ฯ ท่านมีความต้องการให้คนที่มีความต้องการจะเกิดในสมัยท่าน ได้ฟังเทศน์จบเดียวก็เป็น พระอรหันต์ พระศรีอาริย์ฯ ท่านตรัสว่าคนที่ต้องการไปเกิดในสมัยผม ขอให้ปฎิบัติตามดังนี้ คือ

ข้อปฎิบัติเกิดทันสมัยพระศรีอาริย์ ๓ ประการ

๑) ตั้งใจรักษาศีล ๕ และ กรรมบถ ๑๐ ให้ครบถ้วนเสมอ

ถ้ารักษาครบทุกวันไม่ได้ วันอื่นอาจจะบกพร่องบ้าง ก็ไม่เป็นไร แต่ทุกวันพระต้องรักษาให้ครบ ทั้งศีล ๕ และ กรรมบถ ๑๐

๒) จงหมั่นให้ทาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ สังฆทาน ถ้าจนมาก มีทรัพย์น้อย ก็จัดอาหารหรือผลไม้ ผลสองผล ถวายพระที่มีตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ก็เป็นสังฆทาน มีอานิสงค์มาก

๓) จงเจริญภาวนาเสมอๆ

ถ้าทำไม่ได้มาก เมื่อศรีษะถึงหมอน ก็ให้ภาวนาเล็กน้อยและหลับไป

เพียงเท่านี้ เขาจะเกิดทันในยุคสมัยผมตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน จึงถามท่านว่า จะให้หล่อรูปแบบไหน...เป็นรูปเทวดาหรือพระ ท่านบอกว่า เวลานี้ผมเป็นเทวดา ก็หล่อรูปเทวดา อย่าพึ่งหล่อรูปเป็นพระ ถามท่านว่าให้หล่อแบบไหน ท่านก็ยืนตรง มือขวาถือกงจักร มือซ้ายถือพระขรรค์ ใส่ชฎา

ปัญหามีอยู่ว่า ผิวท่านขาวมาก เหมือนพ่นด้วยเงิน และเครื่องแต่งกายท่านเป็นแก้วจะให้ทำอย่างไร ถ้าเอาแก้วติดเหมือนกันดูจะไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะเนื้อท่านไม่เป็นแก้ว ท่านบอกว่า ตอนที่เป็นเนื้อให้เอาแผ่นเงินปิด ตอนที่เป็นเครื่องแต่งกายให้ใข้กระจกเงาใส..." ใจความสำคัญคงมีเพียงแค่นี้ บัดนี้จะขอเริ่มเรื่องปัญหาธรรมะกันต่อไป.

จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม เล่ม ๙


ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
ประวัติการสร้าง
พระศรีอาริยเมตไตรย

โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

Credit : http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/v...ad.php?tid=276

ผู้เรียบเรียง...พระชัยวัฒน์ อชิโต

คำปรารภ



การจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ก็เพื่อเป็นการรวบรวมประวัติการสร้าง พระศรีอาริยเมตไตรย และ มณฑป อันเป็นที่ประดิษฐาน ตามความประสงค์ของท่านหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน นับตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังไม่ถึงกำหนดเวลา ในการสร้าง ท่านก็ได้มรณภาพไปเสียก่อน พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นลำดับมา จึงได้สืบสานงานของท่านต่อ จนกระทั่งสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี


หลังจากการอัญเชิญรูปหล่อ พระศรีอาริย์ มาประดิษฐานไว้บนมณฑปแล้ว ท่านก็ได้กั้นเป็นห้องกระจก พร้อมทั้งติดม่านมู่ลี่ไว้เป็นอย่างดี แล้วจึงเปิดให้ญาติโยมทั้งหลายได้เข้าไปกราบไหว้บูชา ต่อมาท่านก็ได้มีความดำริที่จะให้เรียบเรียงประวัติการสร้าง เพื่อจัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ สำหรับไว้แจกเป็นที่ ระลึกแก่บรรดาผู้ที่เข้ามากราบไหว้ภายในมณฑป




ส่วนเนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้ จะมีวัตถุประสงค์ในการสร้างตามที่หลวงพ่อได้เล่าไว้ พร้อมกับมีเรื่องของ พระศรีอาริย์ ที่กล่าวไว้ในหนังสือ อนาคตวงศ์ ซึ่งเป็นหนังสือเก่าแก่มีคุณค่าเล่มหนึ่งในทางพระพุทธ ศาสนา ทำให้ได้รับทราบประวัติความเป็นมาเรื่อง "พุทธวงศ์" คือวงศ์ของพระพุทธเจ้าในอนาคต ได้แก่ พระโพธิสัตว์ ที่จะมาตรัสรู้ในกาลข้างหน้าอีก ๑๐ องค์ ซึ่งนับเป็นผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์ต่อจากองค์สมเด็จพระสมณโคดม แต่หลวงพ่อบอกว่า ยังมีผู้ปรารถนาพุทธภูมิบารมีเต็มรอเวลาที่จะได้รับการบรรจุเป็นพระพุทธเจ้าอีกนับแสน


