เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



ผู้เขียน หัวข้อ: ความเกี่ยวเนื่องกันในการสร้างบารมีของผู้ปรารถนาโพธิญาณ  (อ่าน 24779 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Webmaster

  • Administrator
  • สมาชิก
  • *****
  • กระทู้: 404
    • ดูรายละเอียด
การปรารถนาโพธิญาณนั้นเป็นเรื่องของผู้ที่มีความต้องการที่จะเป็น พระพุทธเจ้าในอนาคต ต้องขออธิบายให้ทราบกันทั่วหน้าก่อนว่า พระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ มิได้มีเฉพาะพระพุทธโคดม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้เท่านั้น หากแต่ในอดีตกาลล่วงเลยผ่านมาแล้วนั้น ก็ได้บังเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้วมากมายเหลือคณานับ ผู้อ่านหลายท่านอาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน แต่ขอให้ เปิดใจ ทำใจสบายๆ ทำความเข้าใจและศึกษาเรื่องของพระโพธิสัตว์ ยิ่งรู้มากขึ้นก็จะสามารถน้อมนำกำลังพลังงานของพระโพธิสัตว์มาใช้ในชีวิตประจำวันได้สามารถช่วยเหลือเราได้ ทั้งทางโลกและทางธรรม โพธิญาณหรือพระโพธิสัตว์ จะทำงานเป็นหมู่คณะ ทำไมจึงพูดเช่นนั้น เป็นเพราะว่าการสร้างบุญบารมีนั้นหากสร้างคนเดียว อานิสงค์ที่บังเกิดจะมีเพียงส่วนเดียว

สำหรับพระโพธิสัตว์ที่มีกำลังและมากไปด้วยปัญญาจะนำพาหมู่คณะสร้างบุญบารมีกันเป็นจำนวนมากเข้าไว้ เนื่องด้วยการสร้างบุญบารมีเป็นหมู่คณะนั้น กำลังบุญของแต่ละคนมีมากอยู่แล้ว กำลังบุญทั้งหมดทั้งมวลจะรวมกระแสกันเป็นมหาบุญ มหากุศลมีกำลังมาก จึงเป็นเหตุให้เกิดปัจจุบันได้มีการนำพาผู้คนทำบุญเป็นจำนวนมากก็เพราะว่า ในยุคนี้ มีพระโพธิสัตว์ลงมาเกิดกันมากนั้นเอง โพธิญาณจะมีกระแสเกี่ยวเนื่องกัน จะมีการต่อกระแสกันสืบต่อกันไป หน่อโพธิญาณนั้นจะสืบต่อ สอนสั่งแนวทางการสร้างบารมีจากรุ่น สู่รุ่น เสมอ ตราบใดยังมีผู้ปรารถนาโพธิญาณอยู่ ตราบนั้นก็จะมีการสืบต่อกระแสไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด แม้ในยุคนั้นจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกก็ตาม พระโพธิสัตว์ก็จักบังเกิดขึ้นเสมอ



ผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณจงฟังไว้ว่า "โพธิญาณต้องเรียนรู้แนวทางการสร้างบารมีกับโพธิญาณเท่านั้น" ฉะนั้น เมื่อมีโพธิญาณบังเกิดขึ้นในโลก ผู้นั้นได้กระทำตนเป็นผู้มีประโยชน์ ช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์ทุกรูปนามดีพร้อม มีสรรพวิชาสำหรับใช้ช่วยเหลือผู้คน ก็มักจะมีโพธิญาณที่ลงมาเกิดตามหลัง (จุติทีหลัง) มาสืบต่อสรรพวิชานั้นๆ ไว้เสมอ เพื่อนำไปใช้ช่วยเหลือสรรพสัตว์ในกาลต่อไป และเพื่อป้องกันการสูญหายของสรรพวิชา เราเรียกสิ่งนี้ว่า "การสืบต่อกระแสโพธิสัตว์" แต่ก็มีมากมายหลายสรรพวิชาที่ตกหล่นและสูญหายเนื่องจากการเวลาและไร้ผู้สืบทอดวิชา (นั้นอาจเกิดจาก ไม่มีผู้ที่เหมาะสมในการที่จะสืบต่อสรรพวิชานั้นๆ แต่อย่าไปกังวลเสียดายในสรรพวิชาที่สูญหายตายจากไปพร้อมกับเจ้าของวิชาเลย เพราะที่จริงแล้วสรรพวิชามิได้สูญหายไปไหน เมื่อเจ้าของวิชาตายไปส่วนใหญ่จะจุติเป็นพรหม สรรพวิชาทั้งหลายจึงยังอยู่ที่ พรหม ซะส่วนใหญ่ เมื่อมีวาระพรหมเหล่านั้นแล จัดลงมาสอนสั่งผู้ที่มีกระแสเนื่องกันเพื่อให้นำมาสร้างประโยชน์สืบต่อไป )

