เว็บพุทธภูมิ: พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมี



ผู้เขียน หัวข้อ: พระผงจักรพรรดิสามารถใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนาได้หรือไม่ อย่างไร?  (อ่าน 3741 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Webmaster

  • Administrator
  • สมาชิก
  • *****
  • กระทู้: 404
    • ดูรายละเอียด


พระผงจักรพรรดิสามารถใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนาได้หรือไม่ อย่างไร?

ศิษย์ : การทำพระกับวิปัสสนา มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

หลวงตาม้า : คือ โบราณกาลมา การทำพระนี่ เป็นการทำให้คนติดพระ คนโบราณเวลาเค้าจะไปไหนเค้าจะเอาพระมาห้อย จะอาราธนาพระทุกครั้งเลย เวลาออกจากบ้าน สมัยโบราณนะ ทุกครั้งเลย คือคนโบราณเค้าต้องการทำให้คนติดพระ เลยทำวัตถุมงคลรูปลักษณ์ของพระมาให้คนได้ห้อย เพื่อให้ติด แต่มาในยุคหลังๆนี่ เอาไปทำค้าขายอะไรกันซะ โดยส่วนมาก

ศิษย์ : อย่างนี้คนเมื่อก่อนเค้าทำพระกันเองรึเปล่าครับ?

หลวงตา : ทำกันเอง แต่ว่าต้องให้พระท่านอธิษฐาน มีพิธีอธิษฐาน นั่นคือเจตนของการทำพระของคนโบราณ มันเป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นอนุสสติ ไตรสรณคมน์ว่าอย่างนั้น เอาง่ายๆ ทีนี้เรื่องวิปัสสนามันก็อยู่ในนั้น

ศิษย์ : อยู่ยังไงครับ?

หลวงตา : ก็พุทธนุสสติ จิตระลึกถึงพระ ไตรสรณคมน์ รวมแล้วก็ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ มันก็เป็นกรรมฐานกองหนึ่งของสมถะ 3 กอง ใน 40 กอง

ศิษย์ : แล้วจากสมถะ มันจะขึ้นไปวิปัสสนายังไงครับ?

หลวงตา : มันไปเอง การไหว้พระสวดมนต์เนี่ย จิตมันสบายใช่ไม๊ พอจิตมันสบาย แล้วมันนิ่งไปเรื่อยๆ ถ้ามีอะไรมากระทบมันก็หนี มันก็ต้องพิจารณาใช่ไม๊ นั่นล่ะเริ่มเข้าเรื่องปัญญาแล้ว มันก็หนี มันหนีออกมา หนีจากกระแสที่ไม่สบาย กระทบแล้วมันเป็นทุกข์ มันก็เริ่มจะห่างออกมาเรื่อยๆ โดยอาศัยพระที่ห้อยก่อน นี่คือฐาน ท่านว่า

ศิษย์ : วิปัสสนาเบื้องต้นนี่คือดูกระแสพระ?

หลวงตา : อันนั้นมันเป็นวิชาพิเศษของแต่ละคน ถ้าฝึกไปแล้วมันก็รู้ ทำบ่อยๆมันจะรู้

ศิษย์ : ก็ใช้พิจารณาได้เหมือนกัน?

หลวงตา : ได้... นี่คือเจตนาในคนโบราณเค้าทำพระ

ศิษย์ : แล้วพวกที่จับพุทธคุณได้ว่า พระเหล่านี้ปลุกเสกมาทางแคล้วคลาด คงกระพัน นั่น?

หลวงตา : อ๋อ... นั่นเค้าฝึกอีกระดับหนึ่งแล้วนะ มาจากการอาราธนาพระ กราบพระ นึกถึงพระ นึกถึงกระแสของพระ

ศิษย์ : แล้วเราดูตรงนี้ไปเรื่อยๆนี่ ก็สามารถใช้พระจนถึงนิพพานได้เลย?

หลวงตา : ได้

ศิษย์ : มันก็เหมือนการดูจิตอย่างหนึ่ง?

หลวงตา : เป็นการฝึกสติอย่างหนึ่ง คือการฝึกสติจริงๆแล้ว ก็คือเอาสติไปอยู่ที่พระ นี่คือแนวทางของโพธิญาณ

ศิษย์ : ก็คือใจไม่ฟุ้งซ่านไปข้างนอก ใจอยู่แต่ที่พระ?

หลวงตา : ใช่... เมื่อจิตนึกถึงพระแล้วเนี่ย แม้แต่เราเห็นพระ เราจะปีติ ปีตินะ ปีติในพระ... มันจะแยกแยะออกว่า พระอะไรเป็นอะไร แยกพลังงาน แยกแยะพลังงานออกว่าอะไรเป็นอะไร แยกพลังงานพระออก แยกพลังงานสงฆ์ออก ดูว่าอะไร สงฆ์ก็คือมนุษย์ธรรมดาที่ยังมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน เหมือนคนทั่วๆไป แต่เพียงออกมาเฉยๆ ห่างออกมาเฉยๆ ไม่ได้แตะต้อง ใช้ตา ใช้อะไรเฉยๆ ใช้อารมณ์คิด แต่ไม่ทำ

ศิษย์ : ถ้าทำให้คนติดพระได้ ทั้งผู้สร้างผู้ใช้?

หลวงตา : อานิสงส์เยอะนะ เยอะมากเลยนะ เพราะทำให้คนเข้าถึงไตรสรณคมน์ ในพระไตรปิฏก ท่านว่า แม้แต่เลี้ยงมารดาตลอดชีวิต ยังสู้นำมารดาให้เข้าสู่ไตรสรณคมน์ไม่ได้ มันยาวไกล ไม่ใช่ชาติเดียว มันหลายชาติ นี่คือการห้อยพระ การนึกถึงพระ การเอาภาพพระไปติดไว้ที่บ้าน เปลี่ยนทัศนวิสัยใหม่

ศิษย์ : มองไปทางไหนก็เห็นแต่พระ?