ฉะนั้น เรื่องของ พระโพธิญาณ ย่อมเป็นที่ต้องการของคน แต่การบำเพ็ญบารมีมิใช่เป็นเรื่องง่าย ส่วนผู้ที่มีกำลังใจเข้มแข็ง สามารถสร้างสมบารมีจนเต็มครบถ้วน แล้วจึงได้รับการบรรจุเป็นอันดับ ๑ ภายในกัปนี้ นับว่าหายากมากทีเดียว การสร้างรูปพระมหาโพธิสัตว์ที่จะได้มาตรัสรู้เป็นองค์ต่อไปไว้บูชา จึงถือว่ามี อานิสงส์มาก ดังที่จะเห็นได้ว่าหลังจากหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว คณะศิษย์ทั้งหลายอันมีพระภิกษุที่อยู่ภายในวัดก็ดี หรือที่อยู่ต่างวัดก็ดี ตลอดถึงบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างก็มาช่วยกันสร้างจนสำเร็จ ตามเจตจำนงของหลวงพ่อครบถ้วนทุกประการ


เป็นอันว่า...ภายในบริเวณวัดท่าซุงแห่งนี้ จึงเป็นที่สถิตย์ ประดิษฐานอันสำคัญ เพื่อเป็นสถานที่กราบไหว้สักการบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ กาล ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต คือ


๑. พระพุทธรูป "สมเด็จองค์ปฐม" นับเป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลายในสมัย "อดีตกาล"

๒. พระพุทธรูปยืน ๓๐ ศอก คือสมเด็จพระสมณโคดม นับเป็นพระพุทธเจ้าในสมัย "ปัจจุบันกาล"

๓. พระศรีอาริยเมตไตรย เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าในสมัย "อนาคตกาล" ดังนี้


พระชัยวัฒน์ อชิโต
๑ ตุลาคม ๒๕๔๐

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
ประวัติการสร้างพระศรีอาริยเมตไตรย

พระพุทธบัญชา



"...ทีนี้จะมาพูดกันถึงด้านอานิสงส์ต่าง ๆ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทำเฉพาะอย่างยิ่งกรรมบถ ๑๐ กับศีล ๕ พระศรีอาริย์ ท่านเคยสั่งไว้ว่าเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๓๕ วันนั้น ตอนกลางคืนมันจะตาย..ล้างท้อง.! ตามธรรมดา.."ล้างท้อง" ไม่มี อาการอย่างอื่นมาแทรก มันก็สบายนอนหลับ แต่วันนั้นแปลก.. พระออกไปหมด คนออกไปหมด เหลือคนเดียว..!

เวลาประมาณทุ่มครึ่ง..มีอาการเสียด..ปวดท้องอย่างมาก อากาศก็ร้อนจัดมันก็บังคับให้ไปถ่าย...ไปเข้าส้วม เข้าก็ออกนิด หน่อย กลับมาอีกมันก็ปวดท้องอีก...ปวดมวนอีก.! เดินอย่างนี้ เกือบ ๑๐ เที่ยว เดินก็เดินจะไม่ไหว

พอถึงเวลาสองทุ่มเศษ..ก็มีความคิดในใจว่า ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ มันมีความทุกข์อย่างนี้ เราอย่าสนใจอะไรกับขันธ์ ๕ ในเมื่อขันธ์ ๕ มันจะป่วย..ก็เชิญมันป่วย ขันธ์ ๕ มันจะตาย..ก็เชิญมันตาย การป่วยการตายนี่...ใครช่วยไม่ได้ ใครจะแบ่งเบาภาระไม่ได้ จึงตัดสินใจเอนกายลงนอน....นอนแล้วใจนึกถึงพระ....ภาวนาตามปกติ...จิตจับ "นิพพาน" เป็นอารมณ์

หลังจากนั้นเมื่อไหว้พระเสร็จ ก็ออกจากร่างกาย..ขอบคุณ เทวดาที่ท่านอารักขา มีเทวดา..มีนางฟ้า..มากท่านมายืนอารักขา ใกล้ ๆ ขอบคุณท่านแล้วก็ไปที่ เทวสภา ที่นั่นมีเทวดามีพรหม ประชุมกันเต็มหมด เมื่อไปคุยกับท่านขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การช่วยเหลือในงานต่างๆ แล้วหลังจากนั้นก็ไปนิพพาน ไปเฝ้า องค์สมเด็จพระประทีปแก้วคือ "องค์ปัจจุบัน"

เมื่อไหว้ท่านแล้ว ท่านแนะนำรีบไปหา "องค์ปฐม" ประเดี๋ยวท่านจะมาที่วิมานของเธอ ไปวิมานของท่านก่อน ก็ไปวิมานของท่านก่อน เมื่อไปถึงแล้วไหว้ท่านเสร็จ ท่านบอกไปวิมานของเธอ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์มาพร้อมที่นั่น แล้วก็กลับมาที่วิมาน