โพธิญาณบางท่าน ไม่ได้มีครูบาอาจารย์ที่เป็นมนุษย์ บางท่านจะเรียนรู้สรรพวิชาในการสร้างบารมีจาก เทพ พรหม ที่มีกระแสเกี่ยวเนื่องกับตัวท่านเองมากก่อน ก็เป็นได้ ผู้ปรารถนาโพธิญาณไม่ต้องกังวลใจว่าเราจะไม่มีครูบาอาจารย์นะ หากตอนนี้เรารู้ตัวเองว่าเรานั้นเป็นผู้ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ต้องการรื้อขนสรรพสัตว์ออกจากกองกิเลสทั้งปวง ต้องการให้ทุกรูปนามพบทางแห่งการกับทุกข์ ถึงซึ่งนิพพานเป็นที่สุด แต่เราไม่มีวิชาอะไรเลยที่จะมาช่วยเหลือสรรพสัตว์เหล่านี้ได้ ก็ขอให้วางจิต วางใจให้เป็นสมาธิ ใจสบาย กายสบาย ระลึกถึงพระรัตนตรัย คุณพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ คุณพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ คุณพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ คุณพระธรรม คุณพระอริยะสงฆ์ทั้งหมดทั้งมวล ตั้งแต่ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ตั้งสัจจะอธิษฐานดังต่อไปนี้

"ลูกขออาราธนาคุณครูบาอาจารย์ เหล่าหมู่คณะของข้าพเจ้า ทุกรูปนาม ผู้มีกำลังทั้งหลาย เทพ พรหมทั้งหลาย โปรดจงมาชี้แนะ หนทาง โปรดจงมาสั่งสอนสรรพวิชาแก่ข้าพเจ้า เพื่อให้สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชาวโลก ช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ ทั้งกายใจได้ ให้เค้าเหล่านั้นอยู่ในโลกได้อย่างเป็นปกติสุข ให้เค้าได้รู้จักหนทางที่ถูกต้อง เป้าหมายที่ถูกที่ควรไป ให้รู้จักพระนิพพาน ให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะเป็นที่พึ่งที่ระลึก เรียนรู้ที่จะตาย เตรียมตัวตายให้เป็น ตายแล้วสามารถเลือกที่จะไปได้ เตรียมตัวตายก่อนที่จะตาย ขอผู้ทรงคุณทั้งหมดทั้งมวลโปรดจงลงมาสอนสรรพวิชานี้ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด พุทธังสัจจาณังอธิษฐานมิ ธัมมังสัจจาณังอธิษฐานมิ สังฆังสัจจาณังอธิษฐานมิ"

อธิษฐานตามนี้ทุกวัน หลังจากที่เราสวดมนต์ไหว้พระและปฏิบัติกรรมฐานเสร็จเรียบร้อยแล้วไม่นานก็จักได้รับรู้ถึงสรรพวิชาสมดังใจหมายทุกประการ โพธิญาณจะมีพระแก้วรวมบารมีประจำองค์ เรื่องพระแก้วประจำองค์พระพุทธเจ้านั้น จะขออธิบายโดยใจความสั้นๆ ว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะมีพระแก้วประจำพระองค์ พระโพธิญาณก็เช่นกัน จะมีพระแก้วประจำองค์เหมือนกัน หากแต่ว่าความสมบูรณ์ขององค์พระ จะแตกต่างกันออกไปตามกำลังบุญบารมีที่ได้สร้างได้ทำมา เช่น พระโพธิญาณที่บารมีเต็มแล้ว ก็จะมีพระแก้วประจำองค์สมบูรณ์เต็มองค์ ตั้งแต่ฐานขึ้นมาจนถึงยอดพระเกตุขององค์พระ ส่วนสีของพระแก้วนั้นก็จะแตกต่างกันไปตามจริตชอบของพระโพธิญาณแต่ละพระองค์ ในกรณีกลับกันพระโพธิญาณที่สร้างบารมีมาได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังมีบารมีไม่เต็ม รูปลักษณ์ของพระแก้วแดงก็จะเป็นแบบไม่เต็มองค์ องค์พระจะสมบูรณ์จากฐานองค์พระขึ้นมาแต่ไม่เต็มองค์ สีของพระแก้วนั้นก็จะเป็นไปตามจริตชอบของพระโพธิญาณท่านนั้นแล จะยกตัวอย่างพระแก้วประจำองค์ของพระพุทธเจ้าในภัทรกัปป์นี้