หลวงตา : ใช่... ให้จิตมันจับพระ สมัยนี้รูปพระเยอะแยะไป ยิ่งถ้าคนแก่เนี่ย ถ้าเอาไปติดไว้ในบ้าน มันจะนึกออก เหมือนเวลานึกถึงบ้านเราเนี่ย เราก็นึกถึงภาพบ้านของเราออก ด้วยความเคยชิน ความจริงคนโบราณเค้าฉลาด แต่คนข้างหลังมา... กลายเป็นการซื้อขาย การเลี้ยงชีพ บางคนนี่ร่ำรวยเพราะการขายวัตถุมงคล

ศิษย์ : แล้วอย่างการทำพระนี่ เราจะเอามาใช้ในการพิจารณาอริยสัจจ์ได้ไม๊ครับ?

หลวงตา : มันอยู่ที่พระฮะ พื้นฐานอยู่ที่การนึกถึงพระ ถ้านึกได้แล้วมันไปเอง

ศิษย์ : พระนี่ คือการทำฐานให้เค้า?

หลวงตา : ใช่... อย่าลืมว่า คนเข้าถึงพระเนี่ย ในพระไตรปิฏกท่านก็พูดถึงอยู่หลายคน หลายคนมากที่เข้ามาเพราะได้ยินว่า พุทธะ ธรรมะ สังฆะ เกิดขึ้นในโลกนี้ อันนั้นเค้าเคยเกี่ยวข้องกับพระมาในอดีต

ศิษย์ : ทำไมสมัยพุทธกาลถึงไม่ทำพระไว้บ้าง?

หลวงตา : สมัยพุทธกาล ที่เค้าไม่ทำพระ เพราะพระพุทธเจ้าท่านยังอยู่ รูปลักษณ์ของพระพุทธะหมายถึงท่าน

ศิษย์ : สมัยก่อนเค้าก็เลยทำเป็นธรรมจักรอะไรไปแทน?

หลวงตา : ใช่.... เป็นรูปลักษณ์ของพระ มันเป็นพุทธนุสสติ มันเป็นกรรมฐานกองหนึ่ง ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ในสายพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ท่านจะเน้นเรื่องไตรสรณคมน์

ศิษย์ : เพราะถือเป็นฐานที่สำคัญ?

หลวงตา : หลวงพ่อดู่ท่านไม่เน้นนะฮะ วิปัสสนา ปัญญาอะไร หลวงพ่อดู่ท่านจะไม่สอน อยู่กับท่านมา ท่านไม่เคยสอน ท่านสอนให้นึกถึงพระอย่างเดียว

ศิษย์ : คนที่มาถึงจุดนี้แล้ว เค้าจะไปได้ของเค้าเอง?

หลวงตา : เค้าจะไปได้ของเค้าเอง

ศิษย์ : อย่างนี้ ถ้าเป็นสายโพธิญาณ เค้าต้องมีวิปัสสนาร่วมด้วยไม๊ครับ?

หลวงตา : ไม่รู้นะ สายอื่นไม่รู้นะ แต่สายหลวงพ่อท่านเน้นเรื่องพระ เน้นเรื่องการสร้างพระ เน้นเรื่องการนึกถึงพระ

ศิษย์ : คนเค้าชอบนึกกันว่า เรื่องพระเนี่ย มันไม่มีวิปัสสนา แต่เค้าไม่เคยนึกถึงว่า มันต้องสร้างฐานมาก่อน?

หลวงตา : ใช่... อย่าลืมว่า หลักของความเป็นจริงเนี่ยนะ จิตเนี่ย มันจะเข้าเป็นกรรมฐานกองไหน จิตมันต้องสบาย

ศิษย์ : การนึกถึงพระก็คือทำให้จิตสบาย?

หลวงตา : ทำให้จิตสบายก่อน ทำให้จิตมันมีกำลังก่อน แล้วจึงค่อยพิจารณาในสิ่งที่กระทบกระทั่งอะไร แล้วมันก็จะไม่เกี่ยวข้อง เพราะมันไม่สบาย ใช่ไม๊... มันไปโยงกับคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านเน้นเรื่องนี้มากเพราะว่า ถ้าทำอะไรกับท่าน จะเป็นกรรมฐานอะไรก็ตาม ถ้ามันหนัก มันไม่สบาย ท่านจะไม่ให้ทำ มันจะเกิดวิปลาส มันจะเกิดสับสน

ศิษย์ : เหมือนเห็นพระบางองค์ ท่านเพ่งพระอาทิตย์จนตาบอด จนเป็นอะไรไป

หลวงตา : ใช่... ทำอะไรมันต้องมีแนวทาง มีผู้นำ มีครูบาอาจารย์ มันถึงจะไปได้ ถ้าไม่มี จะไปฝึกเอง อย่าไปทำท่านว่า

ศิษย์ : อืม... ต้องมีครู?

หลวงตา : อื้อ... สิ่งที่ฝึกง่ายที่สุดก็คือ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เป็นพื้นฐานที่ดีที่สุดอันดับแรก

ศิษย์ : หลวงปู่ท่านจะเน้นตรงนี้มาก?

หลวงตา : มาก.... ตื่นขึ้นก็ทำ กินข้าวก็ทำ เดินก็ทำ ท่านเน้นตรงนี้มาก