พอถึงวิมานเห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด ไม่รู้ว่ากี่แสนองค์ ท่านใหญ่สูงสวยงามมาก พระพุทธเจ้าสวยงามเหมือน ๆ กัน ความจริงตอนเย็นตอนก่อนที่จะป่วยก็มีความรู้สึกว่า เมื่อวานนี้ (๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕) เราหล่อ สมเด็จองค์ปฐม แล้ว ภารกิจใหญ่ของเราใกล้จะหมด วิหารก็ใกล้จะเสร็จเหลือแต่เครื่องประดับ และต่อไปก็ทางเดิน ๑๐๐ ไร่ก็ใกล้จะเสร็จ เข้าใจว่าอย่างช้าอีก ๔ ปี ก็เสร็จ เราก็หมดภาระในการงาน เมื่อหมดภาระในการงาน เรื่องกังวลต่าง ๆ ก็ไม่มี

ความจริงถึงแม้จะมีงานก็ไม่มีกังวล ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าหาเงินได้ก็ทำงานสร้างต่อไป หาเงินไม่ได้ก็เลิก มันจะไปค้างแค่ไหนก็ช่างมัน ก็ถือว่าไม่ใช่ภาระที่เราต้องเข้าไปผูกพัน ความรู้สึกตอนนี้มีอยู่ ใกล้ ๆ จะภาวนา พอเข้าไปถึงวิมานแล้ว สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสว่า "เธอคิดหรือว่างานที่เธอจะทำมันใกล้จะ เสร็จ" ก็บอกว่า "มันน้อยแล้วครับ ช่างก็น้อยลง และงานก็เหลือ น้อย" ท่านบอก "ยังไม่เสร็จ.! ฉันมีความต้องการให้ หล่อพระศรีอาริย์" ถามว่า "หล่อทำไม?" ท่านก็เลยบอกว่า

" ต้องหล่อ... เพราะเงินที่เขาทำบุญหล่อฉันมันเหลือ เวลานี้ยังมีญาติโยมส่งเงินมาอีก...หล่อ องค์ปฐม" ท่านจึงสั่งให้สร้าง มณฑปพระศรีอาริย์ ขึ้นในสถานที่ใกล้ๆ มณฑปของท่าน ทำแบบเดียวกับ มณฑปหลวงพ่อปาน ท่านบอกว่า

" ที่ตรงนั้น... ฉันดลใจเธอไม่ให้ปลูกต้นไม้ ฉันต้องการให้สร้าง มณฑปพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะคนจำนวนมากที่มีบารมียังไม่เข้มข้น และคนจำนวนแสนที่ติดตามพระศรีอาริย์ ต้องการเป็นสาวกของท่าน ก็มาเกิดสมัยนี้เป็นแสน ทั้งพระศรีอาริย์ ก็ฝากเธอไว้ว่า ให้ช่วยแนะนำให้เข้าใจตามเกณฑ์ที่เขาเหล่านั้นจะเกิดทันท่าน" เลยถามว่าจะหล่อพระศรีอาริย์เป็นอย่างไร?

ท่านก็เรียกพระศรีอาริย์มา... พระศรีอาริย์ก็มา ในเมื่อพระศรีอาริย์มาแล้ว ก็ถามท่านว่าจะให้หล่อแบบไหน? แต่ความจริง พระศรีอาริย์สีสดสวยมาก เครื่องประดับแพรวพราวและสว่าง เป็นพิเศษ...สวยจัด! สีหลายสี..เครื่องประดับ แต่ว่าเวลาจะหล่อ จริง ๆ ท่านยืนให้ดู



ท่านบอก.. หล่อเป็นรูปยืนครับ และเครื่องประดับทั้งหมด ไม่ต้องการให้มีสี ต้องการเป็นแก้วใสอย่างเดียว ส่วนที่เป็นเนื้อ ให้เป็นเนื้อ... เนื้อของท่านก็เป็นเนื้อสีขาว จึงถามว่า

"ถ้าจะเอาแก้วปิด ก็จะเหมือนเครื่องประดับที่เสื้อที่กางเกง จะทำอย่างไร?" ท่านบอก "ปิดทองก็ได้ ปิดแผ่นเงินก็ได้"

ถ้าปิดแผ่นเงินจะคล้ายคลึงเนื้อของท่าน ส่วนที่เป็นเครื่องแต่งกาย ให้ใช้กระจกเงาใส ท่านแสดงให้ดูท่ายืน มือขวาถือ "จักร" แต่ห้อยเฉย ๆ มือซ้ายถือ "พระขรรค์" ก็ถามว่า "มีจักรมี พระขรรค์ทำไม?" ท่านบอก "ผมห้อยเฉย ๆ ไม่ใช่ท่าของนักรบ"

"จักร" ก็หมายถึง "ธรรมจักร" ก็หมายความว่า หากคนใด ที่มีกิเลสหนามาก มีทิฏฐิมานะหนามาก ต้องใช้จักรปราบปราม คือ "ธรรมจักร" คนใดที่มีกิเลสน้อยก็ให้ใช้ "พระขรรค์" เคาะ หรือให้ถู หรือขูดก็หาย อย่างเทศน์พระสูตรก็ดี หรือชาดกก็ดี เลยถามว่า "จะให้หล่อเป็นพระหรือเป็นเทวดา?"