๑. พระกกุสันธพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์ หลังจากนั้น ๘ อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ ๓๗,๐๒๔ พระองค์ เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย ๔๐,๐๐๐ พรรษา พระสรีระสูง ๔๐ ศอก หรือ ๒๐ เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย ๑๐ เดือน พุทธรังสีสร้านไปไกล ๑๐ โยชน์ (๑๖๐กิโลเมตร) พระแก้วประจำองค์ พระแก้วขาว หน้าตักกว้าง ๒๐ วา
๒. พระโกนาคมพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น ๘ อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ ๓๗,๐๒๔ พระองค์ เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย ๓๐,๐๐๐พรรษา พระสรีระสูง ๓๐ ศอก หรือ ๑๕ เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย ๑ เดือน พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์ พระแก้วประจำองค์
พระแก้วเหลือง หน้าตักกว้าง ๑๕ วา
๓. พระกัสสปพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น
๘ อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ ๓๗,๐๒๔ พระองค์ เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย ๒๐,๐๐๐พรรษา พระสรีระสูง ๒๐ ศอก หรือ ๑๐ เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย ๗ วัน พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์ พระแก้วประจำองค์ พระแก้วน้ำเงิน หน้าตักกว้าง ๑๐ วา
๔. พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น ๔ องไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก ๒๔ พระองค์ ซึ่งน้อยมาก เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย ๘๐ พรรษา พระสรีระสูง ๔ ศอก หรือ ๒ เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย ๖ ปี พุทธรังสี สร้านไปข้างละ ๑ วา เป็นปกติ พระแก้วประจำองค์ พระแก้วเขียว(เขียวมรกต) หน้าตักกว้าง ๕ วา
๕. พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น ๑๖ อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ ๔๗๗,๐๒๙ พระองค์ เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย ๘๐,๐๐๐พรรษา พระสรีระสูง ๘๐ ศอก หรือ ๔๐ เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย ๗ วัน พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้ พระแก้วประจำองค์ พระแก้วแดง และทรงเครื่องบรมมหาจักรพรรดิ หน้าตักกว้าง ๒๐ วา

ออฟไลน์ Webmaster

  • Administrator
  • สมาชิก
  • *****
  • กระทู้: 404
    • ดูรายละเอียด
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีพระแก้วประจำพระองค์ และจะเริ่มมีพระแก้วประจำพระองค์ตั้งแต่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ จะปรากฏชัดขึ้นตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้างไว้ ในยุคพระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า ก็จะมีพระแก้วแดงทำจากทับทิมแดง ปัจจุบันนี้ประดิษฐานเตรียมไว้แล้ว ณ ภูมิทิพย์บาดาล มีพญานาคสองตนเฝ้าอยู่ ซึ่งซ้อนอยู่กับ สถานที่แห่งหนึ่ง (ถ้ำใหญ่ วัดถ้ำเมืองนะ)และพระแก้วแดงจะปรากฏออกมา เมื่อถึงยุคพระศรี พระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็คือพระแก้วสีเขียว (ยุคปัจจุบันนี้เราบูชาพระแก้วมรกต แทนพระแก้วประจำองค์พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ที่รวมบารมีทั้งหมดเข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว) ส่วนพระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆเป็นพุทธนิมิตอยู่ที่พระนิพพานคู่วิมานพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์