ท่านบอกว่า "เวลานี้ผมเป็นเทวดา..ให้หล่อเป็นรูปเทวดา อย่าเพิ่งหล่อรูปเป็นพระ" (เป็นอันยืนยันได้ว่า ขณะนี้ท่านยังเป็น เทวดา ยังมิได้จุติลงมาอย่างที่บางคนเข้าใจ ขอให้ระวังอุปาทาน) ก็ถามท่านว่า " ถ้าคนต้องการไปเกิดในสมัยของท่าน จะต้องทำบุญอะไรไว้.? ท่านบอกว่า "คนของผม...ผมฝากท่านไว้แล้วนะ ให้แนะนำด้วย มีหลายแสนคน...คนที่จะเกิดในสมัยของผม"

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
คำสอนของพระศรีอาริย์



ถามว่า "แนะนำแล้วทุกอย่าง แต่ว่าไม่รู้ข้อเจาะจง ให้เจาะ จงไปว่าทำบุญอย่างไร...จึงจะทันศาสนาพระศรีอาริย์?

(นี่..สำหรับคนมี "บารมีอ่อน" นะ คนมี "บารมีเข้ม" ให้ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าคน "บารมีอ่อน" ตั้งใจไปนิพพานชาติพระ ศรีอาริย์ หรือวางแผนไว้ ๒ อย่างก็ได้ว่า ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าพลาดชาตินี้ ขอให้ได้นิพพานสมัยพระศรีอาริย์ก็ได้)

ท่านบอกว่า "ให้ทุกคนที่ต้องการเกิดทันสมัยผม ให้รักษา ศีล ๕ เป็นปกติ รักษา กรรมบถ ๑๐ เป็นปกติทุกวัน ไม่คลาดเคลื่อนอย่างนี้เป็น อุคฆฏิตัญญู ไปเกิดในสมัยผมฟังเทศน์แค่ หัวข้อเล็ก ๆ สั้น ๆ ก็บรรลุมรรคผลทันที

ถ้าบางท่านปฏิบัติอ่อนกว่านั้น รักษาได้ กรรมบถ ๑๐ เหมือนกัน ศีล๕ ก็ครบ แต่ว่าบางทีก็มีอาการเผลอเล็กน้อย อย่างนี้เป็น วิปจิตัญญู หมายความไปเกิดสมัยผมเทศน์หัวข้อฟังไม่เข้าใจ ต้องอธิบายเล็กน้อยจึงบรรลุอรหันต์


บางท่านที่มีบารมีอ่อนกว่านั้น วันธรรมดา ๆ อาจจะบก พร่องบ้างเป็นของธรรมดา แต่สำหรับวันพระต้องรักษาให้ครบ ถ้วนทั้ง ศีล ๕ และ กรรมบถ ๑๐ หมายความตามธรรมดา คน เรามีอาชีพต่างกัน บางคนปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ต้องฉีดยา ฆ่าเพลี้ยฆ่าสัตว์ที่มารบกวนพืชพันธุ์ธัญญาหารบ้าง บางคนมี อาชีพไปในทางการประมง ต้องทำการประมงฆ่าปลาฆ่าสัตว์บ้าง ถ้าอย่างนี้ถือว่าวันธรรมดาบกพร่องได้ และวันพระต้องครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างนี้ถ้าเกิดในสมัยผม เขาเรียกว่า เนยยะ เทศน์ครั้งเดียวสองครั้งยังไม่มีผล ต้องฟังเทศน์หลาย ๆ หน สามารถ เป็นพระอริยะได้
เอาละ... บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านทั้งหลายมานั่งอยู่กันที่ตรงนี้และฟังเทศน์แล้ว เรื่องของ พระศรีอาริยเมตไตรย ถ้าจะว่ากันไปก็คงไม่แตกต่างกับเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าทุกท่านรักษา ศีล ๕ ครบถ้วน กรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน ที่มีบารมีเข้มข้นสามารถจะไปนิพพานได้ในชาตินี้
ถ้าบังเอิญชาตินี้พลาดไปนิพพาน ไปเกิดเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี หรือพรหมก็ตาม อีกไม่นานนักพระศรีอาริย์ก็ตรัส เราก็ฟังเทศน์ จากพระศรีอาริย์ภายในไม่ช้าก็บรรลุอรหันต์สามารถไปนิพพานได้

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด
งานพิธีเททองหล่อพระศรีอาริย์



ครั้นหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วในปี๒๕๓๕ จึงได้จัดงานทำบุญประจำปีและงานพิธีหล่อ พระศรีอาริย์ วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๓๗ อันเป็นวันเริ่มงาน เวลา ๑๗.๐๐ น. พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เป็นประธานในการทำพิธีบวงสรวงเนื่องในพิธีสุมทอง