ผมจะขอคัดเอาข้อความบางตอนจากหนังสือกายสิทธิ์ เขียนโดยอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ ผู้เป็นศิษย์ฆราวาส ของหลวงปู่ดู่อีกท่านหนึ่งที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มาให้ทุกท่านได้รับทราบถึงคำสอนของหลวงปู่ดู่ที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ในภัทรกัปป์นี้ วันหนึ่งหลวงปู่ดู่ได้เล่าถึงการปฏิบัติครั้งคุมสมาธิศิษย์



“ยกใจความมาตอนหนึ่งว่า วันหนึ่งหลวงพ่อได้เล่าถึงการปฏิบัติ โดยท่านเป็นผู้บอกว่า “เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป ๔ องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง ๒๐ วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก ๑๕ วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก ๑๐ วา องค์ที่สี่ หน้าตัก ๕ วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฏถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปป์ "

จะเห็นว่า หลวงปู่ดู่ท่านมิได้ปฏิเสธการมีอยู่ของพระพุทธเจ้าในอดีต ท่านรับรองการมีอยู่จริงของพระแก้วประจำองค์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ สมเด็จองค์ปฐมฯ พระพุทธเจ้าพระองค์แรกที่อุบัติขึ้นมาบนพื้นพิภพนี้ มีพระแก้วประจำองค์สีขาว หลวงตาม้าผู้เป็นอาจารย์ของผม มีพระแก้วประจำองค์สีชมพู ส่วนตัวผมมีพระแก้วประจำองค์สีส้ม พระโพธิญาณทุกท่านจะมีพระแก้วประจำตนของแต่ละบุคคล ขอให้เพียรสร้างบารมีเอาไว้ให้มากๆ เถิด พระแก้วประจำตนของทุกท่านจะมีรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์และมีบารมีมากขึ้นตามลำดับ ก่อนจากกันขอทิ้งท้ายไว้ว่า ตนพึงเป็นที่พึ่งแห่งตนก็จริงแล แต่การสร้างบุญบารมีเป็นหมู่คณะนั้นก็มีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน การสร้างบุญต้องใช้ปัญญาบารมีมาประกอบ กำลังบุญที่ร่วมกันทำเป็นหมู่คณะนั้น จักช่วยให้พระโพธิญาณสำเร็จสมดังจิตตั้งประสงค์โดยความรวดเร็วกว่าที่จะเพียรสร้างบารมีด้วยตัวคนเดียว จำเอาไว้ว่า ผู้มีกำลังและปัญญาญาณจะสร้างบารมีเป็นหมู่คณะ พระโพธิญาณจะทำบุญเป็นกลุ่ม เป็นก้อน เป็นหมู่คณะ เป็นเครือข่ายโยงใยสัมพันธ์กันหมดนะ ไม่ธรรมดาเลยนะเรื่องของพระโพธิสัตว์เชื่อมต่อถึงกันหมด ท่านรู้จักกันหมดเพราะสร้างบารมีมาด้วยกันทั้งนั้น จึงขอบอกว่าพระโพธิญาณรุ่นใหญ่เค้าถึงกันหมด เพราะได้ร่วมสร้างบุญบารมีมาด้วยกันเป็นเวลานานแสนนานนับชาติไม่ถ้วนแล้ว ก็เห็นจะมีแต่พระโพธิญาณที่เพิ่งเริ่มตั้งจิตปรารถนาเท่านั้นแล ที่เพียรสร้างบารมีด้วยกำลังของตนเองตามเหตุปัจจัยที่เอื้อแก่การสร้างบุญบารมี(ฉายเดี่ยว) ที่อยากจะบอกก็คือ

ให้พากันหาพรรคพวกเพื่อสร้างบุญบารมี ให้พากันมีหมู่คณะสร้างบุญกุศลกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ดังคำที่ว่า

“สามัคคีคือพลัง เป็นพลังเหนือพลัง จริงแท้แน่นอน”

เอวังก็มีประการชะนี้แล.

content source: www.watthummuangna.com

ออฟไลน์ Webmaster

  • Administrator
  • สมาชิก
  • *****
  • กระทู้: 404
    • ดูรายละเอียด


"พุทธภูมิ"

พุทธภูมิ หรือ พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณ ปรารถนาจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเบื้องหน้า

ผมเคยกราบเรียนถามหลวงตาม้าถึงความหมายของคำว่าพระโพธิญาณ หลวงตาม้าท่านเมตตาตอบมาได้ใจความว่า