และวันที่ ๑๓ ตอนเช้า เวลา ๐๗.๐๐ น. ได้ทำพิธีบวงสรวงอีกครั้งหนึ่ง เนื่องในพิธีเททองหล่อรูปพระศรีอาริย์ ณ ปะรำ พิธีหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร เสร็จแล้วไปรับแขกที่ศาลา ๒ ไร่ เมื่อถวายภัตตาหารและเครื่องไทยทานแด่พระมหาเถรานุเถระแล้ว จึงเดินทางมาที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ก่อนพิธีเททองมีญาติโยมพุทธบริษัทเข้ามาถวายทองคำบ้าง ทองเหลืองบ้าง ส่วนผู้ที่ทำบุญ ๕๐๐ บาท ได้รับล็อกเก็ต ๑ องค์เป็นที่ระลึกด้วย

ครั้นถึงเวลา ๑๔.๐๐ น. หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ซึ่งเป็นองค์ประธาน เททองในวันนี้ (แทนหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา) เดินทางมาถึงปะรำพิธี นั่งพักสักครู่จึงเริ่มพิธีเททอง โดยเจ้าหน้าที่ยกเบ้ามาให้ใส่ทองยังหน้าปะรำพิธี พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา

สำหรับ "ทองคำ" ที่ญาติโยมพุทธบริษัทถวายมาร่วมหล่อรูปพระศรีอาริยเมตไตรยในครั้งนี้ ชั่งได้น้ำหนัก ๕๐ กิโลกรัมเศษ หลังจากเทไปได้ ๓ เบ้า หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงให้พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ นำทองคำที่เหลือไปใส่เบ้าในเตาหลอมจนหมดสิ้น เสร็จแล้วหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึง เดินทางกลับ ก่อนเดินทางกลับท่านบอกกับพระครูปลัดอนันต์ว่า "จัดงานได้เรียบร้อยดี..!" ได้ยินแล้วเป็นที่ชื่นใจมาก ดังนี้

พระอนาคตวงศ์



บัดนี้ จะได้วิสัชนาในเรื่อง "พระอนาคตวงศ์" โดยพุทธ ภาษิตปริยาย มีเนื้อความตามพระบาลีว่า

เอกัง สะมะยัง... ครั้งหนึ่งสมเด็จพระสรรเพชรพุทธเจ้า เสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานครวะสันโต.. เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพระพรรษาอยู่ในบุพพาราม อัน นางวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิฯ

ครั้งนั้นพระองค์ทรงปรารภซึ่ง พระอชิตเถระ ผู้เป็นหน่อบรมพุทธางกูร "อาริยเมตไตรยเจ้า" ให้เป็นเหตุ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชฏฐ์จึงตรัสพระธรรมเทศนาแสดง ซึ่งพระโพธิสัตว์ ทั้ง ๑๐ องค์ อันจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ครั้งนั้นพระธรรมเสนา สารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา พระองค์ก็นำมาซึ่ง "อดีตนิทาน" แห่งองค์สมเด็จพระพิชิตมารทั้ง ๑๐ พระองค์ ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไปเป็นใจ ความว่า (บางคำ "ผู้เขียน" ขอเกลาสำนวนที่ฟุ่มเฟือยออกไปบ้าง)

"...เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว ฝูงสัตว์ก็มีอายุ ถอยลงคงอยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัย ครั้งนั้นแล... จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มี "สัตถันตรกัป" คือเป็นกัปที่มนุษย์ทั้งหลายจะวุ่นวายเป็นโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะจับไม้และใบหญ้าก็กลายกลับเป็นหอกดาบแหลนหลาว อาวุธน้อยใหญ่ไล่ทิ่มแทงกัน ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา ก็หนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกห้วยหุบเขา จะเหลืออยู่ก็แต่มนุษย์ที่มีปัญญา นอกกว่านั้นแล้วก็ถึงซึ่งพินาศฉิบหายเป็นอันมาก

เมื่อพ้น ๗ วันล่วงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่นั้น เห็นสงบสงัดเสียงคนก็ออกมาจากที่ซ่อนเร้น ครั้นเห็นซึ่งกันและกัน ก็มีความสงสารรักใคร่กันเป็นอันมาก เข้าสวมสอดกอดรัด ร้องไห้กันไปมา บังเกิดมีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป ครั้นตั้งอยู่ใน "เมตตาพรหมวิหาร" แล้วก็อุตสาหะรักษาศีล ๕ จำเริญ กรรมฐานภาวนาว่า

"อะยัง อัตตะภาโว.. อันว่ากายของอาตมานี้ อนิจจัง.. หาจริงมิได้ ทุกขัง... เป็นกองแห่งทุกข์ฝ่ายเดียว หาสัญญาสำคัญมั่น หมายมิได้ ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสาร..."

เมื่อมนุษย์ทั้งหลายปลงปัญญาเห็นในกระแสพระกรรมฐานภาวนาดังนี้เนือง ๆ อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็วัฒนาจำเริญขึ้นไป ที่มีอายุ ๑๐ ปีเป็นอายุขัยนั้น ค่อยทวีขึ้นไปถึง ๒๐ ปีเป็นอายุขัย ค่อยทวีขึ้นไปทุกชั้นทุกชั้น จนอายุได้ร้อย พัน หมื่น แสน โกฏิ จนถึงอสงไขยหนึ่ง

ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักความตายแล้ว ก็มีความประมาท มิได้ปลงใจลงในกอง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา อายุก็ถอยน้อย ลงมาทุกทีจนถึง ๘ หมื่นปี ฝนก็ตกเป็นฤดูคือ ๕ วันตก ๑๐ วันตก ใน "ชมพูทวีป" ทั้งปวงมีพื้นแผ่นดินราบคาบสม่ำเสมอ เป็นอันดี

ออฟไลน์ Wisdom

  • สมาชิก
  • ***
  • กระทู้: 242
  • ใครจะใหญ่เกินกรรม
    • ดูรายละเอียด




ครั้งนั้น กรุงพาราณสี เปลี่ยนนาม ชื่อว่า เกตุมดี โดย ยาวได้ ๑๖ โยชน์ โดยกว้างได้ ๑ โยชน์ มีไม้กัลปพฤกษ์เกิดทั้ง ๔ ประตูเมือง มีแก้ว ๗ ประการ ประกอบเป็นกำแพงแก้ว ๗ ชั้นโดยรอบพระนคร

ครั้งนั้น มหานฬการเทพบุตร ก็จุติลงมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักรพรรดิ เสวยศิริราชสมบัติในเกตุมดีราชธานี เป็นพระราชาที่ทรงธรรม ครอบครองแผ่นดินมีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต และในท่ามกลางพระนครนั้นมี "ปราสาท" อันสำเร็จแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นมาจากมหาคงคา ลอยขึ้นมายังนภากาศ มาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร ปราสาทแก้วนี้ ในสมัยพุทธกาลเป็นปราสาทแห่ง "พระเจ้ามหาปนาท" (ในตอนนี้ จะขอแทรกประวัติไว้ด้วยดังนี้)

ประวัติพระเจ้ามหาปนาท

อันว่าปราสาทของพระเจ้ามหาปนาทนั้น เป็นปราสาทที่ ท้าวสักกเทวราช ตรัสสั่ง วิษณุกรรมเทพบุตร ลงมาสร้างถวายพระราชา กล่าวคือ..สมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นนั้น ยังมีช่างเสื่อลำแพน ๒ คนพ่อลูก ได้พากันสร้างบรรณศาลาแล้วด้วย ไม้อ้อและไม้มะเดื่อ เพื่อถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วทั้ง ๒ คนก็ช่วยกันอุปถัมภ์บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นด้วยปัจจัย ๔

ครั้นพ่อลูก ๒ คนนั้นตายแล้ว จึงได้ไปบังเกิดในเทวโลก ส่วนบิดายังอยู่ในเทวโลก ฝ่ายบุตรได้จุติจากเทวโลก ลงมาเกิดเป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าสุรุจิ และ พระนางสุเมธาเทวี มี พระนามว่า มหาปนาทกุมาร เวลาได้เสวยราชย์แล้ว จึงมีพระนามว่า พระเจ้ามหาปนาท ต่อมาท้าวสักกเทวราชได้ตรัสสั่งให้วิษณุ กรรมเทพบุตรลงมาสร้างปราสาทถวายแก่พระเจ้ามหาปนาทนั้น

ทั้งนี้ ด้วยอำนาจแห่งบุญญาธิการที่ได้เคยสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ปราสาทแก้ว ๗ ประการนี้ สูง ๒๕ โยชน์ จำนวน ๗ ชั้น ยาว ๙ โยชน์ กว้าง ๘ โยชน์

ครั้นพระเจ้ามหาปนาทสวรรคตแล้ว ปราสาทนั้นก็ได้เลื่อนลงไปสู่กระแสมหาคงคา ในที่ตั้งบันไดปราสาทนั้นได้กลายเป็น บ้านเมืองขึ้นเมืองหนึ่งชื่อว่า ปยาคปติฏฐนคร ที่ตรงยอดปราสาทนั้นได้กลายเป็นหมู่บ้านชื่อว่า โกฏิคาม

ในเวลาต่อมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง พระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลกแล้ว เทพบุตรองค์นี้ ซึ่งมีนามว่า นฬการเทพบุตร จึงได้จุติลงมาเกิดเป็นบุตรเศรษฐี มีนามว่า ภัททชิ เป็นผู้มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ มีปราสาทถึง ๓ หลัง เป็นที่ยับยั้งอยู่ในฤดูทั้ง ๓

หลังจากได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เมื่อกราบทูลขอบรรพชาแล้ว จึงเข้าไปนั่งเข้าฌานอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำคงคา ฝ่ายชาวบ้านโกฏิคามได้ยกเรือทานถวายพระภิกษุสงฆ์ เวลาสมเด็จพระพุทธองค์เสด็จลงประทับในเรือแล้ว โปรดให้พระภัททชิไปในเรือลำเดียวกันด้วย พอไปถึงกลางแม่น้ำคงคา สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่า

"ดูก่อน...ภัททชิ.! ปราสาทแก้วที่เธอเคยอยู่ในเมื่อครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาทนั้นอยู่ที่ไหน?"