"โพธิญาณแปลว่าความรู้ใหญ่ ปรารถนาโพธิญาณก็แปลว่าปรารถนาความรู้ใหญ่ไง"

ผมจึงกราบเรียนถามท่านต่อไปว่า แล้วพุทธภูมินั้นควรทำอย่างไรจึงจะได้เป็นหลวงตาท่านตอบมาง่ายๆสั้นๆเพียงแค่ว่า"หากเป็นพุทธภูมิ ทำบุญทุกอย่างจะต้องอธิษฐานเพื่อโพธิญาณ แม้กระทั่งให้ขนมแก่มด"

"เวียนว่ายใน3ภพ"

เป็นที่รู้กันดีว่าพุทธภูมิจะต้องสั่งสมบำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้มาซึ่งพระโพธิญาณ หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวไว้ได้ใจความว่า

"ไม่ใช่ปรารถนาแล้วจะเป็นกันได้เลยนะ มันต้องทำนะ"

การ สร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ไม่ได้จบเพียงชาติเดียว หากแต่จะต้องอาศัยช่วงระยะเวลาในการสร้างบารมีอันยาวนาน เวียนเกิด เวียนตายมากมายไม่สามารถนับได้ ทั้งลงนรก ทั้งขึ้นสวรรค์ ทั้งมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือทั้งไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

"มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเคยถามหลวงตาเกี่ยวกับการที่พุทธภูมิต้องลงนรก"

หลวงตาท่านเมตตาตอบมาว่า

"ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ(พระโพธิสัตว์)
หากเข้าถึงไตรสรณคมณ์แล้ว จะสามารถปิดอบายภูมิได้"

ศิษย์: แล้วอย่างไรถึงจะเรียกว่าเข้าถึงไตรสรณคมณ์ครับ

หลวงตา: เรามองพระพุทธรูปหรือพระ แล้วรู้สึกยังไงล่ะ

ศิษย์: ขนลุกครับ ปิติ ชอบครับ

หลวงตา: นั่นแหละ เขาเรียกว่าเข้าถึงไตรสรณคมณ์

วันต่อมาผมนึกสงสัยในเรื่องนี้อีก จึงไปถามหลวงตาอีกครั้ง

ศิษย์: หากผู้ที่เพิ่งเริ่มปรารถนาพุทธภูมิ แต่สามารถเข้าถึงไตรสรณคมณ์ได้ จะปิดอบายภูมิเลยหรือ

หลวงตาม้าท่านก็เมตตาสั่งสอนว่า

"ถ้าเพิ่งปรารถนา มันต้องลงไปชิมดูก่อนนะ ถ้าเรียนจบทั้ง3ภพก็เป็นพระพุทธเจ้าได้เลย การสร้างบารมี เราต้องทำให้ครบ10อย่าง แต่ต้องเลือกเด่นๆสักอย่างหนึ่งในชาตินี้"


"พุทธภูมิจะต้องพยายามเป็นที่ ๑ ในทุกๆเรื่อง แม้เรื่องเรียนหนังสือก็เช่นกัน"

ความเป็น ๑ ของพุทธภูมิไม่ได้มีไว้แข่งขันชิงดีชิงเด่นกับใคร หากแต่เป็นไปเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ ดังเช่นที่หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า


"กำลังของพุทธภูมิ
มีหน้าที่จะทำให้มหาชนมีความสุข
ถ้าคนเรียกร้องหรือบ้านเมืองเกิดยุคเข็ญ

ก็ต้องลงมาช่วย จะคิดเอาแต่สบายได้ยังไง
นั่นไม่ใช่ความคิดของหน่อพุทธภูมิ"



การเรียนรู้ของพุทธภูมิ

หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวถึงการเรียนรู้แนวทางของพุทธภูมิไว้ ได้ใจความว่า

"ถ้าปรารถนาจะเป็นพุทธภูมิ เราก็ต้องไปเรียนกับพุทธภูมิที่บารมีสูงๆท่านถึงจะสอนให้ได้ ถ้าเราไปเรียนกับพระอรหันต์ ท่านก็สอนแนวทางการสร้างบารมีของโพธิสัตว์ไม่ได้ ท่านสอนเพียงทางไปพระนิพพานเท่านั้น แต่เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าครูบาอาจารย์ที่เป็นพระโพธิสัตว์บารมีสูงๆนั้นอยู่ที่ไหน ปัญหามันอยู่ตรงนี้"(หลวงตาม้าท่านพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี)

หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวเอาไว้ได้ใจความว่า

"ในยุคนี้เนี่ยนะ ยุคที่เกิดกลียุคเนี่ยแหละ สร้างบารมีได้เยอะนะ แต่ต้องดูที่ความจำเป็นด้วย ฝึกกสิณนั้นก็ดีอยู่ แต่ในยุคสมัยเช่นนี้ฤทธิ์ไม่ค่อยจะเกิดประโยชน์เท่าใด ยุคนี้บุญฤทธิ์มีประโยชน์มากที่สุด"

มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงตาม้าท่านพูดถึงครูบาอาจารย์หลายๆท่าน โดยที่ท่านยกมาเป็นตัวอย่างให้ฟังเพื่อให้เห็นถึงความยากลำบากในการสร้างบารมีของผู้ปรารถนาพระโพธิญาณและในบางครั้งที่พุทธภูมิจะต้องลงมาเกิดเป็นนักรบหรือต้องฆ่าเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาและแผ่นดินจากผู้รุกรานดังเช่นบูรพกษัตริย์ไทยหลายๆพระองค์ทรงกระทำมาแล้ว

ท่านกล่าวไว้ได้ใจความว่า

"หลวงพ่อดู่ท่านโดนกรรมหนักนะ ครูบาศรีวิชัยท่านก็โดนหนักเหมือนกัน หลวงปู่ศุข(วัดปากคลองมะขามเฒ่า) สมเด็จโตก็โดนเหมือนกัน คิดดูให้ดีๆ ไม่ใช่ของง่ายๆนะ(หัวเราะ)"

หลวงตาม้าท่านเคยถามลูกศิษย์คนหนึ่งได้ใจความว่า

"ปรารถนาพุทธภูมิเนี่ย วางแผนเอาไว้หรือยังว่าชาตินี้จะทำอะไร วันนี้จะทำอะไร วันพรุ่งนี้จะทำอะไร ลองคิดดู"

"จะทำอะไรก็ต้องให้มันเกิดประโยชน์ ถ้าไม่เกิดประโยชน์ก็อย่าไปทำ"

สิ่งที่หลวงตาม้าท่านเมตตาสอนนั้น ตรงกับหนึ่งใน พุทธภูมิธรรม ซึ่งมีเขียนเอาไว้ในบทสนทนาธรรมระหว่างพระมาลัยและพระศรีอารยเมตไตรโพธิสัตว์ดังนี้

ดูกรมหาบพิตร นิยตโพธิสัตว์ ที่ว่าต้องประกอบด้วย "พุทธภูมิ" นั้น อยาก ทราบว่า คำว่า "พุทธภูมิ" แปลและหมายความว่าอย่างไร มีเท่าไร อะไรบ้าง ขอถวายพระพร"

ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นักปราชญ์นิยมเรียกกันว่า "พุทธภูมิธรรม" คำว่า "พุทธภูมิธรรม" แปลว่าธรรมอันเป็นชั้นของพระพุทธเจ้า หมายความว่า ธรรมซึ่งจัดเป็นชั้นของผู้จะเป็นพระพุทธเจ้า อธิบายว่า นิยตโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่เที่ยงแท้แน่นอนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น จำเป็นต้องมีภูมิชั้นเชิงดีกว่า คนอื่นๆ มาก เพื่อเป็นเครื่องส่อให้เห็นว่า แปลกจากคนอื่นๆ อย่างไร และธรรมซึ่งเป็นภูมิ หรือ เป็นชั้นเชิงของผู้จะเป็นพระพุทธเจ้านั้น เรียกว่า พุทธภูมิธรรม มีอยู่ ๔ ประการ คือ

๑. อุสสาโห
ความองอาจกล้าหาญในการทำดี ไม่ยอ่ท้อต่อสิ่งอะไรทั้งหมด เป็นต้นว่า การงานที่ทำ ความเมื่อยล้า หิวกระหาย ใกล้ ไกล