พระภัททชิกราบทูลว่า "จมอยู่ตรงนี้...พระเจ้าข้า"

บรรดาภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชนก็พากันร้องกล่าวโทษว่าพระภัททชิอวดมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลจึงตรัสบอกพระภัททชิให้แก้ความสงสัยของภิกษุทั้งหลาย พระเถระถวายบังคมแล้วก็บันดาลปลายนิ้วเท้าลงไปคีบยอดปราสาทอันสูงได้ ๒๕ โยชน์นั้นขึ้นมาจากแม่น้ำคงคา ไปปรากฏอยู่บนอากาศสูงจากพื้น น้ำได้ถึง ๓ โยชน์ แล้วปล่อยไปในแม่น้ำคงคา มหาชนทั้งหลายก็หมดความสงสัย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า ปราสาท หลังนี้ พระภัททชิ เคยอยู่มาตั้งแต่ครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาท

มีคำถามว่า เพราะเหตุใด ปราสาทหลังนั้นจึงยังไม่อันตรธาน

มีคำแก้ว่า เป็นเพราะอานุภาพแห่งช่างเสื่อลำแพน ซึ่งเป็นบิดาในชาติปางก่อน อันมีนามกรว่า มหานฬการเทพบุตร จะจุติ ลงมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักร แล้วพระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อไปว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า เมตไตรย อุบัติขึ้นในโลกแล้ว พระองค์จักแสดงธรรมมีคุณอันดีในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด พร้อมทั้งอรรถะพยัญชนะ จักประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง และจักปกครอง พระภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนกันกับเราตถาคตในบัดนี้

พระเจ้าสังขจักรนั้น จักเสวยราชย์อยู่ที่ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท อันมีมาในอดีตกาลนั้น แล้วจักทรงสละปราสาทนั้น ให้เป็นทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทางไกล คนขอ ทานทั้งหลาย แล้วจักปลงผมและหนวด นุ่มห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ออกบรรพชาในสำนักของพระศาสดาผู้ทรงพระนามว่า พระเมตไตรย แล้วจักออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว จักไม่ประมาท จะมีความ เพียร จะมีใจตั้งมั่น แล้วจะสำเร็จที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันเป็น สิ่งยอดเยี่ยมและปรารถนาของกุลบุตรทั้งหลายผู้บรรพชาในไม่ช้า"

สมัยต่อมาพระเจ้าสังขจักรได้เสวยราชสมบัติในเกตุมดีนั้น ปราสาทแก้วก็ผุดขึ้นมาแต่แม่น้ำคงคา ด้วยอานุภาพแห่งผลบุญที่เคยร่วมกันกับลูกชาย ถวายภัตตาหาร ผ้าไตรจีวร และสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าให้มีความสุขสบาย ด้วยอานิสงส์มหาศาลนี้ จึงได้เกิดมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ประดับไป ด้วยหมู่พระสนม แสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ มีพระราชโอรสมากกว่า ๑ พันพระองค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ แกล้วกล้า สามารถย่ำยีเสียซึ่งเสนาของผู้อื่น

แก้ว ๗ ประการ

พระราชโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า อชิตราชกุมารเจ้า อชิตราชกุมารนั้น ดำรงตำแหน่งเป็น ปรินายกแก้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดา ผู้เป็นพระยาบรมสังขจักร อันบริบูรณ์ไปด้วยแก้ว ๗ ประการคือ จักรแก้ว ๑ นางแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ คหบดีแก้ว ๑ ปรินายกแก้ว ๑ อันว่าสมบัติของ พระเจ้าจักรพรรดินั้น ย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ เป็นที่เกษมสานต์ ยิ่งนักเหลือที่จะพรรณนาได้ในกาลนั้น

ฝ่ายว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้ มีนามปรากฏว่า สุตพราหมณ์ นางพราหมณี ผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพราหมณวดี

ในกาลนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ พระศรีอาริยเมตไตรย รับอาราธนาจากบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายแล้ว ก็จุติลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาถือกำเนิดในครรภ์แห่งนางพราหมณวดี ภรรยาแห่งมหาปุโรหิต พราหมณ์ผู้ใหญ่ ในวันเพ็ญเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลาย ๑๒ ประการ