๒. อุมมัคโค
มีปัญญาแก่กล้าเชี่ยวชาญ ความรู้อันแก่กล้า ได้แก่ความรู้ใน เหตุผลของการกระทำ นิยตโพธิสัตว์ต้องมีความรู้ในเหตุผลต้นปลายของ การกระทำต่างๆ ว่าอย่างไหนจะมีเหตุผลดีชั่วอย่างไร แล้วเลือกไม่ทำสิ่งที่ มีผลชั่ว เลือกทำแต่สิ่งที่มีผลดี

๓. วะวัตถานัง
มีอธิษฐานมั่นคง คือมีใจคอหนักแน่นมั่นคง มีความมั่นใจ นิยตโพธิสัตว์ย่อมมีใจคอมั่นคง หนักแน่น ไม่เหลาะแหละเหลวไหล เมื่อทำ สิ่งใดต้องทำให้สำเร็จ เป็นอันไม่ทอดทิ้ง

๔. หิตจริยา
ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ นิยตโพธิสัตว์ย่อมทำแต่สิ่งที่เป็น ประโยชน์แก่ตนและแก่ผู้อื่น

ในคุณธรรม ๔ ข้อนี้ ถ้าลำดับตามวิธีใช้ ต้องลำดับอย่างนี้ คือ
อุมมัคคะ- หิตจริยา-อวัตถานะ-อุสสาหะ

อธิบายว่า ก่อนจะทำสิ่งใดลงไป ต้องใช้อุมมัคคะ คือ ปัญญาพิจารณาดู เสียก่อน แล้วจึงใช้หิตจริยา คือทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ใช้วัตถานะ คือ ความมั่นใจเป็นที่ ๓ ใช้อุตสาหะคือความไม่ย่อท้อเป็นที่ ๔ ส่วนพวกเราที่ไม่ใช่โพธิสัตว์ประเภทนิยตโพธิสัตว์ หรือสักว่าโพธิสัตว์ ก็ควรพยายามทำตนให้ตั้งอยู่ในภูมิธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ เมื่อสามารถ เลื่อนตนไปถึงภูมิธรรมทั้ง ๔ ประการนี้แล้ว จึงจะเรียกว่า "ปณีตบุคคล" คือ บุคคลชั้นดี และได้ชื่อว่า เป็นผู้มีภูมิดี



หลวงตาม้าพูดถึงพุทธภูมิบารมีครึ่งหรือเกินครึ่ง

ณ คืนหนึ่งในวัดถ้ำเมืองนะ หลวงตาม้าท่านเคยพูดถึงพุทธภูมิผู้ทำบารมีมาแล้วครึ่งหนึ่งหรือเกินครึ่ง ได้ใจความว่า

"บารมีเกินครึ่งนี่ยังไม่ถือว่าเยอะนะ ถือว่ายังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จะรู้เรื่องรู้ราวจริงๆก็ตอนนู๊นล่ะ ตอนบารมีใกล้จะเต็ม"

มีน้องคนหนึ่งฝากผมกราบเรียนถามหลวงตาม้าว่า จะเป็นพุทธภูมิ ยากไหม?
หลวงตาท่านก็เมตตาตอบให้ว่า

"ไม่ยาก แต่ส่วนมากมักจะมาลา(พุทธภูมิ)กันตอนบารมีครึ่งหนึ่งเนี่ยแหละ"

หลวงตาม้าท่านเป็นพระสุปฏิปัณโณที่เอาใจใส่ในการฝึกฝนลูกศิษย์เป็นอย่างมาก และท่านไม่เคยพูดให้ใครเสียกำลังใจแม้แต่น้อยนิด โดยปกติแล้วหลวงตาท่านจะไม่ค่อยพูดจนกว่าจะมีลูกศิษย์กราบเรียนถาม

แต่ถ้าขณะที่นั่งรวมๆกันหลายๆคน หากผู้ใดที่เจอปัญหาอันใหญ่หลวง หรือ กำลังหลงระเริงไปกับโลกธรรมทั้ง8 ท่านก็จะเมตตาพูดเตือนสติขึ้นมาแต่ท่านจะไม่เอ่ยชื่อคนผู้นั้น เพราะถ้าเอ่ยขึ้นมาแล้วล่ะก็...ศิษย์ผู้นั้นจะต้องเกิดความรู้สึกอับอายอย่างแน่นอน เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งนั่งรวมกันอยู่หลายคน อยู่ๆท่านก็พูดขึ้นมาลอยๆว่า

"...เอ้อ..คนเรานี่มันชิงดีชิงเด่นกันนะ พอมีกำลังเข้าหน่อยก็แย่งลูกแย่งเมียเขา..."