คือเหล่าเทพยดาพากันกระทำสักการบูชา ดังห่าฝนตกลง ในกลางอากาศ แล้วมีปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ผุดขึ้นมา เพื่อจะให้ เป็นที่สำราญแห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ปราสาทหลังที่ ๑ ชื่อว่า ศิริวัฒนะ ปราสาทหลังที่ ๒ ชื่อว่า สิทธัตถะ ปราสาทหลังที่ ๓ ชื่อว่า จันทกะ ปรางค์ปราสาททั้ง ๓ นี้เป็นที่จำเริญพระศิริสวัสดิ มงคล ควรจะให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ปรากฏงามดังดวง พระจันทร์ แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันหอมมิรู้ขาด เดียรดาษ ไปด้วยนางนาฏพระสนม ประมาณ ๗ แสนคน

ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระนามว่า พระนางจันทมุขี เป็นประธานแห่งนางบริวารทั้งหลาย ๗แสน มีพระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พราหมณ์วัฒนกุมาร

เมื่อพระมหาบุรุษผู้ประเสริฐทรงพระเกษมสำราญอยู่ใน ปราสาททั้ง ๓ ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้ จนพระองค์มีพระชนม์ได้ ๘ หมื่นปี แล้วจึงเสด็จขึ้นสู่รถแก้วอันเป็นทิพย์วิมานมีศิริหา เสมอมิได้ เสด็จไปประพาสอุทยานทอดพระเนตร เห็นนิมิตรทั้ง ๔ ประการนี้เป็น "เทวทูต" ยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้น ก็มีพระทัย น้อมไปในบรรพชา พิจารณาเห็นเพศสมณะนั้นเป็นอารมณ์

ในขณะนั้น อันว่าปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญ ยับยั้งอยู่นั้นก็ลอยไปในอากาศ พร้อมทั้งพระราชโอรสและหมู่ นางกัลยาทั้งหลายไปกับปรางค์ปราสาท ครั้งนั้นเปรียบประดุจดังว่า พญาหงส์ทองบินไปในเวหา ฝ่ายฝูงเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชา ต่างเหาะตามมากระทำ สักการบูชาในอากาศ เนืองแน่นกันมากเป็นอเนกอนันต์ บรรดา ท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย ๘ หมื่น ๔ พันพระนครก็ดี และชาวนิคมชนบททั้งหลายก็ดี ก็ชวนมากระทำสักการบูชาด้วย ดอกไม้และของหอมมีประการต่าง ๆ เต็มเดียรดาษกลาดเกลื่อน ไปทั้งชมพูทวีป เหล่าพวกอสูรทั้งหลายก็เข้าแวดล้อมพิทักษ์รักษา ปรางค์ปราสาท

ฝ่ายพญานาคราชนั้นกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี พญาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี อันเป็นเครื่องประดับตน เหล่าคนธรรพ์ทั้งหลายนั้นกระทำสักการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ฟ้อนรำมีประการต่าง ๆ

เมื่อ องค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้า เสด็จออกบรรพชานั้น ฝูงเทพยดา อินทร์พรหม ยมยักษ์ และ มนุษย์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ทั้งหลาย กระทำสักการบูชา ฝ่าย พระเจ้าสังขจักรพร้อมด้วยข้าราชบริพารทั้งหลาย ก็ได้เสด็จไป ที่ใกล้แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ครั้งนั้นมหาชนทั้งหลายทั้ง ปวง มีความปรารถนาจะบรรพชา แล้วก็พากันลอยไปในอากาศ พร้อมด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักร และอานุภาพแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น

ครั้นเสด็จถึงควงไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ คือ ไม้กากะทิง แล้วปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑล ไม้มหาโพธินั้น ฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวพัตร์ กับเครื่องบริขารทั้ง ๘ น้อมเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ แล้วพระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศาให้ขาดแล้ว ก็โยนขึ้นไปในอากาศ ก็ถือเครื่องบริขารทั้ง ๘ ประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว ส่วนว่าบริวารทั้งหลายนั้น ก็ชวนกันบวชตาม สมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก

ฝ่ายพระมหาบุรุษราชองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้น กระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระมหาโพธิสิ้นประมาณ ๗ วัน ใน เมื่อเวลาเย็นพระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่ควงไม้พระมหาโพธิขึ้นทรงนั่งเหนือรัตนบัลลังก์ คือพระที่นั่งแก้ว แล้วทรงระลึกชาติของพระองค์ด้วย ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ได้ทรงเห็นโดยลำดับกัน ประจักษ์แจ้งในปฐมยาม

ครั้งล่วงเข้ามัชฌิมยามทรงเห็นซึ่งการเกิดและตายแห่งสัตว์ทั้งหลายด้วย ทิพจักขุญาณ ครั้นล่วงไปในปัจฉิมยามที่สุดนั้น พระองค์ได้ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม ที่เรียกว่า อาสวักขยญาณ คือบรรลุอภิเษกสัมโพธิญาณ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ แล้วพระองค์ก็ยังมนุษย์ ทั้งหลายประมาณแสนโกฏิ ให้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรส คือพระ สัทธรรม เห็นพระนิพพานอันมิได้รู้แก่รู้ตาย เป็นธรรมาภิสมัย ให้บังเกิดแก่ฝูงเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้ตรัสรู้มรรคและ ผลหาประมาณมิได้