ศิษย์ผู้ที่ถูกหลวงตาพูดถึงนี้ ถึงกับสะดุ้งขึ้นมาในทันใด เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ก็เช่นเดียวกัน ณ ตอนนั้นมีลูกศิษย์นั่งรวมกันอยู่มาก ท่านก็พูดขึ้นมาได้ใจความว่า

"...สภาพแวดล้อมก็มีส่วนนะ พระโพธิสัตว์บางองค์ติดสุข ทำให้เสียเวลาไปเลย ที่ทำอยู่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก แต่จะเอาแค่นั้นจริงๆหรือ? ทั้งๆที่บารมีตัวเองก็มีอยู่แท้ๆ... "


ออฟไลน์ Webmaster

  • Administrator
  • สมาชิก
  • *****
  • กระทู้: 404
    • ดูรายละเอียด
อันนี้ผมนำมาจากหนังสือกายสิทธิ์ ๑
จากบทความพระโพธิสัตว์ - หน่อพุทธภูมิ - การแบ่งภาค ช่วงที่ ๓
เผื่อผู้อ่านทั้งหลายจะได้เข้าใจเกี่ยวกับพระที่ท่านเป็นหน่อพุทธภูมิมากขึ้น

หน่อพุทธภูมิที่มีการสร้างบารมีถึง ๓๐ ทัศน์ มีอยู่อย่างหนึ่งคือ ปัญญาบารมีขั้นปรมัตถ์ จึงทำให้ท่านไม่ต้องไปอบายภูมิ เพราะท่านล่วงรู้ถึงสัจจะธรรมต่างๆ ทำให้ไม่หลงตน ผู้เขียนเคยกราบเรียนถามหลวงปู่ดู่โดยอ้างพระไตรปิฎก ซึ่งได้กล่าวถึงบุญที่ถวายทานกับพระอริยะขั้นต่างๆ กำลังบุญไม่เสมอกัน แต่ในพระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวถึงหน่อพุทธภูมิ หลวงปู่ท่านได้ตอบผู้เขียนว่า "หน่อ พุทธภูมิ ถ้าเปรียบไปแล้ว ก็คือ พระอนาคามี เพราะกำลังจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า แต่จัดเป็นพระอนาคามีชั้นพิเศษ คือเหมือนกันแต่ท่านยังไม่เอา หลวงปู่ท่านจึงยังไม่สอนใครถึงนิพพาน เพราะถึงไม่ใช่กิจของท่าน แต่ท่านรู้ทั้งนั้น บารมีทั้ง ๑๖ อสงไขย ไม่รู้ได้อย่างไร หลวงปู่ทวด จิตท่านยังมีจุดดำอยู่ แกว่าจริงไหม" ผู้เขียนตอบว่า "ถ้าไม่มีท่านก็สำเร็จแล้วซิครับ แต่จุดดำนั้นเป็นจุดของความเมตตา ที่ท่านจะโปรดสัตว์ เพื่อจะให้สมกับคำว่า ศรีอริยเมตไตรย ดังนั้น จุดดำนี้ผมถือว่า มีค่าน้อยมากตัดทิ้งไปได้เลย" หลวงปู่ท่านพยักหน้ายิ้มรับ

ใครสนใจบทความเพิ่มเติมจากหนังสือเล่มนี้ไปอ่านได้ที่

พระโพธิสัตว์ - หน่อพุทธภูมิ - การแบ่งภาค โดย หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
http://www.watthummuangna.com/home/community/index.php/topic,9.0.html

ธรรมรักษาครับ

ออฟไลน์ มหาอสงไขย

  • สมาชิก
  • *
  • กระทู้: 27
    • ดูรายละเอียด
สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

ออฟไลน์ ทิพย์สิงขรณ์

  • สมาชิก
  • *
  • กระทู้: 14
  • เราจะไปต่อ..
    • ดูรายละเอียด
สาธุ อนุโมทนาครับ : เดินทางกันต่อไปครับ :)

tutong

  • บุคคลทั่วไป
สาธุ โมทนาครับ:)